หลังจากที่บ้านเหลือเพียงไม่กี่คนเฉินเฟิ่นอี้ก็บอกให้ลุงใหญ่พาไปหาผู้ใหญ่บ้านด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการซื้อที่ดินเก็บเอาไว้ ลุงใหญ่แม้จะงง ๆ แต่ก็ยอมพาไป เฉินเฟิ่นอี้ที่ควรรออยู่บ้านจึงมาอยู่หน้าบ้านของผู้ใหญ่บ้านที่ปิดประตูเงียบสนิทไม่ให้ใครเข้าไป"พวกแกมาทำอะไรที่นี่"น้ำเสียงตื่นตระหนกดังขึ้นข้างหลัง เฉินเฟิ่นอี้หันหลังไปมอง เป็นผู้ใหญ่บ้านที่เดินมาจากข้างหลังด้วยความรวดเร็วและยืนเผชิญหน้ากับพวกเธอ เฉินเฟิ่นอี้เลิกคิ้วมองอย่างยียวน ทั้งที่ควรถามว่าต้องการให้ช่วยอะไรหรือเปล่ากลับตื่นตระหนกเสียได้"ผมมีธุระต้องการพูดคุยกับผู้ใหญ่บ้านเลยมาหาครับ" ลุงใหญ่บอก"มีธุระอะไร ทำไมไม่ไปหาเลขาธิการล่ะ ผมห้ามให้ใครมารบกวนที่บ้าน" ผู้ใหญ่บ้านว่าด้วยความหัวเสีย หากคนในบ้านได้ยินเสียงรบกวนจะยุ่งเอา“ที่จริงปกติเวลามีปัญหาพวกเราก็มาที่บ้านหลังนี้นี่คะ" เฉินเฟิ่นอี้ฉีกยิ้มมองผู้ใหญ่บ้านที่หันมามองเธอ หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นหนึ่งในลูกชายของผู้ใหญ่บ้านคนก่อนเขาก็คงไม่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านหรอก และดูเหมือนอีกไม่นานจะได้เปลี่ยนผู้นำหมู่บ้านเขาชักสีหน้าด้วยความหงุดหงิดเมื่อเฉินเฟิ่นอี้ดูเหมือนจะรู้อะไรมา ให้บ
บทสนทนาจบลงด้วยความเงียบ และแยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อนจะเข้าไปในอำเภอ คำถามของเฉินเฟิ่นอี้ยังไม่ได้รับคำตอบแต่ดูเหมือนลุงใหญ่จะเก็บเอาไปคิด ที่จริงเฉินเฟิ่นอี้คิดเอาไว้ว่าต่อให้ไม่มีใครย้ายไปอยู่ปักกิ่งด้วยเธอก็ยืนยันที่จะไปปักกิ่งอยู่ดี อย่างที่หลาย ๆ คนรู้ว่าเงินมันสำคัญมากแค่ไหน ขอเพียงส่งเงินกลับมาให้ที่บ้านก็พอแล้วตรวจสอบของมีค่าในบ้านเรียบร้อยแล้วเฉินเฟิ่นอี้ก็ล็อกกุญแจอย่างแน่หนา เพื่อนบ้านที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเฉินถูกลุงรองจ้างให้ดูแลบ้านกับไก่และเป็ดให้ ไม่ใช่ว่าต้องมาทำความสะอาดบ้านหรือเล้า ให้ดูแลที่ว่าหมายถึงหากมีคนพยายามเข้าไปที่บ้านให้จำเอาไว้ ไม่ก็ไปบอกลูกสาวของเขาที่อยู่ในตำบลท้องฟ้าเริ่มมืดพอดีกับพวกเฉินเฟิ่นอี้มาถึงบ้านเช่าในอำเภอ ภายในบ้านเปิดไฟให้ความสว่าง หลังรถจอดเฉินเฟิ่นอี้รีบลงจากรถเข้าไปข้างในบ้าน ฟูกที่วางไว้ในห้องก่อนกลับไปยังหมู่บ้านถูกลากออกมาข้างนอก เฉินเฟิ่นอี้คิดว่าเป็นเฉินเหม่ยเย่ที่เอาออกมาให้ทุกคนนั่งลงบนพื้นบ้านที่เคลือบเงา โต๊ะที่เคยอยู่กลางบ้านถูกยกออกไปวางไว้ติดผนัง และตอนนี้โทรทัศน์เปิดอยู่ คงเป็นน้องของเธอสักคนที่เปิดให้แม่และปู่ย่าเฉินดู เฉินเฟ
ข่าวการเปิดมหาวิทยาลัยยังมาไม่ถึง แต่ผ้าถุงที่สั่งทำรอบแรกเสร็จแล้ว ร้านที่ปรับปรุงก็เสร็จแล้วเช่นเดียวกัน พี่น้องบ้านเฉินยกเว้นเฉินเฟิ่นอี้ตอนนี้กลายเป็นคนว่างงาน และยกเว้นคนที่เรียนอยู่อย่างเฉินชิงชิง ทำให้ที่ร้านเซี่ยเซี่ยยังไม่มีพนักงานเฉินเฟิ่นอี้ตกลงกับโอวหยางจิงที่จะไม่เข้าไปเป็นที่ปรึกษาของโรงงานเย็บผ้าอีก ส่วนร้านเสื้อผ้าโอวหยางเธอมีหุ้นส่วนอยู่จะเข้าไปดูบ่อย ๆ เอา ระหว่างรอข่าวมหาวิทยาลัยมาถึงเฉินเฟิ่นอี้ต้องการโฟกัสกับร้านเซี่ยเซี่ยของเธอก่อน ยิ่งตอนนี้บ้านเฉินเข้ามาอยู่ในอำเภอทั้งหมดแล้วด้วยปู่เฉินและย่าเฉินยอมไปปักกิ่งกับเฉินเฟิ่นอี้แล้ว เรื่องนี้บรรดาสะใภ้บ้านเฉินต่างตกใจกันมาก ในหมู่บ้านคนของตระกูลเฉินยังอยู่ ลุงสามที่กลับไปดูสัตว์ปีกที่บ้านให้จึงยังไม่ให้บ้านเฉินกลับไป จนกระทั่งผ่านมาเกือบเดือน คนตระกูลเฉินจึงออกจากหมู่บ้านเฉินเฟิ่นอี้เริ่มเสนอให้นำไก่และเป็ดเข้ามาขายในอำเภอ หากได้ไปปักกิ่งช่วงนี้จะได้ไม่ต้องยุ่งยาก ที่สำคัญทุกคนพร้อมลาออกจากงาน อย่างที่บอกว่าการที่จะไปไหนมาไหนคนที่ตัดสินใจได้มีเพียงปู่เฉินย่าเฉินและลุงใหญ่ เป็นปู่เฉินที่เห็นด้วยกับคำพูดของหลานสาว ต
"พี่ใส่ชุดอะไรเนี่ย"เป็นคำพูดแรกที่ออกจากปากของเฉินตงทันทีที่เดินออกจากห้องทำงาน และเฉินตงที่กำลังยืนอยู่จุดชำระเงินกับเฉินไห่หลิว ผู้ชายบ้านเฉินหันมามองเฉินเฟิ่นอี้เป็นตาเดียว และแต่ละคนมีสีหน้าไม่พอใจสุด ๆ ทำให้เฉินเฟิ่นอี้ต้องส่ายหน้า"พวกเราขายผ้าถุงนะคะ หากไม่ใส่เป็นตัวอย่างแล้วลูกค้าจะซื้อหรือ" เฉินเฟิ่นอี้ตอบด้วยใบหน้าไม่สะทกสะท้าน เธอเดินออกมาส่องกระจกที่ติดไว้ในร้านเสียดายที่นี่ไม่สามารถแต่งตัวแบบไหนก็ได้ เฉินเฟิ่นอี้จึงต้องหาเสื้อมาคลุม ไม่อย่างนั้นคงใส่เพียงผ้าถุงให้คนอื่นดูเป็นตัวอย่าง ผ้าถุงที่เฉินเฟิ่นอี้รู้จักมันจะใส่พอดีไม่ยาวไม่สั้นแต่ถ้าเป็นคนตัวเล็กก็จะยาวอยู่ แต่ที่สั่งตัดเย็บออกมาคาดบริเวณอกมันสั้นเลยเข่าเฉินเฟิ่นอี้เมินสายตาผู้ชายบ้านเฉินก่อนเดินไปหยิบยางรัดผมที่เฉินเหม่ยเย่เป็นคนทำ และเฉินเฟิ่นอี้ให้หล่อนสองหยวนต่ออัน วันนี้ได้มาเพียงยี่สิบอันเท่านั้น ลวดลายของของมันจะเป็นเศษผ้าถุงที่เฉินเฟิ่นอี้ซื้อต่อมาจากเศษผ้าและผ้าดี ๆ จากโรงงาน ด้านในเป็นยางยืด เฉินเฟิ่นอี้แก้ผมที่ถักเปียตั้งแต่เช้าออกก่อนรวบขึ้นและมัดยางรัดผมลวดลายเดียวกันกับผ้าถุง"มันใส่แบบนี้เหรอคะ?
เปิดร้านวันแรกเฉินเฟิ่นอี้ขายไปได้เพียงยี่สิบตัว แต่เธอไม่ย่อท้อยังคงมาขายที่ร้านเหมือนเดิม แต่มันต่างจากวันแรกเพราะมีลูกค้ามาซื้อเยอะกว่าวันแรกหลายเท่าตัว กล่าวได้ว่าสองวันเฉินเฟิ่นอี้สามารถขายผ้าถุงออกไปได้ถึงสองร้อยผืน นั่นทำให้เฉินเฟิ่นอี้ต้องสั่งตัดเย็บมาเพิ่มสำรองไว้ กว่าที่มีในร้านจะหมดก่อนไม่ต้องรอของผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ก็ขายได้ครึ่งหนึ่งของผ้าถุงที่มี เฉินเฟิ่นอี้จึงชวนรุ่นพี่ลู่เสียนกับมี่หยางมาทำงานด้วย ปรับเปลี่ยนเวลาเปิดร้านเป็นแปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็น แต่พนักงานของร้านต้องมาก่อนร้านเปิดเพื่อจัดสินค้าวางขายสามสิบนาที ที่ร้านหยุดวันหยุดสุดสัปดาห์วันเดียวเท่านั้น เพราะบางทีคนที่อยากซื้ออาจไม่ว่างมาจะได้มาวันหยุดอีกวัน เฉินเฟิ่นอี้ให้เงินเดือนทั้งสองคนเดือนละหนึ่งร้อยหยวนยังไม่รวมกับโบนัสที่เฉินเฟิ่นอี้จะให้ หากวันไหนขายได้เกินหนึ่งร้อยผืนจะได้รับโบนัสสามเปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน ยิ่งขายได้ทุกวันก็จะบวกเพิ่มไปเรื่อย ๆ ที่สำคัญเฉินเฟิ่นอี้ให้เบิกเงินล่วงหน้าได้ แต่ต้องเบิกเงินทุกวันที่สิบห้าและทุกวันที่หนึ่งของทุกเดือน กลางเดือนสามารถเบิกได้ไม่เกินครึ่งหนึ่งของฐานเงินเดือนเพื่อไ
เสียงหัวเราะดังขึ้นด้วยความสนุกสนาน วันนี้เป็นวันที่กลุ่มเพื่อนของเฉินเฟิ่นอี้รวมตัวกันอีกครั้ง พวกเว่ยฟ่ง จินหม่าซิน โจวซิงฉือ สามสาวจี้หลัน ซ่งเวยหลาน เจียวซี และโอวหยางจิง จริง ๆ มีรุ่นพี่เว่ยหยางพี่ชายของเว่ยฟ่งอีกคนที่ตอนแรกจะมาด้วย แต่เห็นว่าที่บ้านมีนัดรับประทานอาหารกับลูกค้าคนสำคัญจึงมาไม่ได้พรุ่งนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เฉินชิงชิงกลับบ้านไปพร้อมพ่อของเขาและเหรินอี้ก็กลับบ้านไปเหมือนทุก ๆ สัปดาห์ ทำให้เด็กบ้านเฉินที่เหลือต่างไม่ต้องดูแลเด็กในบ้านและดื่มฉลองด้วยความสุข เหล้าผลไม้ที่เฉินเฟิ่นอี้หมักไว้ที่บ้านถูกนำออกมาดื่ม"เฮ้อ ฉันล่ะกลุ้มใจจริง ๆ ทำไมกระทรวงศึกษาธิการถึงได้ประกาศออกมาเร่งด่วนแบบนี้ อย่างน้อยควรประกาศล่วงหน้าครึ่งปีสิ ดีที่พวกเรารู้มาจากจินหม่าซินกับโจวซิงฉือไม่อย่างนั้นคงหาหนังสืออ่านไม่ทัน" เว่ยฟ่งเริ่มได้ที่เขาบ่นออกมาเมื่อบทสนทนากล่าวถึงการสอบเกาเข่า"อาจเพราะไม่ได้สอบนานแล้ว เลยฉุกละหุกแบบนี้" โอวหยางจิงบอกก่อนจิ้มเนื้อเข้าปาก บ้านของเขาไม่ได้กดดันให้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วเพราะตอนนี้ก็ทำงานในโรงงานอยู่ แต่เขาก็คงต้องสอบอยู่ดีไม่อย่างนั้นคงเป็นขี้ปากชาวบ
เฉินเฟิ่นอี้หมุนตัวไปมาหน้ากระจกเพื่อสำรวจการแต่งตัวของตนเองและจัดการแต่งทรง วันนี้เป็นวันสอบเกาเข่าหรือก็คือการสอบเลือกมหาวิทยาลัยหลังจากที่สมัครสอบไว้เมื่อสองเดือนก่อน จริง ๆ วันนี้ไม่ใช่วันหยุดของร้าน ไม่จำเป็นต้องปิดร้านก็ได้ เพียงแค่เฉินเฟิ่นอี้ไม่อยากเป็นห่วงร้านตอนสอบที่ร้านมีพนักงานห้าคน ผู้หญิงสามคนและผู้ชายสองคน รุ่นพี่ลู่เสียน มี่หยาง ผู้หญิงอีกคนชื่อหมิงเฟยเซียง หล่อนอายุน้อยกว่าเฉินเฟิ่นอี้หนึ่งปีและมีน้องชายหนึ่งคนที่เป็นพนักงานในร้านชื่อหมิงเฟยหลง คนสุดท้ายเป็นพนักงานผู้ชายอายุเท่าเฉินเฟิ่นอี้ชื่อเลี่ยงหวง และใช่พนักงานในร้านล้วนเป็นคนหนุ่มคนสาววันที่เปิดสมัครไม่ใช่ว่าคนมีอายุมากกว่านี้ไม่มาสมัคร เพียงแต่คุณสมบัติและหมายเหตุไม่ตรงตามความต้องการของเฉินเฟิ่นอี้ ส่วนเงินเดือนพนักงานยังคงเป็นหนึ่งร้อยหยวน แต่เดือนล่าสุดแต่ละคนได้โบนัสเพิ่มมากกว่าเงินเดือนเสียอีก ยังดีที่เฉินเฟิ่นอี้สั่งตัดเย็บผ้าถุงเพิ่มมาเรื่อย ๆ ไม่อย่างนั้นของคงขาดตลาดเฉินเฟิ่นอี้ฉีดน้ำหอมหลังถักเปียให้ตนเองเสร็จ เธอหยิบกระเป๋ากับกระดาษจดความต้องการสั่งตัดเย็บผ้าถุงออกจากห้อง ฟ้าด้านนอกยังไม่สางแต่เฉิ
ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน ความทรงจำล่าสุดของเฉินเฟิ่นอี้ก็คือเธอต้องการพักสายตาเท่านั้น แต่รู้ตัวอีกทีน้องสาวของเธอก็มาปลุกแล้ว เฉินเฟิ่นอี้ลืมตาก่อนยืดแขนหันไปรอบ ๆ ตอนนี้ไม่มีคนนั่งอยู่แล้วเหลือเพียงเด็กบ้านเฉินและกลุ่มเพื่อนที่หันมามอง"ลุงสาม"พอปรับสายตาได้เฉินเฟิ่นอี้จึงลุกขึ้นยืนและทำให้เธอเห็นลุงสามของบ้านที่นั่งรออยู่ก่อน ทุกคนยังนั่งนิ่งกันอยู่ นั่นหมายความว่ายังไม่ถึงเวลาสอบ เฉินเฟิ่นอี้รีบเก็บผ้าห่มและเสื่อทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา ดีที่กระเป๋ามันใส่ผ้าห่มอีกผืนได้ไม่อย่างนั้นแย่แน่"คนอื่นอ่านหนังสือแต่หลานสาวบ้านเฉินกลับนอนหลับซะงั้น" ลุงสามเอ่ยแซว เขารู้ว่าช่วงนี้หลานสาวทำงานหนักจะเหนื่อยก็ไม่แปลกเฉินเฟิ่นอี้ยังสะลึมสะลือ เธอมองหาที่นั่งก่อนย้ายตัวไปนั่งลงข้างเจียวซี ลุงสามนั่งอยู่อีกโต๊ะแต่มันเต็มแล้ว เฉินเฟิ่นอี้เลยมานั่งกับกลุ่มเพื่อนแทน แอบมองนาฬิกาในกระเป๋าผ้าที่นำมาด้วย เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงทำให้เฉินเฟิ่นอี้โล่งใจนึกว่าหลับไปนานถ้าไม่ได้แต่งหน้ามาเฉินเฟิ่นอี้คงล้างหน้าใหม่ไปแล้ว และหากทำอย่างนั้นมันก็เสียเวลามาก ตอนนี้ทำได้เพียงนั่งนิ่งจะขยี้ตาก็กลัวมันบวม เฉินเฟิ
วันที่ 5 เดือน 3 ปี 1984 งานมงคลสมรสของเฉินเฟิ่นอี้และโอวหยางจิงจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกที่ได้รับเชิญต่างพากันเข้าร่วมงานอย่างหนาแน่น เฉินเฟิ่นอี้ต้องลุกมาแต่งตัวตั้งแต่เช้ามืด ทั้งต้องคอยถามถึงหน้างานเพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาดในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง สิ่งที่รอคอยนั่นคือการแต่งงานสักครั้งในชีวิต ในตอนที่เป็นแป้งร่ำ เธอพลาดโอกาสนั้นแล้ว ครั้งนี้เฉินเฟิ่นอี้ย่อมไม่พลาด"พี่สาวสามสวยมาก" เฉินเหม่ยเย่เอ่ยชมพี่สาวด้วยความตื่นเต้น ทั้งที่ไม่ใช่งานของตนเองนาน ๆ ที เฉินเฟิ่นอี้จะได้แต่งหน้าและแต่งตัว หากไม่ใช่วันสำคัญ แต่ก็ไม่ได้จัดเต็มเหมือนวันนี้ ภายใต้ชุดสีแดงมงคล เฉินเฟิ่นอี้เป็นผู้หญิงที่สวยมากในสายตาของน้องสาว"พี่สาวสามของเธอเป็นคนสวยมาตั้งนานแล้ว หล่อนแค่ไม่แต่งตัวเหมือนกับเธอที่ต้องทำงาน" พี่สาวใหญ่เดินเข้ามานั่งใกล้น้องสาวภายในห้องเจ้าสาวตอนนี้ มีพี่สาวใหญ่ พี่สาวรอง เฉินเหม่ยเย่ และเฉินเฟิ่นอี้ที่เป็นเจ้าสาว ทั้งสี่คนเป็นหลานสาวสายหลักของลุงสามที่เป็นผู้นำตระกูล ต่อให้แต่งงานแล้วแต่ยังเป็นคนสำคัญเฉินเฟิ่นอี้แต่งงานแล้วเธอจะเป็นคนของตระกูลโอวหยาง แต่ว่ายังสามารถมีปากเสียงในตระกูลเ
ต่อให้เร่งมากแค่ไหน การสร้างบ้านยังต้องใช้เวลาสองเดือน เฉินเฟิ่นอี้จึงใช้เวลาที่ว่างในการช่วยเฉียนลี่เซียนเปิดร้านตัดเย็บ มันเป็นเพียงการตัดเย็บที่ลูกค้าสั่งตัดไม่เกินห้าตัว ปะซ่อมบริเวณที่ขาดกว่าบ้านจะเสร็จ ร้านตัดเย็บเฉียนก็เริ่มเข้าที่แล้ว เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เธอปล่อยให้หล่อนจัดการร้านเอาเอง เพราะมีเฉียนเฟยเข้ามาช่วยจึงไม่ค่อยห่วงนักบ้านที่สร้างใหม่เป็นบ้านปูนห้าห้องนอน ล้อมรั้วแข็งแรงไม่ให้คนนอกเข้าไป แต่เฉินเฟิ่นอี้ฝากกุญแจให้ผู้ใหญ่บ้านจ้างคนไปทำความสะอาดข้างนอกบ้านให้ รวมถึงถางหญ้าในที่ดิน ค่าดูแลเดือนละยี่สิบหยวน แน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยอมจ่ายทันทีที่บ้านเสร็จ กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ก็เดินทางกลับปักกิ่งเพื่อเริ่มงาน พวกผู้หญิงมีงานถ่ายแบบเข้ามาบ้าง เฉินเฟิ่นอี้อนุญาตให้ทำและลดเงินเดือนบางส่วนของพวกหล่อนลงร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ยอีกสองสาขาอยู่ห่างจากสาขาใหญ่พอสมควร แต่เป็นบริเวณที่มีคนเดินผ่าน แน่นอนว่าร้านของเธอพี่ใหญ่เฉินเป็นคนหาให้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าสาขาที่สองเป็นสาขาที่เฉินเฟิ่นอี้สร้างร่วมกับน้องชายน้องสาว ส่วนสาขาใหญ่ตอนนี้มันเป็นเพียงชื่อของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าการ
งานมงคลผ่านไปแล้ว มีแต่คนอิจฉาเจ้าสาวเพราะได้รับสินสอดจำนวนมาก หลังงานมงคลเฉินเฟิ่นอี้เรียกผู้รับเหมาเข้าไปดูบ้านพร้อมกับสร้างบ้านใหม่ด้วยเวลาอันน้อยนิด เฉินเฟิ่นอี้จ่ายไม่อั้นเพื่อให้บ้านเสร็จก่อนกลับปักกิ่ง แต่ถึงจะเสร็จไม่ทันเธอก็จะรอให้มันเสร็จก่อนอยู่ดี ต่อให้มีคนนินทาและด่าว่าโง่ที่เอาเงินมาทิ้งกับบ้านที่ไม่ได้อยู่ เฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้สนใจ"พี่จัดการเรื่องผ้าถุงเสร็จแล้ว พวกเรากลับไปที่ร้านกันก่อนเถอะครับ" โอวหยางจิงบอกคนรักที่นั่งรออยู่ในโรงงานวันนี้เฉินเฟิ่นอี้เข้ามาจัดการเรื่องที่จะให้โรงงานส่งผ้าถุงเข้าไปในปักกิ่ง ค่าใช้จ่ายในการขนส่งแน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยินดีจ่าย ขอแค่ให้ของไปถึงมือส่วนร้านเซี่ยเซี่ยร้านแรกของเธอจะยุติการขาย เรื่องนี้ได้คุยกับลุงเหว่ยเทาไปแล้วตอนที่กลับมาถึงวันแรก แต่ต้องเข้าไปคุยอีกทีเพื่อยกเลิกสัญญาพอมีการประกาศออกไปดูเหมือนว่าทุกคนจะตกใจและรีบมาซื้อเก็บเอาไว้ สินค้าจะมีเหลือให้ขายเพียงห้าพันผืนสุดท้าย หากขายหมดก่อนร้านจะปิดลงทันที"ค่ะ"หากเป็นเมื่อก่อนเฉินเฟิ่นอี้กับโอหยางจิงคงปั่นจักรยานกัน แต่ตอนนี้คุณลุงโอวหยางให้คนรักของเธอนำรถมาใช้งานระหว่างอยู
วันที่เจ็ดเดือนสามปี 1982 กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้เดินทางมาถึงบ้านพักในอำเภอจวี่ที่เป็นบ้านหลังเดิม และเพื่อนของลุงสามเป็นคนจัดพื้นที่เอาไว้ให้แล้วการเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้มีผู้ใหญ่บ้านเฉินเดินทางมาด้วย มีเพียงผู้ปกครองที่เดินทางกลับบ้าน เฉินเฟิ่นอี้พร้อมกับน้อง ๆ ต้องการมาเข้าร่วมงานมงคลของเว่ยฟ่งกับเจียวซีถึงได้ตามกันมา ยกเว้นเฉินชิงชิงน้องชายคนเล็กของบ้านที่ปีนี้อายุสิบเอ็ดปีแล้วเฉินเฟิ่นอี้รับกุญแจจากลุงเหว่ยเทาทันทีที่มาถึง บ้านพักหลังนี้ถือว่าเป็นความทรงจำของเธอก็ว่าได้ อยู่มาตั้งหลายปี ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม"คุณลุงเหว่ยไม่ได้ปล่อยบ้านให้คนอื่นเช่าเหรอคะ" เฉินเฟิ่นอี้หันไปถามเจ้าของบ้านที่นั่งอยู่ในห้องโถง และสอบถามเรื่องราวระหว่างที่ไปอยู่ในปักกิ่ง"บ้านหลังนี้หลานบอกว่ามันเป็นความทรงจำไม่ใช่หรือ ถึงลุงไม่ได้ขายให้แต่ก็เก็บเอาไว้รอพวกหลานกลับมา" เหว่ยเทายิ้มเล็กน้อยเขาไม่ได้แต่งงานมีภรรยา สมบัติที่มีอยู่จึงเป็นของเขาและมีรายได้จากการปล่อยเช่าห้องพัก ไม่จำเป็นต้องปล่อยเช่าบ้านหลังนี้ให้คนอื่น และเด็กบ้านเฉินก็เหมือนลูกเหมือนหลานของเขา"ขอบคุณค่ะ""ลุงสามฝากบอกว่าถ้ามีเวลาให้ขึ
หลังงานเลี้ยงจบลง ข่าวที่หลายคนจับตามองมากที่สุดไม่พ้นหลานชายหลานสาวของตระกูลเฉินมีคนรักแล้ว หลายคนยังคงต้องการขยับความสัมพันธ์ เผื่อว่าวันหน้าจะมีโอกาส จึงจ้างกลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ไปร่วมงานอยู่บ่อย ๆช่วงปิดภาคเรียนเป็นช่วงที่ต้องทำหลายอย่าง กว่าจะลงตัวก็เปิดภาคเรียนแล้ว ภาคเรียนที่สองเป็นภาคเรียนที่เหนื่อยมาก บ่อยครั้งที่เฉินเฟิ่นอี้ต้องนอนในหอพักของมหาวิทยาลัยความสัมพันธ์ของกลุ่มเพื่อนยังคงหนาแน่น ยิ่งที่บ้านย้ายเข้าไปอยู่ในเขตตระกูลเฉิน ทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านพักทำให้ได้พบเจอหน้ากันทุกวันยิ่งได้อยู่ด้วยกันกับเฉินเฟิ่นอี้ ทุกคนต่างลงความเห็นที่จะทำงานกับเพื่อนสาว เว่ยฟ่งถึงขั้นต่อสายมาหาพ่อกับแม่เรื่องที่เขาเรียนจบแล้วจะกลับไปแต่งงานกับเจียวซีแล้วจะกลับมาอยู่ในปักกิ่งคนอื่น ๆ ก็มีท่าทีไม่ต่างกัน ผู้ชายเข้าไปช่วยรุ่นพี่โอวหยางจิงทำงาน ผู้หญิงช่วยเฉินเฟิ่นอี้ในร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ย ตอนนี้ได้ค่าตอบแทนน้อย แต่ถือว่าคุ้มเพราะช่วยอยู่เบื้องหลังแค่มาเรียนปีแรกก็ทำเอาผู้ปกครองปวดหัวแล้ว ปีที่ีสองยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ไม่มีใครกลับบ้านในช่วงปิดภาคเรียน ถ้าอยากเจอก็ให้เดินทางมาหาความสัมพัน
หลานชาย หลานสาว รวมถึงกลุ่มเพื่อนสนิทถูกจับแต่งตัวให้เหมาะสมกับงานสำคัญ อันที่จริงกลุ่มเพื่อนของเฉินเฟิ่นอี้ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมก็ได้ แต่ทุกคนลงความคิดเห็นว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ภายใต้การดูแลของบ้านเฉินแล้วแขกภายในงานมีหลายคนที่เคยสนิทกับคนในตระกูลเฉิน เพราะฉะนั้นเฉินเฟิ่นอี้จึงพยายามบอกคนอื่นให้หลีกเลี่ยงเท่าที่จะทำได้เฉินเฟิ่นอี้มองชุดที่ออกแบบด้วยฝีมือของพี่เยี่ยฉิงจากร้านเยว่ซิน ทันทีที่จะมีการจัดเตรียมงานเธอได้ทำการติดต่อขอตัดเย็บเสื้อผ้าให้ และตระกูลเยี่ยคือหนึ่งในพันธมิตรของปู่เธอ"เสียดายจริง ๆ ที่เธอไม่คิดจะทำงานในวงการบ้างหรือ" เยี่ยฉิงมองชุดบนตัวของเฉินเฟิ่นอี้"ไม่ละค่ะ ฉันชอบทำงานเบื้องหลังมากกว่า" เธอรีบส่ายหน้าปฏิเสธไป ให้ช่วยแต่งหน้าหรือทำอย่างอื่นได้ แต่จะให้ถ่ายแบบเธอทำไม่ได้จริง ๆ"อื้อ ๆ ฉันก็ว่าแบบนั้นดูเป็นเธอมากกว่า" หล่อนหัวเราะเฉินเฟิ่นอี้เป็นเจ้าของร้านผ้าถุงที่ออกแบบลวดลายเอง เยี่ยฉิงเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าที่ไม่ถ่ายแบบงานตัวเอง จึงเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเยี่ยฉิงที่ช่วยเฉินเฟิ่นอี้แต่งตัวแล้วเดินไปช่วยคนอื่นต่อ ทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้แต่งตัว แน่นอนว่างานส
ข่าวหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งของหลายวันมานี้จะเป็นข่าวอะไรไปไม่ได้นอกจากข่าวผลัดเปลี่ยนผู้นำตระกูลเฉิน เป็นผู้นำที่หลาย ๆ คนคิดว่าเหมาะสมที่สุด นั่นก็คือ เฉินจงอี้ หรือปู่เฉินของเด็ก ๆ บ้านเฉิน ที่รับช่วงต่อระหว่างรอลูกชายทั้งสี่เรียนรู้งานเฉินเฟิ่นอี้ให้พี่ใหญ่เฉินส่งคนคอยตามคนตระกูลเฉินไปอย่างลับ ๆ เธอไม่ไว้ใจพวกเขา อย่าลืมว่าเฉินหานกับ เฉินหว่านทั้งสองต่างมีชื่อเสียง เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ และปู่รอง ปู่สามของตระกูลจะไม่มีน้ำยาทำอะไรจริง ๆ น่ะหรือ"ปู่คะ ฉันว่าพวกเราอยู่ที่บ้านนี้สักพักก่อนดีกว่าค่ะ ส่วนบ้านหลังนั้นก็ให้คนเข้าไปเก็บกวาดซ่อมแซมใหม่ก่อน" เฉินเฟิ่นอี้เสนอเมื่อปู่เฉินจะพาทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านตระกูลเฉินบ้านมันเก่ามากแล้วควรทำความสะอาดครั้งใหญ่ อีกอย่างเธอก็ไม่รู้ว่าข้างในจะมีอะไรที่เป็นอันตรายหรือไม่ และเธอสะดวกใจที่จะอยู่บ้านพักหลังนี้มากกว่า แต่ว่าถ้าปู่เฉินต้องการที่จะย้ายไปเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร ขอเพียงให้มั่นใจก่อนว่ามันจะปลอดภัยจริง ๆช่วงนี้เธอไม่สามารถติดต่อกับระบบได้และมันก็หายไปหลายวันแล้ว ทำให้เฉินเฟิ่นอี้เป็นกังวลและคิดว่าควรรอมากกว่า"ทำไมล่ะ ที่จริงพวกเร
ปู่เฉิน ย่าเฉิน ลุงใหญ่ ลุงรอง ลุงสาม พ่อของเธอ พี่ใหญ่เฉิน และเฉินเฟิ่นอี้อยู่บนรถยนต์เพื่อเดินทางไปยังตระกูลเฉินตามที่เคยบอกเฉินหว่านเอาไว้ เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้พูดเล่น ตอนนี้ตระกูลเฉินมีหนี้และอีกไม่นานกิจการค้าขายที่เคยเป็นของปู่เฉินก็จะถูกยึด พี่ใหญ่เฉินกล่าวว่ามีคนจากตระกูลเฉินขอกู้เงินจำนวนหนึ่งล้านหยวนแลกกับกิจการเฉินเฟิ่นอี้นั่งข้างคนขับซึงก็คือพี่ใหญ่เฉิน นอกจากพวกเธอแล้วยังมีนายทหารอีกสองคันที่พี่ใหญ่เฉินพามาด้วย ดูเหมือนว่าตระกูลเฉินจะไม่มีเงินจ้างคนทำความสะอาดทางเข้า เขตบ้านตระกูลเฉินรกมากรถยนต์ดับลงหน้าบ้าน สมาชิกบ้านเฉินลงจากรถ เฉินเฟิ่นอี้เดินไปหาย่าเฉินที่อยู่ในวงล้อมของลูก ๆ เฉินเฟิ่นไม่ได้กลัวแต่ถ้าเกิดมีการลงไม้ลงมือกัน อย่างน้อยอยู่ใกล้ย่าเฉินจะปลอดภัยที่สุด“ที่นี่คือตระกูลเฉินเหรอคะ?”เฉินเฟิ่นอี้มองไปยังบ้านหลายหลังที่อยู่ติดกัน ด้านหน้าทางเข้าพบว่าเป็นบ้านสมัยใหม่ที่ดูดี แต่พอเข้ามาด้านหลังต้องบอกว่ามันทรุดโทรมมาก โดยเฉพาะหลังที่เป็นเหมือนบ้านรวม ตัวหลังคาหน้าบ้านมันแตกแล้ว“เปลี่ยนไปมากจริง ๆ” ปู่เฉินว่าด้วยความเสียดาย ที่ผ่านมาเขาคิดว่าจะมีคนดูแลที่นี่เหมือนก
เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดร้านนานหลายวัน เฉินเฟิ่นอี้กลับมาเปิดร้านอีกครั้งและจ้างคนมาเฝ้าหน้าร้านถึงสามคนเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย หนังสือพิมพ์ลงข่าวทายาทของเจ้าของกิจการที่ยกให้น้องชายก่อนที่เขาจะหายตัวไปพร้อมครอบครัว ทำให้ร้านผ้าถุงมีลูกค้าเข้ามาซื้อของมากขึ้น และมีหลายร้านที่มาจ้างให้เฉินเหม่ยเย่ไปถ่ายงาน นอกจากนี้กลุ่มเพื่อนผู้หญิงก็ยังมีงานตามมาอีกไม่ต่างกันเฉินเฟิ่นอี้นั่งลงบนเก้าอี้เพื่อตรวจสอบบัญชีของเมื่อวานที่ยังไม่ได้จัดการ ข้าง ๆ กันมีโอวหยางจิงที่ตามมาด้วย เห็นบอกว่างานในโรงงานไม่ได้มีอะไรให้ทำและไม่ได้รับลูกค้าเพิ่ม เพียงตัดเย็บให้ร้านของเธอกับตัดเย็บเสื้อผ้าให้ร้านเยว่ซินก็ทำแทบไม่ทันแล้ว"เมื่อวานโจวซิงฉือบอกว่าที่บ้านติดต่อมา มีคนเข้าไปหาพวกเขาสอบถามถึงเรื่องของเธอ แต่ครอบครัวของเขาบอกไปว่าไม่รู้จักเธอ" โอวหยางจิงเอ่ยขึ้นระหว่างที่นั่งมองคนรักทำงานทุกคนติดต่อไปยังครอบครัวเพื่อให้บอกว่าไม่รู้จักบ้านเฉินหรือหากพวกเขามีพยานให้ตอบว่าเป็นเพื่อนของลูกเท่านั้นไม่ได้รู้จักสนิทสนม และเป็นคำสั่งของเฉินเฟิ่นอี้เองเพื่อความปลอดภัยของทุกคน และไม่มีใครถามเนื่องจากเชื่อในตัวของเพื่อน