หวังจิ่นหรงไม่ได้ตอบคำถามของนาง เพียงแต่เดินตรงไปยังเตียงของนางและนั่งลงอย่างถือวิสาสะ“คืนนี้ข้าจะนอนที่นี่”เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยชาเหมือนทุกครั้ง แต่ดวงตาของเขาที่มองมายังไป๋ลู่นั้นกลับดูอบอุ่นอย่างน่าประหลาด“แล้วห้องหอของฮูหยินรองล่ะ?”“ข้าไม่จำเป็นต้องไป”คำตอบสั้นๆ ของเขาทำให้ไป๋ลู่เงียบไป ทำไมภายในใจกลับรู้สึกยินดีอย่างน่าประหลาด ที่ได้รู้ว่าสามีของตัวเองไม่ยอมไปหลับนอนกับภรรยาคนใหม่ นางเห็นแก่ตัวมากไปไหมที่อนุญาตให้เขามาอยู่กับนางที่นี่ ในห้องนอนแห่งนี้“ข้ารู้นะ ว่าเจ้าคิดอะไร ที่นี่เป็นจวนของข้า ข้าจะนอนกับใครหรือไม่นอนกับใคร ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์มาออกคำสั่ง”“...”“ข้าจะไม่นอนกับคนที่ข้าไม่ได้เลือก”คำพูดของหวังจิ่นหรงชัดเจนมากจนทำให้ไป๋ลู่ต้องชะงักกับความตรงไปตรงมานี้เป็นอย่างมาก“แต่ข้ากับท่าน...”“ดึกแล้ว นอนเถอะ ฮูหยิน” เขากล่าวพลางมองนางด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยท่าทีสงบนิ่งและนอนหลับไปในท้ายที่สุดทิ้งไป๋ลู่ให้นั่งนิ่งอยู่กับความสับสน จนไม่อาจหาคำตอบให้ตัวเองได้ ใครจะไปนอนหลับลงในสถานการณ์เช่นนี้?แม้ในใจจะยังคงมุ่งมั่นกับการหย
ในตลาดที่คึกคัก ไป๋ลู่ก้าวเข้าไปในโรงน้ำชาของหงเจ๋อหยวน หลงจู๊คนเดิมที่เคยพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กันกำลังจัดเตรียมสิ่งของอยู่เบื้องหน้า โดยไม่ทันสังเกตว่าหวังจิ่นหรงเดินตามนางมาสายตาของหวังจิ่นหรงนั้นจับจ้องไปที่คนทั้งสองด้วยความไม่เป็นมิตร แต่ในที่สุดสายตาแข็งกร้าวคู่นั้นก็อ่อนลงเมื่อเขาได้รับรู้เหตุผลที่แท้จริงของการพบปะกันในครั้งนี้“ข้ากำลังเตรียมของเพื่อส่งกลับไปยังครอบครัวของข้าที่อยู่ในเมืองหลวงขอรับ”หลงจู๊หงเจ๋อหยวนกล่าว ขณะจัดแจงวัตถุดิบอย่างขะมักเขม้นใส่รถม้าที่เขาจ้างมาเพื่อขนส่งสินค้า“แสดงว่าคุณชายเจ๋อหยวนยอมรับข้อเสนอของข้าแล้วใช่ไหม?”“ขอรับ ฮูหยิน ตั้งแต่ฮูหยินขายสูตรน้ำชาให้กับข้า ร้านของเราก็มีรายได้เพิ่มขึ้นมากจนพวกเราสามารถส่งของชั้นดีกลับไปให้ครอบครัวได้”หงเจ๋อหยวนตอบด้วยรอยยิ้มที่จริงใจหลังจากจัดการธุระที่โรงน้ำชาเสร็จสิ้น หวังจิ่นหรงไม่พูดอะไร เพียงแต่จับข้อมือของไป๋ลู่และพานางไปยังร้านขายเครื่องประดับแห่งหนึ่ง แม้ว่านางจะปฏิเสธความตั้งใจของเขา แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลปิ่นปักผมอันงดงามถูกบรรจงปักเข้าที่มวยผมของไป๋ลู่ หวังจิ่นหรงถอยออกมามองด้วยสายตาพึงพอใจ“ท่
“หากท่านหย่ากับท่านโหว ท่านก็จะสามารถกอบกู้ชื่อเสียงของจวนโหวกลับคืนมาได้นะเจ้าคะ รีบหย่าเสียก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายไปมากกว่านี้จะดีกว่า”“เจ้าจะไม่มีวันได้หย่ากับข้าหรอก ฮูหยิน!”ก่อนที่ไป๋ลู่จะทันตอบอะไร เสียงทุ้มต่ำของหวังจิ่นหรงก็ดังขึ้นมาใจกลางลานกว้างทั้งสองหันไปมองเขาพร้อมกัน หยางมี่ซินรีบเอ่ยแทรกขึ้นมาทันควัน ขนาดนี้แล้วท่านยังจะไม่ปล่อยมือนางไปอีกหรือ“แต่ว่าท่านพี่ นางเป็นชู้กับหรงจู๊โรงน้ำชา ใครๆ ก็พูดกันไปทั่ว”“ข้ารู้ดีว่าฮูหยินของข้าเป็นคนเช่นไร เรื่องนี้เจ้าที่เป็นคนนอกไม่ควรมาสอด!”หวังจิ่นหรงไม่พูดเปล่า เขายังกำด้ามกระบี่ไว้แน่น ราวกับว่าถ้าหากหยางมี่ซินพูดจาไม่เข้าหูอีกคำ เขาจะชักกระบี่ออกมาแทงนางให้ตายลงตรงนี้“แต่ข้าเป็นฮูหยินรองของท่านนะ เราเข้าพิธีกันแล้ว จะเป็นคนนอกได้อย่างไรกัน!”“ฉับ!”เสียงกระบี่ที่ถูกชักออกจากฝักก้องกังวานไปทั่วลานประกอบกับสายตาของหวังจิ่นหรงที่เปลี่ยนเป็นความแข็งกร้าว ในขณะที่เขาจ้องหน้าไปที่ใบหน้าของหยางมี่ซินกิ่งไม้ด้านหลังหยางมี่ซินที่ถูกฟันขาดออกเป็นสองท่อนด้วยพลังปราณที่รุนแรง!หยางมี่ซินสะดุ้งเฮือก สีหน้าที่เคยแสดงความมั่นใจพลันซี
“ขอรับ เห็นว่าฮูหยินอยากจะย้ายไปอยู่ที่นั่นน่ะขอรับ”หยางมี่ซินจึงฉวยโอกาสเติมเชื้อไฟอีกครั้งหนึ่ง แค่สร้างเรื่องว่าไป๋ลู่อยากหนีไปแดนใต้กับชู้รักก็สิ้นเรื่อง ท่านโหวต้องหย่ากับนางอย่างแน่นอน“อ๋อ แท้จริงแล้วเจ้าก็อยากไปกับนางด้วยสินะ! จะหนีไปด้วยกันใช่หรือไม่ ท่านพี่เจ้าคะ ท่านก็ได้ยินแล้ว ทำไมไม่รีบตัดสินสักที”“เงียบปาก!” เสียงตวาดของหวังจิ่นหรงดังสนั่น“หยางมี่ซิน ข้าอนุญาตให้เจ้าเข้ามาสอดเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”“ท่านพี่…” หยางมี่ซินอึกอัก“ข้าบอกให้ไสหัวไป!”คราวนี้ไม่เพียงแต่พูด หวังจิ่นหรงยังชักกระบี่ออกจากฝักของเขาอีกครั้ง สายตาคมกริบของเขาทำให้ทั้งหยางมี่ซินและหงเจ๋อหยวนรู้สึกถึงความอันตรายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงหยางมี่ซินตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด นางรีบหมุนตัววิ่งหนีออกไปโดยไม่หันกลับมามอง“ทำไมท่านพี่ต้องชักกระบี่แทบทุกครั้งคุยกับข้ากัน!?"นางคิดในใจ ขณะที่ขาพาร่างเล็กของตนก้าวอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นตระหนก ส่วนหงเจ๋อหยวนถึงกับทรุดตัวลงร้องขอความเมตตาทันที“โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิดขอรับ ข้ายังมีภรรยาและลูกๆ รอข้าอยู่ในเมืองหลวง!”หวังจิ่นหรงมองเขานิ่งก่อนเอ่ย
“บัดนี้เจ้าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว ทำตัวเหมือนเด็กกำพร้าไปได้ เห็นไหมว่าสามีของเจ้ายืนอยู่ตรงนี้ทั้งคน”คำพูดของหวังจิ่นหรงเปรียบเสมือนแสงอุ่นที่ส่องลงมาสู่หัวใจของไป๋ลู่ แต่กลับกัน ความอบอุ่นนั้นกลับสร้างแรงกดดันให้กับนางอย่างประหลาดไป๋ลู่ก้มหน้าลงเล็กน้อย มือเรียวบางของนางกำชายเสื้อไว้แน่น แม้จะรู้สึกถึงความจริงใจในคำพูดและการกระทำของเขา แต่ส่วนลึกในหัวใจของนางกลับยังไม่อาจปล่อยวางความระแวงที่สร้างขึ้นมานาน“เพราะไม่คุ้นเคยกับการพึ่งพาใคร...” นางคิดในใจแม้จะได้รับความช่วยเหลือที่หยิบยื่นมาให้อย่างจริงใจ แต่ข้าก็ยังไม่อาจละทิ้งกำแพงในหัวใจของตัวเองได้ “ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านพี่...” เสียงของนางแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าคำพูดนั้นจะเผยความรู้สึกลึกๆ ในใจที่นางยังไม่พร้อมยอมรับในตอนนี้หลังจากวันนั้น ไม่นานก็ถึงเวลาที่หวังจิ่นหรงต้องออกไปทำศึกกับเผ่าต่างๆ ที่รุกรานชายแดนเหนืออย่างเลี่ยงไม่ได้ไป๋ลู่ยืนนิ่งอยู่ตรงประตูจวนหน้าของจวน สายตาของนางจ้องมองหวังจิ่นหรงที่อยู่ในชุดเกราะเต็มยศ ดวงตาสีเทาอ่อนของนางฉายแววหลากหลาย ทั้งความกังวล ความสับสน และความรู้สึกที่เหมือนกับว่านางไม่อยากให้เขาจากลาไปไ
ไป๋ลู่กำลังยืนมองท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนสีในยามเย็น หัวใจของนางในตอนนี้พลันสั่นไหวโดยไม่อาจระงับ เมื่อได้ยินข่าวของคนที่อยู่ทางไกลหนึ่งปีแล้วสินะ... ที่เรามิได้พบเจอกัน ข้าเฝ้าบอกตัวเองว่าอย่าได้คิดถึงท่าน... แต่ข้านั้นก็ทำไม่ได้ความรู้สึกนี้คืออะไร หัวใจของหญิงสาวที่คิดมาตลอดว่าเข้มแข็ง บัดนี้กลับอ่อนแอจนมิอาจควบคุมได้"ข้าเป็นอะไรไป..."ในยามเย็นที่ลมพัดเอื่อย หวังจิ่นหรงนั่งอยู่ในศาลา ดวงตาสีทองจับจ้องไปยังผิวน้ำเบื้องล่างราวกับครุ่นคิดถึงสิ่งใดบางอย่างเขากลับมาถึงจวนตั้งแต่ช่วงบ่ายแต่กลับเลือกที่จะไม่เข้าเรือนของตน แต่ดันอยากรอเพื่อพบหน้าฮูหยินที่ไม่ได้พบเจอกันนานถึงหนึ่งปีเต็มไป๋ลู่ปรากฏตัวในชุดเรียบง่าย ดวงตาสีเทาอ่อนของนางมีแววตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อเห็นชายที่นั่งอยู่ในศาลา“ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้ว...”“เจ้าสบายดีหรือไม่?”“ข้าสบายดีเจ้าค่ะ แล้วท่านเล่า?”“เหนื่อย แต่ก็ยังดีที่ได้กลับมาเจอหน้าเจ้า”ทั้งสองยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เสียงลมพัดผ่านใบไม้และเสียงน้ำกระเพื่อมเบาๆ เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำลายความเงียบ ทั้งคู่ไม่ได้ทะเลาะกันเหมือนเมื่อปีที่แล้วแต่อย่างใด“มานั่งคุยกันหน่อยเถิด
เดิมทีหวังจิ่นหรงเพียงปรายตามองและทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่นางพูด แต่เมื่อไป๋ลู่เอ่ยขอร้องให้พาหยางมี่ซินเดินทางไปด้วยกัน เพราะนางต้องการรักษาหน้าของท่านโหว ไม่อยากให้คนในเมืองหลวงมองว่าสามีของตนเป็นคนแล้งน้ำใจ ทั้งที่ความจริงก็เป็นเช่นที่คนเขาลือกัน“ท่านพี่ ใจดีกับนางหน่อยเถิด”“ข้าไม่อยากฝืนใจ ทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ”“ถือว่าข้าขอร้อง...อย่าใจร้ายกับนางนักเลย”คำพูดของไป๋ลู่ทำให้หวังจิ่นหรงนิ่งไปครู่หนึ่ง สายตาของเขาจับจ้องนางราวกับกำลังพิจารณาบางสิ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ“ก็ได้...” เขาตอบในที่สุดแม้จะยอมให้นางร่วมเดินทางไปด้วย แต่ยังไม่วายกำชับเสียงเข้มกับหยางมี่ซินว่า“เจ้าต้องนั่งรถม้าคนละคัน ห้ามรบกวนข้ากับลู่เอ๋อร์เด็ดขาด!”ขณะที่ขบวนรถม้าของหวังจิ่นหรงหยุดพักที่ลำธารใสสะอาดกลางป่าอยู่นั้น หวังจิ่นหรงลงจากหลังม้าและเดินไปยังรถม้าของไป๋ลู่ เขายื่นมือช่วยประคองหญิงสาวให้ลงมาด้วยความระมัดระวัง“ฮูหยิน เจ้าลงมาพักเสียหน่อย ข้าสั่งให้คนเตรียมน้ำดื่มกับของว่างไว้ให้แล้ว”“ท่านดูแลข้าดีเช่นนี้ ข้าเกรงใจเจ้าค่ะ”“เจ้าเป็นภรรยาของข้า ข้าดูแลเจ้า ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา”ในขณะเดียวกัน
ทางด้านไป๋ลู่นั้นกำลังเดินก้าวไปยังจวนแห่งนี้ด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ในความทรงจำเดิมของร่างเก่า สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่น แต่สำหรับไป๋ลู่คนใหม่ซึ่งเดิมเป็นเด็กกำพร้านั้นกลับสับสนเป็นอย่างมาก ด้วยไม่รู้จะวางตัวอย่างไรแต่ในขณะที่หญิงสาวกำลังยืนสับสนกับตัวเองอยู่นั่นเอง“หมับ” ฝ่ามือหนาของหวังจิ่นหรงกลับจับจูงนางไว้อย่างมั่นคง เขาไม่รู้หรอกว่าคนที่อยู่ข้างกายกำลังนึกคิดสิ่งใดอยู่ แต่คิ้วงามที่ขมวดเข้ากันมันกลับทำให้เขานั้นอยากจะปลอบโยนนาง ก็เพียงแค่นั้นเองเมื่อประตูใหญ่เปิดออก สมาชิกในตระกูลไป๋ต่างออกมาต้อนรับพวกเขาด้วยรอยยิ้ม โดยเฉพาะเสนาบดีไป๋เซียง บิดาผู้มีตำแหน่งเป็นเสนาบดี ซึ่งมีหน้าที่ดูแลท้องพระคลังของราชสำนัก“ลู่เอ๋อร์! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”เสียงของไป๋เซียงที่ปกติมักจะเยือกเย็นเฉียบขาดนั้น กลับเจือไปด้วยความอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัดน้ำเสียงนั้น ทำให้ไป๋ลู่ยิ้มกว้างอย่างอดมิได้ ผิงผิงที่หยุดยืนดูอยู่ห่างๆ ยังต้องยืนซับน้ำตาให้กับภาพที่อยู่เบื้องหน้า“ข้าสบายดีเจ้าค่ะ ท่านพ่อ”“ลู๋เอ๋อร์ของแม่ เข้ามาเร็ว! แม่ครัวเตรียมอาหารไว้มากมาย เจ้าเดินทางมาเหนื่อยๆ คงต้องการพั
เขาถามพลางสวมผ้าคลุมให้นาง“ท่านพี่ ข้าก็แค่อยากเดินเล่นชมสวนยามเช้า”นางตอบพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ“คราวหน้าปลุกข้าด้วย ข้าไม่อยากให้เจ้าเดินคนเดียว มันหนาว”เขาพูดพร้อมกับจับข้อมือเล็กของนางไว้ และจุมพิตอ่ยางแผ่วเบาไม่นานหลังจากการฟื้นฟูและขยายกิจการ ไป๋ลู่กับหวังจิ่นหรงได้เดินทางไปตรวจดูโรงน้ำชาสาขาใหม่ที่ตั้งอยู่ในเมืองใหญ่ ผู้คนในเมืองต่างพากันแวะเวียนมาที่โรงน้ำชาแห่งนี้ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องชาและขนมหวานที่มีรสชาติเยี่ยมยอดไป๋ลู่เดินตรวจดูร้านอย่างตั้งใจ นางถือสมุดบันทึกเล่มเล็ก ๆ ในมือ พร้อมจดบันทึกข้อสังเกตต่าง ๆ“ท่านพี่ ข้าจะเดินไปดูห้องครัวเองนะเจ้าคะ”นางบอกด้วยรอยยิ้มหวังจิ่นหรงที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักรีบเดินเข้ามาหานาง“ไม่ได้ เดินมากเจ้าจะเหนื่อย” เขาพูดพร้อมกับดึงสมุดบันทึกจากมือนาง“ข้าจะดูแลให้เอง”ไป๋ลู่ยิ้มเจื่อนๆ ให้กับเขา“ท่านพี่ ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นเสียหน่อย”“ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแรงเพียงใด แต่สำหรับข้า เจ้ายังคงเป็นคนที่ข้าต้องปกป้องอยู่เสมอ”หวังจิ่นหรงพูดพร้อมกับมอบรอยยิ้มอบอุ่นให้กับไป๋ลู่ รอยยิ้มที่เป็นดั่งแสงสว่างให้กับนางในขณะที่ทั้งสองเดินตรวจดูโรงน้ำชา ลูกค้าคนหนึ
สำหรับองค์ชายใหญ่ ไป๋ลู่คือแสงสว่างที่ส่องผ่านช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิต นางไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่น้ำใจและการกระทำของนางกลับสร้างความทรงจำที่ฝังลึกในหัวใจของพระองค์ ความหวังที่จะมีนางอยู่เคียงข้างในฐานะผู้ปลอบโยนและเติมเต็มความว่างเปล่ากลายเป็นเป้าหมายของพระองค์ตลอดมาแต่จากนี้เขาคงจะไม่ได้เห็นความอ่อนโยนนี้อีกต่อไป มู่หรงเฟิงต้องทำใจที่ได้รับรู้ว่าหัวใจของนางไม่ได้มีเขาอีกต่อไป เพราะทั้งสี่ห้องหัวใจคงจะมีแต่หวังจิ่นหรงองค์ชายใหญ่เม้มริมฝีปากแน่น เขาหันหลังกลับไปอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอ่ย“ข้าจะพาพวกเจ้าออกจากป่านี้ให้ปลอดภัย แต่จำไว้ให้ดี หวังจิ่นหรง เรื่องของพวกเรา...เราจะต้องได้สะสางกันในภายหลังอย่างแน่นอน”“ข้าเองก็จะเฝ้ารอวันนั้น องค์ชาย”หวังจิ่นหรงพูดพร้อมกับโอบเอวของไป๋ลู่ไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไร เขาจะไม่ยอมยกนางให้กับใคร และจะไม่ให้นางเป็นอันตรายเช่นนี้อีกท้ายที่สุด องค์ชายใหญ่มู่หรงเฉิงต้องยอมปล่อยมือจากไป๋ลู่และหวังจิ่นหรง เพราะนับตั้งแต่หลักฐานการวางแผนให้ร้ายไป๋ลู่และหวังจิ่นหรงถูกเปิดโปง ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้พุ่งตรงไปที่ตระกูลหยางและองค์ชายใหญ่เองหลักฐานเกี่ยวกับก
สำหรับมู่หรงเฉิง เหตุการณ์ในวันนั้นตอกย้ำความเชื่อของพระองค์ว่าตระกูลหวังมองข้ามชีวิตของพระองค์และพระมารดา พระองค์จึงสะสมความเคียดแค้นและน้อยใจมาตลอด“องค์ชายใหญ่ แต่ท่านเองก็เป็นสาเหตุที่ทำให้บิดาของข้าต้องตายเช่นกัน ท่านแกล้งยุยงให้ขุนนางกดดันบิดาของข้า จนเขาต้องยกทัพออกไปรบจนตัวตาย”หวังจิ่นหรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ขณะยืนประจันหน้ากับมู่หรงเฟิง“แต่ข้าไม่ได้โกรธแค้นท่านเลยสักนิด”คำพูดนั้นทำให้องค์ชายใหญ่ชะงัก ดวงตาของพระองค์แฝงไปด้วยความรู้สึกปั่นป่วนห้าปีก่อน องค์ชายใหญ่ได้วางแผนลับเพื่อบีบบังคับให้บิดาของหวังจิ่นหรง อดีตโหวผู้ยิ่งใหญ่ ออกศึกโดยตัดเสบียงส่งผลให้ต้องเสียชีวิตในสนามรบแม้ว่าจะคว้าชัยชนะกลับมาได้ แต่มารดาของหวังจิ่นหรง ซึ่งเป็นพระญาติห่างๆ ของฮองเฮา ก็ตรอมใจจนสิ้นลมตามไป ทิ้งบรรดาศักดิ์โหวไว้กับบุตรชายเพียงคนเดียวที่ในขณะนั้นมีอายุเพียงสิบเจ็ดปี"ไม่แค้นอันใดงั้นหรือ? ถ้าเจ้าไม่แค้น แล้วเจ้ามาพรากลู่เอ๋อร์ไปจากข้าทำไม!"มู่หรงเฟิงตะโกนด้วยความเดือดดาล "ข้ารักไป๋ลู่มานานแสนนาน ตั้งแต่นางยังเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กที่ตามบิดาเข้าวัง ข้าหวังจะยกตำแหน่งพระชายาให้นาง แ
ชายหนุ่มก้มลงไปดูดกลืนความอ่อนนุ่มนั้นจนเต็มปาก ขณะที่สองมือช้อนสะโพกของไป๋ลู่ขึ้นมา ตอนนี้ตัวตนของเขาอยู่ในร่างของนางทั้งหมด ยิ่งขยับ...ความเสียวซ่านก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นร่างของนางเริ่มเกร็งตัว ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับความสุขสมของเขาพุ่งถึงจุดสูงสุด“ฮึบ...อ่ะ อ๊า”เขากระแทกร่างเข้าไปอีกไม่กี่ครั้ง สายธารอุ่นร้อนก็ถูกปลดปล่อยมาทั้งหมด ร่างน้อยในอ้อมกอดก็อ่อนแรงลงทันทีเช่นกัน นิ้วมือของชายหนุ่มเกลี่ยเส้นผมยาวให้พ้นจากใบหน้านวลใส ก่อนจะจุมพิตอย่างดูดดื่มอีกครั้ง"ท่านพี่...ท่านสงสัยใครไหม คนที่ส่งมือสังหารมาไล่ล่าพวกเรา?" หลังจากเสร็จจากกิจกรรมรักแล้ว ไป่ลู่จึงเอยถามด้วยความสงสัย"นอกจากองค์ชายใหญ่ ข้านึกถึงผู้ใดไม่ออกอีกแล้ว""องค์ชายใหญ่มีเหตุผลใดกัน ถึงต้องการลอบสังหารพวกเรา""หากเจ้าอยากรู้ ข้าจะเล่าให้ฟัง...""เมื่อหลายปีก่อน ข้ายังเป็นเพียงเด็กหนุ่ม องค์ชายใหญ่มู่หรงเฟิงและมารดาของเขา ถูกบังคับให้ลี้ภัยมายังแดนเหนือ เนื่องจากการแย่งชิงอำนาจในราชสำนัก ตระกูลหวังในฐานะผู้ปกป้องแดนเหนือได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ ให้รับหน้าที่ปกป้ององค์ชายใหญ่และพระมารดาของเขา"หวังจิ่นหรงหยุดเล็กน้อย ก่อนจ
เสียงฝีเท้าของมือสังหารใกล้เข้ามาทุกขณะ หวังจิ่นหรงไม่รอช้า เขาดึงไป๋ลู่กระโดดลงสู่สายน้ำเบื้องล่าง น้ำเย็นจัดปะทะร่างของพวกเขาทันที แต่กระแสน้ำเชี่ยวกลับช่วยพัดพาทั้งสองห่างจากอันตรายเมื่อพวกเขาผุดขึ้นเหนือน้ำ หวังจิ่นหรงมองเห็นถ้ำที่อยู่ใกล้กับน้ำตก เขารีบพาไป๋ลู่ว่ายน้ำไปจนถึงปากถ้ำก่อนจะลากนางเข้าไปด้านในในความมืดของถ้ำ มีเพียงเสียงหอบหายใจและเสียงน้ำตกดังแว่วเข้ามา ทั้งสองต่างเหนื่อยล้า แต่แววตาของหวังจิ่นหรงยังคงเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น เขาเช็ดน้ำบนใบหน้าของไป๋ลู่อย่างเบามือ“ปลอดภัยแล้ว ลู่เอ๋อร์”“ท่านพี่ ท่านรู้ได้อย่างไร ว่าที่นี่มีถ้ำอยู่ด้านใน?” ไป๋ลู่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจหวังจิ่นหรงหันมายิ้มบางๆ ดวงตาสีทองของเขาทอประกายมั่นใจ “น้ำตกลักษณะนี้ แปดในสิบส่วนมักจะมีถ้ำอยู่ด้านหลัง ข้าที่เคยออกลาดตระเวนไปทั่วทุกสารทิศ ย่อมรู้เรื่องเช่นนี้ดี”ไป๋ลู่หัวเราะเบาๆ พลางมองเขาด้วยแววตาชื่นชม “ท่านพี่ของข้าช่างเก่งจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ท่านดูเหมือนจะรู้อย่างไม่มีที่ติเลย”หวังจิ่นหรงเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ “เจ้าเพิ่งรู้หรือ ว่าสามีของเจ้านั้นมีความสามารถเหน
“ข้าจะเป็นสามีที่ดีของเจ้า”คำตอบที่ได้รับคือนางประคองใบหน้าเขาเอาไว้และจุมพิตอย่างแผ่วเบา ลิ้นเล็กพยายามสัมผัสกับลิ้นของเขาเสื้อผ้าอาภรณ์ของสองฝ่ายนั้นถูกปลดเปลื้องออกไปจนเปลือยเปล่า หวังจิ่นหรงไล่รอยจูบลงมาที่ลำคอขาวเนียนและขบเม้มจนขึ้นเป็นรอยสีแดงดุจกุหลาบ มือคร้ามค่อยๆ กอบกุมปทุมถันหนึ่งคู่ซึ่งมีปลายยอดเกสรสีชมพูอ่อนเขาเกิดความกระหายจนเกินจะทานทนได้...“อื้ม”ชายหนุ่มตวัดลิ้นเสียยอดอกอย่างต่อเนื่อง จนร่างน้อยนั้นสั่นสะท้านไปทั้งร่างร่างกำยำของหวังจิ่นหรงทาบทับลงมาบนร่างของไป๋ลู่อีกครั้ง เขาจุมพิตนางอย่างเร่าร้อน มือข้างหนึ่งเค้นคลึงทรวงอกของนางไว้ อีกมือก็ได้เคลื่อนลงไปสู่เบื้องล่างนางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อนิ้วของเขาผ่านจุดอ่อนไหวเข้าไป แต่ไม่นานก็ต้องร้องครางออกมา สาวน้อยหอบหายใจ ขณะที่เขากลืนกินทรวงอกและกระตุ้นจุดอ่อนไหวไปพร้อมกันเมื่อหวังจิ่นหรงมาถึงจุดที่ไม่สามารถทานทนได้แล้ว เขาจึงประคองท่อนกายร้อนเคลื่อนเข้าสู่ใจกลางร่างของไป๋ลู่“ข้าเจ็บ นี่เป็นครั้งแรกของข้า”“แค่ชั่วครู่เท่านั้น ต่อไปจะไม่เจ็บแล้ว”ร่างกำยำค่อยๆ ขยับเอวทีละน้อย เขาทำแบบนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มสอดปร
แต่ยังไม่ทันจะได้ทำหน้าที่สามี องค์ชายใหญ่ก็หาเรื่องกดดันผ่านเหล่าขุนนางชั่ว ให้เขาต้องออกไปรบกับพวกเซวียนหยาตั้งแต่คืนแรกของชีวิตแต่งงาน แถมตลอดเวลาสามปีมานั้น องค์ชายใหญ่ยังพยายามส่งคนไปเป็นสายลับในจวนเพื่อหาทางแย่งชิงไป๋ลู่กลับไป จนเขาต้องใจร้ายกักขังหน่วงเหนี่ยวนางไว้ จนคนในจวนเข้าใจว่าเขาทอดทิ้งไป๋ลู่และมีท่าทีหมางเมินต่อนาง ในที่สุดก็จบลงที่…การกระโดดสระน้ำเพื่อฆ่าตัวตายของนางหลังจากที่รู้ข่าว หวังจิ่นหรงรีบกลับมาจากชายแดนทันที แต่เขาก็ไม่รู้จะเข้าหาคนที่รักมากอย่างไร พฤติกรรมปากไม่ตรงกับใจจึงเกิดขึ้นกับเขา จนมันทำให้ไป๋ลู่เข้าใจผิดไปข้าเขาไม่รักนาง"ข้าไม่อาจกลับไปแดนเหนือได้ หากไม่มีเจ้าอยู่เคียงข้าง ดอกเหมยแดงของท่านแม่คงคิดถึงเจ้ามาก"หวังจิ่นหรงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาสีทองของเขาสะท้อนความจริงใจที่ไป๋ลู่ไม่อาจหลบเลี่ยง"เหมยแดงต้นนั้น...ข้าชอบมันมาก"ไป๋ลู่ตอบเสียงเบา หัวใจของนางเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัว"หากเจ้าชอบ มันเป็นของเจ้า ไม่สิ ทุกอย่างที่ข้ามีล้วนเป็นของเจ้า แม้กระทั่งตัวข้าและใจของข้า ทุกสิ่งของข้าคือของเจ้า"เสียงทุ้มนั้นแลดูอบอุ่น แต่เปี่ยมด้วยพลังที่ไม่อาจต้
“ข้ายังไม่ได้ลงนามในหนังสือหย่า เจ้ายังคงเป็นภรรยาของข้า เป็นฮูหยินของข้า…”“แต่ว่า…”หวังจิ่นหรงจับมือของนางไว้แน่น ราวกับกลัวว่านางจะหลุดลอยไป“ไป๋ลู่…ข้าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเจ้า” “ท่านรู้ตัวไหมว่าท่านกำลังพูดอะไร? ข้าก็เป็นเพียงผู้หญิงในห้องหอธรรมดา ไม่มีค่าอะไรสำหรับท่าน ไม่สามารถทำให้หน้าที่การงานของท่านรุ่งเรืองได้” “เจ้าไม่ใช่เพียงแค่ฮูหยินที่ประดับจวนโหวของข้า แต่เจ้าเป็นดวงใจของข้า เจ้าเป็นคนเดียวที่อยู่ในใจของข้าตั้งแต่วันนั้น”พูดจบ เขาก็หยิบจี้หยกชิ้นหนึ่งออกมาจากสาปเสื้อ แสงแดดสะท้อนกับหยกสีเขียวสดใสที่มีลวดลายสลักประณีตไป๋ลู่เบิกตากว้าง ความทรงจำที่เลือนลางของร่างเดิมพลันกลับมา“นี่มัน… จี้หยกนี้…” “ใช่…มันเป็นของเจ้า ข้าเก็บมันไว้ตั้งแต่วันที่เราเจอกันครั้งแรก ใต้ต้นเหมยแดงต้นนั้น ข้ารู้ว่าเจ้าคือคนเดียวที่หัวใจของข้าต้องการ”น้ำตาของไป๋ลู่ไหลอาบแก้ม นางมองพู่หยกในมือของเขา สลับกับดวงตาสีทองคู่งามของเขา“ท่านคือพี่ชายคนนั้น” “คนผู้นั้นคือข้าเอง เจ้ากลับมาหาข้าเถอะ ลู่เอ๋อร์”ในความทรงจำของหวังจิ่นหรง ย้อนกลับไปในวัยเด็กเมื่อครอบครัวของเสนาบดีไป๋เซียงเดินทางมายังดินแด
“มีใครรู้ไหม ว่าลู่เอ๋อร์ไปไหน!” เสียงของเขาดังก้องไปทั่วจวนตระกูลไป๋ บ่าวไพร่พากันตัวสั่น ไม่กล้าตอบคำถามของเขาแต่ในหัวใจของหวังจิ่นหรง เขารู้ดีว่าหญิงสาวจะไปที่ไหน “แดนใต้…ต้องเป็นแดนใต้อย่างแน่นอน”ยามเย็นลมหนาวพัดแผ่ว สายลมที่เอื่อยเฉื่อยเหมือนดั่งอารมณ์ของหญิงสาวผู้หนึ่ง ไป๋ลู่เดินทอดน่องไปตามตรอกเล็กๆ ของเมืองท่านไห่เฟิง“คุณหนู เราพักที่นี่สักหน่อยดีไหมเจ้าคะ เราเดินทางมาไกลแล้ว”ผิงผิงพูดขณะที่ช่วยจัดสัมภาระลงจากหลังรถม้า ส่วนไป๋ลู่นั้นหลังลงจากรถม้านั้นกลับหยุดยืนริมทะเล มองผืนน้ำที่สะท้อนแสงจันทร์ ใบหน้าของนางมีรอยยิ้มบางๆ“นั่นสิ ผิงผิง เจ้าเหนื่อยหรือเปล่า? ข้าขอโทษนะ ที่พาเจ้ามาลำบากเช่นนี้”“คุณหนูอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเจ้าค่ะ ข้าเลือกติดตามท่านมาเอง” ผิงผิงตอบนายของตนด้วยความจริงใจไป๋ลู่ยิ้มให้ “ขอบใจเจ้ามากนะ ผิงผิง”ในโรงเตี๊ยม ไป๋ลู่มองถ้วยชาในมือที่กำลังส่งไอร้อนขึ้นมา นางชอบดื่มชาเป็นชีวิตจิตใจ แต่ตอนนี้จิตใจของหญิงสาวกลับมิค่อยแจ่มใสนักเมื่อได้ดื่มชาที่ตัวเองโปรดปราน“คุณหนู อีกสามวันเรือจะมา เราจะลงเรือลำนี้หรือไม่เจ้าคะ?”“ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะไป…”แต่ในส่วนลึกข