วันที่ 6 เดือน 10 อากาศเริ่มหนาวและมีน้ำค้างแข็ง ผู้อำนวยการประกาศหยุดโรงเรียนสามวันเพื่อพาตัวแทนไปแข่งขันวิชาการในมณฑล สมาคมผู้ปกครองออกเงินจ้างรถคันใหญ่พานักเรียนไปแข่งขัน ซึ่งมีจำนวนหลายสิบคนทั้งตัวจริงและตัวสำรอง รวมถึงครูอีกหลายคนที่เฉินเฟิ่นอี้รู้จักบ้างไม่รู้จักบ้างจริง ๆ การแข่งขันจะเริ่มขึ้นพรุ่งนี้ แต่ทางโรงเรียนไม่ต้องการให้นักเรียนเหนื่อยเกินไปจึงพามาก่อนเวลาแข่งขัน ส่วนห้องพัก ทุกคนได้นอนพักที่โรงเรียนทางด้านที่ไม่ได้จัดการแข่งขัน พอมาถึงที่พักเฉินเฟิ่นอี้ก็รู้ว่าไม่ใช่แค่โรงเรียนของเธอที่มาก่อนวันแข่งขัน ยังมีโรงเรียนอื่นอีกหลายโรงเรียนที่มาถึงแล้ว ตอนมัธยมต้นโรงเรียนในตำบลไม่ได้มีเงินมากพอที่จะพามาแข่งขันจึงไม่แปลกที่เฉินเฟิ่นอี้จะไม่เคยมาทางโรงเรียนได้ห้องพักมาเพียงสองห้องเพราะต้องแบ่งกับโรงเรียนอื่นด้วยทำให้ต้องแบ่งห้องออกเป็นฝั่งผู้ชายและฝั่งผู้หญิง เฉินเฟิ่นอี้นับ ๆ ดูแล้วตัวแทนผู้หญิงมีทั้งหมดสามสิบแปดคน ซึ่งเธอก็จำไม่ได้ว่ามีการแข่งขันอะไรบ้าง การแข่งขันมีสิบกว่ารายการ เธอซ้อมอยู่ตลอดไม่แปลกที่จะลืมไปบ้างเด็กบ้านเฉินต่างได้เป็นตัวแทนทั้งหมด เฉินเฟิ่นอี้ เฉินเหม
ในที่สุดวันที่หลายคนรอคอยก็มาถึง พิธีเปิดการแข่งขันจัดขึ้นในตอนเช้า นักเรียนที่อยู่ใกล้มณฑลเพิ่งเดินทางมาถึงเช่นเดียวกัน การแข่งขันจะเริ่มเวลาเก้านาฬิกา เพราะฉะนั้นหลังพิธีเปิดจึงมีเวลาเหลือเป็นชั่วโมง ตัวแทนการแข่งขันวิชาการโรงเรียนจวี่ต่างรวมตัวกันที่หน้าอาคารที่พัก"เอาล่ะ วันนี้ขอให้ทุกคนเต็มที่ แต่ถ้าจะให้ดีควรได้เหรียญทอง" ครูใหญ่รับหน้าที่กำชับเด็ก ๆ แทนผู้อำนวยการ ที่ตอนนี้อยู่รวมกลุ่มกับบรรดาผู้อำนวยการโรงเรียนอื่น ๆ"ถ้าแข่งเสร็จกลับเลยใช่ไหมครับ""ในกรณีที่ตกรอบจะมีครูที่พานักเรียนกลับจ้ะ ถ้าชนะก็ต้องไปแข่งในวันพรุ่งนี้ ส่วนรางวัลจะรับวันสุดท้ายเลย เพราะฉะนั้นใครที่แข่งแล้วก็กลับได้" ครูที่ปรึกษาหมวดคณิตศาสตร์อธิบายและหวังว่าจะไม่มีนักเรียนได้กลับบ้านในวันนี้เฉินเฟิ่นอี้พยักหน้าฟังครูแต่ละท่านทวนอีกครั้งว่ามีการแข่งขันอะไรบ้าง และเกณฑ์การนับคะแนนเป็นแบบไหน อะไรที่ควรทำและไม่ควรทำซึ่งถ้าพลาดขึ้นมาบางโรงเรียนอาจไม่มีสิทธิ์ส่งเด็กเข้าร่วมการแข่งขัน ไม่แปลกที่ครูจะเข้มงวดอย่างเมื่อวานที่รีบเดินมาแยก"ในหมวดภาษาต่างประเทศจะมีครูต่างชาติเป็นคนตัดสิน จะมีแข่งต่อบทสนทหาและเขียนตอบ
แก้วน้ำที่แย่งกันไปมาสุดท้ายหกลงบนโต๊ะทั้งยังกระเด็นไปโต๊ะข้าง ๆ กันอีก เฉินเฟิ่นอี้หน้าเสียรีบหยิบเอกสารคู่มือออกจากน้ำพร้อมพัดไปมาด้วยความกังวล หลายคนเริ่มมองมาอย่างเอือมระอาเพราะโรงเรียนอำเภอจวี่เพิ่งจะเปลี่ยนเอกสารรายละเอียดไปเมื่อครู่"เอ๊ะ! นั่นอะไร"ระหว่างความวุ่นวายมีคนสังเกตเห็นอะไรบางอย่างในเอกสาร เฉินเฟิ่นอี้ยืนนิ่งมองของในมือที่ปรากฏตัวหนังสือขึ้น เธอเปิดมันให้คนอื่นดูก่อนทำหน้าตกใจ ตัวหนังสือที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีกลับเต็มไปด้วยคำตอบในหน้าสุดท้าย เฉินเฟิ่นอี้ยกมือขึ้นปิดปากอย่างไม่เชื่อสายตา(พวกเธอจะทุจริตเหรอ!)ครูต่างประเทศอ่านข้อความที่ีเขียนในแผ่นกระดาษ มันเป็นคำตอบที่ถูกต้อง เขาหันมามองเฉินเฟิ่นอี้ที่ยืนหน้าซีดอยู่ด้วยความไม่พอใจ ตอนนี้จะแข่งอยู่แล้ว นอกจากจะนำน้ำเข้ามาในห้องแล้วยังทุจริตการแข่งขันอีก ซึ่งกฎข้อห้ามหากมีการทุจริตสามารถปรับแพ้ได้"ฉัน... ฉันไม่รู้นะคะ เป็นเธอ เธอที่เอาเอกสารมาเปลี่ยนให้ค่ะ" เฉินเฟิ่นอี้ชี้ไปยังคนที่นำเอกสารมาเปลี่ยนให้ หล่อนใจดียอมเปลี่ยนมันให้เธอ แต่ก็ต้องทำตามกฎ พวกเขาทำผิด"ใช่ค่ะ พี่สาวฉันทำเอกสารมีปัญหา ผู้หญิงคนนั้นเลยนำมาเปลี่ย
เหตุการณ์กลับมาเป็นปกติ ตัวแทนของโรงเรียนในมณฑลถูกตัดสิทธิ์การแข่งขัน และครูที่ปรึกษาของโรงเรียนอำเภอจวี่ไม่สามารถเข้าห้องแข่งขันวิชาการได้ตามคำเรียกร้องของเฉินเฟิ่นอี้ ต้องบอกว่าการแข่งขันที่เฉินเฟิ่นอี้เป็นกังวลตอนนี้เธอโล่งอกเป็นอย่างมาก เพราะมันไม่ได้ยากอย่างที่คิด ทั้งบางส่วนยังอยู่ในข้อมูลที่ซ้อม ๆ กันมา และที่สำคัญคะแนนของโรงเรียนนำโด่งเต็มหนึ่งร้อยคะแนนเฉินเฟิ่นอี้ที่แข่งเสร็จก็ขอแยกตัวจากคนอื่นเพื่อไปรับประทานอาหารกลางวันโดยมีเฉินเหม่ยเย่ โอวหยางจิง และจินหม่าซินตามติด ตัวสำรองไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน มีเพียงการจัดเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เท่านั้น และคาดว่าคงไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้แน่"เกิดอะไรขึ้นครับ เห็นว่าโรงเรียนมณฑลถูกตัดสิทธิ์การแข่งขันวิชาการหมวดภาษาต่างประเทศ" เฉินตงถามด้วยความสนใจ เมื่อครู่เขาเพิ่งซื้อของกินกลับมาที่ห้องพักและได้ยินคนอื่นพูด"พี่สาวสามทำเอกสารคู่มือขาดค่ะ ตัวแทนของที่นี่เลยเอาของตัวเองมาให้ แล้วพี่สาวสามหิวน้ำเลยให้พี่ลู่เสียนเอาน้ำมาให้ดื่ม แต่เป็นช่วงที่ครูตัดสินมาถึงที่ห้องพอดีโรงเรียนเราจึงถูกหักคะแนน..." เฉินเหม่ยเย่เล่าตั้งแต่เริ่มให้ท
"เฉินเฟิ่นอี้!"น้ำเสียงตวาดทำให้หลายคนสะดุ้งตกใจอย่างไม่คิดว่าครูจะทำเช่นนี้ต่อหน้าคนนับร้อย เฉินเฟิ่นอี้ก็สะดุ้งไม่ต่างกัน แต่ยังมีสติดีเพราะรู้ว่าครูจะทำแบบนี้ เธอถอนหายใจ น่าเสียดายที่ทางโรงเรียนต้องหาผู้อำนวยการและครูมาเพิ่มอีกแล้ว'ผ้าพันคอ'เฉินเฟิ่นอี้เหลือบมองผ้าพันคอที่ว่าบนคอของคุณครูสาว ช่วงนี้อากาศเริ่มหนาวจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนใช้ผ้าพันคอ เธอได้สอบถามระบบมาหลายอย่าง มันสามารถช่วยเธอได้ เพียงแต่ต้องหาทางจัดการเอง มันจะบอกข้อมูลเท่านั้น เฉินเฟิ่นอี้ยอมรับข้อตกลงเพื่อต้องการข้อมูล"ผ้าพันคอสวยดีนะคะ" ทั้งที่ก่อนหน้านี้ครูที่ปรึกษาวิชาการไม่ได้ใช้ผ้าพันคอรวมถึงหลาย ๆ คน ไม่ใช่เรื่องแปลกก็จริง แต่มันเพียงเริ่มต้นไม่ใช่ฤดูหนาวครูที่ปรึกษาเหอหนี่จับผ้าพันคอไว้อย่างหวาดระแวง กลัวว่าคนจะสงสัย แต่ยิ่งเพิ่มความน่าสงสัยเข้าไปอีก อย่างครูที่ยืนข้าง ๆ ยังงงว่าเพื่อนร่วมงานนำผ้าพันคอมาจากไหน ถ้าจะบอกว่านำมาจากบ้านด้วยก็ไม่ใช่แน่นอน ทั้งของในกระเป๋าก็ไม่มีผ้าพันคอผืนนี้"เอ๋ มันสวยดีนะคะ ครูเหอหนี่ซื้อมาจากไหน""ฉัน ฉันจำไม่ได้ค่ะ มีคนซื้อมาฝาก"ได้ยินเพียงเสียงกระซิบจากน้องสาวว่
ความวุ่นวายยังไม่จบลงง่าย ๆ เมื่อคนอย่างผู้อำนวยการของโรงเรียนมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับบุคลากรของโรงเรียน หากทั้งสองคนไม่มีพันธะ เรื่องแบบนี้ก็ยังไม่ควรเกิดขึ้นอยู่ดี แต่ที่ทำให้หลายคนยอมรับไม่ได้ก็คือผู้อำนวยการมีภรรยาและลูกแล้วยังทำตัวแบบนี้"โธ่เว้ย!"ผู้อำนวยการโรงเรียนเดินไปมาในห้องที่ถูกเชิญมาระหว่างรอครูเซียวทำเรื่องอื่นอยู่ เขาร้องขึ้นอย่างโมโห ข้างกันมีครูที่ปรึกษาเหอหนี่นั่งร้องไห้อยู่ ที่จริงหล่อนเคยแต่งงานแล้ว เพียงแต่สามีเสียชีวิตจึงกล้าทำเรื่องแบบนี้ แต่ไม่คิดว่าจะถูกจับได้เร็วขนาดนี้ ทั้งที่ความสัมพันธ์เพิ่งจะเริ่มไปได้ไม่กี่เดือน"ฮือ ๆ ผู้อำนวยการต้องช่วยฉันนะคะ ดูสิคุณผู้หญิงตีฉันเจ็บไปหมด" แค่ยายแก่คนหนึ่ง หากไม่ใช่ว่าอยู่ต่อหน้าผู้คนหล่อนคงจะสวนกลับไปแล้ว"ช่วย? เธอโง่หรือเปล่าถึงเก็บมันไว้" เขากัดฟันอย่างโมโห มันเป็นข้อตกลงที่เคยทำก่อนเริ่มความสัมพันธ์ขึ้น แม้ไม่มีชื่อเขาแต่ภรรยากลับจำลายมือเขาได้อีกอย่าง ตอนนี้ทำได้เพียงหาข้อแก้ตัว แต่จะได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับร้านเสื้อผ้าที่เขาไปซื้อผ้าพันคอมา ตอนที่พนักงานแจ้งว่าเป็นผ้าพันคอของผู้หญิงที่มีสามีแล้วเขายังซื้อมา
เรื่องผู้อำนวยการยังไม่ทันได้ตัดสิน เฉินเฟิ่นอี้ก็พาน้อง ๆ ชนะการแข่งขันวิชาการหมวดภาษาต่างประเทศทุกการแข่งขัน ไม่ว่าจะเดี่ยว คู่ ทีม หรือระดับชั้น โรงเรียนอำเภอจวี่คะแนนนำลิ่ว ไม่ต่างจากการแข่งขันของน้องชายทั้งสามและซ่งเวยหลานที่เอาชนะมาได้ หลังจากนี้จะมีการแข่งขันที่จัดขึ้นในปักกิ่ง พวกเธอต้องไปแข่งต่อ ซึ่งยังไม่กำหนดวันที่ชัดเจน แต่ก่อนนักเรียนมัธยมปลายชั้นปีสุดท้ายจบแน่นอนเมื่อคืนตัวแทนโรงเรียนอำเภอจวี่นอนกลางลาน โชคดีที่อากาศไม่ได้เย็นจนเกินไป ทั้งมีกองไฟให้ความอบอุ่นอยู่ข้างที่นอน ทำให้ทุกคนหลับสบายกันมาก แต่เห็นว่าพวกผู้ชายสลับกันนั่งเฝ้าทุกคนรวมถึงครูจูด้วย ทำให้ตอนแข่งขันเพื่อคว้าชัยชนะไม่มีครูจูอยู่ด้วย เขาหลบไปนอนพักตั้งแต่ทุกคนตื่นตัวแทนแต่ละโรงเรียนยืนต่อแถวกันอย่างเป็นระเบียบเมื่อการแข่งขันจบลง คนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะโรงเรียนของเฉินเฟิ่นอี้ที่เหลือไม่กี่คน ทั้งตอนนี้เหลือแค่ครูจูที่ยืนดูเด็ก ๆ ในแถว ครูคนอื่นกลับไปหมดแล้ว ยกเว้นครูที่ปรึกษาหนี่เหอกับผู้อำนวยการที่เฉินเฟิ่นอี้ได้ยินว่าจะมีการตัดสินตอนที่กลับโรงเรียนแล้วเฉินเฟิ่นอี้ยืนอยู่หัวแถวที่มีน้องสาวยืนด
โรงเรียนอำเภอประกาศเปลี่ยนผู้อำนวยการเป็นคนที่สองในรอบปีสร้างความงงงวยให้แก่สมาคมผู้ปกครอง แต่เมื่อรู้ถึงสาเหตุต่างคิดว่ามันสมควรกันทั้งหมด ผู้อำนวยการสร้างความเสื่อมเสียให้แก่โรงเรียน นักเรียนหรือแม้แต่คนในอำเภอต่างมีชื่อเสียงเสียหายวันนี้เป็นวันแรกที่ผู้อำนวยการคนใหม่จะมาที่นี่ ทางโรงเรียนและเฉินเฟิ่นอี้ก็เพิ่งรู้ว่าผู้อำนวยการที่เพิ่งออกไปเป็นเพียงผู้อำนวยการชั่วคราวที่ต้องทำงานก่อนถึงจะประเมินว่าสามารถเป็นผู้อำนวยการได้หรือไม่ โชคดีที่ไม่ใช่ผู้อำนวยการมาประจำการไม่อย่างนั้นจะวุ่นวายมากกว่านี้ แต่ก็ยังหาผู้อำนวยการได้ไม่ทันอยู่ดี คนที่จะมาใหม่เป็นเพียงรักษาการณ์เท่านั้น"ครูเซียว"ทุกคนยืนอยู่กลางสนามท่ามกลางเมฆที่อึมครึม เฉินเฟิ่นอี้มองอย่างฉงนเมื่อมีแขกมาที่โรงเรียน ทั้งเป็นคนที่หลายคนคุ้นหน้า หรือมาตรวจดูบุคลากรภายใน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ เป็นกรรมการจากกองการแข่งขันหรือก็คือครูเซียวเดินมาที่หน้าเสาธงพร้อมผู้ติดตาม"สวัสดีครับนักเรียนทุกคน หลายคนอาจจะรู้จักผมแล้ว แต่ยังมีหลายคนที่ไม่รู้จัก ผมครูเซียวหรือรักษาการเซียวจะมาทำหน้าที่แทนผู้อำนวยการชั่วคราวในระหว่างนี้..."เสียงอื้ออึงดัง
วันที่ 5 เดือน 3 ปี 1984 งานมงคลสมรสของเฉินเฟิ่นอี้และโอวหยางจิงจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกที่ได้รับเชิญต่างพากันเข้าร่วมงานอย่างหนาแน่น เฉินเฟิ่นอี้ต้องลุกมาแต่งตัวตั้งแต่เช้ามืด ทั้งต้องคอยถามถึงหน้างานเพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาดในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง สิ่งที่รอคอยนั่นคือการแต่งงานสักครั้งในชีวิต ในตอนที่เป็นแป้งร่ำ เธอพลาดโอกาสนั้นแล้ว ครั้งนี้เฉินเฟิ่นอี้ย่อมไม่พลาด"พี่สาวสามสวยมาก" เฉินเหม่ยเย่เอ่ยชมพี่สาวด้วยความตื่นเต้น ทั้งที่ไม่ใช่งานของตนเองนาน ๆ ที เฉินเฟิ่นอี้จะได้แต่งหน้าและแต่งตัว หากไม่ใช่วันสำคัญ แต่ก็ไม่ได้จัดเต็มเหมือนวันนี้ ภายใต้ชุดสีแดงมงคล เฉินเฟิ่นอี้เป็นผู้หญิงที่สวยมากในสายตาของน้องสาว"พี่สาวสามของเธอเป็นคนสวยมาตั้งนานแล้ว หล่อนแค่ไม่แต่งตัวเหมือนกับเธอที่ต้องทำงาน" พี่สาวใหญ่เดินเข้ามานั่งใกล้น้องสาวภายในห้องเจ้าสาวตอนนี้ มีพี่สาวใหญ่ พี่สาวรอง เฉินเหม่ยเย่ และเฉินเฟิ่นอี้ที่เป็นเจ้าสาว ทั้งสี่คนเป็นหลานสาวสายหลักของลุงสามที่เป็นผู้นำตระกูล ต่อให้แต่งงานแล้วแต่ยังเป็นคนสำคัญเฉินเฟิ่นอี้แต่งงานแล้วเธอจะเป็นคนของตระกูลโอวหยาง แต่ว่ายังสามารถมีปากเสียงในตระกูลเ
ต่อให้เร่งมากแค่ไหน การสร้างบ้านยังต้องใช้เวลาสองเดือน เฉินเฟิ่นอี้จึงใช้เวลาที่ว่างในการช่วยเฉียนลี่เซียนเปิดร้านตัดเย็บ มันเป็นเพียงการตัดเย็บที่ลูกค้าสั่งตัดไม่เกินห้าตัว ปะซ่อมบริเวณที่ขาดกว่าบ้านจะเสร็จ ร้านตัดเย็บเฉียนก็เริ่มเข้าที่แล้ว เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เธอปล่อยให้หล่อนจัดการร้านเอาเอง เพราะมีเฉียนเฟยเข้ามาช่วยจึงไม่ค่อยห่วงนักบ้านที่สร้างใหม่เป็นบ้านปูนห้าห้องนอน ล้อมรั้วแข็งแรงไม่ให้คนนอกเข้าไป แต่เฉินเฟิ่นอี้ฝากกุญแจให้ผู้ใหญ่บ้านจ้างคนไปทำความสะอาดข้างนอกบ้านให้ รวมถึงถางหญ้าในที่ดิน ค่าดูแลเดือนละยี่สิบหยวน แน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยอมจ่ายทันทีที่บ้านเสร็จ กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ก็เดินทางกลับปักกิ่งเพื่อเริ่มงาน พวกผู้หญิงมีงานถ่ายแบบเข้ามาบ้าง เฉินเฟิ่นอี้อนุญาตให้ทำและลดเงินเดือนบางส่วนของพวกหล่อนลงร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ยอีกสองสาขาอยู่ห่างจากสาขาใหญ่พอสมควร แต่เป็นบริเวณที่มีคนเดินผ่าน แน่นอนว่าร้านของเธอพี่ใหญ่เฉินเป็นคนหาให้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าสาขาที่สองเป็นสาขาที่เฉินเฟิ่นอี้สร้างร่วมกับน้องชายน้องสาว ส่วนสาขาใหญ่ตอนนี้มันเป็นเพียงชื่อของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าการ
งานมงคลผ่านไปแล้ว มีแต่คนอิจฉาเจ้าสาวเพราะได้รับสินสอดจำนวนมาก หลังงานมงคลเฉินเฟิ่นอี้เรียกผู้รับเหมาเข้าไปดูบ้านพร้อมกับสร้างบ้านใหม่ด้วยเวลาอันน้อยนิด เฉินเฟิ่นอี้จ่ายไม่อั้นเพื่อให้บ้านเสร็จก่อนกลับปักกิ่ง แต่ถึงจะเสร็จไม่ทันเธอก็จะรอให้มันเสร็จก่อนอยู่ดี ต่อให้มีคนนินทาและด่าว่าโง่ที่เอาเงินมาทิ้งกับบ้านที่ไม่ได้อยู่ เฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้สนใจ"พี่จัดการเรื่องผ้าถุงเสร็จแล้ว พวกเรากลับไปที่ร้านกันก่อนเถอะครับ" โอวหยางจิงบอกคนรักที่นั่งรออยู่ในโรงงานวันนี้เฉินเฟิ่นอี้เข้ามาจัดการเรื่องที่จะให้โรงงานส่งผ้าถุงเข้าไปในปักกิ่ง ค่าใช้จ่ายในการขนส่งแน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยินดีจ่าย ขอแค่ให้ของไปถึงมือส่วนร้านเซี่ยเซี่ยร้านแรกของเธอจะยุติการขาย เรื่องนี้ได้คุยกับลุงเหว่ยเทาไปแล้วตอนที่กลับมาถึงวันแรก แต่ต้องเข้าไปคุยอีกทีเพื่อยกเลิกสัญญาพอมีการประกาศออกไปดูเหมือนว่าทุกคนจะตกใจและรีบมาซื้อเก็บเอาไว้ สินค้าจะมีเหลือให้ขายเพียงห้าพันผืนสุดท้าย หากขายหมดก่อนร้านจะปิดลงทันที"ค่ะ"หากเป็นเมื่อก่อนเฉินเฟิ่นอี้กับโอหยางจิงคงปั่นจักรยานกัน แต่ตอนนี้คุณลุงโอวหยางให้คนรักของเธอนำรถมาใช้งานระหว่างอยู
วันที่เจ็ดเดือนสามปี 1982 กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้เดินทางมาถึงบ้านพักในอำเภอจวี่ที่เป็นบ้านหลังเดิม และเพื่อนของลุงสามเป็นคนจัดพื้นที่เอาไว้ให้แล้วการเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้มีผู้ใหญ่บ้านเฉินเดินทางมาด้วย มีเพียงผู้ปกครองที่เดินทางกลับบ้าน เฉินเฟิ่นอี้พร้อมกับน้อง ๆ ต้องการมาเข้าร่วมงานมงคลของเว่ยฟ่งกับเจียวซีถึงได้ตามกันมา ยกเว้นเฉินชิงชิงน้องชายคนเล็กของบ้านที่ปีนี้อายุสิบเอ็ดปีแล้วเฉินเฟิ่นอี้รับกุญแจจากลุงเหว่ยเทาทันทีที่มาถึง บ้านพักหลังนี้ถือว่าเป็นความทรงจำของเธอก็ว่าได้ อยู่มาตั้งหลายปี ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม"คุณลุงเหว่ยไม่ได้ปล่อยบ้านให้คนอื่นเช่าเหรอคะ" เฉินเฟิ่นอี้หันไปถามเจ้าของบ้านที่นั่งอยู่ในห้องโถง และสอบถามเรื่องราวระหว่างที่ไปอยู่ในปักกิ่ง"บ้านหลังนี้หลานบอกว่ามันเป็นความทรงจำไม่ใช่หรือ ถึงลุงไม่ได้ขายให้แต่ก็เก็บเอาไว้รอพวกหลานกลับมา" เหว่ยเทายิ้มเล็กน้อยเขาไม่ได้แต่งงานมีภรรยา สมบัติที่มีอยู่จึงเป็นของเขาและมีรายได้จากการปล่อยเช่าห้องพัก ไม่จำเป็นต้องปล่อยเช่าบ้านหลังนี้ให้คนอื่น และเด็กบ้านเฉินก็เหมือนลูกเหมือนหลานของเขา"ขอบคุณค่ะ""ลุงสามฝากบอกว่าถ้ามีเวลาให้ขึ
หลังงานเลี้ยงจบลง ข่าวที่หลายคนจับตามองมากที่สุดไม่พ้นหลานชายหลานสาวของตระกูลเฉินมีคนรักแล้ว หลายคนยังคงต้องการขยับความสัมพันธ์ เผื่อว่าวันหน้าจะมีโอกาส จึงจ้างกลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ไปร่วมงานอยู่บ่อย ๆช่วงปิดภาคเรียนเป็นช่วงที่ต้องทำหลายอย่าง กว่าจะลงตัวก็เปิดภาคเรียนแล้ว ภาคเรียนที่สองเป็นภาคเรียนที่เหนื่อยมาก บ่อยครั้งที่เฉินเฟิ่นอี้ต้องนอนในหอพักของมหาวิทยาลัยความสัมพันธ์ของกลุ่มเพื่อนยังคงหนาแน่น ยิ่งที่บ้านย้ายเข้าไปอยู่ในเขตตระกูลเฉิน ทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านพักทำให้ได้พบเจอหน้ากันทุกวันยิ่งได้อยู่ด้วยกันกับเฉินเฟิ่นอี้ ทุกคนต่างลงความเห็นที่จะทำงานกับเพื่อนสาว เว่ยฟ่งถึงขั้นต่อสายมาหาพ่อกับแม่เรื่องที่เขาเรียนจบแล้วจะกลับไปแต่งงานกับเจียวซีแล้วจะกลับมาอยู่ในปักกิ่งคนอื่น ๆ ก็มีท่าทีไม่ต่างกัน ผู้ชายเข้าไปช่วยรุ่นพี่โอวหยางจิงทำงาน ผู้หญิงช่วยเฉินเฟิ่นอี้ในร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ย ตอนนี้ได้ค่าตอบแทนน้อย แต่ถือว่าคุ้มเพราะช่วยอยู่เบื้องหลังแค่มาเรียนปีแรกก็ทำเอาผู้ปกครองปวดหัวแล้ว ปีที่ีสองยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ไม่มีใครกลับบ้านในช่วงปิดภาคเรียน ถ้าอยากเจอก็ให้เดินทางมาหาความสัมพัน
หลานชาย หลานสาว รวมถึงกลุ่มเพื่อนสนิทถูกจับแต่งตัวให้เหมาะสมกับงานสำคัญ อันที่จริงกลุ่มเพื่อนของเฉินเฟิ่นอี้ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมก็ได้ แต่ทุกคนลงความคิดเห็นว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ภายใต้การดูแลของบ้านเฉินแล้วแขกภายในงานมีหลายคนที่เคยสนิทกับคนในตระกูลเฉิน เพราะฉะนั้นเฉินเฟิ่นอี้จึงพยายามบอกคนอื่นให้หลีกเลี่ยงเท่าที่จะทำได้เฉินเฟิ่นอี้มองชุดที่ออกแบบด้วยฝีมือของพี่เยี่ยฉิงจากร้านเยว่ซิน ทันทีที่จะมีการจัดเตรียมงานเธอได้ทำการติดต่อขอตัดเย็บเสื้อผ้าให้ และตระกูลเยี่ยคือหนึ่งในพันธมิตรของปู่เธอ"เสียดายจริง ๆ ที่เธอไม่คิดจะทำงานในวงการบ้างหรือ" เยี่ยฉิงมองชุดบนตัวของเฉินเฟิ่นอี้"ไม่ละค่ะ ฉันชอบทำงานเบื้องหลังมากกว่า" เธอรีบส่ายหน้าปฏิเสธไป ให้ช่วยแต่งหน้าหรือทำอย่างอื่นได้ แต่จะให้ถ่ายแบบเธอทำไม่ได้จริง ๆ"อื้อ ๆ ฉันก็ว่าแบบนั้นดูเป็นเธอมากกว่า" หล่อนหัวเราะเฉินเฟิ่นอี้เป็นเจ้าของร้านผ้าถุงที่ออกแบบลวดลายเอง เยี่ยฉิงเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าที่ไม่ถ่ายแบบงานตัวเอง จึงเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเยี่ยฉิงที่ช่วยเฉินเฟิ่นอี้แต่งตัวแล้วเดินไปช่วยคนอื่นต่อ ทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้แต่งตัว แน่นอนว่างานส
ข่าวหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งของหลายวันมานี้จะเป็นข่าวอะไรไปไม่ได้นอกจากข่าวผลัดเปลี่ยนผู้นำตระกูลเฉิน เป็นผู้นำที่หลาย ๆ คนคิดว่าเหมาะสมที่สุด นั่นก็คือ เฉินจงอี้ หรือปู่เฉินของเด็ก ๆ บ้านเฉิน ที่รับช่วงต่อระหว่างรอลูกชายทั้งสี่เรียนรู้งานเฉินเฟิ่นอี้ให้พี่ใหญ่เฉินส่งคนคอยตามคนตระกูลเฉินไปอย่างลับ ๆ เธอไม่ไว้ใจพวกเขา อย่าลืมว่าเฉินหานกับ เฉินหว่านทั้งสองต่างมีชื่อเสียง เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ และปู่รอง ปู่สามของตระกูลจะไม่มีน้ำยาทำอะไรจริง ๆ น่ะหรือ"ปู่คะ ฉันว่าพวกเราอยู่ที่บ้านนี้สักพักก่อนดีกว่าค่ะ ส่วนบ้านหลังนั้นก็ให้คนเข้าไปเก็บกวาดซ่อมแซมใหม่ก่อน" เฉินเฟิ่นอี้เสนอเมื่อปู่เฉินจะพาทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านตระกูลเฉินบ้านมันเก่ามากแล้วควรทำความสะอาดครั้งใหญ่ อีกอย่างเธอก็ไม่รู้ว่าข้างในจะมีอะไรที่เป็นอันตรายหรือไม่ และเธอสะดวกใจที่จะอยู่บ้านพักหลังนี้มากกว่า แต่ว่าถ้าปู่เฉินต้องการที่จะย้ายไปเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร ขอเพียงให้มั่นใจก่อนว่ามันจะปลอดภัยจริง ๆช่วงนี้เธอไม่สามารถติดต่อกับระบบได้และมันก็หายไปหลายวันแล้ว ทำให้เฉินเฟิ่นอี้เป็นกังวลและคิดว่าควรรอมากกว่า"ทำไมล่ะ ที่จริงพวกเร
ปู่เฉิน ย่าเฉิน ลุงใหญ่ ลุงรอง ลุงสาม พ่อของเธอ พี่ใหญ่เฉิน และเฉินเฟิ่นอี้อยู่บนรถยนต์เพื่อเดินทางไปยังตระกูลเฉินตามที่เคยบอกเฉินหว่านเอาไว้ เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้พูดเล่น ตอนนี้ตระกูลเฉินมีหนี้และอีกไม่นานกิจการค้าขายที่เคยเป็นของปู่เฉินก็จะถูกยึด พี่ใหญ่เฉินกล่าวว่ามีคนจากตระกูลเฉินขอกู้เงินจำนวนหนึ่งล้านหยวนแลกกับกิจการเฉินเฟิ่นอี้นั่งข้างคนขับซึงก็คือพี่ใหญ่เฉิน นอกจากพวกเธอแล้วยังมีนายทหารอีกสองคันที่พี่ใหญ่เฉินพามาด้วย ดูเหมือนว่าตระกูลเฉินจะไม่มีเงินจ้างคนทำความสะอาดทางเข้า เขตบ้านตระกูลเฉินรกมากรถยนต์ดับลงหน้าบ้าน สมาชิกบ้านเฉินลงจากรถ เฉินเฟิ่นอี้เดินไปหาย่าเฉินที่อยู่ในวงล้อมของลูก ๆ เฉินเฟิ่นไม่ได้กลัวแต่ถ้าเกิดมีการลงไม้ลงมือกัน อย่างน้อยอยู่ใกล้ย่าเฉินจะปลอดภัยที่สุด“ที่นี่คือตระกูลเฉินเหรอคะ?”เฉินเฟิ่นอี้มองไปยังบ้านหลายหลังที่อยู่ติดกัน ด้านหน้าทางเข้าพบว่าเป็นบ้านสมัยใหม่ที่ดูดี แต่พอเข้ามาด้านหลังต้องบอกว่ามันทรุดโทรมมาก โดยเฉพาะหลังที่เป็นเหมือนบ้านรวม ตัวหลังคาหน้าบ้านมันแตกแล้ว“เปลี่ยนไปมากจริง ๆ” ปู่เฉินว่าด้วยความเสียดาย ที่ผ่านมาเขาคิดว่าจะมีคนดูแลที่นี่เหมือนก
เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดร้านนานหลายวัน เฉินเฟิ่นอี้กลับมาเปิดร้านอีกครั้งและจ้างคนมาเฝ้าหน้าร้านถึงสามคนเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย หนังสือพิมพ์ลงข่าวทายาทของเจ้าของกิจการที่ยกให้น้องชายก่อนที่เขาจะหายตัวไปพร้อมครอบครัว ทำให้ร้านผ้าถุงมีลูกค้าเข้ามาซื้อของมากขึ้น และมีหลายร้านที่มาจ้างให้เฉินเหม่ยเย่ไปถ่ายงาน นอกจากนี้กลุ่มเพื่อนผู้หญิงก็ยังมีงานตามมาอีกไม่ต่างกันเฉินเฟิ่นอี้นั่งลงบนเก้าอี้เพื่อตรวจสอบบัญชีของเมื่อวานที่ยังไม่ได้จัดการ ข้าง ๆ กันมีโอวหยางจิงที่ตามมาด้วย เห็นบอกว่างานในโรงงานไม่ได้มีอะไรให้ทำและไม่ได้รับลูกค้าเพิ่ม เพียงตัดเย็บให้ร้านของเธอกับตัดเย็บเสื้อผ้าให้ร้านเยว่ซินก็ทำแทบไม่ทันแล้ว"เมื่อวานโจวซิงฉือบอกว่าที่บ้านติดต่อมา มีคนเข้าไปหาพวกเขาสอบถามถึงเรื่องของเธอ แต่ครอบครัวของเขาบอกไปว่าไม่รู้จักเธอ" โอวหยางจิงเอ่ยขึ้นระหว่างที่นั่งมองคนรักทำงานทุกคนติดต่อไปยังครอบครัวเพื่อให้บอกว่าไม่รู้จักบ้านเฉินหรือหากพวกเขามีพยานให้ตอบว่าเป็นเพื่อนของลูกเท่านั้นไม่ได้รู้จักสนิทสนม และเป็นคำสั่งของเฉินเฟิ่นอี้เองเพื่อความปลอดภัยของทุกคน และไม่มีใครถามเนื่องจากเชื่อในตัวของเพื่อน