บทที่สอง
ภรรยาผู้น่าสงสาร (เหรอ?)
วันรุ่งขึ้น ซูเมิ่งได้รับข่าวใหญ่ที่ทำเอาช็อก มิใช่สิภาษาของคนที่นี่คงเรียกว่าตื่นตะลึงต้อนรับยามเช้า จิวซือบ่าวสาวใช้ของนางที่ติดตามมาตั้งแต่จากบ้านนอกวิ่งหน้าตาแตกตื่นเข้ามาหานางเพื่อแจ้งข่าว
สามีที่ออกปากไล่นางเมื่อคืนบัดนี้ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้เข้าร่วมสงครามและขบวนกองทัพได้ออกเดินทางไปตั้งแต่ตอนเช้าตรู่
ยามอิ๋น [1] กระมังเห็นว่ามีคนบอกกันเช่นนั้น
เฮ้อ ท้ายที่สุดแล้วซูเมิ่งผู้เป็นภรรยาของบุรุษผู้นั้นก็รู้ข่าวเป็นคนสุดท้าย
ดียิ่งนัก!
ซูเมิ่งจมอยู่กับความคิดของตนเองทันที เพราะสถานการณ์เช่นนี้ราวกับสวรรค์ต้องการให้รางวัลแก่นาง แผนการต่างๆ ที่วาดฝันไว้ดูเป็นไปได้ในเวลาอันใกล้
ซูเมิ่งแทบอยากกระโดดตีอกชกอากาศด้วยความดีใจ ทว่านางเพียงทำได้แต่ในใจเท่านั้น เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่านางบ้าเอาได้
“ฮูหยิน อย่าเสียใจไปเลยนะเจ้าคะ นายท่านอาจเร่งรีบจนไม่มีเวลาชี้แจงด้วยตัวเอง”
“....”
ใบหน้านางแสดงอาการเศร้าสร้อยหรือ ซูเมิ่งหันมามองสาวใช้ผู้ภักดีของตนเองฉงน ทว่านางก็มิได้เอ่ยแก้ตัวอันใดออกไปเพราะในความเป็นจริงซูเมิ่งผู้เป็นภรรยาของบุรุษผู้นั้นสมควรรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
ขณะนี้นางกำลังนั่งเล่นอยู่ที่ศาลากลางน้ำของจวนตระกูลหยางอันเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนที่นี่ ซูเมิ่งเหลือบตามองไปข้างหน้าบังเอิญเห็นว่าที่ต้นเสาไม่ไกลมีสาวใช้ผู้หนึ่งยืนหลบมุมแอบดูพวกนางอยู่
ดูจากเครื่องแต่งกายเหมือนเป็นสาวใช้ของเรือนท่านแม่
ท่านแม่ในที่นี้คือหยางเซียง ฮูหยินใหญ่ของตระกูลหยางคนปัจจุบัน ซึ่งก็คือภรรยาของประมุขตระกูล หยางสือ บิดาของสามีนาง
ซูเมิ่งรู้ว่าหยางเซียงมิใช่มารดาที่แท้จริงของหยางเหวิน เป็นแม่เลี้ยงเพราะมารดาของชายหนุ่มเสียชีวิตไปนานแล้ว
นางส่งคนมาคอยสอดส่องความเคลื่อนไหวของลูกสะใภ้ทำอันใด
หรือเป็นคำสั่งของประมุขตระกูลที่ไม่ไว้ใจนางซึ่งเป็นคนของศัตรูให้อยู่ตัวคนเดียว
ไม่น่าใช่ หากเป็นเช่นนั้นจริงส่งทหารมากฝีมือมาติดตามนางโดยไม่ให้รู้ตัวมิดีกว่าหรือ
โอ๊ย มิรู้แล้ว ซูเมิ่งไม่อยากคิดเรื่องราวพวกนี้ให้ปวดหัว
พอนางรู้ว่ามีคนจับตามองเช่นนั้นซูเมิ่งจากที่ตอนแรกนั่งนิ่งยามได้ฟังข่าวของสามีนางเปลี่ยนเป็นฟุบหน้าลงกับสองมือตนเองแสร้งเป็นคร่ำครวญร้องไห้จนไหล่สั่น
“ฮึก ท่านพี่ใจร้ายยิ่ง”
“ฮูหยิน ฮึก อย่าร้องไห้ไปเลยเจ้าค่ะ”
“ฮึก ข้าเสียใจยิ่ง ท่านพี่มิเอ่ยบอกข้าแม้เพียงสักคำหนึ่ง”
“ฮึก คุณหนูของบ่าว”
จากนั้นสองนายบ่าวที่นั่งอยู่ในศาลาก็กอดกันกลม ในสายตาของคนภายนอกที่เดินผ่านมาเห็นหรือแม้กระทั่งคนที่แอบมองอยู่นั้น
ช่างเป็นภาพที่น่าสงสารยิ่ง
แต่งภรรยาเข้าจวนมาเพียงวันเดียวก็ทอดทิ้งออกไปรบเสียแล้ว
แถมเมื่อคืนเข้าหอบ่าวในจวนตระกูลหยางไม่มีใครไม่รู้ว่าฝ่ายชายนั้นเดินตึงตังออกมานอกห้องหอตั้งแต่ช่วงกลางคืน
“ข้ามิมีหน้าพบเจอผู้ใดแล้ว ฮึก จิวซือ”
“โถ่ คุณหนูของบ่าว”
สาวใช้ผู้มีอายุมากว่าเจ้านายของตนเองเพียงสองปียังอดหลั่งรินน้ำตาไม่ได้
ใครจะไปคิดว่าคนที่จวนแห่งนี้ล้วนมิต่างจากจวนตระกูลคุณหนู
ไยคุณหนูของนางจึงไร้วาสนาเช่นนี้
เกิดมาในตระกูลขุนนางสมควรมีชีวิตอย่างสุขสบาย ทว่ายังไม่ถึงห้าหนาวมารดาผู้เป็นฮูหยินรองตายลงพร้อมกับข้อหาคบชู้ หลังจากนั้นคุณหนูของนางก็มีชีวิตมิตายดีกว่ามีชีวิตอยู่
ถูกส่งให้ไปตรากตรำอยู่บ้านนอกเพียงลำพังตั้งแต่เด็ก
ล่าสุดคิดว่าบิดาของเจ้านายนางคิดได้ว่าตนเองทอดทิ้งบุตรีผู้นี้มานานขนาดไหนจึงเรียกกลับจวนที่เมืองหลวง
แต่ใครจะนึกว่าแท้จริงแล้วเจ้านายของนางเป็นเพียงบุตรีที่โดนสาดออกจากจวนเพียงเพื่อรักษาตระกูลซูเอาไว้
“ไปเถอะจิวซือ ตัวข้าผู้นี้หาได้มีหน้าออกมาเจอผู้ใดอีก.... ตั้งแต่นี้ต่อไปหากมิมีเรื่องสำคัญได้โปรดอย่าเข้ามารบกวนข้าเลย ฮึก”
“โถ่ คุณหนูของบ่าว”
คนที่บอกว่าตนเองเสียใจยิ่งนักอย่างซูเมิ่งลอบยกยิ้มภายใต้ฝ่ามือของตนเองก่อนลุกขึ้นจากที่นั่งมุ่งเดินลิ่วนำกลับเรือนของตนเองไปโดยทันที
ทิ้งไว้แต่เพียงบ่าวอีกคนที่ลอบฟังบทสนทนาอยู่ที่นางเองก็ยกยิ้มสะใจเช่นกัน เมื่อข่าวที่ตนเองกำลังเอาไปรายงานนั้นถือเป็นข่าวที่ดียิ่ง
ดูท่าพอตนรายงานไปปุบ เจ้านายตนเองอาจอารมณ์ดีถึงขนาดให้เบี้ยเป็นรางวัลก็เป็นได้
เพียงแค่คิด บ่าวตัวน้อยก็มือสั่นรอคอยรางวัลมิไหว นางจึงผละตัววิ่งกลับไปยังเรือนเจ้านายตนเองทันที
[1] ยามอิ๋น คือ 03.00 - 04.59 น.
ส่วนทางฝ่ายซูเมิ่งที่พอเดินออกห่างจากศาลากลางน้ำมาไม่ถึงสิบก้าว จากที่เป็นสตรีตัวน้อยผู้น่าสงสารก็ผันเปลี่ยนท่าทาง ปลดมือที่ปิดหน้าลง รอยยิ้มบนใบหน้าเผยออกมาราวกับคนอารมณ์แจ่มใสมากกว่าสตรีที่โดนสามีทิ้งจิวซือที่บนหน้าตนเองยังมีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนอยู่เดินตามจ้องมองเจ้านายตนเองตาปริบๆ จนเดินกันถึงเรือนหลังเล็กที่โดนแม่สามีสั่งให้ย้ายมาอยู่ที่นี่แทนเรือนหลังใหญ่ของลูกชายตนเองตั้งแต่เช้าจิวซือก็ยังตามอารมณ์เจ้านายตนเองไม่ทัน“อะ เอ่อ ฮูหยินของบ่าวยิ้มได้แล้วหรือเจ้าคะ”“หืม....คิก จิวซือเจ้าสมองช้ายิ่งนัก ตามข้ามาข้างในห้องก่อนเดี๋ยวข้าแถลงไขให้สมองน้อยๆ ของเจ้าเอง”“จะ เจ้าค่ะ”“ปิดประตูลงกลอนด้วย”“หืม เอ่อ แต่นี่ยังเช้าตรู่อยู่เลยนะเจ้าคะ”“เถอะน่า”“เจ้าค่ะ”จิวซือมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามานางคิดว่าคุณหนูของนางอาจเสียใจจนผีเข้าผีออก สับเปลี่ยนอารมณ์จนนางตามไม่ทันเสียแล้วแต่ไม่ว่าอย่างไรจิวซือก็จะอยู่รับใช้เจ้านายผู้นี้ของนางจนกว่าชีวิตน้อยนี้จะหาไม่แน่นอนฝ่ายซูเมิ่งพอบ่าวของตนเองเดินเข้ามานั่งรอรับคำสั่งของตนเองอย่างตั้งใจ หญิงสาวก็รีบชี้แจงตามแผนการที่สมองอันน้อยนิดนี้คิดออกมาได้ในเ
บทที่สามภรรยาเจอคนเป็นลมซูเมิ่งคาดว่าวันนี้น่าจะได้กลับจวนของตนเองเร็วกว่าปกติ เพราะวันนี้ผู้คนดูบางตากว่าทุกทีสงสัยอากาศร้อนอบอ้าวไม่มีลมพัดผ่านสักเท่าไหร่ ร้อนแบบมิใช่เพราะดวงอาทิตย์อย่างเดียว แต่คงเป็นเพราะความชื้นในอากาศเยอะจนเหงื่อบนร่างกายคนไม่ระเหย จึงสร้างความอึดอัดยิ่งนักเหมือนอากาศที่มักพบก่อนฝนจะตกผู้คนจึงพากันกลับบ้านหากเป็นไปได้กระมังซุเมิ่งเองก็มิอยากเปียกฝนเดี๋ยวเป็นไข้หวัดแล้วจะสร้างความยุ่งยากในอนาคตดังนั้นฝีเท้าสองข้างจึงตัดสินใจเบนออกจากเส้นทางหลักของตลาดเลี่ยงไปใช้อีกเส้นทางที่สามารถใช้เดินไปยังจวนตระกูลหยางได้เหมือนกันแต่ใกล้กว่าหากแต่ใครจะไปคิดว่าการเดินเลี่ยงมาใช้ถนนเส้นที่มิค่อยเป็นที่นิยมสัญจรของชาวบ้านที่นี่จะทำให้นางได้มาเจอกับบุรุษร่างอ้วนตัวใหญ่มองไกลๆ เหมือนบุรุษผู้นั้นนอนไร้สติอยู่บนพื้น ทว่านางเดินเข้าไปดูใกล้ๆ พบว่าบุรุษปริศนาผู้นั้นยังมิได้สลบเพียงแต่นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นคนเดียวซูเมิ่งเดินเข้าไปช่วยเหลือทันทีเมื่อเห็นคนกำลังต้องการความช่วยเหลือในที่เปลี่ยวไร้ผู้คนเช่นนี้“ท่านตาเจ้าคะ เป็นอันใดมากหรือไม่เจ้าคะ”“ชะ....ช่วย ด้วย ช่วยข้าด้ว
สามปีผ่านไปในหอลู่เหลียนอันเป็นสถานที่เปรียบเสมือนศูนย์รวมการค้าที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นเย่ ตั้งอยู่ในพื้นที่เมืองหลวงจึงนับเป็นสถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงของแคว้นด้วยเช่นกันเมื่อก่อนหอลู่เหลียนรู้จักกันในชื่อโรงรับจำนำลู่เหลียนทว่าในตอนนี้แปรผันไปแล้วเนื่องจากธุรกิจภายในโรงรับจำนำเติบโตอย่างรวดเร็ว รวงร้านที่อยู่ภายในโรงรับจำนำแทบเรียกได้ว่าขายดีลูกค้าเยอะแซงหน้าโรงรับจำนำฉะนั้นเพื่อความเหมาะสมจึงเปลี่ยนชื่อเป็นหอรวมการค้าที่ชื่อว่าหอลู่เหลียนแทนและหนึ่งในร้านค้าที่ประสบความสำเร็จมีลูกค้าแวะเวียนมาจำนวนมากทุกวันมิขาดสายคือร้านรักสุขภาพหลันฮวาที่มีเถ้าแก่เนี้ยโฉมงามปริศนาเป็นเจ้าของร้าน“ยินดีต้อนรับทุกท่านที่สนใจเข้าร่วมฟังแผนการดูแลสุขภาพประจำปีของพวกเราชาวหลันฮวา”ดรุณีรูปโฉมงดงามคนหนึ่งเดินย่างกายอันน่าลุ่มหลงลงมาจากบันไดท่ามกลางสายตาของลูกค้าเกือบสามสิบคนที่กำลังนั่งรอการปรากฏกายของนางสตรีผู้ที่มิได้มีโอกาสได้เห็นทุกวันแม่นางหลันฮวา เถ้าแก่เนี้ยคนงามของร้านรักสุขภาพแห่งนี้“สมาชิกที่ร้านเรายังคงได้รับสิทธิพิเศษเช่นเคย สินค้ามาใหม่และสิทธิในการจองแผนดูแลสุขภาพ ผู้ใดที่เป็นสม
บทที่สี่ภรรยากับหลานแม่สามี“วันนี้กลับมาเร็วยิ่งขอรับแม่นาง”เสียงผู้คุ้มหนุ่มทักทายซูเมิ่งในขณะที่นางเดินผ่านพวกเขาเข้าจวน“เจ้าค่ะ”ซูเมิ่งยิ้มแย้มเป็นมิตรให้พวกเขาราวกับการทักทายเช่นนี้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วสามปีแล้วกระมังที่นางเข้าออกจวนแห่งนี้โดยมิได้บอกใคร นางตีซี้กับผู้คุ้มกันทั้งสองจนนับว่าเป็นสหายผู้หวังดีต่อกันได้เลยกระมังซูเมิ่งเดินทอดน่องสบายอารมณ์ไปยังเรือนเล็กของตนเองที่อยู่แทบจะท้ายจวนอาณาเขตกว้างขว้างแห่งนี้นางมิเคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเลยสักนิดเวลาเดินเข้าไปในเรือนหลังน้อยของนางที่แม่สามีนางจัดให้เอาจริงนะ เรือนที่นี่ดูดีกว่าเรือนแต่ก่อนที่ตระกูลบ้านเกิดของนางจัดให้อีกด้วยซ้ำไปตอนแรกที่นางมาอยู่ร่างในมิตินี้คือจวนหลังเก่าที่บ้านนอกห่างไกลความเจริญเก่าขนาดนางคิดว่าอีกไม่ถึงปีมันคงพังถล่มลงมากระมังส่วนตอนที่ย้ายไปอยู่เมืองหลวงประมาณสองสัปดาห์ได้ เรือนนั้นก็มิต่างจากเรือนคนใช้คนหนึ่งช่างน่าขันยิ่งชีวิตซูเมิ่งในชาตินี้“เปิดประตูบัดเดี๋ย
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นอย่างนั้นรึ”ใบหน้าซีดเซียวของเจ้าของเรือนโผล่ออกมาจากม่านมุ้งล้อมรอบเตียงนอนผมกระเซอะกระเซิงราวกับเพิ่งตื่นจากการนอนหลับใหล“อะ อ้าว ที่แท้พี่หญิงก็มิสบายจริงอย่างที่นังบ่าวชั้นต่ำพูด”แม้ว่าการเห็นเจ้าของเรือนนั่งหน้าซีดอยู่เป็นเตียงจะมิใช่สิ่งที่นางคาดคิดเอาไว้ก็ตาม ทว่าแล้วอย่างไรคนที่ตระกูลหยางล้วนรู้ดีแก่ใจว่าแม้ฐานะภายนอกจะเป็นถึงภรรยาของทายาทสืบทอดผู้นำตระกูลแต่นางเป็นภรรยาตัวประกันของตระกูลศัตรูที่ หยางเหวินเพียงต้องการแต่งนางเข้ามาเพื่อแก้แค้นตระกูลซูเท่านั้นหากไม่มีเหตุผลข้อนี้คงไม่มีใครในตระกูลยอมรับสะใภ้ผู้นี้เป็นแน่นางนี่สิเป็นว่าที่ภรรยาของท่านพี่หยางเหวินที่มารดาของฝ่ายชายหมายมั่นให้แต่งเข้ามาอย่างแท้จริงเนื่องจากเมื่อวานท่านป้าแจ้งข่าวดีแก่นางว่าอีกไม่เกินสามวันกองทัพของท่านพี่หยางเหวินจะเคลื่อนพลมาถึงเมืองหลวงพร้อมกับชัยชนะแสนยิ่งใหญ่วันนี้ถือเป็นโอกาสดียิ่งนักที่นางจะมาแสดงตัวตนให้สตรีในเรือนแห่งนี้รู้ว่านางแท้จริงแล้วคือใครกันแน่ลี่เฉี่ยวยืนกอดอกอยู่กลางเรือนอันแสนคับแคบแห่งนี้จ้องมองเจ้าของเรือนที่ยังไม่รีบลุกขึ้นมาต้อนรับแขกอย่างนางอี
บทที่ห้าภรรยากับสามีอารมณ์ร้ายเพร้ง!ภายในเรือนหลังน้อยท้ายจวนตระกูลหยางหากเป็นปกติมักได้ยินเสียงนกร้องหรือไม่ก็เสียงแมลงทักทายกันท่ามกลางความเงียบสงบทว่าวันนี้สองนายบ่าวของเรือนวันนี้ที่คนเป็นบ่าวสาวใช้กำลังนั่งปักผ้า ส่วนคนเป็นเจ้านายกำลังนั่งขีดเขียนตัวหนังสือลงบนกระดาษอยู่บนเตียงนอนตนเองต่างหันมองหน้ากันขวับเมื่อได้เสียงของหนักตกกระแทกพื้นเป็นระยะๆเสียงดังมาจากพื้นที่อื่นในจวนอันห่างไกลจากเรือนของนางนี่ขนาดไกลขนาดนี้ยังได้ยินเสียงนั้น“ฮูหยินได้ยินเหมือนที่บ่าวได้ยินใช่ไหมเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับ “แต่ช่างเถอะเป็นเรื่องของพวกเขามิเกี่ยวกับพวกเรา”“เจ้าค่ะ”เพร้ง!สองนายบ่าวสบตากันโดยมิได้นัดหมายอีกรอบ ทว่าหนนี้มีหลายเสียงดังต่อเนื่องเข้ามาในสถานที่แสนสงบสุขแห่งนี้“เจ้าออกไปดูหน่อยก็แล้วกัน”“ได้เจ้าค่ะ”ใช้เวลาไม่นานจิวซือก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาในเรือน ท่าทีของหญิงสาวดูตื่นตระหนกราวกับเพิ่งไปเห็นบางสิ่งที่น่าหวาดกลัวมา“ฮะ ฮูหยินเจ้าคะ คะ คือ โอ๊ย...” อยู่ดีดีจิวซือก็ติดอ่างพูดจาไม่รู้เรื่องขึ้นมากระทันหัน นางจึงตบปากตนเองไปหลายทีเพื่อตั้งสติ“ใจเย็น ค่อยๆ พูดก็ได้ข้าหาได้
ปึง!ท้ายที่สุดเมื่อมือทั้งสองของเขามิว่างเพราะต้องคอยจับยึดสตรีที่เขาแบกอยู่บนบ่านั้นที่ช่างไม่รู้จักอยู่นิ่งเฉย บอกให้เงียบนางก็หุบปากร้องนั่นแหละ ทว่าบอกให้หยุดดิ้นเพราะเดี๋ยวตกไปไยนางจึงมิหยุดดิ้นเสียทีเหอะ รู้หรือไม่อาการขัดใจยามที่เขาอุ้มนางเช่นนี้มันยิ่งกระตุ้นโทสะในอกของเขาให้มันจวนระเบิดออกมายิ่งนักขณะเดินลอดผ่านซุ้มประตูในเรือนห้องนอน ด้วยเพราะเขาเป็นคนตัวสูงมากกว่ามาตรฐานบุรุษทั่วไปฉะนั้นจึงใช้อีกมือคอยบังไว้เหนือร่างนางอีกทีเพราะกลัวกระแทกโดนคานข้างบนสุดท้ายก็เดินเข้ามาในห้องนอนได้อย่างปลอดภัยสักทีตุ้บไม่รอช้าหยางเหวินก็โยนนางลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนฟูกเตียงนอนทันทีร่างเล็กที่บัดนี้เดือดดาลอัดอั้นมิแพ้ชายหนุ่มรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากเตียง“ห้ามออกจากห้องนี้เด็ดขาด นี่คือคำสั่ง!”คนโดนสั่งตีสีหน้าปั้นปึงใส่เขาขณะจ้องมองเขม็งมา“ข้าว่าเราสองคนไว้ค่อยคุยกันตอนอารมณ์เย็นกว่านี้ดีหรือไม่เจ้าคะ”“ไม่ได้ ข้ารอมานานเกินไปแล้ว”“รออันใด เป็นข้าผู้เป็นภรรยาที่ต้องรอสามีอยู่ที่จวนมิใช่หรือเจ้าคะ”หยางเหวินเหมือนได้ยินเสียงเหอะจากนางแม้ว่าอีกฝ่ายจะมิได้ทำก็ตาม“เจ้าอยู่ที่นี่ในฐ
บทที่หกภรรยาอยากออกนอกจวนตาย ตาย ตาย ตั้งแต่หยางเหวินกลับมาที่จวน นี่ก็ปาเข้าไปสามวันแล้วกระมังที่ซูเมิ่งไม่สามารถปลีกตัวออกจากจวนไปดูงานที่ร้านหลันฮวาของนางได้อย่าว่าแต่ให้นำม้วนเอกสารออกมาตรวจสอบอย่างที่ทำทุกทีในเรือนนอนหลังเล็กของตนยังมิสามารถทำได้เลยด้วยซ้ำหยางซีผิงมิคิดเลยว่าสามีของนางจะเป็นคนติดจวนขนาดนี้สามวันนี้มิว่าจะเป็นมื้อเช้ามื้อกลางวันมือเย็นนางล้วนต้องนั่งกินข้าวสำรับเดียวกับเขา กินพร้อมเขาช่วงกลางวันหยางเหวินก็มักหยิบหนังสือมานั่งอ่านในเรือน บางครั้งเขาก็มักใจตรงกับนางอยากเปลี่ยนสถานที่อ่านหนังสือจึงเดินไปอ่านที่ศาลากลางน้ำบ้าง สวนดอกไม้บ้างจนซูเมิ่งรู้สึกคุ้นชินกับการที่ต่างคนต่างทำงานของตนเองโดยมีเขานั่งอ่านหนังสือของตนเองไปส่วนนางก็นั่งปักผ้า ร้อยดอกไม้ของนางไปโดยไม่รู้ตัวชีวิตสงบสุขดียิ่ง นางชื่นชอบบรรยากาศเช่นนี้มิน้อยเพราะชายหนุ่มเป็นคนพูดน้อย วัน ๆ เอาแต่จ้องมองนางด้วยแววตาเย็นชา แต่มิสร้างเรื่องเดือดร้อนอันใดแก่นางหากไม่ติดที่ว่านางผู้เป็นเถ้าแก่ร้านมีหน้าที่รับผิดชอบต้องไปตรวจสอบร้านอย่างน้อยก็สามวันหนหนึ่งเผื่อเกิดปัญหาใดจะได้แก้ไขได้ทันเวลา แต่เวลาน
บทส่งท้ายและวันนั้นทั้งวันหยางเหวินโดนพ่อตาของตนเองลากไปไหนมาไหนด้วย เรียกได้ว่าตัวติดกันจนซูเมิ่งนึกสงสัยว่าหรือสามีของนางจะเป็นลูกชายที่หายสาบสูญไปอีกคนหนึ่งของบิดาตนเองซูเมิ่งทั้งวันไม่ไปนั่งพูดคุยกับญาติพี่น้องร่วมสายเลือดในจวนก็เข้าไปนั่งเล่นกับน้องชายสุดแสนน่ารักที่มีอายุเพียงสิบเอ็ดหนาวเท่านั้นจวบจนตอนค่ำยามซวี [1] นั่นแหละนางจึงมีโอกาสขอตัวกลับเรือนของตนเองที่ครอบครัวนางเตรียมเอาไว้ให้เรือนหลังนี้ใหญ่ไม่แพ้หลังไหนๆ ในจวน การตกแต่งแม้จะเรียบง่ายแต่ของใช้ทุกชิ้นล้วนเป็นของใหม่ยังมิเคยได้ใช้ เป็นวัสถดุเนื้อดีทั้งนั้นเรือนส่วนตัวสภาพดีขนาดนี้นี่เป็นครั้งแรกของนางเลยกระมังที่ได้รับการดูแลเช่นนี้“ยิ้มขนาดนั้น เจ้าชอบเรือนหลังนี้มากเลยหรือ”เสียงของหยางเหวินบุรุษที่วันนี้หายหน้าหายตาไปจากซูเมิ่งทั้งวัน พร้อมกับอ้อมกอดจากคนตัวโตสวมโอบนางจากข้างหลัง“เจ้าค่ะข้าชอบที่นี่ แต่มิใช่แค่เรือนหลังนี้ แต่เป็นทุกคนที่นี่ด้วย พวกเขาต้อนรับข้าอย่างดียิ่ง”“เช่นนั้นหากเรากลับแคว้นไปข้าให้คนสร้างจวนของพวกเราสองคนแยกออกมาดีหรือไม่ ข้าได้รับพระราชทานที่ดินทำเลดีมิหยอก ข้ายกให้เจ้า จะให้สร้างจวนห
บทที่ยี่สิบภรรยากับครอบครัวที่แท้จริงณ แคว้นหูอี๋ฉีจวนตระกูลโจวจวนหลักตั้งอยู่ที่เมืองหลวง ตระกูลโจวเป็นตระกูลแม่ทัพตั้งแต่รุ่นทวดลงมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน หากเปรียบเทียบกับแคว้นเย่ ตระกูลโจวก็เปรียบได้ดั่งตระกูลหยางดีที่เวลานี้สองแคว้นสงบศึกเปลี่ยนมาสมานฉันท์กันหลายปีแล้ว มิเช่นนั้นสองทายาทตระกูลแม่ทัพคงเคยพบเจอกันบ้างในสงครามระหว่างแคว้นแม้ว่ารุ่นลูกอาจไม่เคยฟาดฟันกันแต่สำหรับรุ่นพ่อนั้นไม่แน่ มีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขตระกูลหยางกับประมุขตระกูลโจวแห่งสองแคว้นจะเคยปะทะฟาดฟันวัดฝีมือกันมาก่อนเวลานี้ฝ่ายซูเมิ่งรวมฝ่ายของพี่ชายและคนของสามีนางแยกย้ายจากขบวนสินค้าของตระกูลลู่มาระยะหนึ่งแล้วเป็นเพราะไปคนละทาง ตระกูลลู่ต้องการไปเมืองชายแดนเพื่อส่งสินค้า แต่พวกนางต้องการไปเมืองหลวงดังนั้นเวลานี้ซูเมิ่งจึงกำลังนั่งรถม้าคันของโจวเฉิงเค่ออยู่นั่นเองเห็นพี่ชายบอกว่าอีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามจะถึงจวนของเราพี่ชายใช้คำว่าของเราทำให้ซูเมิ่งรู้สึกซาบซึ้ง....ในที่สุดนางก็กำลังมีบ้านและครอบครัวเป็นของตนเองสักที“ถึงจวนตระกูลโจวแล้วขอรับคุณชาย”เนื่องจากในห้องโดยสารมีคนนั่งอยู่เพียงสองคนคือนางและพี่ชาย
บทที่สิบเก้าภรรยากับคำสารภาพ“คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้ขบวนของเราโชคดีได้หยุดพักที่สถานที่มิห่างไกลจากน้ำตกมากนัก คุณชายฝากถามว่าคุณหนูอยากชำระร่างกายหรือแช่น้ำหรือไม่เจ้าคะ เวลานี้ไม่มีคนใช้งานและเดี๋ยวให้คนไปกั้นเขตให้คุณหนูเจ้าค่ะ”“น้ำตกหรือ...อืม ก็ดีเหมือนกัน ข้าอยากแช่น้ำเย็นสักหน่อย มิได้อาบน้ำทุกวันดังเช่นปกติ รู้สึกเหนียวตัวยิ่งนัก”“เจ้าค่ะ เช่นนั้นเดี๋ยวบ่าวรีบไปเรียนคุณชายให้จัดกั้นพื้นที่ให้นะเจ้าคะ รอบ่าวสักครู่”“ได้ ขอบใจมากนะ”พอหลิ่นปินไปภายในกระโจมหลังน้อยก็เงียบลงทันตา ซูเมิ่งหันหลังกับไปเตรียมชุดและของใช้อาบน้ำที่จำเป็นด้วยตนเองที่ด้านหลัง เวลาผ่านไปไม่ถึงถ้วยน้ำชานางได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในกระโจมนาง“กลับมาเร็วยิ่ง คุณชายว่าอย่างไรบะ บ้าง....อ้าว ท่านพี่! อุ้บ!”คนที่เดินเข้ามากลับไม่ใช่สาวใช้อย่างที่ซูเมิ่งคิด แต่เป็น หยางเหวิน บุรุษร่างสูงใหญ่ที่พอก้าวเท้าเข้ามาในกระโจมก็ดูคับแคบขึ้นมาทันตา ชายหนุ่มคงรู้ว่าซูเมิ่งไม่อยากเจอหน้าอีกฝ่ายจึงก้าวเข้ามาประชิดตัวนางและใช้มือหนาปิดปากมิให้ส่งเสียงดังโวยวาย“อื้อ อ่านเอ้าอาไอ้อ่างไอ อ่อยอ้า!”“หากข้าปล่อยแล้วเจ้าจะเร
“นั่นเจ้าใช่หรือไม่ซูเมิ่ง เป็นเจ้า!” เสียงของหยางเหวิน บุรุษที่นางเคยรู้สึกปลอดภัยยามได้ยินเสียง ทว่าบัดนี้มิใช่อีกต่อไปแล้ว....“ข้าเอง พวกท่านกำลังทำสิ่งใด อย่าทำร้ายพวกเขานะ”ซูเมิ่งโดนจับได้นางจึงวิ่งออกไปขวางมิให้คนของหวางเหวินทำร้ายหรือมาต่อสู้กับคนของลู่เจ๋อทีแรกบุรุษทั้งสามเมื่อเห็นใบหน้าของสตรีที่ตามหามาหลายวันก็พากันดีใจ รอยยิ้มปรากฏบนหน้าไปตามๆ กัน ทว่าพอเห็นนางวิ่งเข้ามาไม่เกรงกลัวอันตรายหรือลูกหลงท่ามกลางการต่อสู้ก็ตกใจ หัวใจหล่นไปที่ตาตุ่มกันหมด“พวกเจ้าหยุดลงมือ!”คนของฝ่ายหยางเหวินหยุดต้อนผู้คุ้มของขบวนสินค้าทันทีเมื่อได้ยินคำสั่งของเจ้านาย ซึ่งตอนแรกพวกเขาก็เพียงได้รับคำสั่งให้ต้อนพวกนี้ให้จนมุมยอมศิโรราบเท่านั้นก็ตามซูเมิ่งบัดนี้ยืนอยู่กลางทางระหว่างขบวนสินค้าตระกูลลู่กับฝ่ายของพี่ชายและสามีนาง“น้องน้อยเจ้าอย่าเพิ่งวิ่งไปทั่วสิ มันอันตราย” เสียงของโจวเฉิงเค่อเต็มไปด้วยความวิตกกังวล นางมองเห็นบนใบหน้าของชายหนุ่มนั้นมีเหงื่อ แววตาดูตื่นตระหนกเกรงว่านางจะได้รับอันตรายจริงอย่างที่พี่ชายเอ่ย“แม่นางซูทางนั้นอันตรายเข้ามาหลบพักในรถม้าก่อนเถิด”ลู่เจ๋อและผู้คุ้มกันของเข
บทที่สิบแปดภรรยามิยอมอีกต่อไปแล้ว“ทำไมเจ้ามิตามนางไปด้วย ปล่อยให้นางซึ่งเป็นสตรีปีนขึ้นรถม้าขบวนพวกพ่อค้าจิตใจเจ้าเล่ห์แสนกลไปได้เยี่ยงไร”“ขะ ข้าน้อยคิดไม่ทัน คุณหนูบอกมิให้ข้าตามไป บอกให้ข้ามาส่งข่าวท่านว่าให้ตามนางได้ที่ขบวนสินค้าตระกูลลู่ขอรับ”“เจ้าเป็นคนที่แคว้นนี้มิใช่รึ รู้จักหรือไม่ตระกูลพ่อค้าลู่”“รู้แล้วอย่างไร ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้าด้วยรึ”“เหอะ”“เหอะ”โจวเฉิงเค่อและหยางเหวินทะเลาะกันอีกหนหากมีช่องว่างโอกาสให้แขวะใส่กันเวลานี้ขบวนรถม้าของทั้งโจวเฉิงเค่อและขบวนม้าของหยางเหวินเดินทางออกจากเมืองหลวงมาได้หลายชั่วยามแล้ว เดินทางติดต่อกันยาวนานระยะหนึ่งจนต้องหยุดพักให้ม้าพักกินอาหารกินน้ำก่อนส่วนคนที่เหลือก็มาดูแผนที่วางแผนหาทางตามหาขบวนขนสินค้าตระกูลลู่ตามเบาะแสที่ซูเมิ่งทิ้งไว้ให้“คนม้าของเรายังสืบมิได้ความอีกรึ ป่านนี้ยังมิมีใครมาถึงอีก” หยางเหวินเดินออกมาจากกระโจมอีกฝ่ายหลังจากรำคาญทั้งหน้าและน้ำเสียงจนทนไม่ไหวตัดสินใจเดินกับมาหาเบาะแสจากคนของตนดีกว่าพอยิ่งได้รู้ว่าซูเมิ่งไปกับตระกูลลู่ตระกูลที่เขาเคยให้คนไปสืบประวัติมาเพราะเขาเคยเห็นอีกฝ่ายทักทายเอ่ยสนทนาอย่างสนิทสนสน
“คุณหนูเจ้าคะ มิทราบว่าคุณหนูคิดถึงสิ่งใดอยู่ มีเรื่องใดเป็นกังวลหรือไม่ ระ....หรือบ่าวรับใช้ไม่ดีพอเจ้าคะ”“หะ หา เรียกข้าหรือ”“บ่าวดูแลไม่ดีตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ บอกให้บ่าวปรับปรุงแก้ไขได้หมดนะ ตะ แต่อย่าไล่บ่าวออกเลย”“ข้าจะไปไล่เจ้าได้ย่างไร ลุกขึ้นก่อน”ซูเมิ่งตื่นจากภวังค์ของตนเองมาก็เพราะตกใจที่อยู่ดีดีสาวใช้ที่ลู่เจ๋อส่งมาคอยช่วยอำนวยความสะดวกนางลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น บนดวงตากลมโตของนางมีน้ำตาเอ่อคลอราวกับกลัวว่าซูเมิ่งจะลงโทษเสียอย่างนั้น“ข้ามิได้ไม่พอใจเรื่องใด เพียงคิดถึงเรื่องอื่นไปเรื่อยเปื่อยก็เท่านั้น”“คิดถึงครอบครัวที่เมืองหลวงหรือเจ้าคะ”“อืม....” ซูเมิ่งหยุดคิดจากคำเรียกของอีกฝ่าย “มิรู้ว่าข้าสามารถเรียกพวกเขาว่าครอบครัวได้หรือไม่”เพราะคนที่เมื่อสักครู่ซูเมิ่งเผลอคิดถึงคือหยางเหวินน่ะสิ...มิใช่พี่ชายสายเลือดเดียวกันอย่างโจวเฉิงเค่อซูเมิ่งรู้สึกเหมือนนางทิ้งสิ่งสำคัญบางอย่างไป มันทำให้ในหัวใจนางรู้สึกเหมือนโดนคนขโมยเฉือนเนื้อบางส่วนทิ้งไประยะเวลาผ่านมาไม่กี่เดือนกับการอยู่ร่วมกันกับหยางเหวินในฐานะสามีภรรยามันช่างดูยาวนาน มีหลายครั้งที่นางเผลอผูกพันกับชายหนุ่ม
บทที่สิบเจ็ดภรรยาห่างไกลออกไปหากแต่ในขณะที่ซูเมิ่งกำลังนั่งรถม้าอยู่ข้างในห้องโดยสาร อยู่ดีดีรถม้าก็หยุดชะงักทันทีทันใดจนตัวนางเซถลาไปชนผนังรถดีที่ไม่ได้บาดเจ็บอันใด“ขออภัยขอรับคุณหนู ข้างหน้ามีทหารของทางการเพร่นพร่านเต็มไปหมด เกรงว่าจะเป็นคนของท่านแม่ทัพหยางเหวิน พวกเราจะทำอย่างไรดีขอรับคุณหนู”“!!”ไม่ได้นะ นางจะให้เขารู้ว่านางอยู่ที่นี่มิได้ ความผิดเดิมพวกเขายังมิทันได้คลายปมเลยสักนิด ความผิดกระทงใหม่เช่นนี้จะมีเพิ่มมิได้เกรงว่าหยางเหวินบุรุษที่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่เช่นนั้น เขาจะมิยอมให้นางไปพบบิดาที่แคว้นหูอี๋ฉีแคว้นหูอี๋ฉีเป็นแคว้นที่ซูเมิ่งจำได้ว่าชายหนุ่มเคยทำสงครามด้วยมาก่อนเป็นหนึ่งในแคว้นที่อีกฝ่ายเกลียดชังยิ่งนักแม้ว่าในปัจจุบันสองแคว้นนี้จะกลายเป็นแคว้นพันธมิตรกันแล้วก็ตามซูเมิ่งเปิดม่านออกไปดูภาพความวุ่นวายภายนอกรถม้านางคาดเดาว่าแม่ทัพหยางอาจรู้แล้วว่านางหนีออกมาจากจวนของเขาซูเมิ่งไม่อยากกลับไปถูกกักขังเขาไม่สิทธิ์!แต่เนื่องจากซูเมิ่งเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องฉะนั้นการที่หยางเหวินทำเช่นนั้นจึงมิสามารถไปเรียกร้องกับใครได้เลยยุคโบราณที่บุรุษเป็นใหญ่เช่นนี้ช่างไม่ย
ส่วนทางด้านสตรีที่เป็นฝ่ายหนีออกมาจากจวนตระกูล หยาง นางหลบหนีออกมาโดยการปลอมตัวเป็นบ่าวสาวใช้ที่ติดตามหลงจู๊ร้านค้านางมานั่นเองในจดหมายซูเมิ่งได้ทำการบอกแผนการทั้งหมดตั้งแต่...ให้หลิ่งซานขนม้วนเอกสารมาเป็นกองใหญ่ๆ ไม่สามารถขนคนเดียวหมด โดยให้นำสาวใช้ใบหน้าเป็นแผลเป็นเหวอะหวะจนต้องคลุมหน้าเพราะอายสายตาผู้อื่นติดตามด้วยหนึ่งคนตอนขาเข้าให้เปิดใบหน้าให้ผู้คุ้มกันเรือนดู และให้อธิบายว่าซูเมิ่งสงสารจึงรับบ่าวคนนี้เข้ามาทำงานในร้านตอนขาออกแน่นอนว่าซูเมิ่งต้องสลับตัวกับสาวใช้ผู้นั้นเพื่อลอบออกไปข้างนอกอย่างแน่นอนนางก็เพียงสร้างรอยแผลปลอมบนหน้าและคลุมผ้าคลุมศีรษะออกจากจวนมาอย่างแนบเนียนที่ด้านข้างรั้วตระกูลหยางถัดออกไปอีกสองซอยมีรถม้าจอดรอรับซูเมิ่งอยู่แล้วหนึ่งคันโดยคนขับรถม้าเป็นลูกน้องของพี่ชายที่พลัดพรากกันของนางนั่นเอง“คุณชายโจวเฉิงเค่อให้มารับตัวคุณหนูขอรับ รีบขึ้นมาเถอะขอรับ”“ได้สิ แล้วพี่ชายข้าไปที่ใดรึ คิดว่าจะมารับด้วยตัวเองเสียอีก”“คุณชายไปจัดการธุระด่วนก่อนขอรับ ฝากบอกว่ามิต้องห่วงเดี๋ยวคุณชายจะตามคุณหนูมาอย่างแน่นอน”“หืม ธุระอันใดหรือ ไหนบอกว่าท่านพ่อส่งข่าวมาว่ามิสบายมิ
“ท่านแม่ทัพขอรับ ท่านแม่ทัพ ได้ยินที่ข้าน้อยรายงานหรือไม่ขอรับ”หยางเหวินเหม่ออีกแล้ว เจ้านายเป็นเช่นนี้ลูกน้องเช่นเขาทำงานลำบากขึ้นทุกที หวงลู่ส่ายศีรษะอย่างทำใจในโชคชะตาตนเอง“ข้าได้ยิน นางต้องการให้นำหลงจู๊ไปพบนางที่เรือนใช่หรือไม่”“ขอรับ นายท่านมีความเห็นว่าเยี่ยงไรขอรับ”“หลงจู๊ของนางเป็นบุรุษหรือสตรี”“บุรุษขอรับ นามว่าหลิ่งซาน....”“ข้าไม่อนุญาต!”“เขามีลูกและภรรยาเรียบร้อยแล้วขอรับ”“ไยเจ้าไม่พูดให้จบตั้งแต่แรกหวงลู่”ก็เพราะท่านคัดค้านเสียงแข็งขึ้นก่อนน่ะสิ....หึหึ หวงลู่ได้แต่คิดในใจ“เช่นนั้น....อนุญาตหรือไม่ขอรับ”“ข้าจะห้ามทำได้เยี่ยงไร ในเมื่อร้านนั้นเป็นร้านที่นางรักยิ่ง แต่ให้บ่าวรับใช้เข้าไปอยู่เป็นเพื่อนระหว่างนางพูดคุยด้วยแล้วกัน”หวงลู่อยากจะบอกเหลือเกินว่าเมื่อสักครู่เป็นเจ้านายเองนั่นแหละที่หึงหวงภรรยาตนเองออกนอกหน้าเพียงรู้ว่าหลงจู๊เป็นผู้ชายใจบ้าคลั่งถึงเพียงนี้ไยปากเจ้านายของเขาจึงมิตรงกับใจตนเองเลยสักนิดสงสัยรอให้รู้ซึ้งถึงการสูญเสียก่อนกระมังจึงจะรู้สึก“ขอรับ แล้วเมื่อไหร่ท่านแม่ทัพจะกลับจวนขอรับ หรือจะนอนถาวรที่ค่ายทหารแห่งนี้ไปตลอด”“....”“ข้าน้อยถามม