"หลังอาหารเย็น พี่เสี่ยวเหอไปที่บ้านข้าได้เลยนะคะ" ซูหวั่นยิ้มและลุกขึ้นจากเก้าอี้ ซูเหอรีบตอบกลับอย่างทันควัน "ได้สิ ข้ากินเสร็จแล้วจะไปทันที" มีงานให้ทำ และได้รับเงินค่าจ้างอีกด้วย ดังนั้นซูเหอจึงไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด ในความเห็นของนาง แม้ว่าซูหวั่นจะไม่จ่ายค่าจ้าง นางก็จะมาช่วยอยู่ดี "ได
ขณะที่ยุ่งอยู่กับงาน ทุกคนก็ฟังแม่เฒ่าเล่าเรื่องไปด้วย และพวกเขาก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด แม่เฒ่าได้ยินเรื่องราวนี้มาจากซูหวั่น แล้วจึงนำสิ่งที่นางเรียนรู้มาประยุกต์ใช้ นางเล่าได้น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก เมื่อประกอบกับน้ำเสียงที่เร่าร้อนและทรงพลังของแม่เฒ่า ดวงตาของทุกคนก็แดงก่ำด้
หลังจากได้ยินสิ่งที่แม่เฒ่าพูด ทุกคนก็เช็ดตาและออกจากตระกูลซู แล้วกลับไปนอนอย่างพึงพอใจ หลังจากนอนหลับไปเพียงสองชั่วโมง กลุ่มคนก็รีบมาที่ตระกูลซูเพื่อทำงานต่อไป ถังเสี่ยวจิ่วซื้อแป้งทั้งหมดที่จำเป็น ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาได้มาก เพราะยังไงเสียเงินรายได้ก็แบ่งกันห้าสิบห้าสิบอยู่แล้ว
พ่อเฒ่าซูกัดขนมไหว้พระจันทร์ และหรี่ตาลง "พอได้แล้ว เจ้าใหญ่ เจ้าสาม พวกเจ้าจะไปบ้านพ่อแม่ไม่ใช่เหรอ? รีบไปรีบกลับ อย่าล่าช้าเลย" นางจางพูดทันทีว่า "ท่านพ่อคะ ปีนี้เราจะไม่กลับไปคะ ตอนที่ฝูเอ๋อร์จัดงานแต่งเราได้พบกันแล้วค่ะ" หลังจากได้ยินแบบนั้น แม่เฒ่าเซี่ยงก็ค่อนข้างพอใจ จากนั้นจึงมองไปที่
โดยปกติแล้วคนแก่เฒ่าก็มักจะพูดแบบนี้ ด้วยกังวลว่าลูกสาวของตนจะใช้ชีวิตลำบาก เมื่อได้ยินแบบนั้น ซูหวั่นก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจขึ้นมาทันที คนในตระกูลหลี่ช่างแตกต่างจากคนเหล่านั้นในบ้านใหญ่เสียเหลือเกิน และทั้งสองแทบจะแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว แม่เฒ่าเซี่ยงแทบอยากจะให้ซูเหลียนเฉิงตายไป
ซูหวั่นเดินออกไปภายใต้แสงจันทร์ แต่ลิ่วหลางได้เปิดประตูออกมาก่อนหน้านางแล้ว และคนที่มาเรียกก็คือเหอฮวาเอ๋อร์นั่นเอง นางมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า ซึ่งมักจะทำให้ผู้คนรู้สึกอ่อนโยนแต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ อยู่เสมอ "อาหวั่น ท่านย่าให้เจ้าไปบนบ้านใหญ่เสียหน่อย บอกว่ามีเรื่องอยากจะพูดกับเจ้าน่
"นังหนูหวั่น เจ้านี่มันช่างไม่ไว้หน้าจริงๆ แค่นี้ก็ช่วยบ้านใหญ่ไม่ได้เลยหรือไง?" ซูหวั่นไม่สามารถให้ใครมาประณามนางว่าไม่ไว้หน้าแบบนี้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว หากต่อไปแม่เฒ่าเซี่ยงเที่ยวไปป่าวประกาศ และมันก็จะมีผลกระทบไปถึงชื่อเสียงของบ้านรองได้ นางกำลังคิดอย่างรวดเร็ว นางดึงซูลิ่วหลาง คุกเข่
รอให้สามารถอาศัยแสงจันทร์มองคนได้ชัดเจน ทั้งสองคนจึงรับรู้ได้ว่าเป็นใคร นั่นก็คือซูซื่อหลางจากบ้านสามนั่นเอง! "พี่สี่ ทำไมดึกดื่นจนป่านนี้ยังไม่นอน วิ่งออกมาทำไมกัน? ยังจะมานั่งยองๆไม่ให้สุ้มให้เสียงแบบนี้อีก อยากจะให้ใครตกใจตายหรือไงกัน?" ซูลิ่วหลางพูดพล่ามโดยไม่หยุดพักหายใจ ซูซื่อหลางก
มีกลิ่นที่คุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ได้ปะทะที่ปลายจมูก พร้อมกับลมหนาวที่พัดเอาความเย็นเข้ามา "แม่นางซู" เสียงที่คุ้นเคยทำให้นางตื่นตกใจ นางหันกลับมาและผลักไป๋หลี่ชิงออกไป พร้อมกับพูดด้วยใบหน้าที่เยือกเย็นราวกับน้ำแข็งว่า "ไป๋หลี่ชิง เป็นสุภาพบุรุษบนขื่อคาน มันสนุกมากเลยใช่ไหม?" ไป๋หลี่ชิงถอยห
"ซู่ซู่——" ลมหนาวพัดมากระทบกับใบหน้าของคนทั้งสอง จนรู้สึกเจ็บอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ กิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ริมทางแกว่งไปมาสองสามครั้ง ทำให้หิมะไหลตามใบไม้และตกลงสู่พื้นเสียงดังเปาะแปะ ซึ่งเมื่อตกลงไปในพื้นที่หิมะที่กว้างใหญ่แล้วนั้น มันก็ทำให้รู้สึกหนาวเหน็บเป็นอย่างมาก พ่อเฒ่าซูพูดคัดค้าน
เมื่อซูเหลียนเฉิงและซูลิ่วหลางเข้ามาในห้อง นางก็เอื้อมมือไปบีบเอวของซูฉางโซว่ อย่างดุเดือด แล้วพูดคำรุนแรงออกมาว่า "เจ้ามีสมองหรือเปล่า ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าต่อต้านบ้านรอง ทำไมไม่ฟังเลยล่ะ?" ซูฉางโซว่ไม่ได้จริงจังกับมัน และพูดด้วยรอยยิ้ม "เมียจ๋า เจ้าจะกลัวเขาไปทำไม แล้วอีกอย่าง พี่รองก็ไม่ไ
เมื่อซูหวั่นได้ยินดังนั้นจึงเดินออกไป หมูถูกแบ่งและแต่ละชิ้นมีขนาดเท่ากัน ขั้นแรกนางโรยเกลือบนเนื้อแต่ละชิ้นแล้วเกลี่ยให้ทั่วเนื้อแต่ละชิ้นแล้วใส่ในขวดเพื่อหมัก หลังจากผ่านไปสองสามวันก็สามารถนำไปแขวนบนฟืนและรมควันได้ หมูและเศษหมูหนักประมาณหนึ่งร้อยกิโลกรัม ซูหวั่นเก็บไว้ยี่สิบห้ากิโลกรัม
แม่เฒ่าเซี่ยงได้ยินนางพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของนางก็อ่อนลง นางกังวลและพูดว่า "ฉางอานอายุมากขึ้นแล้ว เขาควรจะหาภรรยาหลังจากการสอบในฤดูใบไม้ผลิ ตราบใดที่เขามีชื่อเสียงในซิ่วไฉ ผู้หญิงที่สูงศักดิ์พวกนั้น เขาก็เลือกได้ตามใจชอบไม่ใช่หรือ?" นางจางแอบพึมพำอยู่ในใจว่าสตรีผู้สูงศักดิ์ทุกคนต้องการแต่ง
ซูซานหลางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "ตอนแรกท่านป้าไม่เห็นด้วย แต่ต่อมานางก็ผ่อนคลายเมื่อได้ยินว่าครอบครัวมีวิธีที่จะให้พี่รองกลายเป็นซิ่วไฉได้" ที่แท้ก็เพราะแบบนี้นี่เอง รายชื่อที่จะเข้าสอบซิ่วไฉเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก นอกจากนี้ ซูเอ้อหลางยังอยู่ในคุกซึ่งเทียบเท่ากับการสิ้นสุดอาชีพการงานของเข
"เจ้ามาที่นี่ทำไม?" ซูหวั่นถาม โดยปล่อยให้คนเสิร์ฟน้ำชา ไม่ใช่ว่านางแปลกใจ แต่หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งที่แล้ว แม่เฒ่าเซี่ยงและพวกเขาก็เข้าหน้ากันไม่ติด และไม่มีใครกลับมาที่บ้านหลักอีก ควรจะห้ามไว้ชัดแจ้งแล้ว เมื่อซูซานหลางมาแล้วแบบนี้ นี่เขาได้รับคำสั่งมาหรือมาเองกันแน่? ซูซานหลางกระแ
"ไม่มีค่ะ ท่านยาย ข้ายังไม่ได้พิจารณาเรื่องเหล่านี้เลยเสียด้วยซ้ำ" หลายคนเห็นซูหวั่นหน้าตาแดงก่ำ และหัวเราะออกมาดังๆ หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ได้ยินเสี่ยวอาหลีหัวเราะอีกครั้งบนเปล น้ำเสียงของทารกแตกต่างจากเสียงของคนทั่วไปซึ่งทำให้ผู้คนมีความสุขเป็นพิเศษ "ดูสิ เสี่ยวอาหลีของเราก็เห็นด้วยกับส
แม่เฒ่าเซี่ยงสะดุ้ง ตบหน้าอกของนางแล้วพูดว่า "เจ้าจะไล่ข้าออกไปเหรอ? อย่าลืมว่าข้าเป็นแม่ของเจ้านะ!" "ใช่!" ซูเหลียนเฉิงผลักนางออกไป "ถ้าท่านคิดว่าท่านเป็นแม่ของข้าจริงๆ ก็รีบออกไป อย่าให้ข้าต้องเป็นฝ่ายไล่ตะเพิดออกไป!" นางจางพูดอย่างกระตือรือร้น พยายามโน้มน้าว "น้องรอง..." ดวงตาของนางเห