ภายในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะของกองทัพแดนเหนือที่นำโดยหวังจิ่นหรงนั้น เต็มไปด้วยบรรดาขุนนางและสตรีชั้นสูงที่ต่างพากันสวมใส่อาภรณ์หรูหรา พูดคุยหัวเราะกันอย่างเพลิดเพลิน และเสียงพูดคุยนั้นกลับเงียบลงทันทีที่หวังจิ่นหรงปรากฏตัววันนี้เขามาในชุดเกราะของแม่ทัพที่เสริมให้เขาดูสง่างามเป็นอย่างมาก ท่านโหวหนุ่มก้าวเข้ามาอย่างมาดมั่นและดูองอาจสง่างาม แต่สิ่งที่ทำให้ทุกสายตาจับจ้องคือสตรีข้างกายของเขาต่างหากไป๋ลู่นั้นก้าวเข้ามาพร้อมกันมาในชุดผ้าไหมสีอ่อนที่ดูเรียบง่าย แต่กลับงดงามและสง่างามในแบบของนางเอง โดยมีหวังจิ่นหรงคอยโอบเอวบางของนางไว้ข้างกายไม่ให้ห่างกัน แต่ด้วยการเดินตัวติดกันเช่นนี้ทำให้หญิงสาวรู้สึกไม่คุ้นชิน ส่งผลให้ไป๋ลู่นั้นเดินสะดุดชายกระโปรงของตัวเอง“หมับ!”ฝ่ามือหนาของหวังจิ่นหรงคอยประคองเอวบางของไป๋ลู่ พร้อมกับสอดส่องว่านางเจ็บตรงไหนบ้าง แต่ดวงตาคู่งามของหญิงสาวกลับสะกดไว้ หัวใจของคนทั้งคู่เต้นระรัวอย่างเร็ว“ข้าไม่เป็นไร ท่านพี่ เราเดินต่อเถอะ”ส่วนหยางมี่ซินกลับถูกปล่อยให้เดินห่างออกมาเล็กน้อย นางแต่งกายด้วยชุดหรูหราสีแดงสด เครื่องประดับบนศีรษะล้วนเป็นของล้ำค่
“ข้าหรือ… ข้าชอบทานบะหมี่น้ำและเกี๊ยวต้มเจ้าค่ะ”ไป๋ลู่ตอบอย่างส่ง ๆ ด้วยความจำที่เลือนรางว่าร่างเดิมนั้นชอบทานอาหารชนิดนี้เป็นอย่างมาก “ฮูหยิน งั้นเราไปทานกันเถอะ”ไม่นานนัก ทั้งคู่ก็นั่งอยู่ในร้านบะหมี่เล็ก ๆ ที่มีกลิ่นหอมของน้ำซุปอบอวลไปทั่ว หวังจิ่นหรงสั่งบะหมี่น้ำและเกี๊ยวต้มมาสองชาม ก่อนจะลงมือรับประทานพร้อมไป๋ลู่ไป๋ลู่แอบประหลาดใจ นางไม่คาดคิดว่าท่านโหว ผู้เป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่จะนั่งรับประทานบะหมี่ธรรมดา ๆ เช่นนี้“ท่านพี่ ท่านไม่รังเกียจอาหารข้างทางเช่นนี้หรือเจ้าคะ?” “ข้ารังเกียจได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าชอบ”ไป๋ลู่เงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่สายตาของนางจะหยุดที่เขาซึ่งกำลังเติมเครื่องปรุงลงในชาม“ไม่ได้นะ อันนั้นคือพริก!” ไป๋ลู่ตะโกนลั่นเพื่อเอ่ยเตือนโหวหนุ่ม แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว หวังจิ่นหรงนั้นได้เทพริกใส่ลงในบะหมี่ของเขาอย่างเต็มที่คนที่กินเผ็ดไม่ได้พยายามสงบนิ่งขณะตักน้ำซุปขึ้นชิม แม้ใบหน้าจะแดงเรื่อและเหงื่อจะเริ่มซึม แต่เขาก็ยังทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น“ท่านกินเผ็ดไม่ได้ ทำไมถึงฝืนกินเล่า” “เห็นเจ้าทำ ข้าก็อยากลองทำบ้าง”แม้จะเผ็ดจนแทบพูดไม่ได้ แต่เขาก็ยิ้มออกมาเมื่อเห็
มู่หรงเฟิงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ใจของเขากำลังสับสน แต่ในขณะเดียวกันก็ยอมรับในสิ่งที่หยางมี่ซินพูด ตระกูลหวังยึดมั่นในชื่อเสียงและเกียรติยศของตนเหนือสิ่งอื่นใด หากไม่ใช้แผนนี้ ความปรารถนาของเขาอาจไม่มีวันเป็นจริงเฉกเช่นในอดีต ท่านโหวคนก่อนเคยเลือกปกป้องศักดิ์ศรีและเขตแดนของตระกูลหวังเหนือสิ่งอื่นใด จนกลายเป็นเหตุให้มารดาของเขาต้องสังเวยชีวิตเพื่อผลประโยชน์เหล่านั้นเหตุการณ์ในครั้งนั้นไม่เพียงพรากผู้เป็นที่รัก แต่ยังจุดชนวนความแค้นที่ฝังลึกในใจเขา และกลายเป็นต้นเหตุของความบาดหมางระหว่างเขาและตระกูลหวังมาจนถึงทุกวันนี้“หยางมี่ซิน หากเจ้าเชื่อว่าแผนนี้จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น เจ้าสามารถเริ่มลงมือได้ทันที”มู่หรงเฟิงลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยอมรับแผนการนี้“แต่ข้าจะไม่ยอมให้ลู่เอ๋อร์ต้องเจ็บปวดเกินไปนัก ข้าจะหาทางพานางกลับมาหาข้าให้เร็วที่สุด”หยางมี่ซินรับคำด้วยรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยเล่ห์กล ราวกับกำลังนึกถึงแผนการที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจ“องค์ชายเพคะ หากพวกเขาระแวงกันจนหย่าร้าง นางก็จะเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว”แผนการอันมืดมนจึงได้เริ่มขึ้น ทิ้งให้มู่หรงเฟิงและหยางมี่ซินนั้นจมอยู
คำพูดของเสนาบดีไป๋ทำให้หวังจิ่นหรงต้องระงับโทสะที่กำลังเดือดพล่าน แม้ในใจจะยังเต็มไปด้วยความร้อนรนภายในห้องหนังสือของเสนาบดีไป๋เซียง เขากำลังเดินวนไปมาด้วยสีหน้าที่ดูว้าวุ่น ใบหน้าที่เคยสงบนิ่งของเขากลับเต็มไปด้วยความกังวล อุตส่าห์บอกให้บุตรเขยสงบใจ แต่ทว่าตอนนี้กลับเป็นเขาเองที่ร้อนใจสาเหตุนั้นมาจากหลักฐานปลอมที่ถูกส่งไปยังราชสำนัก กล่าวหาว่ากรมคลังที่เขาดูแลอยู่นั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งมอบอาวุธให้กับเผ่าต่างๆ ซึ่งเป็นศัตรูของแผ่นดินเช่นกัน“ข้าจะทำอย่างไรดี หลักฐานทั้งหมดพุ่งตรงมาที่กรมคลังซึ่งอยู่ในการดูแลของข้า ดูท่าว่าฝั่งนั้นคงต้องการจะกำจัดข้าด้วยเช่นกัน”หวังจิ่นหรงที่นั่งอยู่ตรงข้าม เขายังคงนิ่งเงียบ สายตาเรียบนิ่ง แต่แววตาของเขาบ่งบอกว่าเขานั้นกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก“ดูท่าว่าใครบางคนจงใจทำสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายท่านและตระกูลไป๋อย่างแน่นอน”“ข้าควรทำเช่นไรดี หากเรื่องนี้ลุกลามใหญ่โต ไม่เพียงแต่ข้าและคนในตระกูลไป๋จะต้องรับโทษ เกรงว่าตระกูลหวังของเจ้าก็อาจถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”“นี่คือแผนของใครบางคน... และข้ามั่นใจว่าคนผู้นั้นคงไม่พ้นองค์ชายใหญ่”ไป๋เซียงชะงัก ดวง
ภายในท้องพระโรง เสียงกระซิบกระซาบของเหล่าขุนนางดังแว่วไปทั่วเมื่อหวังจิ่นหรงยืนเด่นอยู่กลางห้อง ดวงตาสีทองของเขาจ้องตรงไปยังพระพักตร์ของฮ่องเต้ด้วยความแน่วแน่ด้านหนึ่งของท้องพระโรง องค์ชายใหญ่ มู่หรงเฟิงนั้นนั่งอยู่ด้วยท่าทีที่ดูสุขุม แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังเสียเหลือเกินข้าจะคอยดู ว่าตระกูลหวังผู้เห็นแก่ตัวจะทำเช่นไร หวังจิ่นหรงจะต้องปล่อยมือลู่เอ๋อร์อย่างแน่นอน และเมื่อนั้น ข้าจะช่วยให้นางพ้นผิด และลู่เอ๋อร์ก็จะกลับมาอยู่กับข้าในท้ายที่สุดหวังจิ่นหรงปรายตามององค์ชายใหญ่เพียงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ด้วยเสียงที่หนักแน่น“ทูลฝ่าบาท เรื่องนี้มิเพียงแต่ไม่สมเหตุสมผล หากยังเต็มไปด้วยเงื่อนงำที่ต้องพิสูจน์ ฮูหยินของข้านั้นถูกกล่าวหาว่าเป้นกบฏ แต่นางมิเคยออกไปนอกเมืองหลิงเสวี่ยเลยตั้งแต่เข้ามาอยู่ในจวนตระกูลหวัง มีเพียงโรงน้ำชาที่ข้าซื้อให้ในชื่อของนางพียงเท่านั้น ที่นางจะออกไปเพื่อดูแลกิจการ”“แต่โรงน้ำชาอาจจะเป็นเพียงแหล่งซ่องสุมหรือสถานที่ซื้อขายเพื่อบังหน้าก็ได้ ใครจะไปรู้เล่า? สตรีในห้องหอเหตุใดจึงทำตัวเหมือนบุรุษเช่นนั้นด้วย มันผิดวิสัยของสตรี!”เสี
“ก็เพราะฮูหยินเอกของเขาเป็นลูกสาวของเสนาบดีไป๋อย่างไรเล่า แถมยังมีศักดิ์เป็นหลานสาวของไทเฮา หากไม่ใช่เพราะไทเฮาและฮองเฮาที่คอยสนับสนุนตระกูลหวังมาโดยตลอด ป่านนี้เรื่องก็คงจบไปแล้ว”องค์ชายใหญ่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ พลางหลับตาเพื่อครุ่นคิด“แต่เรื่องทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากสิ่งที่ท่านทำขึ้นมาเพราะความขุ่นเคืองในใจที่มีต่อหวังจิ่นหรงและบุตรสาวของท่าน ท่านคิดหรือว่าเรื่องนี้จะจบลงง่ายๆ?รุ้ไหมว่าข้าต้องทนเจ็บปวดขนาดไหนที่เห็นลู่เอ๋อร์ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏเพียงเพื่อแผนการของพวกเรา หากความจริงถูกเปิดเผยว่าเป็นแผนของท่านและคนที่ทำหลักฐานปลอมขึ้นมาคือบุตรสาวของท่าน คนที่จะรับโทษก่อนคือพวกเราทั้งคู่”“องค์ชายใหญ่ กระหม่อมเพียงต้องการแก้แค้นแทนบุตรสาวของกระหม่อมที่ถูกหวังจิ่นหรงหักหน้าต่อธารกำนัลเท่านั้น กระหม่อมไม่อาจทนเห็นบุตรสาวถูกปฏิบัติเยี่ยงนี้ได้ โปรดเข้าใจหัวอกของคนที่เป็นบิดาด้วย หากบุตรสาวของกระหม่อมต้องการครอบครองทุกอย่างในตระกูลหวัง ต่อให้ยากสักแค่ไหน ข้าก็จะทำให้กับนาง”“หยางกั๋วกง ในเมื่อท่านเริ่มแผนการนี้แล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร เราต้องทำให้สำเร็จ ข้าจะไม่มีวันยอมให้แผนนี้ล้มเหลวเป็นอันข
ณ ตำหนักขององค์ชายใหญ่ แม้เวรยามจะแน่นหนามากแค่ไหน ทว่าในความมืดมิด เงาร่างหนึ่งเคลื่อนไหวไปมาบนกำแพงสูงอย่างคล่องแคล่ว ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากฝีเท้าของเขาคนผู้นั้นสวมชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าด้วยผ้าคลุม ราวกับเงาที่แฝงตัวอยู่ในราตรีเงามืดกระโดดข้ามกำแพงไปมาโดยมิได้สนใจทหารยามที่มากหน้าหลายตาแต่อย่างใดแต่ในระหว่างที่สายตาสีทองใต้ผ้าปิดหน้ากากนั้นกำลังสำรวจไปทั่ว เขากลับต้องสะดุดตามกับสตรีผู้หนึ่งที่อยู่ในจวนแห่งนี้ฝ่ามือเรียวงามของหยางมี่ซินกำลังจัดแจงถ้วยชากุหลาบอย่างตั้งอกตั้งใจ ราวกับนางกำลังเพลิดเพลินกับการชงชา แต่สายตาของคนในเงามืดกลับมองลึกยิ่งกว่านั้น นางกำลังเทอะไรบางอย่างลงไปในถ้วยชาใบนั้น“หยางมี่ซิน สมควรตายยิ่งนัก!”เสียงคำรามเบาๆ ดังลอดผ่านผ้าคลุมหน้า คนชุดดำกำหมัดแน่น เตรียมที่จะลงมือ แต่เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งกลับดังขึ้นจากอีกฟากหนึ่งของห้อง เขาจึงต้องรีบถอยหนีไปหลบซ่อนตัวในมุมมืด“หยางมี่ซิน เจ้ากำลังทำสิ่งใดในตำหนักของข้ากัน?”หยางมี่ซินสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้าให้ดูสงบนิ่ง“องค์ชายใหญ่ ข้า...ข้าเพียงแต่กระหายน้ำ จึงมาชงชาดื่มแก้กระหายเท่านั้นเพคะ ไหนท่านเคยบอกข
"ท่านเริ่มก่อนนะ! ใครใช้ให้ท่านไม่สนใจข้ากัน! ข้าเองก็เข้าพิธีแต่งงานกับท่านเหมือนกัน แต่ท่านกลับมองข้าเป็นเพียงอากาศธาตุ!""แล้วข้าขอให้เจ้าเข้ามาในชีวิตของข้าหรือไม่? ข้าจะบอกให้เจ้ารู้เอาไว้ ข้าคือคนที่ขอให้ฝ่าบาทออกสมรสพระราชทานให้ข้ากับลู่เอ๋อร์ เพราะนางคือคนที่ข้าต้องการ ไม่ใช่เจ้า ที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมและทุกวิถีทางเพื่อบีบฝ่าบาทให้ออกโองการแต่งงาน แต่ถึงอย่างไร มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่า ข้าไม่เคยต้องการเจ้าเลยแม้แต่น้อย!"คำพูดนั้นเป็นเหมือนสายฟ้าฟาดเข้าใส่หยางมี่ซิน นางทรุดตัวลง น้ำตาไหลอาบแก้ม"ไม่จริง... มันไม่จริง...""คนที่ไม่ใช่ ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรมันก็ไม่ใช่ เจ้าเล่นกับไฟ และเจ้ารู้ใช่ไหมว่าไฟมันเผาผลาญทุกสิ่งอย่างไร วันนี้ข้าจะทำให้เจ้ารู้ซึ้งถึงผลของการกระทำของเจ้า!"หยางมี่ซินมองใบหน้าของหวังจิ่นหรงด้วยความสิ้นหวัง น้ำตาของนางพรั่งพรูราวกับจะล้างความเจ็บปวดในหัวใจ แต่ไม่มีคำพูดใดจะเปลี่ยนใจเขาได้"ท่านพี่... ได้โปรด..." นางพยายามอ้อนวอน แต่สายตาของเขาเยือกเย็นและปราศจากความเห็นใจ"เจ้าเลือกเส้นทางนี้เอง หยางมี่ซิน อย่าคาดหวังว่าข้าจะยอมปล่อยเจ้าไป"หวังจิ่นหรงคว
เขาถามพลางสวมผ้าคลุมให้นาง“ท่านพี่ ข้าก็แค่อยากเดินเล่นชมสวนยามเช้า”นางตอบพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ“คราวหน้าปลุกข้าด้วย ข้าไม่อยากให้เจ้าเดินคนเดียว มันหนาว”เขาพูดพร้อมกับจับข้อมือเล็กของนางไว้ และจุมพิตอ่ยางแผ่วเบาไม่นานหลังจากการฟื้นฟูและขยายกิจการ ไป๋ลู่กับหวังจิ่นหรงได้เดินทางไปตรวจดูโรงน้ำชาสาขาใหม่ที่ตั้งอยู่ในเมืองใหญ่ ผู้คนในเมืองต่างพากันแวะเวียนมาที่โรงน้ำชาแห่งนี้ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องชาและขนมหวานที่มีรสชาติเยี่ยมยอดไป๋ลู่เดินตรวจดูร้านอย่างตั้งใจ นางถือสมุดบันทึกเล่มเล็ก ๆ ในมือ พร้อมจดบันทึกข้อสังเกตต่าง ๆ“ท่านพี่ ข้าจะเดินไปดูห้องครัวเองนะเจ้าคะ”นางบอกด้วยรอยยิ้มหวังจิ่นหรงที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักรีบเดินเข้ามาหานาง“ไม่ได้ เดินมากเจ้าจะเหนื่อย” เขาพูดพร้อมกับดึงสมุดบันทึกจากมือนาง“ข้าจะดูแลให้เอง”ไป๋ลู่ยิ้มเจื่อนๆ ให้กับเขา“ท่านพี่ ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นเสียหน่อย”“ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแรงเพียงใด แต่สำหรับข้า เจ้ายังคงเป็นคนที่ข้าต้องปกป้องอยู่เสมอ”หวังจิ่นหรงพูดพร้อมกับมอบรอยยิ้มอบอุ่นให้กับไป๋ลู่ รอยยิ้มที่เป็นดั่งแสงสว่างให้กับนางในขณะที่ทั้งสองเดินตรวจดูโรงน้ำชา ลูกค้าคนหนึ
สำหรับองค์ชายใหญ่ ไป๋ลู่คือแสงสว่างที่ส่องผ่านช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิต นางไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่น้ำใจและการกระทำของนางกลับสร้างความทรงจำที่ฝังลึกในหัวใจของพระองค์ ความหวังที่จะมีนางอยู่เคียงข้างในฐานะผู้ปลอบโยนและเติมเต็มความว่างเปล่ากลายเป็นเป้าหมายของพระองค์ตลอดมาแต่จากนี้เขาคงจะไม่ได้เห็นความอ่อนโยนนี้อีกต่อไป มู่หรงเฟิงต้องทำใจที่ได้รับรู้ว่าหัวใจของนางไม่ได้มีเขาอีกต่อไป เพราะทั้งสี่ห้องหัวใจคงจะมีแต่หวังจิ่นหรงองค์ชายใหญ่เม้มริมฝีปากแน่น เขาหันหลังกลับไปอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอ่ย“ข้าจะพาพวกเจ้าออกจากป่านี้ให้ปลอดภัย แต่จำไว้ให้ดี หวังจิ่นหรง เรื่องของพวกเรา...เราจะต้องได้สะสางกันในภายหลังอย่างแน่นอน”“ข้าเองก็จะเฝ้ารอวันนั้น องค์ชาย”หวังจิ่นหรงพูดพร้อมกับโอบเอวของไป๋ลู่ไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไร เขาจะไม่ยอมยกนางให้กับใคร และจะไม่ให้นางเป็นอันตรายเช่นนี้อีกท้ายที่สุด องค์ชายใหญ่มู่หรงเฉิงต้องยอมปล่อยมือจากไป๋ลู่และหวังจิ่นหรง เพราะนับตั้งแต่หลักฐานการวางแผนให้ร้ายไป๋ลู่และหวังจิ่นหรงถูกเปิดโปง ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้พุ่งตรงไปที่ตระกูลหยางและองค์ชายใหญ่เองหลักฐานเกี่ยวกับก
สำหรับมู่หรงเฉิง เหตุการณ์ในวันนั้นตอกย้ำความเชื่อของพระองค์ว่าตระกูลหวังมองข้ามชีวิตของพระองค์และพระมารดา พระองค์จึงสะสมความเคียดแค้นและน้อยใจมาตลอด“องค์ชายใหญ่ แต่ท่านเองก็เป็นสาเหตุที่ทำให้บิดาของข้าต้องตายเช่นกัน ท่านแกล้งยุยงให้ขุนนางกดดันบิดาของข้า จนเขาต้องยกทัพออกไปรบจนตัวตาย”หวังจิ่นหรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ขณะยืนประจันหน้ากับมู่หรงเฟิง“แต่ข้าไม่ได้โกรธแค้นท่านเลยสักนิด”คำพูดนั้นทำให้องค์ชายใหญ่ชะงัก ดวงตาของพระองค์แฝงไปด้วยความรู้สึกปั่นป่วนห้าปีก่อน องค์ชายใหญ่ได้วางแผนลับเพื่อบีบบังคับให้บิดาของหวังจิ่นหรง อดีตโหวผู้ยิ่งใหญ่ ออกศึกโดยตัดเสบียงส่งผลให้ต้องเสียชีวิตในสนามรบแม้ว่าจะคว้าชัยชนะกลับมาได้ แต่มารดาของหวังจิ่นหรง ซึ่งเป็นพระญาติห่างๆ ของฮองเฮา ก็ตรอมใจจนสิ้นลมตามไป ทิ้งบรรดาศักดิ์โหวไว้กับบุตรชายเพียงคนเดียวที่ในขณะนั้นมีอายุเพียงสิบเจ็ดปี"ไม่แค้นอันใดงั้นหรือ? ถ้าเจ้าไม่แค้น แล้วเจ้ามาพรากลู่เอ๋อร์ไปจากข้าทำไม!"มู่หรงเฟิงตะโกนด้วยความเดือดดาล "ข้ารักไป๋ลู่มานานแสนนาน ตั้งแต่นางยังเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กที่ตามบิดาเข้าวัง ข้าหวังจะยกตำแหน่งพระชายาให้นาง แ
ชายหนุ่มก้มลงไปดูดกลืนความอ่อนนุ่มนั้นจนเต็มปาก ขณะที่สองมือช้อนสะโพกของไป๋ลู่ขึ้นมา ตอนนี้ตัวตนของเขาอยู่ในร่างของนางทั้งหมด ยิ่งขยับ...ความเสียวซ่านก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นร่างของนางเริ่มเกร็งตัว ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับความสุขสมของเขาพุ่งถึงจุดสูงสุด“ฮึบ...อ่ะ อ๊า”เขากระแทกร่างเข้าไปอีกไม่กี่ครั้ง สายธารอุ่นร้อนก็ถูกปลดปล่อยมาทั้งหมด ร่างน้อยในอ้อมกอดก็อ่อนแรงลงทันทีเช่นกัน นิ้วมือของชายหนุ่มเกลี่ยเส้นผมยาวให้พ้นจากใบหน้านวลใส ก่อนจะจุมพิตอย่างดูดดื่มอีกครั้ง"ท่านพี่...ท่านสงสัยใครไหม คนที่ส่งมือสังหารมาไล่ล่าพวกเรา?" หลังจากเสร็จจากกิจกรรมรักแล้ว ไป่ลู่จึงเอยถามด้วยความสงสัย"นอกจากองค์ชายใหญ่ ข้านึกถึงผู้ใดไม่ออกอีกแล้ว""องค์ชายใหญ่มีเหตุผลใดกัน ถึงต้องการลอบสังหารพวกเรา""หากเจ้าอยากรู้ ข้าจะเล่าให้ฟัง...""เมื่อหลายปีก่อน ข้ายังเป็นเพียงเด็กหนุ่ม องค์ชายใหญ่มู่หรงเฟิงและมารดาของเขา ถูกบังคับให้ลี้ภัยมายังแดนเหนือ เนื่องจากการแย่งชิงอำนาจในราชสำนัก ตระกูลหวังในฐานะผู้ปกป้องแดนเหนือได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ ให้รับหน้าที่ปกป้ององค์ชายใหญ่และพระมารดาของเขา"หวังจิ่นหรงหยุดเล็กน้อย ก่อนจ
เสียงฝีเท้าของมือสังหารใกล้เข้ามาทุกขณะ หวังจิ่นหรงไม่รอช้า เขาดึงไป๋ลู่กระโดดลงสู่สายน้ำเบื้องล่าง น้ำเย็นจัดปะทะร่างของพวกเขาทันที แต่กระแสน้ำเชี่ยวกลับช่วยพัดพาทั้งสองห่างจากอันตรายเมื่อพวกเขาผุดขึ้นเหนือน้ำ หวังจิ่นหรงมองเห็นถ้ำที่อยู่ใกล้กับน้ำตก เขารีบพาไป๋ลู่ว่ายน้ำไปจนถึงปากถ้ำก่อนจะลากนางเข้าไปด้านในในความมืดของถ้ำ มีเพียงเสียงหอบหายใจและเสียงน้ำตกดังแว่วเข้ามา ทั้งสองต่างเหนื่อยล้า แต่แววตาของหวังจิ่นหรงยังคงเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น เขาเช็ดน้ำบนใบหน้าของไป๋ลู่อย่างเบามือ“ปลอดภัยแล้ว ลู่เอ๋อร์”“ท่านพี่ ท่านรู้ได้อย่างไร ว่าที่นี่มีถ้ำอยู่ด้านใน?” ไป๋ลู่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจหวังจิ่นหรงหันมายิ้มบางๆ ดวงตาสีทองของเขาทอประกายมั่นใจ “น้ำตกลักษณะนี้ แปดในสิบส่วนมักจะมีถ้ำอยู่ด้านหลัง ข้าที่เคยออกลาดตระเวนไปทั่วทุกสารทิศ ย่อมรู้เรื่องเช่นนี้ดี”ไป๋ลู่หัวเราะเบาๆ พลางมองเขาด้วยแววตาชื่นชม “ท่านพี่ของข้าช่างเก่งจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ท่านดูเหมือนจะรู้อย่างไม่มีที่ติเลย”หวังจิ่นหรงเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ “เจ้าเพิ่งรู้หรือ ว่าสามีของเจ้านั้นมีความสามารถเหน
“ข้าจะเป็นสามีที่ดีของเจ้า”คำตอบที่ได้รับคือนางประคองใบหน้าเขาเอาไว้และจุมพิตอย่างแผ่วเบา ลิ้นเล็กพยายามสัมผัสกับลิ้นของเขาเสื้อผ้าอาภรณ์ของสองฝ่ายนั้นถูกปลดเปลื้องออกไปจนเปลือยเปล่า หวังจิ่นหรงไล่รอยจูบลงมาที่ลำคอขาวเนียนและขบเม้มจนขึ้นเป็นรอยสีแดงดุจกุหลาบ มือคร้ามค่อยๆ กอบกุมปทุมถันหนึ่งคู่ซึ่งมีปลายยอดเกสรสีชมพูอ่อนเขาเกิดความกระหายจนเกินจะทานทนได้...“อื้ม”ชายหนุ่มตวัดลิ้นเสียยอดอกอย่างต่อเนื่อง จนร่างน้อยนั้นสั่นสะท้านไปทั้งร่างร่างกำยำของหวังจิ่นหรงทาบทับลงมาบนร่างของไป๋ลู่อีกครั้ง เขาจุมพิตนางอย่างเร่าร้อน มือข้างหนึ่งเค้นคลึงทรวงอกของนางไว้ อีกมือก็ได้เคลื่อนลงไปสู่เบื้องล่างนางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อนิ้วของเขาผ่านจุดอ่อนไหวเข้าไป แต่ไม่นานก็ต้องร้องครางออกมา สาวน้อยหอบหายใจ ขณะที่เขากลืนกินทรวงอกและกระตุ้นจุดอ่อนไหวไปพร้อมกันเมื่อหวังจิ่นหรงมาถึงจุดที่ไม่สามารถทานทนได้แล้ว เขาจึงประคองท่อนกายร้อนเคลื่อนเข้าสู่ใจกลางร่างของไป๋ลู่“ข้าเจ็บ นี่เป็นครั้งแรกของข้า”“แค่ชั่วครู่เท่านั้น ต่อไปจะไม่เจ็บแล้ว”ร่างกำยำค่อยๆ ขยับเอวทีละน้อย เขาทำแบบนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มสอดปร
แต่ยังไม่ทันจะได้ทำหน้าที่สามี องค์ชายใหญ่ก็หาเรื่องกดดันผ่านเหล่าขุนนางชั่ว ให้เขาต้องออกไปรบกับพวกเซวียนหยาตั้งแต่คืนแรกของชีวิตแต่งงาน แถมตลอดเวลาสามปีมานั้น องค์ชายใหญ่ยังพยายามส่งคนไปเป็นสายลับในจวนเพื่อหาทางแย่งชิงไป๋ลู่กลับไป จนเขาต้องใจร้ายกักขังหน่วงเหนี่ยวนางไว้ จนคนในจวนเข้าใจว่าเขาทอดทิ้งไป๋ลู่และมีท่าทีหมางเมินต่อนาง ในที่สุดก็จบลงที่…การกระโดดสระน้ำเพื่อฆ่าตัวตายของนางหลังจากที่รู้ข่าว หวังจิ่นหรงรีบกลับมาจากชายแดนทันที แต่เขาก็ไม่รู้จะเข้าหาคนที่รักมากอย่างไร พฤติกรรมปากไม่ตรงกับใจจึงเกิดขึ้นกับเขา จนมันทำให้ไป๋ลู่เข้าใจผิดไปข้าเขาไม่รักนาง"ข้าไม่อาจกลับไปแดนเหนือได้ หากไม่มีเจ้าอยู่เคียงข้าง ดอกเหมยแดงของท่านแม่คงคิดถึงเจ้ามาก"หวังจิ่นหรงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาสีทองของเขาสะท้อนความจริงใจที่ไป๋ลู่ไม่อาจหลบเลี่ยง"เหมยแดงต้นนั้น...ข้าชอบมันมาก"ไป๋ลู่ตอบเสียงเบา หัวใจของนางเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัว"หากเจ้าชอบ มันเป็นของเจ้า ไม่สิ ทุกอย่างที่ข้ามีล้วนเป็นของเจ้า แม้กระทั่งตัวข้าและใจของข้า ทุกสิ่งของข้าคือของเจ้า"เสียงทุ้มนั้นแลดูอบอุ่น แต่เปี่ยมด้วยพลังที่ไม่อาจต้
“ข้ายังไม่ได้ลงนามในหนังสือหย่า เจ้ายังคงเป็นภรรยาของข้า เป็นฮูหยินของข้า…”“แต่ว่า…”หวังจิ่นหรงจับมือของนางไว้แน่น ราวกับกลัวว่านางจะหลุดลอยไป“ไป๋ลู่…ข้าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเจ้า” “ท่านรู้ตัวไหมว่าท่านกำลังพูดอะไร? ข้าก็เป็นเพียงผู้หญิงในห้องหอธรรมดา ไม่มีค่าอะไรสำหรับท่าน ไม่สามารถทำให้หน้าที่การงานของท่านรุ่งเรืองได้” “เจ้าไม่ใช่เพียงแค่ฮูหยินที่ประดับจวนโหวของข้า แต่เจ้าเป็นดวงใจของข้า เจ้าเป็นคนเดียวที่อยู่ในใจของข้าตั้งแต่วันนั้น”พูดจบ เขาก็หยิบจี้หยกชิ้นหนึ่งออกมาจากสาปเสื้อ แสงแดดสะท้อนกับหยกสีเขียวสดใสที่มีลวดลายสลักประณีตไป๋ลู่เบิกตากว้าง ความทรงจำที่เลือนลางของร่างเดิมพลันกลับมา“นี่มัน… จี้หยกนี้…” “ใช่…มันเป็นของเจ้า ข้าเก็บมันไว้ตั้งแต่วันที่เราเจอกันครั้งแรก ใต้ต้นเหมยแดงต้นนั้น ข้ารู้ว่าเจ้าคือคนเดียวที่หัวใจของข้าต้องการ”น้ำตาของไป๋ลู่ไหลอาบแก้ม นางมองพู่หยกในมือของเขา สลับกับดวงตาสีทองคู่งามของเขา“ท่านคือพี่ชายคนนั้น” “คนผู้นั้นคือข้าเอง เจ้ากลับมาหาข้าเถอะ ลู่เอ๋อร์”ในความทรงจำของหวังจิ่นหรง ย้อนกลับไปในวัยเด็กเมื่อครอบครัวของเสนาบดีไป๋เซียงเดินทางมายังดินแด
“มีใครรู้ไหม ว่าลู่เอ๋อร์ไปไหน!” เสียงของเขาดังก้องไปทั่วจวนตระกูลไป๋ บ่าวไพร่พากันตัวสั่น ไม่กล้าตอบคำถามของเขาแต่ในหัวใจของหวังจิ่นหรง เขารู้ดีว่าหญิงสาวจะไปที่ไหน “แดนใต้…ต้องเป็นแดนใต้อย่างแน่นอน”ยามเย็นลมหนาวพัดแผ่ว สายลมที่เอื่อยเฉื่อยเหมือนดั่งอารมณ์ของหญิงสาวผู้หนึ่ง ไป๋ลู่เดินทอดน่องไปตามตรอกเล็กๆ ของเมืองท่านไห่เฟิง“คุณหนู เราพักที่นี่สักหน่อยดีไหมเจ้าคะ เราเดินทางมาไกลแล้ว”ผิงผิงพูดขณะที่ช่วยจัดสัมภาระลงจากหลังรถม้า ส่วนไป๋ลู่นั้นหลังลงจากรถม้านั้นกลับหยุดยืนริมทะเล มองผืนน้ำที่สะท้อนแสงจันทร์ ใบหน้าของนางมีรอยยิ้มบางๆ“นั่นสิ ผิงผิง เจ้าเหนื่อยหรือเปล่า? ข้าขอโทษนะ ที่พาเจ้ามาลำบากเช่นนี้”“คุณหนูอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเจ้าค่ะ ข้าเลือกติดตามท่านมาเอง” ผิงผิงตอบนายของตนด้วยความจริงใจไป๋ลู่ยิ้มให้ “ขอบใจเจ้ามากนะ ผิงผิง”ในโรงเตี๊ยม ไป๋ลู่มองถ้วยชาในมือที่กำลังส่งไอร้อนขึ้นมา นางชอบดื่มชาเป็นชีวิตจิตใจ แต่ตอนนี้จิตใจของหญิงสาวกลับมิค่อยแจ่มใสนักเมื่อได้ดื่มชาที่ตัวเองโปรดปราน“คุณหนู อีกสามวันเรือจะมา เราจะลงเรือลำนี้หรือไม่เจ้าคะ?”“ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะไป…”แต่ในส่วนลึกข