การฝึกซ้อมเป็นไปอย่างยากลำบากเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว หิมะเริ่มตกเมื่อเข้าเดือนธันวาคม โรงเรียนประกาศหยุดเรียน หากมีภารกิจที่ต้องทำสามารถมาที่โรงเรียนได้ ตัวอย่างเช่นพวกเฉินเฟิ่นอี้ที่ต้องฝึกซ้อมภาษาต่างประเทศ เธอและกลุ่มตัวแทนฝึกซ้อมกันอย่างหนักตัวแทนสำรองแข่งขันวิชาการภาษาต่างประเทศถูกเปลี่ยนตัวกระทันหัน รักษาการเซียวต้องทำเรื่องให้อย่างยากลำบากในการเปลี่ยนตัว เปลี่ยนเยวี่เซียงที่ไม่มาซ้อมออกและนำมี่หยางเพื่อนกลุ่มเดียวกับเฉินเหม่ยเย่มาแทน ที่สำคัญหล่อนยังกลมกลืนไปกับกลุ่มทำให้เข้ากันได้ดีเฉินเฟิ่นอี้ยืนพิงกรอบประตูหน้าบ้านมองออกข้างนอกที่หิมะเริ่มละลายแล้ว คาดว่าช่วงบ่าย ๆ มันถึงจะเริ่มตกอีกครั้งแต่ก็เป็นเรื่องที่ดี วันนี้เธอมีนัดฝึกซ้อมภาษาต่างประเทศที่โรงเรียนหลังจากที่หิมะตกมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ พวกเธอไม่สามารถออกมาจากบ้านได้เลย เฉินเฟิ่นอี้ไม่กล้าเสี่ยงให้ทุกคนต้องไปตากหิมะ จะมีเพียงพี่สาวรองที่ต้องออกไปทำงานที่สหกรณ์อำเภอแม้หิมะจะตกแต่ยังมีคนออกไปซื้อของจึงไม่สามารถลาหยุดได้ เฉินเฟิ่นอี้เสนอพี่สาวเรื่องลาออกจากที่ทำงานมาช่วยทำอาหารขายแม้หล่อนจะช่วยทำอยู่แล้วก็ตาม เธอสงสารพี่ีสาวที่
ตลอดเดือนธันวาคมที่หิมะตกหนัก โรงเรียนประกาศปิดเรียนจนกว่าจะเข้าเดือนมกราคม เพราะอย่างนั้นเฉินเฟิ่นอี้จึงพาน้อง ๆ และพี่สาวรองกลับบ้านเฉินในวันต้นเดือน พร้อมของกินอีกหลายอย่างที่จะทำให้ไม่ลำบากออกไปหาซื้อหรือหาอะไรมาประทังชีวิตเฉินเฟิ่นอี้ถูมือไปมาระหว่างเดินเข้าหมู่บ้าน ช่วงนี้ไม่มีรถรับจ้างขับผ่านทำให้ต้องเดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และของที่จะนำกลับบ้านเฉินเฟิ่นอี้ก็เพิ่งนำออกมาตอนที่ใกล้ถึงหมู่บ้านแล้ว เธอไม่ทรมานตัวเองขนมาตั้งแต่อำเภอ อีกทั้งหิมะยังตกปรอย ๆแต่ละคนล้วนใส่เสื้อแขนยาวที่ยัดฝ้ายลงไปเพิ่มความอบอุ่น เป็นเสื้อแขนยาวที่พี่สาวรองกับเฉินเหม่ยเย่จัดการเย็บให้ทุกคน ส่วนเฉินเฟิ่นอี้มีหน้าที่นำอุปกรณ์มาให้ทั้งสองจัดการ นอกจากของเด็กบ้านเฉินแล้วยังมีของพวกผู้ใหญ่ที่เฉินเฟิ่นอี้ให้เฉินไห่หลิวกับเฉินตงนำมาส่งที่บ้านก่อนหน้านี้ ไม่ก็เป็นลุงใหญ่ ลุงรอง หรือพ่อของเธอที่เข้าอำเภอไปเป็นคนเอาเสื้อกลับภายในหมู่บ้านมีชาวบ้านออกมากวาดหิมะออกจากหลังคาบ้านและรอบ ๆ บ้าน หลังจากการเก็บเกี่ยวรอบนี้ทุกบ้านได้ส่วนแบ่งรอบสุดท้าย และหิมะตกไม่อาจทำงานในแปลงนาได้ นั่นหมายความว่าทุกคนต้องรัดเข็มขัดจ
ในที่สุดก็ถึงวันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันสิ้นปีที่ทุกคนจะเฉลิมฉลอง หิมะหยุดตกมาสองวันแล้ว เด็กบ้านเฉินเตรียมตัวกลับบ้านเช่าเพราะอีกไม่กี่วันก็จะเปิดเรียน แต่เพราะจะขึ้นปีใหม่ผู้ใหญ่บ้านเฉินให้อยู่ฉลองด้วยกันก่อน พวกเฉินเฟิ่นอี้ไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ อีกทั้งยังเหลือตั้งสามวันถึงจะเปิดเรียนบริเวณบ้านถูกทำความสะอาดไว้ตั้งแต่แรก เมื่อวานก็ทำความสะอาดอีก วันนี้จึงไม่มีความสกปรกหลงเหลืออยู่ อากาศก็เย็นสบายดี เสียงหัวเราะดังขึ้นในบ้านเฉินและบ้านรอบข้างทุกบ้าน เชื่อกันว่าวันนี้จะเป็นวันที่สิ้นสุดความโชคร้าย ผ่านพ้นปีนี้ไปย่อมมีแต่ความสุขฟืนที่เคยหามาเก็บไว้เริ่มหร่อยหรอเต็มที หากใช้ทำอาหารก็ใช้ได้แค่หนึ่งสัปดาห์ ยังดีที่หิมะหยุดตกแล้ว ไม่อย่างนั้นคงหนาวมากแน่ รอบบ้านทำความสะอาดแล้วในบ้านหรือในครัวก็ทำความสะอาดเหมือนกัน จากที่ไม่ได้ทำมาเกือบหนึ่งเดือนเต็ม ๆเฉินเฟิ่นอี้ยกชามใส่น้ำเข้ามาตั้งในครัวก่อนนำไปต้มให้เดือด บ้านเฉินจะดื่มฉลองตั้งแต่วันนี้เลย เฉินเฟิ่นอี้จึงจะทำกับแกล้มให้ เมื่อเช้านี้เฉินตงทำทีไปซื้อของในตำบลเพื่อให้เฉินเฟิ่นอี้มีเนื้อทำอาหาร โชคดีตอนที่เข้าครัวมีเพียงเฉินเฟิ่นอี้อยู่จึง
ที่นี่คือที่ไหน นี่คือความรู้สึกแรกของแป้งร่ำที่ลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืด มันไม่ใช่บ้านเฉินแน่นอนเพราะเธอสัมผัสได้ถึงความเย็นจากเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่อากาศธรรมชาติอย่างที่ควรจะเป็น เสียงที่ควรจะมีในตอนเช้าก็ไม่มี ความทรงจำล่าสุดที่จำได้ก็คือเธอนอนในตอนฟ้าใกล้สางแล้วแป้งร่ำลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงอย่างคุ้นชินเพื่อปรับสายตาให้มองเห็น ก่อนที่เธอชะงักรีบคลำหาโคมไฟใกล้เตียงที่จำได้ โทนห้องที่คุ้นตาและเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นมันทำให้ตื่นตระหนกเกิดอะไรขึ้น? มันคือความฝันหรือที่ผ่านมามันก็คือความฝันกันแน่ร่างของสาวใหญ่อดีตเลขาท่านประธานบริษัทใหญ่ย้ายตัวมานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มือไม้อ่อนลงชั่วขณะ ร่างนี้คือแป้งร่ำไม่ใช่เฉินเฟิ่นอี้อย่างควรที่จะเป็น มือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นลูบไล้ใบหน้าเพื่อยืนยันว่าตอนนี้คือความจริง แป้งร่ำหันมองรอบ ๆ ตัว ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เวลาเจ็ดโมงเช้าที่เคยตื่นนาฬิกาก็ยังอยู่ที่เจ็ดโมงเช้า เธอรีบเดินไปที่โต๊ะทำงานเพื่อพิสูจน์ความจริงหลาย ๆ อย่างวันที่ 12 เดือนมิถุนายน 2565 เป็นตัวเลขที่ทำให้แป้งร่ำต้องใช้มือลูบใบหน้าของตนเองอีกรอบ วันที่เธอหลับไปคือวันที่
กลางเดือนมกราคมปี 1971 บรรดาตัวแทนแข่งวิชาการหมวดภาษาต่างประเทศ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ยื่นเอกสารให้รักษาการเซียวที่จะพาไปแข่งปักกิ่งในสัปดาห์หน้า จริง ๆ วันแข่งเลื่อนไปมาเพราะสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน แต่ตอนนี้ได้วันที่แน่ชัดแล้ว เป็นช่วงใกล้ ๆ สิ้นเดือน แต่ต้องเผื่อเวลาที่จะไปแข่งด้วยการที่ต้องเดินทางไปมณฑลอื่นหรือการเดินทางไกลจำเป็นต้องมีจดหมายแนะนำตัว อย่างเวลาเข้าในมณฑลก็ต้องใช้จดหมายแนะนำตัว และเด็ก ๆ บ้านเฉินให้ผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านเฟิ่งหลินจัดการให้ตั้งแต่ที่รู้ว่าต้องใช้ จึงไม่มีอะไรล่าช้าเฉินเฟิ่นอี้ฝึกซ้อมกับตัวแทนคนอื่นทุกวันอย่างหนัก ยิ่งช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนจะออกเดินทางต้องขออนุญาตหยุดเรียนเพื่อมาซ้อมแบบจริงจัง ซึ่งรักษาการเซียวเป็นคนอนุญาต ทุกคนจึงไม่ได้ห่วงว่าจะเรียนตามไม่ทัน แข่งเสร็จสามารถตามส่งงานได้อยู่พี่สาวรองลาออกจากงานแล้ว ย้ายไปอยู่กับสามีที่กองทัพพร้อมลุงสามที่กลับไปจัดการภารกิจสุดท้ายที่ได้รับ คาดว่าเดือนหน้าก็จะย้ายมาทำงานในอำเภอได้แล้ว ส่วนพี่ใหญ่เฉินตอนนี้ย้ายไปที่ปักกิ่งและได้ยินว่าอยู่ใกล้กับโรงเรียนที่เฉินเฟิ่นอี้ต้องไป เธอจึงนัดคุยเรื่องสำคัญ จริง
จากที่โอวหยางจิงต้องไปส่งเฉินเฟิ่นอี้ที่บ้านเมื่อดูหนังจบ ตอนนี้ทั้งคู่กลับเดินไปยังบ้านตระกูลโอวหยาง โอวหยางจิงยอมรับที่ครอบครัวหาคู่หมั้นให้ ไหน ๆ ก็จะเรียนจบแล้ว และเขาก็ปฏิเสธมาตลอดหนึ่งเดือนทำให้การหมั้นหมายถูกเลื่อนออกไปเรื่อย ๆเฉินเฟิ่นอี้ไม่เข้าใจตนเองเช่นเดียวกัน อยู่ ๆ ก็ตามผู้ชายไปที่บ้านทันทีที่เขาเอ่ยชวน แต่ในเมื่อรับปากไปแล้วจะยกเลิกก็เป็นการหักหน้ากัน จึงตัดสินใจปล่อยให้เขาพาไปที่บ้าน ไม่ใช่ว่าไว้ใจเขาซะทีเดียว แต่กระดานใสบอกว่าผู้ชายคนนี้ไว้ใจได้ที่สำคัญบ้านโอวหยางยังอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่กลัวว่ามันจะเสียเวลาอะไร ตอนนี้เพิ่งบ่ายโมง กว่าจะมืดยังพอไปที่อื่นได้ บนถนนไม่ค่อยมีคนเดินเท่าไรเนื่องจากเป็นวันหยุดของหลาย ๆ คน เฉินเฟิ่นอี้ชอบบรรยากาศแบบนี้เพราะพอเธอเดินกับโอวหยางจิงไม่มีสายตามองมาทั้งคู่เดินมาหยุดที่บ้านหลังใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ เธอเชื่อแล้วว่าตระกูลโอวหยางรวยมาก บ้านที่เธอได้เดินเข้าไปเป็นบ้านที่ใหญ่กว่าบ้านเช่าและใหญ่กว่าบ้านตระกูลหมิงอีก ไม่พอยังมีรถยนต์จอดอยู่ ซึ่งตอนนี้ราคามันแพงมาก แต่ก็ไม่ได้ตกใจเท่าคนรู้จักของพี่เขยใหญ่ที่มีรถได้"
ไม่ต่างจากที่เฉินเฟิ่นอี้คิด วันต่อมาเธอถูกพวกจี้หลันแซวที่ไปบ้านของรุ่นพี่คนสำคัญ มันทำให้เฉินเฟิ่นอี้ได้ถามเรื่องของเจียวซีและทำให้เธอรู้ว่าเจียวซีได้ไปเจอหน้าครอบครัวของเว่ยฟ่งแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่เจียวซีต้องพาเว่ยฟ่งไปที่บ้าน ทำให้เฉินเฟิ่นอี้ตกใจที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาไปไกลถึงขนาดนั้นเรื่องที่เฉินเฟิ่นอี้ไปบ้านของโอวหยางจิงถูกปิดเป็นความลับ และรู้เพียงกลุ่มเรียนพิเศษเท่านั้น หากมีคนรู้อีกเกรงว่าชื่อเสียงของเฉินเฟิ่นอี้จะเสียหาย ถึงมันจะเสียหายอยู่แล้วก็ตามเถอะ ในแต่ละวันทุกคนใช้ชีวิตตามปกติจนกระทั่งถึงวันที่มาถึงปักกิ่งมณฑลของพวกเธอกับปักกิ่งอยู่ไกลมากจึงใช้เวลาในการเดินทางนานถึงหกวันและในที่สุดก็มาถึง เฉินเฟิ่นอี้เดินลงจากรถไฟด้วยอาการอ่อนล้าแต่สภาพยังดีกว่าคนอื่น ๆ ที่เห็นได้ว่ามอมแมมเป็นอย่างมาก การเดินทางวันนี้มีเพียงรักษาการเซียว ผู้ช่วยของรักษาการเซียว กับครูที่ปรึกษาจูไห่หลิวเท่านั้นที่ตามดูแลเด็ก ๆ ทั้งสิบสองคน และมีเพียงครูที่ปรึกษาจูไห่หลิวที่ได้รับอนุญาตให้ตามมาดูแลเด็ก ๆ คนเดียวเฉินเฟิ่นอี้ยืนรอคนอื่นที่หน้าประตูรถไฟ หลายคนทยอยเดินลงมา เนื่องจากมันเป็นรถไฟที่มี
รักษาการเซียว ผู้ช่วย และครูที่ปรึกษาจูไห่หลิวต้องนำเอกสารและจดหมายแนะนำตัวไปยืนยันกับทางโรงเรียนที่จะเข้าไปมอบตัวพรุ่งนี้ ปล่อยให้ตัวแทนที่เหลือรออยู่ที่ห้อง แต่ถ้าจะออกไปข้างนอกก็ไปได้และอย่าไปไกลมาก ถ้าจะไปให้แจ้งใครไว้ก็ได้เฉินเฟิ่นอี้แต่งตัวตั้งแต่เช้า ก่อนจะมาที่นี่เธอนัดแนะกับพี่ใหญ่เฉินให้มารอที่โรงเรียนเพราะมีเรื่องสำคัญต้องจัดการ คนที่ไปกับเธอมีเพียงเฉินตงที่ไม่เคยห้ามอะไร อีกอย่างภารกิจพิเศษที่รับไว้นานแล้วมาถึงปักกิ่งทั้งทีก็ต้องทำให้เสร็จ บางทีเธออาจได้เงินเยอะกว่าเดิมก็เป็นได้เด็กบ้านเฉินอีกสามคนรู้ว่าเฉินเฟิ่นอี้จะไปหาพี่ชายใหญ่ของบ้านก็ไม่ได้ว่า ทั้งยังบอกให้ระวังตัวเพราะที่นี่ไม่ใช่อำเภอจวี่ ส่วนคนที่ห้องพักปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเฉินไห่หลิวที่ต้องดูแลน้องสาวกับน้องชายของเขา และเรื่องนี้ก็แจ้งกับคุณผู้ช่วยไปแล้วเฉินเฟิ่นอี้คว้ากระเป๋าพร้อมยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้น้องสาวหากจะไปเดินซื้อของด้านนอก ทุกคนมีเงินก็จริงแต่เฉินเฟิ่นอี้ก็จะให้อยู่ดี พร้อมกับการกำชับไม่ให้ใครเข้าไปในห้อง ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะเห็นฟูกที่เฉินเฟิ่นอี้นำออกมาจากระบบ"จะไปแล้วเหรอครับ" เฉินจางถาม"อืม เ
วันที่ 5 เดือน 3 ปี 1984 งานมงคลสมรสของเฉินเฟิ่นอี้และโอวหยางจิงจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกที่ได้รับเชิญต่างพากันเข้าร่วมงานอย่างหนาแน่น เฉินเฟิ่นอี้ต้องลุกมาแต่งตัวตั้งแต่เช้ามืด ทั้งต้องคอยถามถึงหน้างานเพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาดในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง สิ่งที่รอคอยนั่นคือการแต่งงานสักครั้งในชีวิต ในตอนที่เป็นแป้งร่ำ เธอพลาดโอกาสนั้นแล้ว ครั้งนี้เฉินเฟิ่นอี้ย่อมไม่พลาด"พี่สาวสามสวยมาก" เฉินเหม่ยเย่เอ่ยชมพี่สาวด้วยความตื่นเต้น ทั้งที่ไม่ใช่งานของตนเองนาน ๆ ที เฉินเฟิ่นอี้จะได้แต่งหน้าและแต่งตัว หากไม่ใช่วันสำคัญ แต่ก็ไม่ได้จัดเต็มเหมือนวันนี้ ภายใต้ชุดสีแดงมงคล เฉินเฟิ่นอี้เป็นผู้หญิงที่สวยมากในสายตาของน้องสาว"พี่สาวสามของเธอเป็นคนสวยมาตั้งนานแล้ว หล่อนแค่ไม่แต่งตัวเหมือนกับเธอที่ต้องทำงาน" พี่สาวใหญ่เดินเข้ามานั่งใกล้น้องสาวภายในห้องเจ้าสาวตอนนี้ มีพี่สาวใหญ่ พี่สาวรอง เฉินเหม่ยเย่ และเฉินเฟิ่นอี้ที่เป็นเจ้าสาว ทั้งสี่คนเป็นหลานสาวสายหลักของลุงสามที่เป็นผู้นำตระกูล ต่อให้แต่งงานแล้วแต่ยังเป็นคนสำคัญเฉินเฟิ่นอี้แต่งงานแล้วเธอจะเป็นคนของตระกูลโอวหยาง แต่ว่ายังสามารถมีปากเสียงในตระกูลเ
ต่อให้เร่งมากแค่ไหน การสร้างบ้านยังต้องใช้เวลาสองเดือน เฉินเฟิ่นอี้จึงใช้เวลาที่ว่างในการช่วยเฉียนลี่เซียนเปิดร้านตัดเย็บ มันเป็นเพียงการตัดเย็บที่ลูกค้าสั่งตัดไม่เกินห้าตัว ปะซ่อมบริเวณที่ขาดกว่าบ้านจะเสร็จ ร้านตัดเย็บเฉียนก็เริ่มเข้าที่แล้ว เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เธอปล่อยให้หล่อนจัดการร้านเอาเอง เพราะมีเฉียนเฟยเข้ามาช่วยจึงไม่ค่อยห่วงนักบ้านที่สร้างใหม่เป็นบ้านปูนห้าห้องนอน ล้อมรั้วแข็งแรงไม่ให้คนนอกเข้าไป แต่เฉินเฟิ่นอี้ฝากกุญแจให้ผู้ใหญ่บ้านจ้างคนไปทำความสะอาดข้างนอกบ้านให้ รวมถึงถางหญ้าในที่ดิน ค่าดูแลเดือนละยี่สิบหยวน แน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยอมจ่ายทันทีที่บ้านเสร็จ กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ก็เดินทางกลับปักกิ่งเพื่อเริ่มงาน พวกผู้หญิงมีงานถ่ายแบบเข้ามาบ้าง เฉินเฟิ่นอี้อนุญาตให้ทำและลดเงินเดือนบางส่วนของพวกหล่อนลงร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ยอีกสองสาขาอยู่ห่างจากสาขาใหญ่พอสมควร แต่เป็นบริเวณที่มีคนเดินผ่าน แน่นอนว่าร้านของเธอพี่ใหญ่เฉินเป็นคนหาให้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าสาขาที่สองเป็นสาขาที่เฉินเฟิ่นอี้สร้างร่วมกับน้องชายน้องสาว ส่วนสาขาใหญ่ตอนนี้มันเป็นเพียงชื่อของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าการ
งานมงคลผ่านไปแล้ว มีแต่คนอิจฉาเจ้าสาวเพราะได้รับสินสอดจำนวนมาก หลังงานมงคลเฉินเฟิ่นอี้เรียกผู้รับเหมาเข้าไปดูบ้านพร้อมกับสร้างบ้านใหม่ด้วยเวลาอันน้อยนิด เฉินเฟิ่นอี้จ่ายไม่อั้นเพื่อให้บ้านเสร็จก่อนกลับปักกิ่ง แต่ถึงจะเสร็จไม่ทันเธอก็จะรอให้มันเสร็จก่อนอยู่ดี ต่อให้มีคนนินทาและด่าว่าโง่ที่เอาเงินมาทิ้งกับบ้านที่ไม่ได้อยู่ เฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้สนใจ"พี่จัดการเรื่องผ้าถุงเสร็จแล้ว พวกเรากลับไปที่ร้านกันก่อนเถอะครับ" โอวหยางจิงบอกคนรักที่นั่งรออยู่ในโรงงานวันนี้เฉินเฟิ่นอี้เข้ามาจัดการเรื่องที่จะให้โรงงานส่งผ้าถุงเข้าไปในปักกิ่ง ค่าใช้จ่ายในการขนส่งแน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยินดีจ่าย ขอแค่ให้ของไปถึงมือส่วนร้านเซี่ยเซี่ยร้านแรกของเธอจะยุติการขาย เรื่องนี้ได้คุยกับลุงเหว่ยเทาไปแล้วตอนที่กลับมาถึงวันแรก แต่ต้องเข้าไปคุยอีกทีเพื่อยกเลิกสัญญาพอมีการประกาศออกไปดูเหมือนว่าทุกคนจะตกใจและรีบมาซื้อเก็บเอาไว้ สินค้าจะมีเหลือให้ขายเพียงห้าพันผืนสุดท้าย หากขายหมดก่อนร้านจะปิดลงทันที"ค่ะ"หากเป็นเมื่อก่อนเฉินเฟิ่นอี้กับโอหยางจิงคงปั่นจักรยานกัน แต่ตอนนี้คุณลุงโอวหยางให้คนรักของเธอนำรถมาใช้งานระหว่างอยู
วันที่เจ็ดเดือนสามปี 1982 กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้เดินทางมาถึงบ้านพักในอำเภอจวี่ที่เป็นบ้านหลังเดิม และเพื่อนของลุงสามเป็นคนจัดพื้นที่เอาไว้ให้แล้วการเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้มีผู้ใหญ่บ้านเฉินเดินทางมาด้วย มีเพียงผู้ปกครองที่เดินทางกลับบ้าน เฉินเฟิ่นอี้พร้อมกับน้อง ๆ ต้องการมาเข้าร่วมงานมงคลของเว่ยฟ่งกับเจียวซีถึงได้ตามกันมา ยกเว้นเฉินชิงชิงน้องชายคนเล็กของบ้านที่ปีนี้อายุสิบเอ็ดปีแล้วเฉินเฟิ่นอี้รับกุญแจจากลุงเหว่ยเทาทันทีที่มาถึง บ้านพักหลังนี้ถือว่าเป็นความทรงจำของเธอก็ว่าได้ อยู่มาตั้งหลายปี ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม"คุณลุงเหว่ยไม่ได้ปล่อยบ้านให้คนอื่นเช่าเหรอคะ" เฉินเฟิ่นอี้หันไปถามเจ้าของบ้านที่นั่งอยู่ในห้องโถง และสอบถามเรื่องราวระหว่างที่ไปอยู่ในปักกิ่ง"บ้านหลังนี้หลานบอกว่ามันเป็นความทรงจำไม่ใช่หรือ ถึงลุงไม่ได้ขายให้แต่ก็เก็บเอาไว้รอพวกหลานกลับมา" เหว่ยเทายิ้มเล็กน้อยเขาไม่ได้แต่งงานมีภรรยา สมบัติที่มีอยู่จึงเป็นของเขาและมีรายได้จากการปล่อยเช่าห้องพัก ไม่จำเป็นต้องปล่อยเช่าบ้านหลังนี้ให้คนอื่น และเด็กบ้านเฉินก็เหมือนลูกเหมือนหลานของเขา"ขอบคุณค่ะ""ลุงสามฝากบอกว่าถ้ามีเวลาให้ขึ
หลังงานเลี้ยงจบลง ข่าวที่หลายคนจับตามองมากที่สุดไม่พ้นหลานชายหลานสาวของตระกูลเฉินมีคนรักแล้ว หลายคนยังคงต้องการขยับความสัมพันธ์ เผื่อว่าวันหน้าจะมีโอกาส จึงจ้างกลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ไปร่วมงานอยู่บ่อย ๆช่วงปิดภาคเรียนเป็นช่วงที่ต้องทำหลายอย่าง กว่าจะลงตัวก็เปิดภาคเรียนแล้ว ภาคเรียนที่สองเป็นภาคเรียนที่เหนื่อยมาก บ่อยครั้งที่เฉินเฟิ่นอี้ต้องนอนในหอพักของมหาวิทยาลัยความสัมพันธ์ของกลุ่มเพื่อนยังคงหนาแน่น ยิ่งที่บ้านย้ายเข้าไปอยู่ในเขตตระกูลเฉิน ทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านพักทำให้ได้พบเจอหน้ากันทุกวันยิ่งได้อยู่ด้วยกันกับเฉินเฟิ่นอี้ ทุกคนต่างลงความเห็นที่จะทำงานกับเพื่อนสาว เว่ยฟ่งถึงขั้นต่อสายมาหาพ่อกับแม่เรื่องที่เขาเรียนจบแล้วจะกลับไปแต่งงานกับเจียวซีแล้วจะกลับมาอยู่ในปักกิ่งคนอื่น ๆ ก็มีท่าทีไม่ต่างกัน ผู้ชายเข้าไปช่วยรุ่นพี่โอวหยางจิงทำงาน ผู้หญิงช่วยเฉินเฟิ่นอี้ในร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ย ตอนนี้ได้ค่าตอบแทนน้อย แต่ถือว่าคุ้มเพราะช่วยอยู่เบื้องหลังแค่มาเรียนปีแรกก็ทำเอาผู้ปกครองปวดหัวแล้ว ปีที่ีสองยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ไม่มีใครกลับบ้านในช่วงปิดภาคเรียน ถ้าอยากเจอก็ให้เดินทางมาหาความสัมพัน
หลานชาย หลานสาว รวมถึงกลุ่มเพื่อนสนิทถูกจับแต่งตัวให้เหมาะสมกับงานสำคัญ อันที่จริงกลุ่มเพื่อนของเฉินเฟิ่นอี้ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมก็ได้ แต่ทุกคนลงความคิดเห็นว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ภายใต้การดูแลของบ้านเฉินแล้วแขกภายในงานมีหลายคนที่เคยสนิทกับคนในตระกูลเฉิน เพราะฉะนั้นเฉินเฟิ่นอี้จึงพยายามบอกคนอื่นให้หลีกเลี่ยงเท่าที่จะทำได้เฉินเฟิ่นอี้มองชุดที่ออกแบบด้วยฝีมือของพี่เยี่ยฉิงจากร้านเยว่ซิน ทันทีที่จะมีการจัดเตรียมงานเธอได้ทำการติดต่อขอตัดเย็บเสื้อผ้าให้ และตระกูลเยี่ยคือหนึ่งในพันธมิตรของปู่เธอ"เสียดายจริง ๆ ที่เธอไม่คิดจะทำงานในวงการบ้างหรือ" เยี่ยฉิงมองชุดบนตัวของเฉินเฟิ่นอี้"ไม่ละค่ะ ฉันชอบทำงานเบื้องหลังมากกว่า" เธอรีบส่ายหน้าปฏิเสธไป ให้ช่วยแต่งหน้าหรือทำอย่างอื่นได้ แต่จะให้ถ่ายแบบเธอทำไม่ได้จริง ๆ"อื้อ ๆ ฉันก็ว่าแบบนั้นดูเป็นเธอมากกว่า" หล่อนหัวเราะเฉินเฟิ่นอี้เป็นเจ้าของร้านผ้าถุงที่ออกแบบลวดลายเอง เยี่ยฉิงเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าที่ไม่ถ่ายแบบงานตัวเอง จึงเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเยี่ยฉิงที่ช่วยเฉินเฟิ่นอี้แต่งตัวแล้วเดินไปช่วยคนอื่นต่อ ทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้แต่งตัว แน่นอนว่างานส
ข่าวหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งของหลายวันมานี้จะเป็นข่าวอะไรไปไม่ได้นอกจากข่าวผลัดเปลี่ยนผู้นำตระกูลเฉิน เป็นผู้นำที่หลาย ๆ คนคิดว่าเหมาะสมที่สุด นั่นก็คือ เฉินจงอี้ หรือปู่เฉินของเด็ก ๆ บ้านเฉิน ที่รับช่วงต่อระหว่างรอลูกชายทั้งสี่เรียนรู้งานเฉินเฟิ่นอี้ให้พี่ใหญ่เฉินส่งคนคอยตามคนตระกูลเฉินไปอย่างลับ ๆ เธอไม่ไว้ใจพวกเขา อย่าลืมว่าเฉินหานกับ เฉินหว่านทั้งสองต่างมีชื่อเสียง เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ และปู่รอง ปู่สามของตระกูลจะไม่มีน้ำยาทำอะไรจริง ๆ น่ะหรือ"ปู่คะ ฉันว่าพวกเราอยู่ที่บ้านนี้สักพักก่อนดีกว่าค่ะ ส่วนบ้านหลังนั้นก็ให้คนเข้าไปเก็บกวาดซ่อมแซมใหม่ก่อน" เฉินเฟิ่นอี้เสนอเมื่อปู่เฉินจะพาทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านตระกูลเฉินบ้านมันเก่ามากแล้วควรทำความสะอาดครั้งใหญ่ อีกอย่างเธอก็ไม่รู้ว่าข้างในจะมีอะไรที่เป็นอันตรายหรือไม่ และเธอสะดวกใจที่จะอยู่บ้านพักหลังนี้มากกว่า แต่ว่าถ้าปู่เฉินต้องการที่จะย้ายไปเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร ขอเพียงให้มั่นใจก่อนว่ามันจะปลอดภัยจริง ๆช่วงนี้เธอไม่สามารถติดต่อกับระบบได้และมันก็หายไปหลายวันแล้ว ทำให้เฉินเฟิ่นอี้เป็นกังวลและคิดว่าควรรอมากกว่า"ทำไมล่ะ ที่จริงพวกเร
ปู่เฉิน ย่าเฉิน ลุงใหญ่ ลุงรอง ลุงสาม พ่อของเธอ พี่ใหญ่เฉิน และเฉินเฟิ่นอี้อยู่บนรถยนต์เพื่อเดินทางไปยังตระกูลเฉินตามที่เคยบอกเฉินหว่านเอาไว้ เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้พูดเล่น ตอนนี้ตระกูลเฉินมีหนี้และอีกไม่นานกิจการค้าขายที่เคยเป็นของปู่เฉินก็จะถูกยึด พี่ใหญ่เฉินกล่าวว่ามีคนจากตระกูลเฉินขอกู้เงินจำนวนหนึ่งล้านหยวนแลกกับกิจการเฉินเฟิ่นอี้นั่งข้างคนขับซึงก็คือพี่ใหญ่เฉิน นอกจากพวกเธอแล้วยังมีนายทหารอีกสองคันที่พี่ใหญ่เฉินพามาด้วย ดูเหมือนว่าตระกูลเฉินจะไม่มีเงินจ้างคนทำความสะอาดทางเข้า เขตบ้านตระกูลเฉินรกมากรถยนต์ดับลงหน้าบ้าน สมาชิกบ้านเฉินลงจากรถ เฉินเฟิ่นอี้เดินไปหาย่าเฉินที่อยู่ในวงล้อมของลูก ๆ เฉินเฟิ่นไม่ได้กลัวแต่ถ้าเกิดมีการลงไม้ลงมือกัน อย่างน้อยอยู่ใกล้ย่าเฉินจะปลอดภัยที่สุด“ที่นี่คือตระกูลเฉินเหรอคะ?”เฉินเฟิ่นอี้มองไปยังบ้านหลายหลังที่อยู่ติดกัน ด้านหน้าทางเข้าพบว่าเป็นบ้านสมัยใหม่ที่ดูดี แต่พอเข้ามาด้านหลังต้องบอกว่ามันทรุดโทรมมาก โดยเฉพาะหลังที่เป็นเหมือนบ้านรวม ตัวหลังคาหน้าบ้านมันแตกแล้ว“เปลี่ยนไปมากจริง ๆ” ปู่เฉินว่าด้วยความเสียดาย ที่ผ่านมาเขาคิดว่าจะมีคนดูแลที่นี่เหมือนก
เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดร้านนานหลายวัน เฉินเฟิ่นอี้กลับมาเปิดร้านอีกครั้งและจ้างคนมาเฝ้าหน้าร้านถึงสามคนเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย หนังสือพิมพ์ลงข่าวทายาทของเจ้าของกิจการที่ยกให้น้องชายก่อนที่เขาจะหายตัวไปพร้อมครอบครัว ทำให้ร้านผ้าถุงมีลูกค้าเข้ามาซื้อของมากขึ้น และมีหลายร้านที่มาจ้างให้เฉินเหม่ยเย่ไปถ่ายงาน นอกจากนี้กลุ่มเพื่อนผู้หญิงก็ยังมีงานตามมาอีกไม่ต่างกันเฉินเฟิ่นอี้นั่งลงบนเก้าอี้เพื่อตรวจสอบบัญชีของเมื่อวานที่ยังไม่ได้จัดการ ข้าง ๆ กันมีโอวหยางจิงที่ตามมาด้วย เห็นบอกว่างานในโรงงานไม่ได้มีอะไรให้ทำและไม่ได้รับลูกค้าเพิ่ม เพียงตัดเย็บให้ร้านของเธอกับตัดเย็บเสื้อผ้าให้ร้านเยว่ซินก็ทำแทบไม่ทันแล้ว"เมื่อวานโจวซิงฉือบอกว่าที่บ้านติดต่อมา มีคนเข้าไปหาพวกเขาสอบถามถึงเรื่องของเธอ แต่ครอบครัวของเขาบอกไปว่าไม่รู้จักเธอ" โอวหยางจิงเอ่ยขึ้นระหว่างที่นั่งมองคนรักทำงานทุกคนติดต่อไปยังครอบครัวเพื่อให้บอกว่าไม่รู้จักบ้านเฉินหรือหากพวกเขามีพยานให้ตอบว่าเป็นเพื่อนของลูกเท่านั้นไม่ได้รู้จักสนิทสนม และเป็นคำสั่งของเฉินเฟิ่นอี้เองเพื่อความปลอดภัยของทุกคน และไม่มีใครถามเนื่องจากเชื่อในตัวของเพื่อน