สามปีผ่านไป
ในหอลู่เหลียนอันเป็นสถานที่เปรียบเสมือนศูนย์รวมการค้าที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นเย่ ตั้งอยู่ในพื้นที่เมืองหลวงจึงนับเป็นสถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงของแคว้นด้วยเช่นกัน
เมื่อก่อนหอลู่เหลียนรู้จักกันในชื่อโรงรับจำนำลู่เหลียนทว่าในตอนนี้แปรผันไปแล้วเนื่องจากธุรกิจภายในโรงรับจำนำเติบโตอย่างรวดเร็ว รวงร้านที่อยู่ภายในโรงรับจำนำแทบเรียกได้ว่าขายดีลูกค้าเยอะแซงหน้าโรงรับจำนำฉะนั้นเพื่อความเหมาะสมจึงเปลี่ยนชื่อเป็นหอรวมการค้าที่ชื่อว่าหอลู่เหลียนแทน
และหนึ่งในร้านค้าที่ประสบความสำเร็จมีลูกค้าแวะเวียนมาจำนวนมากทุกวันมิขาดสายคือร้านรักสุขภาพหลันฮวาที่มีเถ้าแก่เนี้ยโฉมงามปริศนาเป็นเจ้าของร้าน
“ยินดีต้อนรับทุกท่านที่สนใจเข้าร่วมฟังแผนการดูแลสุขภาพประจำปีของพวกเราชาวหลันฮวา”
ดรุณีรูปโฉมงดงามคนหนึ่งเดินย่างกายอันน่าลุ่มหลงลงมาจากบันไดท่ามกลางสายตาของลูกค้าเกือบสามสิบคนที่กำลังนั่งรอการปรากฏกายของนาง
สตรีผู้ที่มิได้มีโอกาสได้เห็นทุกวัน
แม่นางหลันฮวา เถ้าแก่เนี้ยคนงามของร้านรักสุขภาพแห่งนี้
“สมาชิกที่ร้านเรายังคงได้รับสิทธิพิเศษเช่นเคย สินค้ามาใหม่และสิทธิในการจองแผนดูแลสุขภาพ ผู้ใดที่เป็นสมาชิกจะได้มีสิทธิจองก่อนเจ้าค่ะ สามวันให้หลังทางเราจะเปิดขายสำหรับลูกค้าทั่วไป”
“เถ้าแก่เนี้ยคราวที่แล้วข้าเห็นว่าสินค้าหมดเกลี้ยง ทั้งที่ข้ามาซื้อสมุนไพรที่ช่วยลดความอ้วนตัวใหม่ตั้งแต่วันแรกที่เปิดขาย ร้านหลันฮวาสามารถผลิตเพิ่มได้หรือไม่ขอรับ ข้าและอีกหลายคนพร้อมซื้อ”
แม่นางหลันฮวาเจ้าของร้านแย้มยิ้มภายใต้ผ้าคลุมหน้าโปร่งแสง
“ต้องขออภัยเจ้าค่ะนายท่าน เนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ทำมีจำนวนจำกัด หากให้เพิ่มการผลิตเกรงว่าเป็นไปได้ยากยิ่ง หากให้ข้าแนะนำนายท่าน หากต้องการดูแลสุขภาพตนเองจริงๆ ให้สมัครสมาชิกกับทางร้านหลันฮวาเพราะสมาชิกทุกคนจะมีสิทธิพิเศษในการวางเงินจองสินค้าก่อนล่วงหน้า ร้านเราจะนับจำนวนคนสั่งจองและผลิตให้ตามความต้องการเจ้าค่ะ”
ฮือฮา
วันนี้เป็นวันที่ทางร้านหลันฮวาเปิดให้ลูกค้าเข้ามาฟังข่าวดีของทางร้าน โดยในหนึ่งปีร้านหลันฮวาจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจึงจัดให้ลูกค้าทั่วไปและลูกค้าประจำทั้งหลายสามารถเข้ามาฟังข่าวล่าสุดได้
ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าไยวิธีการทำการตลาดของร้านหลันฮวาจึงแปลกใหม่มิเคยมีใครทำเช่นนี้
เพราะเจ้าของร้านเป็นใครไปมิได้ ซูเมิ่งสตรีจากมิติสาวล้ำสมัยยุคสองพันนั่นเอง
การทำการตลาดของร้านนางเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ร้านค้าของนางเติบโตอย่างรวดเร็วจนถึงทุกวันนี้
ทั้งการทำสมาชิกกับลูกค้า
การเปิดนับยอดสั่งจองล่วงหน้าหรือที่สตรีในยุคนางเรียกว่าการพรีออเดอร์
นี่ยังไม่นับรวมการเพิ่มมูลค่าสินค้าโดยการทำให้สินค้ามีจำนวนจำกัด มิได้ซื้อกันอย่างง่ายดาย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากสินค้าที่ขายมิดีจริงใช้แล้วไม่เห็นผลลัพธ์ไม่ว่าการตลาดจะล้ำเลิศแค่ไหนก็ไม่มีทางเติบโตเช่นทุกวันนี้หรอก
มิติที่แล้วนางเป็นนักธุรกิจอายุน้อยร้อยล้านจากการทำคอร์สลดน้ำหนักแบบครบวงจรประสบความสำเร็จยิ่ง
ดังนั้นในมิตินี้นางจึงใช้ความรู้เดิมมาปรับใช้
ร้านนางเริ่มต้นจากการมีโชคโดยแท้
เมื่อสามปีก่อนซูเมิ่งเคยช่วยเหลือชายชราอ้วนซำผู้หนึ่ง ที่มารู้ในภายหลังว่าชายหนุ่มเป็นประมุขตระกูลลู่ผู้ร่ำรวยเป็นตระกูลที่เรียกได้ว่าค้าขายประสบความสำเร็จมาหลายชั่วอายุคน
ดังนั้นนางจึงสามารถเปิดร้านตนเองภายใต้โรงรับจำนำที่ยิ่งใหญ่ ทำเลทองโดยมิต้องจ่ายเงินค่าเช่าที่เลยสักเบี้ยเดียว
แต่ร้านอันแปลกใหม่ของนางจะมิประสบความสำเร็จขนาดนี้ได้เลยหากวันนั้นนางมิตัดสินใจเสนอตนเองช่วยชายชราผู้นั้นในการลดน้ำหนักเพื่อทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นโดยไม่พึ่งยาหมอ
นางถนัดวิธีลดน้ำหนักแบบยั่งยืนคือปรับการกินและออกกำลังช่วยด้วยอย่างเหมาะสม
ใช้เวลาเพียงสามเดือนชายชราก็สามารถลดน้ำหนักได้
มีคนที่หนึ่งย่อมมีคนที่สอง สาม สี่ ห้าตามมาเรื่อย ๆ
จนกระทั่งร้านของนางเป็นที่รู้จักเพราะเห็นผลลัพธ์ว่าคนที่นางช่วยลดน้ำหนักได้จริง สุขภาพดีขึ้นจริงนั่นเอง
บัดนี้ร้านของนางจึงเปิดเป็นร้านครบวงจรในการดูแลสุขภาพ โดยมีท่านหมอที่ปรึกษาประจำสองคน และเทรนเนอร์ที่นางเปลี่ยนชื่อให้คนยุคนี้เข้าใจง่ายเป็นผู้ฝึกอีกห้าคน เป็นทีมงานประจำร้านนางนั่นเอง
โดยในร้านมิเพียงเป็นสถานที่มาปรึกษาและร่วมแผนการดูแลสุขภาพเท่านั้น ที่ชั้นหนึ่งยังมีสินค้ามาวางขาย ส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการช่วยลดน้ำหนักดูแลสุขภาพ
เช่นเวลานี้ที่ลูกค้าใหม่ทั้งหลายกำลังดื่มชาในจอกของตนเองนั่นก็คือชาเขียว
ชาเขียวสามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญให้ร่างกายคนได้
“และชาที่พวกท่านกำลังดื่มนั้นสามารถช่วยทำให้ร่างกายพวกท่านลดไขมันได้เจ้าค่ะ แต่ต้องบอกก่อนว่ามิสามารถดื่มแต่ตัวนี้แล้วจะรูปร่างดีเลยทันที ต้องกินอาหารที่เหมาะสมและออกกำลังกายเป็นประจำด้วย หากใครสนใจสินค้าตัวใหม่นี้สามารถเลือกซื้อได้ภายในร้านเลยเจ้าค่ะ”
“วันนี้จบการพูดคุยเพียงเท่านี้ ขอบพระคุณลูกค้าใหม่ทุกท่านที่สนใจรักสุขภาพกับพวกเราชาวหลันฮวาเจ้าค่ะ”
ซูเมิ่งพูดจบก็เดินขึ้นบันไดกลับเข้าหลังร้านในทันที โดยไม่สนใจว่าเบื้องล่างร้านที่ชั้นหนึ่งผู้คนจะวุ่นวายแย่งชิงกันซื้อสินค้าตัวใหม่นี้ภายในร้านกันมากเท่าไหร่
“เถ้าแก่เนี้ยขอรับ จะกลับเลยหรือไม่”
ซูเมิ่งถอดผ้าคลุมหน้าออก
“กลับเลย ช่วงนี้ข้าต้องอยู่จวน อาจมิสามารถแวะเข้ามาดูได้บ่อยนัก หากมีเรื่องอันใดมิเกินกำลังเจ้าตัดสินใจแทนข้าไปได้เลยนะ หลิ่งซาน”
“ขอรับ”
ซูเมิ่งเดินเข้าไปผลัดเปลี่ยนชุดในห้องส่วนตัวของตนเองที่สร้างสำรองเอาไว้ชั้นบนสุดเผื่อเวลาที่นางต้องตรวจความเรียบร้อยของงานในร้านแล้วเลิกดึกก็สามารถค้างคืนที่นี่ไปเลย
อ้อ แม้ว่ายามปกติที่นางออกหน้าในฐานะเถ้าแก่เนี้ยของร้านนางจะปกปิดใบหน้าตนเองแต่ลับหลังต่อหน้าลูกน้องภายในร้านนางมิได้ปิดบังตัวตน
ความจริงนางก็มิอยากปกปิดฐานะที่แท้จริงของนางต่อลูกค้าคนอื่นหรอก ทว่าจำใจต้องทำเพราะกลัวเรื่องนี้แดงไปถึงคนตระกูลหยางแล้วอาจสร้างความเดือดร้อนตามมาภายหลัง
เอาไว้นางโดนเฉดหัวออกมาจากตระกูลนั้นก่อนแล้วกัน ซูเมิ่งสัญญาเลยว่านางจะเปิดเผยตัวตนอย่างจริงใจต่อลูกค้าทุกคนที่ไว้ใจร้านนาง
ก่อนกลับจวนนางมักเปลี่ยนเป็นชุดสีอ่อนเนื้อผ้าระดับปานกลางที่ทางท่านแม่ หมายถึงแม่สามีให้คนจัดส่งมาให้นางที่เรือนนั่นเอง
ภาพลักษณ์นางในสองหน้าที่ค่อนข้างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ซูเมิ่งในฐานะลูกสะใภ้ตระกูลหยางเป็นสตรีเรียบร้อย ว่าง่าย อีกทั้งยังสงบเสงี่ยมเจียมตัว ปกติมักเก็บตัวไม่พบปะผู้คนภายในจวนสักเท่าไหร่
ตรงกันข้าม
ซูเมิ่งในฐานะเถ้าแก่เนี้ยร้านรักสุขภาพหลันฮวานั้นคือโฉมงามผู้มีความมั่นใจและเด็ดขาดมิแพ้ชายชาตรีใด
ใช้เวลาไม่นานซูเมิ่งก็นั่งรถม้ามาลงที่ทางเข้าหลังจวนตระกูลหยาง ก่อนที่นางจะลงมาจากรถลากและเดินเข้าไปทางประตูด้านหลังอันเป็นทางเข้าออกประจำของนางนั่นเอง
“วันนี้กลับมาเร็วยิ่งขอรับแม่นาง”
................................................................
ไม่รู้ดำเนินเรื่องฉับไวไปไหมมมมมมม
กลัวรีดเบื่อกันนนนนน
ฝากคอมเมนต์และกดใจให้กันด้วยน้า
บทที่สี่ภรรยากับหลานแม่สามี“วันนี้กลับมาเร็วยิ่งขอรับแม่นาง”เสียงผู้คุ้มหนุ่มทักทายซูเมิ่งในขณะที่นางเดินผ่านพวกเขาเข้าจวน“เจ้าค่ะ”ซูเมิ่งยิ้มแย้มเป็นมิตรให้พวกเขาราวกับการทักทายเช่นนี้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วสามปีแล้วกระมังที่นางเข้าออกจวนแห่งนี้โดยมิได้บอกใคร นางตีซี้กับผู้คุ้มกันทั้งสองจนนับว่าเป็นสหายผู้หวังดีต่อกันได้เลยกระมังซูเมิ่งเดินทอดน่องสบายอารมณ์ไปยังเรือนเล็กของตนเองที่อยู่แทบจะท้ายจวนอาณาเขตกว้างขว้างแห่งนี้นางมิเคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเลยสักนิดเวลาเดินเข้าไปในเรือนหลังน้อยของนางที่แม่สามีนางจัดให้เอาจริงนะ เรือนที่นี่ดูดีกว่าเรือนแต่ก่อนที่ตระกูลบ้านเกิดของนางจัดให้อีกด้วยซ้ำไปตอนแรกที่นางมาอยู่ร่างในมิตินี้คือจวนหลังเก่าที่บ้านนอกห่างไกลความเจริญเก่าขนาดนางคิดว่าอีกไม่ถึงปีมันคงพังถล่มลงมากระมังส่วนตอนที่ย้ายไปอยู่เมืองหลวงประมาณสองสัปดาห์ได้ เรือนนั้นก็มิต่างจากเรือนคนใช้คนหนึ่งช่างน่าขันยิ่งชีวิตซูเมิ่งในชาตินี้“เปิดประตูบัดเดี๋ย
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นอย่างนั้นรึ”ใบหน้าซีดเซียวของเจ้าของเรือนโผล่ออกมาจากม่านมุ้งล้อมรอบเตียงนอนผมกระเซอะกระเซิงราวกับเพิ่งตื่นจากการนอนหลับใหล“อะ อ้าว ที่แท้พี่หญิงก็มิสบายจริงอย่างที่นังบ่าวชั้นต่ำพูด”แม้ว่าการเห็นเจ้าของเรือนนั่งหน้าซีดอยู่เป็นเตียงจะมิใช่สิ่งที่นางคาดคิดเอาไว้ก็ตาม ทว่าแล้วอย่างไรคนที่ตระกูลหยางล้วนรู้ดีแก่ใจว่าแม้ฐานะภายนอกจะเป็นถึงภรรยาของทายาทสืบทอดผู้นำตระกูลแต่นางเป็นภรรยาตัวประกันของตระกูลศัตรูที่ หยางเหวินเพียงต้องการแต่งนางเข้ามาเพื่อแก้แค้นตระกูลซูเท่านั้นหากไม่มีเหตุผลข้อนี้คงไม่มีใครในตระกูลยอมรับสะใภ้ผู้นี้เป็นแน่นางนี่สิเป็นว่าที่ภรรยาของท่านพี่หยางเหวินที่มารดาของฝ่ายชายหมายมั่นให้แต่งเข้ามาอย่างแท้จริงเนื่องจากเมื่อวานท่านป้าแจ้งข่าวดีแก่นางว่าอีกไม่เกินสามวันกองทัพของท่านพี่หยางเหวินจะเคลื่อนพลมาถึงเมืองหลวงพร้อมกับชัยชนะแสนยิ่งใหญ่วันนี้ถือเป็นโอกาสดียิ่งนักที่นางจะมาแสดงตัวตนให้สตรีในเรือนแห่งนี้รู้ว่านางแท้จริงแล้วคือใครกันแน่ลี่เฉี่ยวยืนกอดอกอยู่กลางเรือนอันแสนคับแคบแห่งนี้จ้องมองเจ้าของเรือนที่ยังไม่รีบลุกขึ้นมาต้อนรับแขกอย่างนางอี
บทที่ห้าภรรยากับสามีอารมณ์ร้ายเพร้ง!ภายในเรือนหลังน้อยท้ายจวนตระกูลหยางหากเป็นปกติมักได้ยินเสียงนกร้องหรือไม่ก็เสียงแมลงทักทายกันท่ามกลางความเงียบสงบทว่าวันนี้สองนายบ่าวของเรือนวันนี้ที่คนเป็นบ่าวสาวใช้กำลังนั่งปักผ้า ส่วนคนเป็นเจ้านายกำลังนั่งขีดเขียนตัวหนังสือลงบนกระดาษอยู่บนเตียงนอนตนเองต่างหันมองหน้ากันขวับเมื่อได้เสียงของหนักตกกระแทกพื้นเป็นระยะๆเสียงดังมาจากพื้นที่อื่นในจวนอันห่างไกลจากเรือนของนางนี่ขนาดไกลขนาดนี้ยังได้ยินเสียงนั้น“ฮูหยินได้ยินเหมือนที่บ่าวได้ยินใช่ไหมเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับ “แต่ช่างเถอะเป็นเรื่องของพวกเขามิเกี่ยวกับพวกเรา”“เจ้าค่ะ”เพร้ง!สองนายบ่าวสบตากันโดยมิได้นัดหมายอีกรอบ ทว่าหนนี้มีหลายเสียงดังต่อเนื่องเข้ามาในสถานที่แสนสงบสุขแห่งนี้“เจ้าออกไปดูหน่อยก็แล้วกัน”“ได้เจ้าค่ะ”ใช้เวลาไม่นานจิวซือก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาในเรือน ท่าทีของหญิงสาวดูตื่นตระหนกราวกับเพิ่งไปเห็นบางสิ่งที่น่าหวาดกลัวมา“ฮะ ฮูหยินเจ้าคะ คะ คือ โอ๊ย...” อยู่ดีดีจิวซือก็ติดอ่างพูดจาไม่รู้เรื่องขึ้นมากระทันหัน นางจึงตบปากตนเองไปหลายทีเพื่อตั้งสติ“ใจเย็น ค่อยๆ พูดก็ได้ข้าหาได้
ปึง!ท้ายที่สุดเมื่อมือทั้งสองของเขามิว่างเพราะต้องคอยจับยึดสตรีที่เขาแบกอยู่บนบ่านั้นที่ช่างไม่รู้จักอยู่นิ่งเฉย บอกให้เงียบนางก็หุบปากร้องนั่นแหละ ทว่าบอกให้หยุดดิ้นเพราะเดี๋ยวตกไปไยนางจึงมิหยุดดิ้นเสียทีเหอะ รู้หรือไม่อาการขัดใจยามที่เขาอุ้มนางเช่นนี้มันยิ่งกระตุ้นโทสะในอกของเขาให้มันจวนระเบิดออกมายิ่งนักขณะเดินลอดผ่านซุ้มประตูในเรือนห้องนอน ด้วยเพราะเขาเป็นคนตัวสูงมากกว่ามาตรฐานบุรุษทั่วไปฉะนั้นจึงใช้อีกมือคอยบังไว้เหนือร่างนางอีกทีเพราะกลัวกระแทกโดนคานข้างบนสุดท้ายก็เดินเข้ามาในห้องนอนได้อย่างปลอดภัยสักทีตุ้บไม่รอช้าหยางเหวินก็โยนนางลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนฟูกเตียงนอนทันทีร่างเล็กที่บัดนี้เดือดดาลอัดอั้นมิแพ้ชายหนุ่มรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากเตียง“ห้ามออกจากห้องนี้เด็ดขาด นี่คือคำสั่ง!”คนโดนสั่งตีสีหน้าปั้นปึงใส่เขาขณะจ้องมองเขม็งมา“ข้าว่าเราสองคนไว้ค่อยคุยกันตอนอารมณ์เย็นกว่านี้ดีหรือไม่เจ้าคะ”“ไม่ได้ ข้ารอมานานเกินไปแล้ว”“รออันใด เป็นข้าผู้เป็นภรรยาที่ต้องรอสามีอยู่ที่จวนมิใช่หรือเจ้าคะ”หยางเหวินเหมือนได้ยินเสียงเหอะจากนางแม้ว่าอีกฝ่ายจะมิได้ทำก็ตาม“เจ้าอยู่ที่นี่ในฐ
บทที่หกภรรยาอยากออกนอกจวนตาย ตาย ตาย ตั้งแต่หยางเหวินกลับมาที่จวน นี่ก็ปาเข้าไปสามวันแล้วกระมังที่ซูเมิ่งไม่สามารถปลีกตัวออกจากจวนไปดูงานที่ร้านหลันฮวาของนางได้อย่าว่าแต่ให้นำม้วนเอกสารออกมาตรวจสอบอย่างที่ทำทุกทีในเรือนนอนหลังเล็กของตนยังมิสามารถทำได้เลยด้วยซ้ำหยางซีผิงมิคิดเลยว่าสามีของนางจะเป็นคนติดจวนขนาดนี้สามวันนี้มิว่าจะเป็นมื้อเช้ามื้อกลางวันมือเย็นนางล้วนต้องนั่งกินข้าวสำรับเดียวกับเขา กินพร้อมเขาช่วงกลางวันหยางเหวินก็มักหยิบหนังสือมานั่งอ่านในเรือน บางครั้งเขาก็มักใจตรงกับนางอยากเปลี่ยนสถานที่อ่านหนังสือจึงเดินไปอ่านที่ศาลากลางน้ำบ้าง สวนดอกไม้บ้างจนซูเมิ่งรู้สึกคุ้นชินกับการที่ต่างคนต่างทำงานของตนเองโดยมีเขานั่งอ่านหนังสือของตนเองไปส่วนนางก็นั่งปักผ้า ร้อยดอกไม้ของนางไปโดยไม่รู้ตัวชีวิตสงบสุขดียิ่ง นางชื่นชอบบรรยากาศเช่นนี้มิน้อยเพราะชายหนุ่มเป็นคนพูดน้อย วัน ๆ เอาแต่จ้องมองนางด้วยแววตาเย็นชา แต่มิสร้างเรื่องเดือดร้อนอันใดแก่นางหากไม่ติดที่ว่านางผู้เป็นเถ้าแก่ร้านมีหน้าที่รับผิดชอบต้องไปตรวจสอบร้านอย่างน้อยก็สามวันหนหนึ่งเผื่อเกิดปัญหาใดจะได้แก้ไขได้ทันเวลา แต่เวลาน
“ท่านเหวินหยางต้องการไปเที่ยวที่ใดเจ้าคะ ให้คนคุมม้าไปส่งท่านก่อนดีหรือไม่ ธุระของข้ามิรีบร้อนอันใด”ซูเมิ่งไหวตัวทันแล้ว ตอนแรกนางมิอยากคิดเข้าข้างตนเองว่าพ่อสามีตัวดีคนนี้ของนางกำลังตามติดนาง มิใช่เรื่องบังเอิญตั้งแต่เขามักไปนั่งอ่านหนังสือที่เดียวกับนางทุกที่แล้วหยางเหวินกำลังจับตามองดูนางเขาต้องคิดว่านางเป็นสายลับจากตระกูลบ้านเกิดเป็นแน่ฉะนั้นหนนี้นางจึงถามให้เขาตอบก่อนจะได้มิต้องมาโมเมว่าจะไปที่เดียวกับนางอีก“ข้าก็มิรีบ ไปส่งเจ้าทำธุระก่อนเถิด สถานที่ของข้าอยู่ไกล เกรงใจคนคุมบ้างจะให้เขาเทียวไปเทียวมาก็ใช่เรื่อง”“อะ เอ่อ แต่ว่า....”คำอ้างของนางติดไว้ในลำคอเมื่อเห็นสายตาเย็นชาของอีกฝ่ายเหลือบมองมาเกรงว่าพูดไปจะมิต่างจากคุยกับกำแพงไร้ชีวิตน่ะสิดังนั้นซูเมิ่งจึงเปิดม่านออกไปด้านหน้าเพื่อบอกจุดหมายปลายทางของตนเองอย่างยอมจำนน“ไปหอรวมการค้าลู่เหลียน”ใช้เวลาไม่นานนางก็เดินนำบุรุษสองคน หนึ่งเจ้านายหนึ่งลูกน้องที่ล้วนเป็นชาติชาติทหารด้วยกันทั้งสองคนเวลาเดินเข้ามาในหอการค้าเช่นนี้จึงดูโดดเด่นมิน้อยใบหน้าหล่อเหลาแบบดุดัน เรือนกายสูงใหญ่แข็งแกร่ง เดินอกผายไหล่ผึงดูองอาจและมากอำนาจ
บทที่เจ็ดภรรยาไม่เข้าใจ“ข้ามีธุระไปต่อ เจ้ากลับจวนไปกับรถม้าก่อน”พูดจบหยางเหวินก็เดินตึงตังผละออกจากซูเมิ่งและรถม้าที่มาด้วยกันไว้ในทันทีที่นางบอกว่าเดินตึงตังความหมายคือขณะที่นางมองเขาเดินจากไปโดยไม่รอให้นางขานรับนั้นนางเหมือนเห็นเด็กขี้โมโหเวลาไม่พอใจกับของเล่นในร่างของเขาด้วยซ้ำไปในเมื่อคิดว่าจะไปแยกย้ายทำธุระของตนเองอยู่แล้วไยมิแยกย้ายไปตั้งแต่แรกกัน มานั่งรอนางให้สิ้นเปลืองเวลาทำไมกันแล้วดูซิ พอนางใช้เวลานานก็ทำมาเป็นอารมณ์เสียใส่กัน“เฮ้อ อารมณ์ช่างแปรปรวนเสียจริงบุรุษผู้นี้”“อ่อ ฮูหยินขึ้นรถม้าเลยดีหรือไม่ขอรับ”“ไหน ๆ เจ้านายท่านซิ่นหลี่ก็ไม่อยู่รอข้าแล้ว เช่นนั้นให้ข้าเข้าไปนั่งจิบน้ำชาเล่นข้างในร้านหลันฮาได้หรือไม่เจ้าคะ”ดวงตาของซูเมิ่งเปล่งประกายยามพูดถึงร้านค้าแห่งนี้อย่างชัดเจนทว่าพอได้ยินประโยคถัดมาของลูกน้องหนุ่มรอยยิ้มบนใบหน้านางพลันแข็งค้าง“เกรงว่าจะมิได้ขอรับ นายท่านบอกว่าข้าน้อยพาฮูหยินกลับจวนโดยปลอดภัยขอรับ”“ตะ...แต่”“เชิญฮูหยินขึ้นรถเถิดขอรับ”“ชิ”สุดท้ายแม้กระทั่งลูกน้องของสามี นางก็มิสามีโต้เถียงได้....ราวกับนางมิใช่เจ้านายคนหนึ่งในจวนที่พวกเขาเรียก
ณ จวนตระกูลหยางทันทีที่สองเท้าเหยียบอาณาเขตของจวน บ่าวสาวใช้ผู้หนึ่งที่เหมือนยืนรอการมาของทายาทตระกูลหยางหนึ่งเดียวผู้นี้อยู่แล้วก็ปรี่เข้ามาดักหน้าเจ้านายอย่างใจกล้า“คุณชายเจ้าคะ ฮูหยินหยางเซียงต้องการพูดคุยกับคุณชายเจ้าค่ะ”หยางเซียงคือมารดาเลี้ยงของชายหนุ่มที่เขามิค่อยสนิทกับนางเท่าไหร่นักเพราะแม้ว่ามารดาเขาสิ้นชีวิตลงตั้งแต่เขายังเด็กทว่าแม่เลี้ยงก็มิค่อยได้มีโอกาสเลี้ยงดูเด็กที่วันๆ อยู่ที่ค่ายทหารของบิดาคนนี้สักเท่าไหร่นักความสัมพันธ์ของเขาและนางจึงห่างเหินแต่หยางเหวินก็เคารพนางในฐานะแม่เลี้ยงคนหนึ่ง มิได้รังเกียจอันใด“เรียกข้าอย่างนั้นรึ ได้ นำไปสิ ท่านแม่อยู่ที่ใด”“เจ้าค่ะ”บ่าวสาวใช้ค้อมตัวเดินนำเจ้านายหนุ่มไปยังเรือนหลักอันเป็นเรือนที่บิดาและมารดาเลี้ยงของเขาอยู่ซึ่งตอนนี้บิดาของเขานำกองทัพไปทำศึกอยู่อีกที่หนึ่ง มิค่อยได้กลับจวนสักเท่าไหร่ดังนั้นเรือนหลังนี้ส่วนใหญ่จึงถูกดูแลโดยมารดาเลี้ยงผู้นี้เป็นอย่างดีบ่าวสาวใช้เดินนำเขาเข้ามาในห้องดื่มน้ำชาห้องใหญ่ของเรือนที่พอเขาเข้าไปเห็นมีหยางเซียงกำลังนั่งพูดคุยอยู่กับสตรีผู้หนึ่งที่เขาจำได้ว่านางมักแวะมาเยี่ยมเยียนมารดาเลี้ยง
บทส่งท้ายและวันนั้นทั้งวันหยางเหวินโดนพ่อตาของตนเองลากไปไหนมาไหนด้วย เรียกได้ว่าตัวติดกันจนซูเมิ่งนึกสงสัยว่าหรือสามีของนางจะเป็นลูกชายที่หายสาบสูญไปอีกคนหนึ่งของบิดาตนเองซูเมิ่งทั้งวันไม่ไปนั่งพูดคุยกับญาติพี่น้องร่วมสายเลือดในจวนก็เข้าไปนั่งเล่นกับน้องชายสุดแสนน่ารักที่มีอายุเพียงสิบเอ็ดหนาวเท่านั้นจวบจนตอนค่ำยามซวี [1] นั่นแหละนางจึงมีโอกาสขอตัวกลับเรือนของตนเองที่ครอบครัวนางเตรียมเอาไว้ให้เรือนหลังนี้ใหญ่ไม่แพ้หลังไหนๆ ในจวน การตกแต่งแม้จะเรียบง่ายแต่ของใช้ทุกชิ้นล้วนเป็นของใหม่ยังมิเคยได้ใช้ เป็นวัสถดุเนื้อดีทั้งนั้นเรือนส่วนตัวสภาพดีขนาดนี้นี่เป็นครั้งแรกของนางเลยกระมังที่ได้รับการดูแลเช่นนี้“ยิ้มขนาดนั้น เจ้าชอบเรือนหลังนี้มากเลยหรือ”เสียงของหยางเหวินบุรุษที่วันนี้หายหน้าหายตาไปจากซูเมิ่งทั้งวัน พร้อมกับอ้อมกอดจากคนตัวโตสวมโอบนางจากข้างหลัง“เจ้าค่ะข้าชอบที่นี่ แต่มิใช่แค่เรือนหลังนี้ แต่เป็นทุกคนที่นี่ด้วย พวกเขาต้อนรับข้าอย่างดียิ่ง”“เช่นนั้นหากเรากลับแคว้นไปข้าให้คนสร้างจวนของพวกเราสองคนแยกออกมาดีหรือไม่ ข้าได้รับพระราชทานที่ดินทำเลดีมิหยอก ข้ายกให้เจ้า จะให้สร้างจวนห
บทที่ยี่สิบภรรยากับครอบครัวที่แท้จริงณ แคว้นหูอี๋ฉีจวนตระกูลโจวจวนหลักตั้งอยู่ที่เมืองหลวง ตระกูลโจวเป็นตระกูลแม่ทัพตั้งแต่รุ่นทวดลงมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน หากเปรียบเทียบกับแคว้นเย่ ตระกูลโจวก็เปรียบได้ดั่งตระกูลหยางดีที่เวลานี้สองแคว้นสงบศึกเปลี่ยนมาสมานฉันท์กันหลายปีแล้ว มิเช่นนั้นสองทายาทตระกูลแม่ทัพคงเคยพบเจอกันบ้างในสงครามระหว่างแคว้นแม้ว่ารุ่นลูกอาจไม่เคยฟาดฟันกันแต่สำหรับรุ่นพ่อนั้นไม่แน่ มีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขตระกูลหยางกับประมุขตระกูลโจวแห่งสองแคว้นจะเคยปะทะฟาดฟันวัดฝีมือกันมาก่อนเวลานี้ฝ่ายซูเมิ่งรวมฝ่ายของพี่ชายและคนของสามีนางแยกย้ายจากขบวนสินค้าของตระกูลลู่มาระยะหนึ่งแล้วเป็นเพราะไปคนละทาง ตระกูลลู่ต้องการไปเมืองชายแดนเพื่อส่งสินค้า แต่พวกนางต้องการไปเมืองหลวงดังนั้นเวลานี้ซูเมิ่งจึงกำลังนั่งรถม้าคันของโจวเฉิงเค่ออยู่นั่นเองเห็นพี่ชายบอกว่าอีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามจะถึงจวนของเราพี่ชายใช้คำว่าของเราทำให้ซูเมิ่งรู้สึกซาบซึ้ง....ในที่สุดนางก็กำลังมีบ้านและครอบครัวเป็นของตนเองสักที“ถึงจวนตระกูลโจวแล้วขอรับคุณชาย”เนื่องจากในห้องโดยสารมีคนนั่งอยู่เพียงสองคนคือนางและพี่ชาย
บทที่สิบเก้าภรรยากับคำสารภาพ“คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้ขบวนของเราโชคดีได้หยุดพักที่สถานที่มิห่างไกลจากน้ำตกมากนัก คุณชายฝากถามว่าคุณหนูอยากชำระร่างกายหรือแช่น้ำหรือไม่เจ้าคะ เวลานี้ไม่มีคนใช้งานและเดี๋ยวให้คนไปกั้นเขตให้คุณหนูเจ้าค่ะ”“น้ำตกหรือ...อืม ก็ดีเหมือนกัน ข้าอยากแช่น้ำเย็นสักหน่อย มิได้อาบน้ำทุกวันดังเช่นปกติ รู้สึกเหนียวตัวยิ่งนัก”“เจ้าค่ะ เช่นนั้นเดี๋ยวบ่าวรีบไปเรียนคุณชายให้จัดกั้นพื้นที่ให้นะเจ้าคะ รอบ่าวสักครู่”“ได้ ขอบใจมากนะ”พอหลิ่นปินไปภายในกระโจมหลังน้อยก็เงียบลงทันตา ซูเมิ่งหันหลังกับไปเตรียมชุดและของใช้อาบน้ำที่จำเป็นด้วยตนเองที่ด้านหลัง เวลาผ่านไปไม่ถึงถ้วยน้ำชานางได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในกระโจมนาง“กลับมาเร็วยิ่ง คุณชายว่าอย่างไรบะ บ้าง....อ้าว ท่านพี่! อุ้บ!”คนที่เดินเข้ามากลับไม่ใช่สาวใช้อย่างที่ซูเมิ่งคิด แต่เป็น หยางเหวิน บุรุษร่างสูงใหญ่ที่พอก้าวเท้าเข้ามาในกระโจมก็ดูคับแคบขึ้นมาทันตา ชายหนุ่มคงรู้ว่าซูเมิ่งไม่อยากเจอหน้าอีกฝ่ายจึงก้าวเข้ามาประชิดตัวนางและใช้มือหนาปิดปากมิให้ส่งเสียงดังโวยวาย“อื้อ อ่านเอ้าอาไอ้อ่างไอ อ่อยอ้า!”“หากข้าปล่อยแล้วเจ้าจะเร
“นั่นเจ้าใช่หรือไม่ซูเมิ่ง เป็นเจ้า!” เสียงของหยางเหวิน บุรุษที่นางเคยรู้สึกปลอดภัยยามได้ยินเสียง ทว่าบัดนี้มิใช่อีกต่อไปแล้ว....“ข้าเอง พวกท่านกำลังทำสิ่งใด อย่าทำร้ายพวกเขานะ”ซูเมิ่งโดนจับได้นางจึงวิ่งออกไปขวางมิให้คนของหวางเหวินทำร้ายหรือมาต่อสู้กับคนของลู่เจ๋อทีแรกบุรุษทั้งสามเมื่อเห็นใบหน้าของสตรีที่ตามหามาหลายวันก็พากันดีใจ รอยยิ้มปรากฏบนหน้าไปตามๆ กัน ทว่าพอเห็นนางวิ่งเข้ามาไม่เกรงกลัวอันตรายหรือลูกหลงท่ามกลางการต่อสู้ก็ตกใจ หัวใจหล่นไปที่ตาตุ่มกันหมด“พวกเจ้าหยุดลงมือ!”คนของฝ่ายหยางเหวินหยุดต้อนผู้คุ้มของขบวนสินค้าทันทีเมื่อได้ยินคำสั่งของเจ้านาย ซึ่งตอนแรกพวกเขาก็เพียงได้รับคำสั่งให้ต้อนพวกนี้ให้จนมุมยอมศิโรราบเท่านั้นก็ตามซูเมิ่งบัดนี้ยืนอยู่กลางทางระหว่างขบวนสินค้าตระกูลลู่กับฝ่ายของพี่ชายและสามีนาง“น้องน้อยเจ้าอย่าเพิ่งวิ่งไปทั่วสิ มันอันตราย” เสียงของโจวเฉิงเค่อเต็มไปด้วยความวิตกกังวล นางมองเห็นบนใบหน้าของชายหนุ่มนั้นมีเหงื่อ แววตาดูตื่นตระหนกเกรงว่านางจะได้รับอันตรายจริงอย่างที่พี่ชายเอ่ย“แม่นางซูทางนั้นอันตรายเข้ามาหลบพักในรถม้าก่อนเถิด”ลู่เจ๋อและผู้คุ้มกันของเข
บทที่สิบแปดภรรยามิยอมอีกต่อไปแล้ว“ทำไมเจ้ามิตามนางไปด้วย ปล่อยให้นางซึ่งเป็นสตรีปีนขึ้นรถม้าขบวนพวกพ่อค้าจิตใจเจ้าเล่ห์แสนกลไปได้เยี่ยงไร”“ขะ ข้าน้อยคิดไม่ทัน คุณหนูบอกมิให้ข้าตามไป บอกให้ข้ามาส่งข่าวท่านว่าให้ตามนางได้ที่ขบวนสินค้าตระกูลลู่ขอรับ”“เจ้าเป็นคนที่แคว้นนี้มิใช่รึ รู้จักหรือไม่ตระกูลพ่อค้าลู่”“รู้แล้วอย่างไร ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้าด้วยรึ”“เหอะ”“เหอะ”โจวเฉิงเค่อและหยางเหวินทะเลาะกันอีกหนหากมีช่องว่างโอกาสให้แขวะใส่กันเวลานี้ขบวนรถม้าของทั้งโจวเฉิงเค่อและขบวนม้าของหยางเหวินเดินทางออกจากเมืองหลวงมาได้หลายชั่วยามแล้ว เดินทางติดต่อกันยาวนานระยะหนึ่งจนต้องหยุดพักให้ม้าพักกินอาหารกินน้ำก่อนส่วนคนที่เหลือก็มาดูแผนที่วางแผนหาทางตามหาขบวนขนสินค้าตระกูลลู่ตามเบาะแสที่ซูเมิ่งทิ้งไว้ให้“คนม้าของเรายังสืบมิได้ความอีกรึ ป่านนี้ยังมิมีใครมาถึงอีก” หยางเหวินเดินออกมาจากกระโจมอีกฝ่ายหลังจากรำคาญทั้งหน้าและน้ำเสียงจนทนไม่ไหวตัดสินใจเดินกับมาหาเบาะแสจากคนของตนดีกว่าพอยิ่งได้รู้ว่าซูเมิ่งไปกับตระกูลลู่ตระกูลที่เขาเคยให้คนไปสืบประวัติมาเพราะเขาเคยเห็นอีกฝ่ายทักทายเอ่ยสนทนาอย่างสนิทสนสน
“คุณหนูเจ้าคะ มิทราบว่าคุณหนูคิดถึงสิ่งใดอยู่ มีเรื่องใดเป็นกังวลหรือไม่ ระ....หรือบ่าวรับใช้ไม่ดีพอเจ้าคะ”“หะ หา เรียกข้าหรือ”“บ่าวดูแลไม่ดีตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ บอกให้บ่าวปรับปรุงแก้ไขได้หมดนะ ตะ แต่อย่าไล่บ่าวออกเลย”“ข้าจะไปไล่เจ้าได้ย่างไร ลุกขึ้นก่อน”ซูเมิ่งตื่นจากภวังค์ของตนเองมาก็เพราะตกใจที่อยู่ดีดีสาวใช้ที่ลู่เจ๋อส่งมาคอยช่วยอำนวยความสะดวกนางลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น บนดวงตากลมโตของนางมีน้ำตาเอ่อคลอราวกับกลัวว่าซูเมิ่งจะลงโทษเสียอย่างนั้น“ข้ามิได้ไม่พอใจเรื่องใด เพียงคิดถึงเรื่องอื่นไปเรื่อยเปื่อยก็เท่านั้น”“คิดถึงครอบครัวที่เมืองหลวงหรือเจ้าคะ”“อืม....” ซูเมิ่งหยุดคิดจากคำเรียกของอีกฝ่าย “มิรู้ว่าข้าสามารถเรียกพวกเขาว่าครอบครัวได้หรือไม่”เพราะคนที่เมื่อสักครู่ซูเมิ่งเผลอคิดถึงคือหยางเหวินน่ะสิ...มิใช่พี่ชายสายเลือดเดียวกันอย่างโจวเฉิงเค่อซูเมิ่งรู้สึกเหมือนนางทิ้งสิ่งสำคัญบางอย่างไป มันทำให้ในหัวใจนางรู้สึกเหมือนโดนคนขโมยเฉือนเนื้อบางส่วนทิ้งไประยะเวลาผ่านมาไม่กี่เดือนกับการอยู่ร่วมกันกับหยางเหวินในฐานะสามีภรรยามันช่างดูยาวนาน มีหลายครั้งที่นางเผลอผูกพันกับชายหนุ่ม
บทที่สิบเจ็ดภรรยาห่างไกลออกไปหากแต่ในขณะที่ซูเมิ่งกำลังนั่งรถม้าอยู่ข้างในห้องโดยสาร อยู่ดีดีรถม้าก็หยุดชะงักทันทีทันใดจนตัวนางเซถลาไปชนผนังรถดีที่ไม่ได้บาดเจ็บอันใด“ขออภัยขอรับคุณหนู ข้างหน้ามีทหารของทางการเพร่นพร่านเต็มไปหมด เกรงว่าจะเป็นคนของท่านแม่ทัพหยางเหวิน พวกเราจะทำอย่างไรดีขอรับคุณหนู”“!!”ไม่ได้นะ นางจะให้เขารู้ว่านางอยู่ที่นี่มิได้ ความผิดเดิมพวกเขายังมิทันได้คลายปมเลยสักนิด ความผิดกระทงใหม่เช่นนี้จะมีเพิ่มมิได้เกรงว่าหยางเหวินบุรุษที่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่เช่นนั้น เขาจะมิยอมให้นางไปพบบิดาที่แคว้นหูอี๋ฉีแคว้นหูอี๋ฉีเป็นแคว้นที่ซูเมิ่งจำได้ว่าชายหนุ่มเคยทำสงครามด้วยมาก่อนเป็นหนึ่งในแคว้นที่อีกฝ่ายเกลียดชังยิ่งนักแม้ว่าในปัจจุบันสองแคว้นนี้จะกลายเป็นแคว้นพันธมิตรกันแล้วก็ตามซูเมิ่งเปิดม่านออกไปดูภาพความวุ่นวายภายนอกรถม้านางคาดเดาว่าแม่ทัพหยางอาจรู้แล้วว่านางหนีออกมาจากจวนของเขาซูเมิ่งไม่อยากกลับไปถูกกักขังเขาไม่สิทธิ์!แต่เนื่องจากซูเมิ่งเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องฉะนั้นการที่หยางเหวินทำเช่นนั้นจึงมิสามารถไปเรียกร้องกับใครได้เลยยุคโบราณที่บุรุษเป็นใหญ่เช่นนี้ช่างไม่ย
ส่วนทางด้านสตรีที่เป็นฝ่ายหนีออกมาจากจวนตระกูล หยาง นางหลบหนีออกมาโดยการปลอมตัวเป็นบ่าวสาวใช้ที่ติดตามหลงจู๊ร้านค้านางมานั่นเองในจดหมายซูเมิ่งได้ทำการบอกแผนการทั้งหมดตั้งแต่...ให้หลิ่งซานขนม้วนเอกสารมาเป็นกองใหญ่ๆ ไม่สามารถขนคนเดียวหมด โดยให้นำสาวใช้ใบหน้าเป็นแผลเป็นเหวอะหวะจนต้องคลุมหน้าเพราะอายสายตาผู้อื่นติดตามด้วยหนึ่งคนตอนขาเข้าให้เปิดใบหน้าให้ผู้คุ้มกันเรือนดู และให้อธิบายว่าซูเมิ่งสงสารจึงรับบ่าวคนนี้เข้ามาทำงานในร้านตอนขาออกแน่นอนว่าซูเมิ่งต้องสลับตัวกับสาวใช้ผู้นั้นเพื่อลอบออกไปข้างนอกอย่างแน่นอนนางก็เพียงสร้างรอยแผลปลอมบนหน้าและคลุมผ้าคลุมศีรษะออกจากจวนมาอย่างแนบเนียนที่ด้านข้างรั้วตระกูลหยางถัดออกไปอีกสองซอยมีรถม้าจอดรอรับซูเมิ่งอยู่แล้วหนึ่งคันโดยคนขับรถม้าเป็นลูกน้องของพี่ชายที่พลัดพรากกันของนางนั่นเอง“คุณชายโจวเฉิงเค่อให้มารับตัวคุณหนูขอรับ รีบขึ้นมาเถอะขอรับ”“ได้สิ แล้วพี่ชายข้าไปที่ใดรึ คิดว่าจะมารับด้วยตัวเองเสียอีก”“คุณชายไปจัดการธุระด่วนก่อนขอรับ ฝากบอกว่ามิต้องห่วงเดี๋ยวคุณชายจะตามคุณหนูมาอย่างแน่นอน”“หืม ธุระอันใดหรือ ไหนบอกว่าท่านพ่อส่งข่าวมาว่ามิสบายมิ
“ท่านแม่ทัพขอรับ ท่านแม่ทัพ ได้ยินที่ข้าน้อยรายงานหรือไม่ขอรับ”หยางเหวินเหม่ออีกแล้ว เจ้านายเป็นเช่นนี้ลูกน้องเช่นเขาทำงานลำบากขึ้นทุกที หวงลู่ส่ายศีรษะอย่างทำใจในโชคชะตาตนเอง“ข้าได้ยิน นางต้องการให้นำหลงจู๊ไปพบนางที่เรือนใช่หรือไม่”“ขอรับ นายท่านมีความเห็นว่าเยี่ยงไรขอรับ”“หลงจู๊ของนางเป็นบุรุษหรือสตรี”“บุรุษขอรับ นามว่าหลิ่งซาน....”“ข้าไม่อนุญาต!”“เขามีลูกและภรรยาเรียบร้อยแล้วขอรับ”“ไยเจ้าไม่พูดให้จบตั้งแต่แรกหวงลู่”ก็เพราะท่านคัดค้านเสียงแข็งขึ้นก่อนน่ะสิ....หึหึ หวงลู่ได้แต่คิดในใจ“เช่นนั้น....อนุญาตหรือไม่ขอรับ”“ข้าจะห้ามทำได้เยี่ยงไร ในเมื่อร้านนั้นเป็นร้านที่นางรักยิ่ง แต่ให้บ่าวรับใช้เข้าไปอยู่เป็นเพื่อนระหว่างนางพูดคุยด้วยแล้วกัน”หวงลู่อยากจะบอกเหลือเกินว่าเมื่อสักครู่เป็นเจ้านายเองนั่นแหละที่หึงหวงภรรยาตนเองออกนอกหน้าเพียงรู้ว่าหลงจู๊เป็นผู้ชายใจบ้าคลั่งถึงเพียงนี้ไยปากเจ้านายของเขาจึงมิตรงกับใจตนเองเลยสักนิดสงสัยรอให้รู้ซึ้งถึงการสูญเสียก่อนกระมังจึงจะรู้สึก“ขอรับ แล้วเมื่อไหร่ท่านแม่ทัพจะกลับจวนขอรับ หรือจะนอนถาวรที่ค่ายทหารแห่งนี้ไปตลอด”“....”“ข้าน้อยถามม