“ฮูหยินเจ้าคะ! ท่านโหวกลับมาจากชายแดนแล้วเจ้าค่ะ”ผิงผิงรีบวิ่งมาแจ้งข่าวให้กับนายหญิงของตนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ด้วยหวังว่าสาเหตุที่นายหญิงของนางดูซึมเศร้าในช่วงนี้ สาเหตุอาจจะมาจากการที่ต้องห่างไกลกับท่านโหวบ่าวคนนี้จึงคาดคิดไปเองว่าหากทำให้ทั้งสองได้เจอหน้ากัน สถานการณ์อาจจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แต่ความจริงที่ผิงผิงไม่รู้ก็คือ ระหว่างไป๋ลู่และหวังจิ่นหรง ยังคงมีบางเรื่องที่ยังถกกันอยู่ในใจ ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเสมือนเชือกเส้นบางที่ขึงตึง พร้อมจะขาดได้ทุกเมื่อไป๋ลู่ที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง ชะงักเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยคำใด นัยน์ตาสีเทาอ่อนที่เคยสงบนิ่งของนางฉายแววสับสนชั่วขณะ“เขากลับมาแล้วหรือ...”แม้น้ำเสียงจะฟังดูเรียบเฉย แต่ไป๋ลู่นั้นกลับซ่อนความรู้สึกอันหลากหลายเอาไว้ในใจ“เจ้าคิดว่า...เขาอยากเจอข้าหรือไม่?”“ฮูหยินเจ้าคะ ข้าเชื่อว่าท่านโหวอยากพบท่านแน่นอนเจ้าค่ะ บางที...นี่อาจเป็นโอกาสที่ดีที่ท่านทั้งสองจะได้พูดคุยกัน”จากนั้นไป๋ลู่ก็ออกไปนอกเรือนเพื่อพบหน้าท่านโหวที่ไม่ได้พบเจอกันมาเนิ่นนาน ใจนางอดไม่ได้ที่จะคิดสงสัยว่าเขาจะเปลี่ยนไปบ้างไหม ยังคงเป็นคนที่ปากเก่งและเย่อหยิ่งเช
“ตูม!”จู่ๆ หวังจิ่นหรงก็ดึงตัวไป๋ลู่เข้ามาในอ่างอาบน้ำใบใหญ่โดยไม่ทันให้ตั้งตัว เสื้อผ้าของนางเปียกชุ่มจนเผยให้เห็นเรือนร่างอันงดงามที่ซ่อนอยู่ภายในหวังจิ่นหรงมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่พลุ่งพล่าน เลือดลมสูบฉีดอย่างแรงจนเขาต้องหายใจลึกเพื่อควบคุมตัวเองอารมณ์กำหนัดกลับปะทุขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งยาหรือสุราแม้แต่น้อย เขาอยากจะครอบครองนางตรงนี้ แต่ก็นึกได้ว่านางคงไม่ยอมง่ายๆ ก่อนที่สติของเขากำลังจะเตลิดไปมากกว่านี้ เห็นทีว่าเขาคงจะต้องทำอะไรสักอย่าง“เจ้าออกไปได้แล้ว!”ไป๋ลู่หน้าแดงจัด“แต่ข้ายังทำหน้าที่ไม่เสร็จเลยนะเจ้าคะ!”“อ้อ... เช่นนั้นเจ้ากำลังบอกว่าต้องการร่วมเตียงกับข้าหรือ?”“ไม่ใช่! ข้าแค่หมายถึงการอาบน้ำให้ท่านจนเสร็จต่างหาก หาใช่ร่วมเตียงกับท่านไม่!”ไป๋ลู่พูดพลางกระแทกเท้าออกจากห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้หวังจิ่นหรงนั่งยิ้มขบขันอยู่เพียงลำพังในอ่างน้ำใบใหญ่ไม่นานนัก หวังจิ่นหรงก็ออกมาจากห้องน้ำ เมื่อไป๋ลู่เห็นดังนั้น นางตั้งใจจะก้าวออกจากห้องนอนของเขา แต่กลับถูกหวังจิ่นหรงดึงมือเอาไว้แน่น“คืนนี้นอนกับข้า การเฝ้าไข้สามีถือเป็นหน้าที่ของภรรยาอย่างหนึ่ง”ไป๋ลู่พูดอะไรไม่ออ
ในคืนหนึ่งที่หวังจิ่นหรงมีเหตุจำเป็นที่ต้องออกจากจวน ไป๋ลู่ตัดสินใจบุกเข้าไปยังห้องเอกสารลับด้วยตัวเอง“เขาคงไปหอคณิกาอีกแล้วสินะ”นางคิดด้วยความไม่พอใจ“ไม่รู้ว่าที่นั่นมีอะไรดี ถึงทำให้เขาไปบ่อยนัก”เมื่อเข้าไปในห้องเอกสารลับ ไป๋ลู่จึงลงมือสำรวจสิ่งของรอบตัว ส่วนใหญ่เป็นของเล่นในวัยเยาว์และอาวุธสะสม แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของไป๋ลู่ คือกล่องไม้เก่าๆ ใบหนึ่งเมื่อเปิดกล่องขึ้น นางพบเอกสารลับจำนวนมาก และจดหมายฉบับหนึ่งที่มีตราประทับของฮ่องเต้ เนื้อความในจดหมายทำให้นางเบิกตากว้างด้วยความตกใจทูลฝ่าบาท เพื่อความปลอดภัยของแผ่นดินและเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ ข้าหวังจิ่นหรง ขอให้พระองค์มอบสมรสพระราชทานให้กระหม่อมกับไป๋ลู่ บุตรสาวคนเล็กของเสนาบดีไป๋เซียงด้วยพ่ะย่ะค่ะหัวใจของไป๋ลู่เต้นแรงด้วยความสับสน ในจดหมายอีกฉบับยังระบุชัดว่า การแต่งงานครั้งนี้เป็นความต้องการของหวังจิ่นหรงเอง ไม่ใช่การบังคับจากฮ่องเต้หรือเหตุผลทางการเมืองตามที่นางเคยเข้าใจ“ทำไมเขาต้องทำแบบนี้? ทั้งๆ ที่เขาทำตัวเย็นชาใส่ข้ามาโดยตลอด แต่กลับเป็นคนขอสมรสพระราชทานด้วยตัวเอง...”ณ ตำหนักกวางหมิงอันยิ่งใหญ่ ตั้งอยู่ใ
ในห้องครัวของจวนโหวนั้น ทั้งฮูหยินของจวนและบรรดาบ่าวไพร่กำลังหัวหมุนเป็นอย่างมาก หลังจากที่ได้สาส์นฉบับหนึ่งจากเมืองหลวง เรื่องการมาเยือนแดนเหนือของแขกคนสำคัญ“ไม่ได้ หากทำตามสูตรที่ข้าคิดไว้ สีมันจะต้องไม่ได้ออกมาเหลืองเช่นนี้” ไป๋ลู่กล่าวพลางขมวดคิ้ว มองน้ำเต้าหู้ในหม้ออย่างไม่พอใจ ก่อนจะหันไปถามอาฟาง แม่ครัวคนสนิทของจวน“อาฟาง เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าเจ้าต้มถั่วเหลืองได้ถูกวิธีตามที่ข้าสอนไป?”ไป๋ลู่ถามแม่ครัวอย่างอดสงสัยไม่ได้ ทางด้านอาฟางก็พนักหน้าอย่างหนักแน่นพลางตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ“เจ้าค่ะ ฮูหยิน ข้าทำตามที่ท่านสั่งทุกขั้นตอน ไม่ได้พลาดอะไรเลยนะเจ้าคะ”“งั้นหรือ... ถ้าเช่นนั้น อาจจะเป็นข้าเองที่คำนวณพลาดไป”ในขณะที่ทั้งนายและบ่าวต่างยุ่งวุ่นวายอยู่กับการแก้ปัญหาน้ำเต้าหู้ ถกเถียงกันเรื่องส่วนผสมและวิธีการต้ม พวกนางกลับลืมไปโดยสิ้นเชิงว่า อีกฟากหนึ่งของจวนกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายอยู่“ท่านโหว ได้โปรดปราณีข้าด้วย!”“ปราณีอย่างนั้นหรือ?”หวังจิ่นหรงกำลังนั่งจิบชาอย่างสบายใจ แต่แววตาสีทองคู่นั้นกลับเย็นเยียบ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัดในจวน เบื้องหน้าของเขาคือบ่าวคนหนึ
ท่านโหวที่ได้ชิมน้ำเต้าหู้ ตอนแรกเขารู้สึกชอบใจกับรสชาติและกลิ่นหอมของน้ำเต้าหู้เป็นอย่างมาก แต่พอเห็นว่าภรรยากำลังตั้งอกตั้งใจจัดเตรียมน้ำเต้าหู้นี้อย่างพิถีพิถัน เพื่อใช้ต้อนรับแขกคนสำคัญ สีหน้าของเขากลับเปลี่ยนไปทันทีนางสนใจแขกคนนั้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ?ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจเขา รสชาติอันนุ่มนวลในปากพลันจืดชืดลงไปในทันที“น่าหงุดหงิดยิ่งนัก!” พลางวางถ้วยน้ำเต้าหู้ลงอย่างไม่ใยดี ก่อนจะลุกพรวดขึ้นและเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็วไม่นานนัก ร่างสูงของเขาก็หายลับออกไปนอกจวน ทิ้งให้ไป๋ลู่ที่กำลังจะเดินเข้าไปสอบถามเกี่ยวกับรสชาติของน้ำเต้าหู้ต้องยืนอยู่ลำพังในความเงียบ นางมองตามหลังเขาด้วยความรู้สึกที่ปะปนไปด้วยความผิดหวังและเศร้าใจในขณะที่ไป๋ลู่เข้าใจว่าเขาทอดทิ้งนางไปเพราะความเย็นชาตามเดิม หวังจิ่นหรงกลับมุ่งหน้าไปยังป่าใกล้ชายแดน เขาคว้าธนูและกระบอกลูกศรจากห้องเก็บอาวุธ และออกล่าสัตว์อย่างที่มักทำเมื่อยามเขามีอารมณ์ขุ่นมัว“ฉึก ฉึก!” ธนูลูกแล้วลูกเล่าถูกปล่อยออกมาอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่ยอมเสียไป๋ลู่ให้กับคนผู้นั้นอย่างแน่นอน“คิดว่าข้าไม่รู้งั้นหรือ ว่าท่านมาด้วยเรื่องอะไร!?”ในที่
บุรุษผู้มาใหม่คือหวังจิ่นหรง เขายืนนิ่งอยู่ด้านหลังไป๋ลู่ ดวงตาสีทองฉายแววเย็นชา การปรากฏตัวของเขาทำให้บรรยากาศรอบตัวตึงเครียดในทันทีฮูหยินผู้หนึ่งรีบลุกขึ้นอย่างลนลาน“ท่านโหว... คือว่า...”นั่นสิ จะให้พูดได้อย่างไร เพราะเป็นพวกเราที่กุข่าวลือเหล่านั้นขึ้นมาเองฮูหยินอีกคนหนึ่งคิดในใจ สีหน้าของนางซีดเผือดด้วยความหวาดหวั่น“หากพวกท่านบอกมิได้ก็ไม่เป็นไร”เขาเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่แฝงความเย็นเยือก“ข้าจะไปเชิญคนผู้นั้นมาด้วยวิธีของข้าเอง”ฮูหยินทุกคนในที่นั้นต่างเงียบกริบ สีหน้าของพวกนางเต็มไปด้วยความกดดันในจังหวะนั้นเอง ไป๋ลู่ที่ยืนอยู่ข้างหน้าเอ่ยบางสิ่งขึ้นเพื่อทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดนี้“ท่านโหว... ท่านพี่ ท่านพูดคุยธุระของท่านเสร็จแล้วหรือ ถึงได้เดินมาทางนี้”ไป๋ลู่รู้สึกประหลาดใจกับการกระทำนี้ของหวังจิ่นหรงเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่าเขาจงใจเดินมาทางนี้ เพื่อปกป้องนางจากฮูหยินปากไม่ดีพวกนี้“น้องหญิงของข้า เจ้าเหนื่อยหรือไม่?”“น้องหญิง?”เกิดอะไรขึ้นกับท่านโหวกัน ร้อยวันพันปีเขาไม่เคยคิดเรียกนางว่าน้องหญิงมาก่อน แค่คำว่าฮูหยินที่เอ่ยออกมาแต
“ข้าไม่ได้แย่งเพื่อลบล้างความแค้นในอดีตแต่อย่างใด แต่ข้าทำเพราะข้าจะไม่ยอมเสียสิ่งสำคัญของข้าให้คนเช่นท่านอีกต่อไปต่างหาก!”คำพูดของเขาทำให้บรรยากาศในเรือนรับรองตึงเครียดยิ่งขึ้น ดวงตาของทั้งสองฝ่ายต่างจ้องกันราวกับพร้อมจะปะทะในทุกขณะ แม้ถ้อยคำที่เปล่งออกมาจะดูสงบ แต่ใต้ความสงบนั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เดือดพล่านอย่างไม่อาจระงับในขณะที่บุรุษทั้งสองนั้นกำลังปะทะคารมทำสงครามประสาทกัน ไป๋ลู่ที่เดินย้อนกลับมานั้น เผลอได้ยินบางส่วนของการสนทนา...“ท่านโหวทำไปเพียงเพื่อต้องการพรากข้ามาจากองค์ชายใหญ่? แล้วองค์ชายใหญ่เองก็พรากบิดามารดาของท่านโหวไปงั้นหรือ”นี่คงเป็นเหตุผลที่ท่านขอสมรสพระราชทานสินะ เพื่อใช้ข้าแก้แค้นองค์ชายใหญ่ที่ทำให้ครอบครัวของท่านเสียชีวิต“ตัวข้านั้นควรทำอย่างไรดี ฝ่ายหนึ่งก็ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเกียรติของข้า ถึงว่าว่ามันจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างผิดศีลธรรมก็ตาม ส่วนอีกฝ่ายถึงเขาคิดใช้ข้าเป็นเครื่องมือในการแก้แค้น…แต่ข้าก็โกรธเขาไม่ลง”ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดที่แทบจะระเบิด เอกบุรุษทั้งสองยังคงปะทะกัน และมีท่าทีที่จะดุเดือดขึ้นไปอีก ในจังหวะที่หวังจิ่นหรงและมู่หรงเฟิงต
เรือนด้านในของตระกูลหยาง “หยางมี่ซิน” บุตรสาวคนรองของหยางกั๋วกงนั้นกำลังนั่งสางเรือนผมสีดำยาวสลวยอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ใบหน้างดงามที่สะท้อนเงาของกระจกนั้นกำลังนั่งยกยิ้มอย่างเขินอาย ในที่สุดองค์ชายใหญ่ก็สามารถทำให้สิ่งที่นางปรารถนานั้นเป็นจริงได้ในที่สุด บิดาของนางคิดไม่ผิดที่เลือกสนับสนุนท่านผู้นี้ตัวของหยางมี่ซินเองก็ไม่ได้ต่างจากสตรีชั้นสูงคนอื่น ที่แอบเฝ้ามองและวาดฝันที่จะได้อยู่เคียงกายของหวังจิ่นหรง โหวแดนเหนือผู้สูงศักดิ์คนนั้นหลังกลับจากแดนเหนือ องค์ชายใหญ่ก็มาที่จวนของตระกูลหยาง และแนะนำให้หยางกั๋วกงขอฮ่องเต้มอบสมรสพระราชทาน ด้วยเหตุผลหลักที่ว่าหากขุนศึกตระกูลหยางนั้นเกี่ยวดองกับตระกูลหวังได้ กองทัพของราชวงศ์ก็จะยิ่งเกรียงไกร ไม่ว่าอย่างไรข้อนี้ฝ่าบาทย่อมต้องเห็นชอบอย่างแน่นอนและอีกประการหนึ่ง ไป๋ลู่ซึ่งเป็นฮูหยินเอกของจวนโหวยังเยาว์วัยเกินไปที่จะมอบทายาทให้กับหวังจิ่นหรง ฉะนั้นหยางมี่ซินที่ร่างกายสมบูรณ์พร้อม ย่อมมีความพร้อมในการมอบทายาทให้กับตระกูลหวังมากกว่า ด้วยเหตุผลนี้ฮ่องเต้จึงตัดสินใจมอบโองการสมรสให้กับโหวแดนเหนืออีกฉบับ“มี่เอ๋อร์ ลูกแม่ ไว้เจ้าแต่งเข้าจวนโหวได้เมื่
เขาถามพลางสวมผ้าคลุมให้นาง“ท่านพี่ ข้าก็แค่อยากเดินเล่นชมสวนยามเช้า”นางตอบพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ“คราวหน้าปลุกข้าด้วย ข้าไม่อยากให้เจ้าเดินคนเดียว มันหนาว”เขาพูดพร้อมกับจับข้อมือเล็กของนางไว้ และจุมพิตอ่ยางแผ่วเบาไม่นานหลังจากการฟื้นฟูและขยายกิจการ ไป๋ลู่กับหวังจิ่นหรงได้เดินทางไปตรวจดูโรงน้ำชาสาขาใหม่ที่ตั้งอยู่ในเมืองใหญ่ ผู้คนในเมืองต่างพากันแวะเวียนมาที่โรงน้ำชาแห่งนี้ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องชาและขนมหวานที่มีรสชาติเยี่ยมยอดไป๋ลู่เดินตรวจดูร้านอย่างตั้งใจ นางถือสมุดบันทึกเล่มเล็ก ๆ ในมือ พร้อมจดบันทึกข้อสังเกตต่าง ๆ“ท่านพี่ ข้าจะเดินไปดูห้องครัวเองนะเจ้าคะ”นางบอกด้วยรอยยิ้มหวังจิ่นหรงที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักรีบเดินเข้ามาหานาง“ไม่ได้ เดินมากเจ้าจะเหนื่อย” เขาพูดพร้อมกับดึงสมุดบันทึกจากมือนาง“ข้าจะดูแลให้เอง”ไป๋ลู่ยิ้มเจื่อนๆ ให้กับเขา“ท่านพี่ ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นเสียหน่อย”“ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแรงเพียงใด แต่สำหรับข้า เจ้ายังคงเป็นคนที่ข้าต้องปกป้องอยู่เสมอ”หวังจิ่นหรงพูดพร้อมกับมอบรอยยิ้มอบอุ่นให้กับไป๋ลู่ รอยยิ้มที่เป็นดั่งแสงสว่างให้กับนางในขณะที่ทั้งสองเดินตรวจดูโรงน้ำชา ลูกค้าคนหนึ
สำหรับองค์ชายใหญ่ ไป๋ลู่คือแสงสว่างที่ส่องผ่านช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิต นางไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่น้ำใจและการกระทำของนางกลับสร้างความทรงจำที่ฝังลึกในหัวใจของพระองค์ ความหวังที่จะมีนางอยู่เคียงข้างในฐานะผู้ปลอบโยนและเติมเต็มความว่างเปล่ากลายเป็นเป้าหมายของพระองค์ตลอดมาแต่จากนี้เขาคงจะไม่ได้เห็นความอ่อนโยนนี้อีกต่อไป มู่หรงเฟิงต้องทำใจที่ได้รับรู้ว่าหัวใจของนางไม่ได้มีเขาอีกต่อไป เพราะทั้งสี่ห้องหัวใจคงจะมีแต่หวังจิ่นหรงองค์ชายใหญ่เม้มริมฝีปากแน่น เขาหันหลังกลับไปอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอ่ย“ข้าจะพาพวกเจ้าออกจากป่านี้ให้ปลอดภัย แต่จำไว้ให้ดี หวังจิ่นหรง เรื่องของพวกเรา...เราจะต้องได้สะสางกันในภายหลังอย่างแน่นอน”“ข้าเองก็จะเฝ้ารอวันนั้น องค์ชาย”หวังจิ่นหรงพูดพร้อมกับโอบเอวของไป๋ลู่ไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไร เขาจะไม่ยอมยกนางให้กับใคร และจะไม่ให้นางเป็นอันตรายเช่นนี้อีกท้ายที่สุด องค์ชายใหญ่มู่หรงเฉิงต้องยอมปล่อยมือจากไป๋ลู่และหวังจิ่นหรง เพราะนับตั้งแต่หลักฐานการวางแผนให้ร้ายไป๋ลู่และหวังจิ่นหรงถูกเปิดโปง ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้พุ่งตรงไปที่ตระกูลหยางและองค์ชายใหญ่เองหลักฐานเกี่ยวกับก
สำหรับมู่หรงเฉิง เหตุการณ์ในวันนั้นตอกย้ำความเชื่อของพระองค์ว่าตระกูลหวังมองข้ามชีวิตของพระองค์และพระมารดา พระองค์จึงสะสมความเคียดแค้นและน้อยใจมาตลอด“องค์ชายใหญ่ แต่ท่านเองก็เป็นสาเหตุที่ทำให้บิดาของข้าต้องตายเช่นกัน ท่านแกล้งยุยงให้ขุนนางกดดันบิดาของข้า จนเขาต้องยกทัพออกไปรบจนตัวตาย”หวังจิ่นหรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ขณะยืนประจันหน้ากับมู่หรงเฟิง“แต่ข้าไม่ได้โกรธแค้นท่านเลยสักนิด”คำพูดนั้นทำให้องค์ชายใหญ่ชะงัก ดวงตาของพระองค์แฝงไปด้วยความรู้สึกปั่นป่วนห้าปีก่อน องค์ชายใหญ่ได้วางแผนลับเพื่อบีบบังคับให้บิดาของหวังจิ่นหรง อดีตโหวผู้ยิ่งใหญ่ ออกศึกโดยตัดเสบียงส่งผลให้ต้องเสียชีวิตในสนามรบแม้ว่าจะคว้าชัยชนะกลับมาได้ แต่มารดาของหวังจิ่นหรง ซึ่งเป็นพระญาติห่างๆ ของฮองเฮา ก็ตรอมใจจนสิ้นลมตามไป ทิ้งบรรดาศักดิ์โหวไว้กับบุตรชายเพียงคนเดียวที่ในขณะนั้นมีอายุเพียงสิบเจ็ดปี"ไม่แค้นอันใดงั้นหรือ? ถ้าเจ้าไม่แค้น แล้วเจ้ามาพรากลู่เอ๋อร์ไปจากข้าทำไม!"มู่หรงเฟิงตะโกนด้วยความเดือดดาล "ข้ารักไป๋ลู่มานานแสนนาน ตั้งแต่นางยังเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กที่ตามบิดาเข้าวัง ข้าหวังจะยกตำแหน่งพระชายาให้นาง แ
ชายหนุ่มก้มลงไปดูดกลืนความอ่อนนุ่มนั้นจนเต็มปาก ขณะที่สองมือช้อนสะโพกของไป๋ลู่ขึ้นมา ตอนนี้ตัวตนของเขาอยู่ในร่างของนางทั้งหมด ยิ่งขยับ...ความเสียวซ่านก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นร่างของนางเริ่มเกร็งตัว ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับความสุขสมของเขาพุ่งถึงจุดสูงสุด“ฮึบ...อ่ะ อ๊า”เขากระแทกร่างเข้าไปอีกไม่กี่ครั้ง สายธารอุ่นร้อนก็ถูกปลดปล่อยมาทั้งหมด ร่างน้อยในอ้อมกอดก็อ่อนแรงลงทันทีเช่นกัน นิ้วมือของชายหนุ่มเกลี่ยเส้นผมยาวให้พ้นจากใบหน้านวลใส ก่อนจะจุมพิตอย่างดูดดื่มอีกครั้ง"ท่านพี่...ท่านสงสัยใครไหม คนที่ส่งมือสังหารมาไล่ล่าพวกเรา?" หลังจากเสร็จจากกิจกรรมรักแล้ว ไป่ลู่จึงเอยถามด้วยความสงสัย"นอกจากองค์ชายใหญ่ ข้านึกถึงผู้ใดไม่ออกอีกแล้ว""องค์ชายใหญ่มีเหตุผลใดกัน ถึงต้องการลอบสังหารพวกเรา""หากเจ้าอยากรู้ ข้าจะเล่าให้ฟัง...""เมื่อหลายปีก่อน ข้ายังเป็นเพียงเด็กหนุ่ม องค์ชายใหญ่มู่หรงเฟิงและมารดาของเขา ถูกบังคับให้ลี้ภัยมายังแดนเหนือ เนื่องจากการแย่งชิงอำนาจในราชสำนัก ตระกูลหวังในฐานะผู้ปกป้องแดนเหนือได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ ให้รับหน้าที่ปกป้ององค์ชายใหญ่และพระมารดาของเขา"หวังจิ่นหรงหยุดเล็กน้อย ก่อนจ
เสียงฝีเท้าของมือสังหารใกล้เข้ามาทุกขณะ หวังจิ่นหรงไม่รอช้า เขาดึงไป๋ลู่กระโดดลงสู่สายน้ำเบื้องล่าง น้ำเย็นจัดปะทะร่างของพวกเขาทันที แต่กระแสน้ำเชี่ยวกลับช่วยพัดพาทั้งสองห่างจากอันตรายเมื่อพวกเขาผุดขึ้นเหนือน้ำ หวังจิ่นหรงมองเห็นถ้ำที่อยู่ใกล้กับน้ำตก เขารีบพาไป๋ลู่ว่ายน้ำไปจนถึงปากถ้ำก่อนจะลากนางเข้าไปด้านในในความมืดของถ้ำ มีเพียงเสียงหอบหายใจและเสียงน้ำตกดังแว่วเข้ามา ทั้งสองต่างเหนื่อยล้า แต่แววตาของหวังจิ่นหรงยังคงเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น เขาเช็ดน้ำบนใบหน้าของไป๋ลู่อย่างเบามือ“ปลอดภัยแล้ว ลู่เอ๋อร์”“ท่านพี่ ท่านรู้ได้อย่างไร ว่าที่นี่มีถ้ำอยู่ด้านใน?” ไป๋ลู่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจหวังจิ่นหรงหันมายิ้มบางๆ ดวงตาสีทองของเขาทอประกายมั่นใจ “น้ำตกลักษณะนี้ แปดในสิบส่วนมักจะมีถ้ำอยู่ด้านหลัง ข้าที่เคยออกลาดตระเวนไปทั่วทุกสารทิศ ย่อมรู้เรื่องเช่นนี้ดี”ไป๋ลู่หัวเราะเบาๆ พลางมองเขาด้วยแววตาชื่นชม “ท่านพี่ของข้าช่างเก่งจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ท่านดูเหมือนจะรู้อย่างไม่มีที่ติเลย”หวังจิ่นหรงเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ “เจ้าเพิ่งรู้หรือ ว่าสามีของเจ้านั้นมีความสามารถเหน
“ข้าจะเป็นสามีที่ดีของเจ้า”คำตอบที่ได้รับคือนางประคองใบหน้าเขาเอาไว้และจุมพิตอย่างแผ่วเบา ลิ้นเล็กพยายามสัมผัสกับลิ้นของเขาเสื้อผ้าอาภรณ์ของสองฝ่ายนั้นถูกปลดเปลื้องออกไปจนเปลือยเปล่า หวังจิ่นหรงไล่รอยจูบลงมาที่ลำคอขาวเนียนและขบเม้มจนขึ้นเป็นรอยสีแดงดุจกุหลาบ มือคร้ามค่อยๆ กอบกุมปทุมถันหนึ่งคู่ซึ่งมีปลายยอดเกสรสีชมพูอ่อนเขาเกิดความกระหายจนเกินจะทานทนได้...“อื้ม”ชายหนุ่มตวัดลิ้นเสียยอดอกอย่างต่อเนื่อง จนร่างน้อยนั้นสั่นสะท้านไปทั้งร่างร่างกำยำของหวังจิ่นหรงทาบทับลงมาบนร่างของไป๋ลู่อีกครั้ง เขาจุมพิตนางอย่างเร่าร้อน มือข้างหนึ่งเค้นคลึงทรวงอกของนางไว้ อีกมือก็ได้เคลื่อนลงไปสู่เบื้องล่างนางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อนิ้วของเขาผ่านจุดอ่อนไหวเข้าไป แต่ไม่นานก็ต้องร้องครางออกมา สาวน้อยหอบหายใจ ขณะที่เขากลืนกินทรวงอกและกระตุ้นจุดอ่อนไหวไปพร้อมกันเมื่อหวังจิ่นหรงมาถึงจุดที่ไม่สามารถทานทนได้แล้ว เขาจึงประคองท่อนกายร้อนเคลื่อนเข้าสู่ใจกลางร่างของไป๋ลู่“ข้าเจ็บ นี่เป็นครั้งแรกของข้า”“แค่ชั่วครู่เท่านั้น ต่อไปจะไม่เจ็บแล้ว”ร่างกำยำค่อยๆ ขยับเอวทีละน้อย เขาทำแบบนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มสอดปร
แต่ยังไม่ทันจะได้ทำหน้าที่สามี องค์ชายใหญ่ก็หาเรื่องกดดันผ่านเหล่าขุนนางชั่ว ให้เขาต้องออกไปรบกับพวกเซวียนหยาตั้งแต่คืนแรกของชีวิตแต่งงาน แถมตลอดเวลาสามปีมานั้น องค์ชายใหญ่ยังพยายามส่งคนไปเป็นสายลับในจวนเพื่อหาทางแย่งชิงไป๋ลู่กลับไป จนเขาต้องใจร้ายกักขังหน่วงเหนี่ยวนางไว้ จนคนในจวนเข้าใจว่าเขาทอดทิ้งไป๋ลู่และมีท่าทีหมางเมินต่อนาง ในที่สุดก็จบลงที่…การกระโดดสระน้ำเพื่อฆ่าตัวตายของนางหลังจากที่รู้ข่าว หวังจิ่นหรงรีบกลับมาจากชายแดนทันที แต่เขาก็ไม่รู้จะเข้าหาคนที่รักมากอย่างไร พฤติกรรมปากไม่ตรงกับใจจึงเกิดขึ้นกับเขา จนมันทำให้ไป๋ลู่เข้าใจผิดไปข้าเขาไม่รักนาง"ข้าไม่อาจกลับไปแดนเหนือได้ หากไม่มีเจ้าอยู่เคียงข้าง ดอกเหมยแดงของท่านแม่คงคิดถึงเจ้ามาก"หวังจิ่นหรงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาสีทองของเขาสะท้อนความจริงใจที่ไป๋ลู่ไม่อาจหลบเลี่ยง"เหมยแดงต้นนั้น...ข้าชอบมันมาก"ไป๋ลู่ตอบเสียงเบา หัวใจของนางเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัว"หากเจ้าชอบ มันเป็นของเจ้า ไม่สิ ทุกอย่างที่ข้ามีล้วนเป็นของเจ้า แม้กระทั่งตัวข้าและใจของข้า ทุกสิ่งของข้าคือของเจ้า"เสียงทุ้มนั้นแลดูอบอุ่น แต่เปี่ยมด้วยพลังที่ไม่อาจต้
“ข้ายังไม่ได้ลงนามในหนังสือหย่า เจ้ายังคงเป็นภรรยาของข้า เป็นฮูหยินของข้า…”“แต่ว่า…”หวังจิ่นหรงจับมือของนางไว้แน่น ราวกับกลัวว่านางจะหลุดลอยไป“ไป๋ลู่…ข้าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเจ้า” “ท่านรู้ตัวไหมว่าท่านกำลังพูดอะไร? ข้าก็เป็นเพียงผู้หญิงในห้องหอธรรมดา ไม่มีค่าอะไรสำหรับท่าน ไม่สามารถทำให้หน้าที่การงานของท่านรุ่งเรืองได้” “เจ้าไม่ใช่เพียงแค่ฮูหยินที่ประดับจวนโหวของข้า แต่เจ้าเป็นดวงใจของข้า เจ้าเป็นคนเดียวที่อยู่ในใจของข้าตั้งแต่วันนั้น”พูดจบ เขาก็หยิบจี้หยกชิ้นหนึ่งออกมาจากสาปเสื้อ แสงแดดสะท้อนกับหยกสีเขียวสดใสที่มีลวดลายสลักประณีตไป๋ลู่เบิกตากว้าง ความทรงจำที่เลือนลางของร่างเดิมพลันกลับมา“นี่มัน… จี้หยกนี้…” “ใช่…มันเป็นของเจ้า ข้าเก็บมันไว้ตั้งแต่วันที่เราเจอกันครั้งแรก ใต้ต้นเหมยแดงต้นนั้น ข้ารู้ว่าเจ้าคือคนเดียวที่หัวใจของข้าต้องการ”น้ำตาของไป๋ลู่ไหลอาบแก้ม นางมองพู่หยกในมือของเขา สลับกับดวงตาสีทองคู่งามของเขา“ท่านคือพี่ชายคนนั้น” “คนผู้นั้นคือข้าเอง เจ้ากลับมาหาข้าเถอะ ลู่เอ๋อร์”ในความทรงจำของหวังจิ่นหรง ย้อนกลับไปในวัยเด็กเมื่อครอบครัวของเสนาบดีไป๋เซียงเดินทางมายังดินแด
“มีใครรู้ไหม ว่าลู่เอ๋อร์ไปไหน!” เสียงของเขาดังก้องไปทั่วจวนตระกูลไป๋ บ่าวไพร่พากันตัวสั่น ไม่กล้าตอบคำถามของเขาแต่ในหัวใจของหวังจิ่นหรง เขารู้ดีว่าหญิงสาวจะไปที่ไหน “แดนใต้…ต้องเป็นแดนใต้อย่างแน่นอน”ยามเย็นลมหนาวพัดแผ่ว สายลมที่เอื่อยเฉื่อยเหมือนดั่งอารมณ์ของหญิงสาวผู้หนึ่ง ไป๋ลู่เดินทอดน่องไปตามตรอกเล็กๆ ของเมืองท่านไห่เฟิง“คุณหนู เราพักที่นี่สักหน่อยดีไหมเจ้าคะ เราเดินทางมาไกลแล้ว”ผิงผิงพูดขณะที่ช่วยจัดสัมภาระลงจากหลังรถม้า ส่วนไป๋ลู่นั้นหลังลงจากรถม้านั้นกลับหยุดยืนริมทะเล มองผืนน้ำที่สะท้อนแสงจันทร์ ใบหน้าของนางมีรอยยิ้มบางๆ“นั่นสิ ผิงผิง เจ้าเหนื่อยหรือเปล่า? ข้าขอโทษนะ ที่พาเจ้ามาลำบากเช่นนี้”“คุณหนูอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเจ้าค่ะ ข้าเลือกติดตามท่านมาเอง” ผิงผิงตอบนายของตนด้วยความจริงใจไป๋ลู่ยิ้มให้ “ขอบใจเจ้ามากนะ ผิงผิง”ในโรงเตี๊ยม ไป๋ลู่มองถ้วยชาในมือที่กำลังส่งไอร้อนขึ้นมา นางชอบดื่มชาเป็นชีวิตจิตใจ แต่ตอนนี้จิตใจของหญิงสาวกลับมิค่อยแจ่มใสนักเมื่อได้ดื่มชาที่ตัวเองโปรดปราน“คุณหนู อีกสามวันเรือจะมา เราจะลงเรือลำนี้หรือไม่เจ้าคะ?”“ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะไป…”แต่ในส่วนลึกข