พวกเฉินเฟิ่นอี้นั่งรอเกือบครึ่งชั่วโมง คนด้านในดูเหมือนจะไม่ออกมาง่าย ๆ จึงตัดสินใจขอกลับก่อนและฝากขนมเอาไว้ให้คนที่เหลือ ก่อนสองพี่น้องจะปั่นจักรยานไปยังบ้านของตระกูลโอวหยางที่คาดว่าจี้หลันจะอยู่ที่นั่นด้วยและมันเป็นไปตามที่คิด"เข้ามาสิ"เฉินเฟิ่นอี้ส่งขนมให้เพื่อนสาวที่เดินออกมาเปิดประตูรั้วบ้านให้เข้าไป ยิ่งมองไปด้านหลังของหล่อนเฉินเฟิ่นอี้ไม่ต้องไปบ้านไหนอีก เพราะซ่งเวยหลานก็อยู่ที่นี่ด้วย ดูเหมือนว่าผู้ใหญ่แต่ละบ้านกำลังปรึกษาเรื่องบางอย่าง เฉินเฟิ่นอี้กลัวว่าจะเข้ามาขัดจังหวะจึงเอ่ยถาม"เอ่อ...""อ้อ พวกฉันกำลังคุยเรื่องไปเรียนที่ปักกิ่งน่ะ จริงสิ ไม่รู้ว่าเขาไปบอกเธอหรือยัง พี่โอวหยางจิงได้รับจดหมายจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งแล้วนะ!" จี้หลันบอกพร้อมดันตัวเพื่อนกับน้องสาวของเพื่อนที่แทบจะเป็นเพื่อนกันเข้ามาในรั้วบ้านก่อนปิดมันลงไหน ๆ เฉินเฟิ่นอี้ก็จะไปปักกิ่งก่อน ที่บ้านกำลังกังวลเรื่องที่อยู่ให้เพื่อนของหล่อนคุยกับพวกผู้ใหญ่คงจบเร็วขึ้น และทุกคนก็เอ็นดูเฉินเฟิ่นอี้มากชอบกว่าลูกตนเองอีก ยิ่งได้ยินว่าพี่น้องบ้านเฉินได้คะแนนสอบเกาเข่าเต็มยิ่งนับถือเพื่อนของหล่อนมากขึ้น เฉินเฟิ่นอี้รับ
กลุ่มเพื่อนไม่มีใครมาส่ง แต่เมื่อวานได้เจอกันแล้วและเฉินเฟิ่นอี้ได้ขอที่อยู่ของทุกคนเอาไว้ หากไปถึงปักกิ่งจะได้ส่งจดหมายมาบอกถูก รวมถึงให้เบอร์โทรศัพท์ที่พี่ใหญ่เฉินใช้ติดต่อ หากมีเรื่องที่ด่วนมากและเฉินเฟิ่นอี้คงต้องใช้โทรศัพท์ดีกว่าจริง ๆ ที่ผ่านมาเฉินเฟิ่นอี้สามารถติดต่อกับพี่ใหญ่เฉินผ่านโทรศัพท์ได้ แต่มันมีเรื่องสำคัญหลายอย่างที่หากคนอื่นได้ยินมันจะเกิดปัญหา และไม่รู้ว่าหากใช้โทรศัพท์ของร้านค้าแล้วคนอื่นจะมาต่อแถวเพื่ือเร่งคุยหรือไม่ ที่ร้านก็ยังไม่มีโทรศัพท์ไว้ใช้งานสักเครื่องเฉินเฟิ่นอี้ติดชื่อเจ้าของกับกล่องที่จะนำไปด้วยเพื่อไม่ให้ปะปนไปกับของคนอื่น พื้นที่สัมภาระมีจำกัดยังดีที่พวกเธอซื้อตั๋วนอนจึงนำของไปได้มากกว่าคนอื่น ที่สำคัญเฉินเฟิ่นอี้ซื้อตั๋วนอนหกใบ แต่ตู้นอนของเฉินชิงชิงจะถูกใช้เก็บของและเขาไปนอนกับเฉินจางที่ตัวไม่ใหญ่แทนเพื่อความปลอดภัยหลายปีก่อนที่เข้าปักกิ่ง ตอนนั้นพวกเธอเป็นตัวแทนไปแข่งวิชาการมีคนดูแลและได้รับการคุ้มครอง ครั้งนี้ต่างกันออกไป เพราะต้องดูแลตนรวมถึงมีผู้ชายเพียงแค่สามคน และเฉินเฟิ่นอี้จะสลับกันนอนเพื่อดูแลความปลอดภัยให้ทุกคน"จริง ๆ น่าจะให้ลุงไปส่ง
พี่น้องบ้านเฉินมาถึงสถานีรถไฟปักกิ่งแล้ว ก่อนจะทำอะไรเฉินเฟิ่นอี้รีบพาน้อง ๆ ไปนั่งพัก ส่วนเธอก็เดินหาตู้โทรศัพท์เพื่อติดต่อพี่ใหญ่เฉินให้มารับไปบ้านพักที่ได้หาไว้ให้ ถึงจะบอกวันที่คาดว่าจะมาถึงไปแล้วแต่มันก็มีอะไรที่ไม่แน่นอน ถ้าพี่ใหญ่เฉินติดภารกิจสำคัญพวกเธอจะได้หาห้องเช่าแถวนี้ไปก่อนจัดการเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ทำทีไปหาซื้อน้ำและผ้าเย็นมาให้ทุกคนได้คลายร้อน น้ำจากร้านค้าหรือที่พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่มาขายเฉินเฟิ่นอี้ไม่แน่ใจว่ามันจะสะอาดไหม ซึ่งต่อให้ต้มเพื่อฆ่าเชื้อก็ไม่รู้ขั้นตอนการทำ เพราะฉะนั้นอะไรที่คิดว่าจะเป็นผลเสียต่อร่างกายเฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ยุ่ง"อีกสักพักพี่ใหญ่ถึงจะมา ทนหิวกันก่อน" อาหารที่เตรียมมาจากบ้านเฉินเฟิ่นอี้เตรียมมาเพียงพอ แต่ขบวนรถไฟมาถึงสถานีรถไฟช้าไปหลายชั่วโมง แม้แต่ตัวเธอเองก็เริ่มหิวแล้ว"มาครั้งนี้สถานีรถไฟคึกคักกว่าเดิมนะคะ" เฉินเหม่ยเย่หันมองรอบ ๆ ก่อนพูดขึ้นใช่ สถานีรถไฟคึกคักกว่าหลายปีก่อนมาก อาจเป็นเพราะมีการประกาศค้าขายจำนวนจึงเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจนจะเดินชนกันอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังเห็นว่ามีการก่อสร้างอยู่หลายจุดซึ่งพัฒนาขึ้นมาก แตกต่างจากในอำเภอจวี่และในห
พี่น้องบ้านเฉินตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อไปจัดการสิ่งที่ต้องทำ อาหารมื้อเช้าที่บ้านยังไม่มีอุปกรณ์และคงจะน่าสงสัยที่ไม่เคยซื้อแต่กลับมีของพวกนี้ เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่ได้นำออกมาจากในระบบ อีกทั้งหลายอย่างไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเจ้านกเซี่ยเซี่ยแล้วเฉินเฟิ่นอี้ปิดประตูรถยนต์หลังปล่อยน้องชายน้องสาวเข้าไปในโรงเรียน จริง ๆ ตอนแรกว่าจะพาเฉินเหม่ยเย่ไปด้วย แต่คนที่ดำเนินเอกสารนอกจากเฉินเฟิ่นอี้แล้วมีเพียงเฉินเหม่ยเย่ที่เข้าใจง่ายสุด อีกทั้งหล่อนยังบอกว่าเดี๋ยวจะเป็นคนจัดการเรื่องโรงเรียนของน้องชายเอง"จะเข้าไปที่มหาวิทยาลัยวันไหน" การได้ทุนการศึกษาจำเป็นต้องเข้าไปดำเนินเอกสารก่อนวันมอบตัว ซึ่งทุกคนเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือน"จัดการเรื่องที่บ้านเสร็จก่อนค่ะ"ถ้าเข้าไปจัดการเอกสารแล้วเฉินเฟิ่นอี้คิดว่าคงใช้เวลาพอสมควรและเธอไม่อยากทำอะไร ๆ หลายอย่างพร้อมกัน นอกจากจะทำให้สับสนแล้วมันยังช้าอีกด้วย ที่สำคัญพี่้ใหญ่เฉินยังลาไว้เพียงสิบวันเท่านั้น หากปล่อยให้วันลาเสียเปล่าก็ไร้ประโยชน์"อ้อ""มีที่ดินในย่านการค้าไหมคะ" เฉินเฟิ่นอี้ไม่อ้อมค้อม ทันทีที่พี่ใหญ่เฉินพาขับรถเพื่อไปหาซื้อของใช้เธอก็ถามเขาทันที กว่าจะปร
"เฉินหว่าน?"ถึงจะผ่านมาแล้วหลายปีแต่เฉินเฟิ่นอี้ยังไม่ลืมใบหน้าของคนตระกูลเฉิน ยิ่งตอนนั้นมีเรื่องกันเธอยิ่งจำหล่อนได้แม่น รู้ว่าสักวันเธอต้องเผชิญหน้ากับคนตระกูลเฉินแต่ก็ไม่คิดว่าจะเจอกันตั้งแต่มาถึงปักกิ่ง ดีที่หล่อนเดินเข้าร้านเสื้อผ้าไม่ได้เดินเข้าร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า"คุณเฉินหว่านสวยมากเลยล่ะค่ะ ทั้งยังแสดงเก่งเหมือนลูกพี่ลูกน้องของเธออย่างนักแสดงเฉินหาน"เฉินเฟิ่นอี้ยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินในสิ่งที่พนักงานสาวพูด ไม่คิดว่าหล่อนจะกลายมาเป็นนักแสดงสาวได้ แต่ก็ไม่แปลกในเมื่อพี่ชายของหล่อนเป็นนักแสดงหล่อนย่อมถูกจับตามองอยู่แล้ว สิ่งที่แปลกสำหรับเฉินเฟิ่นอี้ก็คือเธอเข้าโรงหนังบ่อยแต่ไม่เคยเห็นหล่อนแสดงสักครั้ง"เธอเป็นนักแสดงเหรอคะ""ใช่แล้วล่ะค่ะ ตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลายก็ถูกทาบทามไปเป็นนักแสดง ปีนี้เห็นว่าได้เป็นนางเอกด้วยนะคะ"ถึงว่าเฉินเฟิ่นอี้ไม่เคยเห็นหล่อนแสดง คงเป็นเพราะหล่อนไม่ใช่ตัวเอก ยิ่งหนังที่เฉินหานแสดงเฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้ดูเลยไม่รู้ว่าเฉินหว่านก็เป็นนักแสดงด้วย แบบนี้ก็ดีแล้ว หล่อนเป็นคนสาธารณะจะทำอะไรก็ถูกจับตามอง ถ้ารู้ว่าปู่เฉินกับย่าเฉินกลับมาทวงทุกอย่างคืนหลายคนต้องให
กว่าจะจัดการเดินเรื่องทำเอกสารเข้าโรงเรียนของน้องชายคนเล็กของบ้านเสร็จ รวมถึงจัดการเรื่องในบ้านก็ใช้เวลาไปมากกว่าหนึ่งสัปดาห์ วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พี่ใหญ่เฉินลางานเอาไว้และเป็นวันที่พี่น้องบ้านเฉินจะเข้าไปจัดการเอกสารเดินเรื่องของตนเองบ้างเฉินเฟิ่นอี้ตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อทำอาหารไปกินที่มหาวิทยาลัยเพราะมันคงไม่เสร็จง่ายแน่ ดีที่บ้านเฉินได้รถมาใช้แล้วพี่ใหญ่เฉินจึงนำรถประจำตำแหน่งไปคืน และวันนี้พี่ใหญ่เฉินกับเฉินชิงชิงก็จะไปมหาวิทยาลัยด้วยมันจึงวุ่นวายตั้งแต่เช้าแบบนี้"จริง ๆ ไปส่งพวกเราที่มหาวิทยาลัยแล้วกลับเลยก็ได้นะคะ จะได้ไม่ต้องรอ" เฉินเฟิ่นอี้บอกพี่ใหญ่เฉินที่ลุกขึ้นมาวิ่งตั้งแต่หุงข้าวยังไม่เสร็จและตอนนี้กำลังเตรียมวัตถุดิบที่ใช้ทำกับข้าว"วันนี้พี่หยุดงานวันสุดท้ายแล้วคงไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยอีกนานเลย" เพราะวันหยุดที่เหลืออีกยี่สิบกว่าวันพี่ใหญ่เฉินเก็บไว้รอทุกคนที่จะย้ายมาอยู่ในปักกิ่ง"ค่ะ"ที่บ้านไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เช้ามาก แต่ด้วยจำนวนสมาชิกรวมถึงต้องออกไปทำธุระข้างนอกเฉินเฟิ่นอี้จึงต้องตื่นตั้งแต่เช้า ถ้าเดินเรื่องเอกสารเสร็จเร็วบางทีอาจมีเวลาแวะเข้าไปดูร้านที่พี่ใหญ่เฉินเ
เฉินเฟิ่นอี้ตรวจเอกสารอีกรอบเพื่อความแน่ใจก่อนเก็บเอกสารอื่น ๆ ลงในกระเป๋า ตอนนี้เธอจัดการเอกสารเสร็จแล้วรอเพียงน้องสาวจัดการเสร็จก็นำเข้าไปส่งด้านในได้เลย ระหว่างรอเฉินเฟิ่นอี้หันมองบรรยากาศรอบตัวที่มันดีมาก มีทั้งม้านั่ง ต้นไม้ และพื้นหญ้าที่สามารถนั่งได้นอกจากนี้อาคารเรียนยังมีอีกหลายอาคารซึ่งแยกสาขาไว้ชัดเจน จากที่รู้มาวิทยาศาสตร์เคมีที่เฉินเฟิ่นอี้เลือกเรียน ทางมหาวิทยาลัยประกาศรับไม่กี่คนเท่านั้นและมีจำนวนที่ผ่านน้อยมาก ไม่รู้ว่านอกจากเธอกับน้องสาวจะมีอีกกี่คนที่ผ่านเข้ามาได้"เสร็จแล้วค่ะ""อืม"เฉินเฟิ่นอี้เดินนำน้องสาวเข้าไปในอาคารก่อนยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่ธุรการประจำมหาวิทยาลัยของที่นี่ โชคดีที่ไม่มีคนอื่น ทันทีที่ยื่นเอกสารตรวจไม่ถึงสิบนาที ทั้งเฉินเฟิ่นอี้กับเฉินเหม่ยเย่ก็ถูกเรียกให้เข้าไปยังห้องห้องหนึ่ง ด้านในมีอาจารย์ผู้ชายและอาจารย์ผู้หญิงนั่งรออยู่"สวัสดีค่ะ""โอ้ นี่น่ะหรือนักศึกษาที่สอบได้คะแนนเต็ม!" อาจารย์ผู้หญิงอุทานพลางมองนักศึกษาที่เป็นพี่น้องกันทั้งคู่ ตอนแรกที่ได้ยินหล่อนไม่เชื่อว่าจะมีคนได้คะแนนเต็ม แต่ว่านอกจากสองพี่น้องคู่นี้แล้วยังมีนักศึกษาชายอีกสามค
ผ่านมาสามวันแล้วสำหรับการไปรายงานตัว ตอนนี้เฉินเฟิ่นอี้ เฉินไห่หลิว เฉินตง เฉินเหม่ยเย่ และเฉินจาง เป็นนักศึกษาที่ได้รับทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งอย่างเต็มตัวแล้ว ระหว่างนี้กำหนดการรายงานตัวพวกเธอไม่ต้องเข้าไป แต่วันที่ต้องย้ายเข้าหอพักต้องไปตามกำหนดเพื่อนในกลุ่มเฉินเฟิ่นอี้ได้ติดต่อไปหาแล้วและกว่าจะมาถึงปักกิ่งคงใช้เวลาอีกหลายวัน เฉินเฟิ่นอี้จึงให้พี่ใหญ่เฉินหาห้องพักให้พวกเขาพร้อมครอบครัว ที่สำคัญเฉินเฟิ่นอี้ยังให้พี่ใหญ่เฉินเก็บเงินค่าเช่าอีก ซึ่งมันทำให้เฉินเฟิ่นอี้ได้รู้ว่าตอนนี้พี่ใหญ่เฉินมีห้องแถวด้วยน่าแปลกใจที่มีคนนำมาจำนอง เพราะหากปล่อยเช่าเดือนหนึ่งคงได้ไม่ต่ำกว่าร้อยหยวนหรือหากปล่อยเช่าเป็นรายวันก็ได้ขั้นต่ำวันละห้าหยวนแล้ว แต่พี่ใหญ่เฉินบอกมันเป็นห้องแถวที่คนรู้จักนำมาจำนอง อีกไม่นานก็จะมาไถ่คืนจึงไม่ได้ปล่อยเช่า"กลิ่นเริ่มหายไปแล้ว แต่ยังต้องฉีดทุกวันค่ะ ถ้าหมดบอกด้วยนะคะ"เฉินเฟิ่นอี้บอกผู้รับเหมาที่พี่ใหญ่เฉินหามาให้จัดการภายในร้านที่กำลังปรับปรุงอยู่ เนื่องจากมันเป็นร้านอาหารเก่า การมีกลิ่นอับชื้นไม่ใช่เรื่องแปลก และสิ่งที่เฉินเฟิ่นอี้จะนำมาขายเป็นผ้าถุงเซี่ย
วันที่ 5 เดือน 3 ปี 1984 งานมงคลสมรสของเฉินเฟิ่นอี้และโอวหยางจิงจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกที่ได้รับเชิญต่างพากันเข้าร่วมงานอย่างหนาแน่น เฉินเฟิ่นอี้ต้องลุกมาแต่งตัวตั้งแต่เช้ามืด ทั้งต้องคอยถามถึงหน้างานเพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาดในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง สิ่งที่รอคอยนั่นคือการแต่งงานสักครั้งในชีวิต ในตอนที่เป็นแป้งร่ำ เธอพลาดโอกาสนั้นแล้ว ครั้งนี้เฉินเฟิ่นอี้ย่อมไม่พลาด"พี่สาวสามสวยมาก" เฉินเหม่ยเย่เอ่ยชมพี่สาวด้วยความตื่นเต้น ทั้งที่ไม่ใช่งานของตนเองนาน ๆ ที เฉินเฟิ่นอี้จะได้แต่งหน้าและแต่งตัว หากไม่ใช่วันสำคัญ แต่ก็ไม่ได้จัดเต็มเหมือนวันนี้ ภายใต้ชุดสีแดงมงคล เฉินเฟิ่นอี้เป็นผู้หญิงที่สวยมากในสายตาของน้องสาว"พี่สาวสามของเธอเป็นคนสวยมาตั้งนานแล้ว หล่อนแค่ไม่แต่งตัวเหมือนกับเธอที่ต้องทำงาน" พี่สาวใหญ่เดินเข้ามานั่งใกล้น้องสาวภายในห้องเจ้าสาวตอนนี้ มีพี่สาวใหญ่ พี่สาวรอง เฉินเหม่ยเย่ และเฉินเฟิ่นอี้ที่เป็นเจ้าสาว ทั้งสี่คนเป็นหลานสาวสายหลักของลุงสามที่เป็นผู้นำตระกูล ต่อให้แต่งงานแล้วแต่ยังเป็นคนสำคัญเฉินเฟิ่นอี้แต่งงานแล้วเธอจะเป็นคนของตระกูลโอวหยาง แต่ว่ายังสามารถมีปากเสียงในตระกูลเ
ต่อให้เร่งมากแค่ไหน การสร้างบ้านยังต้องใช้เวลาสองเดือน เฉินเฟิ่นอี้จึงใช้เวลาที่ว่างในการช่วยเฉียนลี่เซียนเปิดร้านตัดเย็บ มันเป็นเพียงการตัดเย็บที่ลูกค้าสั่งตัดไม่เกินห้าตัว ปะซ่อมบริเวณที่ขาดกว่าบ้านจะเสร็จ ร้านตัดเย็บเฉียนก็เริ่มเข้าที่แล้ว เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เธอปล่อยให้หล่อนจัดการร้านเอาเอง เพราะมีเฉียนเฟยเข้ามาช่วยจึงไม่ค่อยห่วงนักบ้านที่สร้างใหม่เป็นบ้านปูนห้าห้องนอน ล้อมรั้วแข็งแรงไม่ให้คนนอกเข้าไป แต่เฉินเฟิ่นอี้ฝากกุญแจให้ผู้ใหญ่บ้านจ้างคนไปทำความสะอาดข้างนอกบ้านให้ รวมถึงถางหญ้าในที่ดิน ค่าดูแลเดือนละยี่สิบหยวน แน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยอมจ่ายทันทีที่บ้านเสร็จ กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ก็เดินทางกลับปักกิ่งเพื่อเริ่มงาน พวกผู้หญิงมีงานถ่ายแบบเข้ามาบ้าง เฉินเฟิ่นอี้อนุญาตให้ทำและลดเงินเดือนบางส่วนของพวกหล่อนลงร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ยอีกสองสาขาอยู่ห่างจากสาขาใหญ่พอสมควร แต่เป็นบริเวณที่มีคนเดินผ่าน แน่นอนว่าร้านของเธอพี่ใหญ่เฉินเป็นคนหาให้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าสาขาที่สองเป็นสาขาที่เฉินเฟิ่นอี้สร้างร่วมกับน้องชายน้องสาว ส่วนสาขาใหญ่ตอนนี้มันเป็นเพียงชื่อของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าการ
งานมงคลผ่านไปแล้ว มีแต่คนอิจฉาเจ้าสาวเพราะได้รับสินสอดจำนวนมาก หลังงานมงคลเฉินเฟิ่นอี้เรียกผู้รับเหมาเข้าไปดูบ้านพร้อมกับสร้างบ้านใหม่ด้วยเวลาอันน้อยนิด เฉินเฟิ่นอี้จ่ายไม่อั้นเพื่อให้บ้านเสร็จก่อนกลับปักกิ่ง แต่ถึงจะเสร็จไม่ทันเธอก็จะรอให้มันเสร็จก่อนอยู่ดี ต่อให้มีคนนินทาและด่าว่าโง่ที่เอาเงินมาทิ้งกับบ้านที่ไม่ได้อยู่ เฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้สนใจ"พี่จัดการเรื่องผ้าถุงเสร็จแล้ว พวกเรากลับไปที่ร้านกันก่อนเถอะครับ" โอวหยางจิงบอกคนรักที่นั่งรออยู่ในโรงงานวันนี้เฉินเฟิ่นอี้เข้ามาจัดการเรื่องที่จะให้โรงงานส่งผ้าถุงเข้าไปในปักกิ่ง ค่าใช้จ่ายในการขนส่งแน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยินดีจ่าย ขอแค่ให้ของไปถึงมือส่วนร้านเซี่ยเซี่ยร้านแรกของเธอจะยุติการขาย เรื่องนี้ได้คุยกับลุงเหว่ยเทาไปแล้วตอนที่กลับมาถึงวันแรก แต่ต้องเข้าไปคุยอีกทีเพื่อยกเลิกสัญญาพอมีการประกาศออกไปดูเหมือนว่าทุกคนจะตกใจและรีบมาซื้อเก็บเอาไว้ สินค้าจะมีเหลือให้ขายเพียงห้าพันผืนสุดท้าย หากขายหมดก่อนร้านจะปิดลงทันที"ค่ะ"หากเป็นเมื่อก่อนเฉินเฟิ่นอี้กับโอหยางจิงคงปั่นจักรยานกัน แต่ตอนนี้คุณลุงโอวหยางให้คนรักของเธอนำรถมาใช้งานระหว่างอยู
วันที่เจ็ดเดือนสามปี 1982 กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้เดินทางมาถึงบ้านพักในอำเภอจวี่ที่เป็นบ้านหลังเดิม และเพื่อนของลุงสามเป็นคนจัดพื้นที่เอาไว้ให้แล้วการเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้มีผู้ใหญ่บ้านเฉินเดินทางมาด้วย มีเพียงผู้ปกครองที่เดินทางกลับบ้าน เฉินเฟิ่นอี้พร้อมกับน้อง ๆ ต้องการมาเข้าร่วมงานมงคลของเว่ยฟ่งกับเจียวซีถึงได้ตามกันมา ยกเว้นเฉินชิงชิงน้องชายคนเล็กของบ้านที่ปีนี้อายุสิบเอ็ดปีแล้วเฉินเฟิ่นอี้รับกุญแจจากลุงเหว่ยเทาทันทีที่มาถึง บ้านพักหลังนี้ถือว่าเป็นความทรงจำของเธอก็ว่าได้ อยู่มาตั้งหลายปี ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม"คุณลุงเหว่ยไม่ได้ปล่อยบ้านให้คนอื่นเช่าเหรอคะ" เฉินเฟิ่นอี้หันไปถามเจ้าของบ้านที่นั่งอยู่ในห้องโถง และสอบถามเรื่องราวระหว่างที่ไปอยู่ในปักกิ่ง"บ้านหลังนี้หลานบอกว่ามันเป็นความทรงจำไม่ใช่หรือ ถึงลุงไม่ได้ขายให้แต่ก็เก็บเอาไว้รอพวกหลานกลับมา" เหว่ยเทายิ้มเล็กน้อยเขาไม่ได้แต่งงานมีภรรยา สมบัติที่มีอยู่จึงเป็นของเขาและมีรายได้จากการปล่อยเช่าห้องพัก ไม่จำเป็นต้องปล่อยเช่าบ้านหลังนี้ให้คนอื่น และเด็กบ้านเฉินก็เหมือนลูกเหมือนหลานของเขา"ขอบคุณค่ะ""ลุงสามฝากบอกว่าถ้ามีเวลาให้ขึ
หลังงานเลี้ยงจบลง ข่าวที่หลายคนจับตามองมากที่สุดไม่พ้นหลานชายหลานสาวของตระกูลเฉินมีคนรักแล้ว หลายคนยังคงต้องการขยับความสัมพันธ์ เผื่อว่าวันหน้าจะมีโอกาส จึงจ้างกลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ไปร่วมงานอยู่บ่อย ๆช่วงปิดภาคเรียนเป็นช่วงที่ต้องทำหลายอย่าง กว่าจะลงตัวก็เปิดภาคเรียนแล้ว ภาคเรียนที่สองเป็นภาคเรียนที่เหนื่อยมาก บ่อยครั้งที่เฉินเฟิ่นอี้ต้องนอนในหอพักของมหาวิทยาลัยความสัมพันธ์ของกลุ่มเพื่อนยังคงหนาแน่น ยิ่งที่บ้านย้ายเข้าไปอยู่ในเขตตระกูลเฉิน ทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านพักทำให้ได้พบเจอหน้ากันทุกวันยิ่งได้อยู่ด้วยกันกับเฉินเฟิ่นอี้ ทุกคนต่างลงความเห็นที่จะทำงานกับเพื่อนสาว เว่ยฟ่งถึงขั้นต่อสายมาหาพ่อกับแม่เรื่องที่เขาเรียนจบแล้วจะกลับไปแต่งงานกับเจียวซีแล้วจะกลับมาอยู่ในปักกิ่งคนอื่น ๆ ก็มีท่าทีไม่ต่างกัน ผู้ชายเข้าไปช่วยรุ่นพี่โอวหยางจิงทำงาน ผู้หญิงช่วยเฉินเฟิ่นอี้ในร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ย ตอนนี้ได้ค่าตอบแทนน้อย แต่ถือว่าคุ้มเพราะช่วยอยู่เบื้องหลังแค่มาเรียนปีแรกก็ทำเอาผู้ปกครองปวดหัวแล้ว ปีที่ีสองยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ไม่มีใครกลับบ้านในช่วงปิดภาคเรียน ถ้าอยากเจอก็ให้เดินทางมาหาความสัมพัน
หลานชาย หลานสาว รวมถึงกลุ่มเพื่อนสนิทถูกจับแต่งตัวให้เหมาะสมกับงานสำคัญ อันที่จริงกลุ่มเพื่อนของเฉินเฟิ่นอี้ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมก็ได้ แต่ทุกคนลงความคิดเห็นว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ภายใต้การดูแลของบ้านเฉินแล้วแขกภายในงานมีหลายคนที่เคยสนิทกับคนในตระกูลเฉิน เพราะฉะนั้นเฉินเฟิ่นอี้จึงพยายามบอกคนอื่นให้หลีกเลี่ยงเท่าที่จะทำได้เฉินเฟิ่นอี้มองชุดที่ออกแบบด้วยฝีมือของพี่เยี่ยฉิงจากร้านเยว่ซิน ทันทีที่จะมีการจัดเตรียมงานเธอได้ทำการติดต่อขอตัดเย็บเสื้อผ้าให้ และตระกูลเยี่ยคือหนึ่งในพันธมิตรของปู่เธอ"เสียดายจริง ๆ ที่เธอไม่คิดจะทำงานในวงการบ้างหรือ" เยี่ยฉิงมองชุดบนตัวของเฉินเฟิ่นอี้"ไม่ละค่ะ ฉันชอบทำงานเบื้องหลังมากกว่า" เธอรีบส่ายหน้าปฏิเสธไป ให้ช่วยแต่งหน้าหรือทำอย่างอื่นได้ แต่จะให้ถ่ายแบบเธอทำไม่ได้จริง ๆ"อื้อ ๆ ฉันก็ว่าแบบนั้นดูเป็นเธอมากกว่า" หล่อนหัวเราะเฉินเฟิ่นอี้เป็นเจ้าของร้านผ้าถุงที่ออกแบบลวดลายเอง เยี่ยฉิงเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าที่ไม่ถ่ายแบบงานตัวเอง จึงเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเยี่ยฉิงที่ช่วยเฉินเฟิ่นอี้แต่งตัวแล้วเดินไปช่วยคนอื่นต่อ ทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้แต่งตัว แน่นอนว่างานส
ข่าวหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งของหลายวันมานี้จะเป็นข่าวอะไรไปไม่ได้นอกจากข่าวผลัดเปลี่ยนผู้นำตระกูลเฉิน เป็นผู้นำที่หลาย ๆ คนคิดว่าเหมาะสมที่สุด นั่นก็คือ เฉินจงอี้ หรือปู่เฉินของเด็ก ๆ บ้านเฉิน ที่รับช่วงต่อระหว่างรอลูกชายทั้งสี่เรียนรู้งานเฉินเฟิ่นอี้ให้พี่ใหญ่เฉินส่งคนคอยตามคนตระกูลเฉินไปอย่างลับ ๆ เธอไม่ไว้ใจพวกเขา อย่าลืมว่าเฉินหานกับ เฉินหว่านทั้งสองต่างมีชื่อเสียง เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ และปู่รอง ปู่สามของตระกูลจะไม่มีน้ำยาทำอะไรจริง ๆ น่ะหรือ"ปู่คะ ฉันว่าพวกเราอยู่ที่บ้านนี้สักพักก่อนดีกว่าค่ะ ส่วนบ้านหลังนั้นก็ให้คนเข้าไปเก็บกวาดซ่อมแซมใหม่ก่อน" เฉินเฟิ่นอี้เสนอเมื่อปู่เฉินจะพาทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านตระกูลเฉินบ้านมันเก่ามากแล้วควรทำความสะอาดครั้งใหญ่ อีกอย่างเธอก็ไม่รู้ว่าข้างในจะมีอะไรที่เป็นอันตรายหรือไม่ และเธอสะดวกใจที่จะอยู่บ้านพักหลังนี้มากกว่า แต่ว่าถ้าปู่เฉินต้องการที่จะย้ายไปเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร ขอเพียงให้มั่นใจก่อนว่ามันจะปลอดภัยจริง ๆช่วงนี้เธอไม่สามารถติดต่อกับระบบได้และมันก็หายไปหลายวันแล้ว ทำให้เฉินเฟิ่นอี้เป็นกังวลและคิดว่าควรรอมากกว่า"ทำไมล่ะ ที่จริงพวกเร
ปู่เฉิน ย่าเฉิน ลุงใหญ่ ลุงรอง ลุงสาม พ่อของเธอ พี่ใหญ่เฉิน และเฉินเฟิ่นอี้อยู่บนรถยนต์เพื่อเดินทางไปยังตระกูลเฉินตามที่เคยบอกเฉินหว่านเอาไว้ เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้พูดเล่น ตอนนี้ตระกูลเฉินมีหนี้และอีกไม่นานกิจการค้าขายที่เคยเป็นของปู่เฉินก็จะถูกยึด พี่ใหญ่เฉินกล่าวว่ามีคนจากตระกูลเฉินขอกู้เงินจำนวนหนึ่งล้านหยวนแลกกับกิจการเฉินเฟิ่นอี้นั่งข้างคนขับซึงก็คือพี่ใหญ่เฉิน นอกจากพวกเธอแล้วยังมีนายทหารอีกสองคันที่พี่ใหญ่เฉินพามาด้วย ดูเหมือนว่าตระกูลเฉินจะไม่มีเงินจ้างคนทำความสะอาดทางเข้า เขตบ้านตระกูลเฉินรกมากรถยนต์ดับลงหน้าบ้าน สมาชิกบ้านเฉินลงจากรถ เฉินเฟิ่นอี้เดินไปหาย่าเฉินที่อยู่ในวงล้อมของลูก ๆ เฉินเฟิ่นไม่ได้กลัวแต่ถ้าเกิดมีการลงไม้ลงมือกัน อย่างน้อยอยู่ใกล้ย่าเฉินจะปลอดภัยที่สุด“ที่นี่คือตระกูลเฉินเหรอคะ?”เฉินเฟิ่นอี้มองไปยังบ้านหลายหลังที่อยู่ติดกัน ด้านหน้าทางเข้าพบว่าเป็นบ้านสมัยใหม่ที่ดูดี แต่พอเข้ามาด้านหลังต้องบอกว่ามันทรุดโทรมมาก โดยเฉพาะหลังที่เป็นเหมือนบ้านรวม ตัวหลังคาหน้าบ้านมันแตกแล้ว“เปลี่ยนไปมากจริง ๆ” ปู่เฉินว่าด้วยความเสียดาย ที่ผ่านมาเขาคิดว่าจะมีคนดูแลที่นี่เหมือนก
เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดร้านนานหลายวัน เฉินเฟิ่นอี้กลับมาเปิดร้านอีกครั้งและจ้างคนมาเฝ้าหน้าร้านถึงสามคนเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย หนังสือพิมพ์ลงข่าวทายาทของเจ้าของกิจการที่ยกให้น้องชายก่อนที่เขาจะหายตัวไปพร้อมครอบครัว ทำให้ร้านผ้าถุงมีลูกค้าเข้ามาซื้อของมากขึ้น และมีหลายร้านที่มาจ้างให้เฉินเหม่ยเย่ไปถ่ายงาน นอกจากนี้กลุ่มเพื่อนผู้หญิงก็ยังมีงานตามมาอีกไม่ต่างกันเฉินเฟิ่นอี้นั่งลงบนเก้าอี้เพื่อตรวจสอบบัญชีของเมื่อวานที่ยังไม่ได้จัดการ ข้าง ๆ กันมีโอวหยางจิงที่ตามมาด้วย เห็นบอกว่างานในโรงงานไม่ได้มีอะไรให้ทำและไม่ได้รับลูกค้าเพิ่ม เพียงตัดเย็บให้ร้านของเธอกับตัดเย็บเสื้อผ้าให้ร้านเยว่ซินก็ทำแทบไม่ทันแล้ว"เมื่อวานโจวซิงฉือบอกว่าที่บ้านติดต่อมา มีคนเข้าไปหาพวกเขาสอบถามถึงเรื่องของเธอ แต่ครอบครัวของเขาบอกไปว่าไม่รู้จักเธอ" โอวหยางจิงเอ่ยขึ้นระหว่างที่นั่งมองคนรักทำงานทุกคนติดต่อไปยังครอบครัวเพื่อให้บอกว่าไม่รู้จักบ้านเฉินหรือหากพวกเขามีพยานให้ตอบว่าเป็นเพื่อนของลูกเท่านั้นไม่ได้รู้จักสนิทสนม และเป็นคำสั่งของเฉินเฟิ่นอี้เองเพื่อความปลอดภัยของทุกคน และไม่มีใครถามเนื่องจากเชื่อในตัวของเพื่อน