เฉินเฟิ่นอี้หมุนตัวไปมาหน้ากระจกเพื่อสำรวจการแต่งตัวของตนเองและจัดการแต่งทรง วันนี้เป็นวันสอบเกาเข่าหรือก็คือการสอบเลือกมหาวิทยาลัยหลังจากที่สมัครสอบไว้เมื่อสองเดือนก่อน จริง ๆ วันนี้ไม่ใช่วันหยุดของร้าน ไม่จำเป็นต้องปิดร้านก็ได้ เพียงแค่เฉินเฟิ่นอี้ไม่อยากเป็นห่วงร้านตอนสอบที่ร้านมีพนักงานห้าคน ผู้หญิงสามคนและผู้ชายสองคน รุ่นพี่ลู่เสียน มี่หยาง ผู้หญิงอีกคนชื่อหมิงเฟยเซียง หล่อนอายุน้อยกว่าเฉินเฟิ่นอี้หนึ่งปีและมีน้องชายหนึ่งคนที่เป็นพนักงานในร้านชื่อหมิงเฟยหลง คนสุดท้ายเป็นพนักงานผู้ชายอายุเท่าเฉินเฟิ่นอี้ชื่อเลี่ยงหวง และใช่พนักงานในร้านล้วนเป็นคนหนุ่มคนสาววันที่เปิดสมัครไม่ใช่ว่าคนมีอายุมากกว่านี้ไม่มาสมัคร เพียงแต่คุณสมบัติและหมายเหตุไม่ตรงตามความต้องการของเฉินเฟิ่นอี้ ส่วนเงินเดือนพนักงานยังคงเป็นหนึ่งร้อยหยวน แต่เดือนล่าสุดแต่ละคนได้โบนัสเพิ่มมากกว่าเงินเดือนเสียอีก ยังดีที่เฉินเฟิ่นอี้สั่งตัดเย็บผ้าถุงเพิ่มมาเรื่อย ๆ ไม่อย่างนั้นของคงขาดตลาดเฉินเฟิ่นอี้ฉีดน้ำหอมหลังถักเปียให้ตนเองเสร็จ เธอหยิบกระเป๋ากับกระดาษจดความต้องการสั่งตัดเย็บผ้าถุงออกจากห้อง ฟ้าด้านนอกยังไม่สางแต่เฉิ
ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน ความทรงจำล่าสุดของเฉินเฟิ่นอี้ก็คือเธอต้องการพักสายตาเท่านั้น แต่รู้ตัวอีกทีน้องสาวของเธอก็มาปลุกแล้ว เฉินเฟิ่นอี้ลืมตาก่อนยืดแขนหันไปรอบ ๆ ตอนนี้ไม่มีคนนั่งอยู่แล้วเหลือเพียงเด็กบ้านเฉินและกลุ่มเพื่อนที่หันมามอง"ลุงสาม"พอปรับสายตาได้เฉินเฟิ่นอี้จึงลุกขึ้นยืนและทำให้เธอเห็นลุงสามของบ้านที่นั่งรออยู่ก่อน ทุกคนยังนั่งนิ่งกันอยู่ นั่นหมายความว่ายังไม่ถึงเวลาสอบ เฉินเฟิ่นอี้รีบเก็บผ้าห่มและเสื่อทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา ดีที่กระเป๋ามันใส่ผ้าห่มอีกผืนได้ไม่อย่างนั้นแย่แน่"คนอื่นอ่านหนังสือแต่หลานสาวบ้านเฉินกลับนอนหลับซะงั้น" ลุงสามเอ่ยแซว เขารู้ว่าช่วงนี้หลานสาวทำงานหนักจะเหนื่อยก็ไม่แปลกเฉินเฟิ่นอี้ยังสะลึมสะลือ เธอมองหาที่นั่งก่อนย้ายตัวไปนั่งลงข้างเจียวซี ลุงสามนั่งอยู่อีกโต๊ะแต่มันเต็มแล้ว เฉินเฟิ่นอี้เลยมานั่งกับกลุ่มเพื่อนแทน แอบมองนาฬิกาในกระเป๋าผ้าที่นำมาด้วย เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงทำให้เฉินเฟิ่นอี้โล่งใจนึกว่าหลับไปนานถ้าไม่ได้แต่งหน้ามาเฉินเฟิ่นอี้คงล้างหน้าใหม่ไปแล้ว และหากทำอย่างนั้นมันก็เสียเวลามาก ตอนนี้ทำได้เพียงนั่งนิ่งจะขยี้ตาก็กลัวมันบวม เฉินเฟิ
ช่วงบ่ายเป็นการสอบวิชาคณิตศาสตร์ เฉินเฟิ่นอี้ใช้เวลาไปนานกว่าช่วงเช้าและเกือบ ๆ หมดเวลาเลยก็ว่าได้ พอเดินออกจากห้องสอบเฉินเฟิ่นอี้ถึงกับถอนหายใจออกมา ต้องบอกว่านอกจากความจำของเธอจะดีแล้ว เฉินเฟิ่นอี้ยังเรียนเก่งเป็นทุนเดิม อีกอย่างพอห่างการสอบมานานหลายปีจะกดดันก็ไม่แปลกสถานการณ์ไม่ต่างจากช่วงเช้าที่หลาย ๆ คนเทียบคะแนนสอบเพียงแต่เฉินเฟิ่นอี้ยังคงไม่สนใจ ตอนนี้สี่โมงเย็นแล้ว ทางโรงงานตัดเย็บของตระกูลโอวหยางปิดแล้ว แต่เมื่อเช้าพี่จวินหว่านบอกให้เข้าไปดูเนื้อผ้า เลยคิดว่าจะแวะเข้าไปดูหน่อยเผื่อยังพอมีเวลาอยู่เฉินเฟิ่นอี้ยืนฟังครูอธิบายการสอบของพรุ่งนี้คร่าว ๆ ก่อนจะเดินแยกตัวออกไปหาน้องชายน้องสาว รู้สึกว่าการสอบวิชาคณิตศาสตร์ผ่านไปช้ามากในความรู้สึกของเธอ เสียงพูดคุยดังขึ้นตลอดทางเดินที่เฉินเฟิ่นอี้เดินไปบริเวณม้านั่ง พวกเธอนัดกันเอาไว้ที่นั่น"จะเทียบข้อสอบไหมคะ" เฉินเหม่ยเย่ถาม"ไม่ล่ะ"เมื่อเช้ามีเวลาให้นั่งพักเฉย ๆ เฉินเฟิ่นอี้จึงเทียบคะแนนให้ทุกคนดู และถึงวันนี้ไม่ต้องแวะไปโรงงานเฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่รอที่โรงเรียนอยู่แล้ว มันเป็นเวลาเลิกงานของผู้ใหญ่บ้านเฉิน พวกเธอต้องไปรับน้องชายที่ฝาก
ระหว่างทางกลับบ้านมีเพียงความเงียบและแสงไฟข้างทางให้ความสว่าง อีกไม่ไกลจากตรงนี้มีหลุมขรุขระแต่ไฟบริเวณนั้นไม่ค่อยดี เฉินเฟิ่นอี้เลยจูงจักรยานแทนการปั่นเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ สายตาจ้องมองไปเพียงทางด้านหน้าที่อีกไม่ไกลก็จะถึงบ้านแล้ว"หลังเรียนจบมหาวิทยาลัยพี่จะไปเปิดโรงงานตัดเย็บในปักกิ่ง"เฉินเฟิ่นอี้ชะงักเมื่อได้ยินเขาบอกอย่างไม่เชื่อหู จักรยานจอดนิ่งเพื่อฟังอีกรอบ ตระกูลโอวหยางเปิดโรงงานตัดเย็บที่นี่มากว่ายี่สิบปี เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินมันผิดหรือเปล่า และตอนนี้ยังมีเพียงทายาทเพียงคนเดียวที่จะขึ้นรับช่วงต่อจากผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน"ล้อฉันเล่นหรือเปล่าคะ""หลายเดือนที่ผ่านมาพี่ได้คุยกับพ่อและแม่แล้ว" โอวหยางจิงเอ่ยอย่างจริงใจ เขาเดินตามเฉินเฟิ่นอี้มาตั้งกี่ปีจะให้เขาเลิกง่าย ๆ หรือ อีกอย่างครอบครัวของเขาชอบเฉินเฟิ่นอี้มากและยังสนับสนุนอยู่ตลอด"ตระกูลโอวหยางมีคนรับช่วงต่อเพียงแค่พี่คนเดียวเท่านั้นนะคะ ดูเหมือนคุณลุงคุณป้าก็คาดหวังให้พี่เข้าไปรับช่วงต่อ" หากโอวหยางจิงมีพี่ชาย พี่สาว น้องชาย หรือน้องสาว คงไม่ต้องคิดมากขนาดนี้ และในโรงงานมีพนักงานหลายร้อยชีวิต ถ้าพัง
การสอบเกาเข่าสองวันที่ผ่านมาจบลงแล้ว แต่ยังเหลือการส่งจดหมายเพื่อเลือกมหาวิทยาลัยอยู่ ไม่มีใครรู้ว่าคะแนนของตนเองจะได้เท่าไร มีเพียงการเทียบข้อสอบให้รู้คะแนนคร่าว ๆ เพื่อส่งจดหมายให้ทางมหาวิทยาลัย พวกเขาสามารถส่งจดหมายไปให้ทางมหาวิทยาลัยได้สูงสุดเพียงสี่มหาวิทยาลัย จนกว่าจะได้รับจดหมายตอบกลับว่าถูกมหาวิทยาลัยเลือกใครมั่นใจว่าคะแนนของตนเองสูงต่างต้องการเลือกมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ส่วนคนที่รู้ว่าตนเองควรคะแนนได้เท่าไรก็เลือกมหาวิทยาลัยที่ตนเองสามารถเข้าได้ หลังจากส่งจดหมายและหากได้รับจดหมายตอบกลับนั่นหมายความว่าพวกเขาถูกมหาวิทยาลัยเลือก แต่สำหรับชาวบ้านในชนบทอย่างหมู่บ้านเฟิ่งหลิน พวกเขาต้องคอยมองไปรษณีย์มาส่งจดหมายป้องกันคนสวมรอยพี่น้องบ้านเฉินต่างมั่นใจว่าพวกเขาจะเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศอย่างมหาวิทยาลัยปักกิ่งได้แต่มันก็ไม่เสมอไป จึงตกลงเลือกมหาวิทยาลัยทั้งสี่ที่และส่งจดหมายไป ได้แก่ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง มหาวิทยาลัยชิงหวา มหาวิทยาลัยเซียงไฮ้ และมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง จริง ๆ สองมหาวิทยาลัยสุดท้ายนี้อยู่ไกลจากปักกิ่งแต่มันมีโอกาสดีกว่ามหาวิทยาลัยขนาดกลางที่จริงมหาวิทยาลัยวิทยาศ
ยางรัดผมลวดลายน่ารักถูกหยิบขึ้นมาดูอย่างเบามือ วันนี้เป็นวันแรกที่ทางโรงงานนัดเข้ามาตรวจสอบยางรัดผมที่ต้องการ เฉินเฟิ่นอี้ยังคงทำสัญญาผูกขาดกับทางโรงงานที่ไม่สามารถผลิตให้เจ้าอื่นได้ และเฉินเฟิ่นอี้ต้องมีการสั่งซื้อทุกเดือนทั้งหมดห้าปี ที่สำคัญต้องสั่งเดือนละหนึ่งพันเส้นขึ้นไป หากมีการผิดข้อตกลงทางโรงงานสามารถผลิตให้เจ้าอื่นโดยที่เฉินเฟิ่นอี้ไม่สามารถทำอะไรได้"งานเอาให้ลูกค้าดูต้องเป็นงานที่ไม่มีข้อผิดพลาด แม้จะเป็นงานตัวอย่างพวกคุณกล้าเอางานที่มีตำหนิมาให้ลูกค้าได้ยังไง" โอวหยางจิงที่ตามเฉินเฟิ่นอี้มาดูงานและสังเกตเห็นข้อผิดพลาดรีบเอ่ยท้วงทันที สำหรับเฉินเฟิ่นอี้หล่อนคงบอกไม่เป็นไร แต่นี่นับว่าเป็นสิ่งตัดสินใจให้ลูกค้าเลือกเฉินเฟิ่นอี้มองไปยังเส้นที่มียางข้างในโผล่ออกมาเพียงนิด ถ้าไม่สังเกตก็มองไม่เห็นจริง ๆ พอลองหยิบเส้นอื่นขึ้นมาดูเฉินเฟิ่นอี้จึงเห็นว่าแทบจะทุกเส้นมียางข้างในโผล่ออกมาและเย็บไม่สนิท ทั้งที่เย็บอีกนิดก็สามารถปิดข้างในได้หมดแล้ว"พี่จวินหว่านไปไหนเหรอคะ" ครั้งก่อนที่เข้ามาสั่งงาน คนที่ดูแลเรื่องนี้ให้เฉินเฟิ่นอี้ยังเป็นพี่จวินหว่าน แต่วันนี้เธอยังไม่เห็นหล่อนเลย ทั้
เฉินเฟิ่นอี้ยังคงนั่งเงียบมองโอวหยางจิงจัดการพนักงาน ระหว่างรอจวินหว่านตรวจงานที่ได้รับความเสียหาย ปกติหากมันผิดพลาดเส้นแรก จวินหว่านคงสั่งหยุดตัดเย็บไปแล้วด้วยซ้ำ และงานเสียหายเป็นร้อย ๆ หยวนได้มันก็ต้องมีคนรับผิดชอบ"งานนี้พนักงานจวินหว่านเป็นคนรับผิดชอบก็ให้หล่อนรับผิดชอบเหมือนเดิมสิคะ" ผู้จัดการแผนกตัดเย็บรีบโยนงานคืนเจ้าของที่พวกหล่อนไปแย่งงานมา"ความเสียหายล่ะ""ลูกค้าต้องเป็นคนรับผิดชอบนี่คะ ฉันจำได้ว่าโรงงานมีกฎแบบนี้"โรงงานตัดเย็บไม่รับออกแบบรับเพียงตัดเย็บเท่านั้น และลูกค้าต้องจ่ายค่าทดลองตัดเย็บงานที่ต้องการตัดเย็บใหม่ อย่างก่อนที่เฉินเฟิ่นอี้จะได้ลายผ้าที่ชอบเธอก็ต้องออกแบบลายผ้าและให้ทางโรงงานตัดเย็บให้ แต่มันไม่ใช่กรณีเดียวกันกับทางโรงงานไม่ได้ทำในแบบที่สั่ง และเฉินเฟิ่นอี้ไว้ใจจวินหว่านมากถึงไม่ให้ทดลองตัดเย็บมาให้ดูก่อน"อ้าว แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนล่ะคะ ฉันอุตส่าห์ไว้ใจยอมเปลี่ยนคนดูแลให้ลูกค้า ถ้าลูกค้าจ่ายเองแบบนี้ฉันก็เสียหาย" จวินหว่านไม่ยอมเพราะสิ่งที่ต้องทิ้งไปมันมีมูลค่าเท่าเงินเดือนในแต่ละเดือนของหล่อน ลูกค้าสั่งงานอย่างถูกต้องและหล่อนกำชับพนักงานแล้วด้วย"แต่น
ต้นเดือนกรกฎาคมปี 1977 ร้านเซี่ยเซี่ยวางขายยางรัดผมที่ีสามารถซื้อได้ต่างจากลายที่เป็นเอกลักษณ์ของร้านและการตัดเย็บที่ไม่เหมือนกัน ผู้คนต่างหลั่งไหลมาที่ีร้านทันทีเมื่อได้ยินว่ามียางรัดผมขาย แต่ต้องคอตกไปตาม ๆ กันเพราะไม่ใช่ลายที่ต้องการ และมีหลายคนที่ตัดสินใจซื้อยางรัดผมของร้านกลับไปด้วยวันแรกยางรัดผมขายได้มากถึงสามร้อยเส้นทำให้เฉินเฟิ่นอี้ต้องสั่งตัดเย็บเพิ่มเพื่อไม่ให้ขาดตลาดมาก ลูกค้าในอำเภอมีจำนวนมากและตอนนี้ในอำเภอมีเพียงร้านเซี่ยเซี่ยที่ทำขาย เฉินเฟิ่นอี้จึงขายในช่วงที่ขายได้ก่อนจะมีคู่แข่งและเธอเชื่อว่าจะไม่มีร้านไหนที่สู้ได้นอกจากยางรัดผมที่ขายได้แล้ว ผ้าถุงในร้านก็พลอยขายได้ไปด้วย ดีที่สั่งตัดเย็บไว้เยอะจึงนำของมาเพิ่มได้เร็ว เฉินเฟิ่นอี้อยากได้ห้องเช่าสำหรับเก็บผ้าถุงและยางรัดผมเพิ่ม เพียงแต่เธอไม่มีเวลาให้จัดเตรียม เนื่องจากมีหลายคนเริ่มได้รับจดหมายตอบรับ เฉินเฟิ่นอี้มั่นใจว่าพวกเธอจะได้จดหมายจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง"จริง ๆ ฉันว่าควรตัดตรงนี้แล้วเย็บตรงนี้เข้านะ" เฉินเฟิ่นอี้ชี้ไปยังจุดที่เธอเห็นว่าควรต้องเปลี่ยน วันนี้เธอเข้ามาหาจี้หลันที่ร้านเสื้อผ้าโอวหยางจิง"แต่ฉันว่าม
วันที่ 5 เดือน 3 ปี 1984 งานมงคลสมรสของเฉินเฟิ่นอี้และโอวหยางจิงจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกที่ได้รับเชิญต่างพากันเข้าร่วมงานอย่างหนาแน่น เฉินเฟิ่นอี้ต้องลุกมาแต่งตัวตั้งแต่เช้ามืด ทั้งต้องคอยถามถึงหน้างานเพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาดในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง สิ่งที่รอคอยนั่นคือการแต่งงานสักครั้งในชีวิต ในตอนที่เป็นแป้งร่ำ เธอพลาดโอกาสนั้นแล้ว ครั้งนี้เฉินเฟิ่นอี้ย่อมไม่พลาด"พี่สาวสามสวยมาก" เฉินเหม่ยเย่เอ่ยชมพี่สาวด้วยความตื่นเต้น ทั้งที่ไม่ใช่งานของตนเองนาน ๆ ที เฉินเฟิ่นอี้จะได้แต่งหน้าและแต่งตัว หากไม่ใช่วันสำคัญ แต่ก็ไม่ได้จัดเต็มเหมือนวันนี้ ภายใต้ชุดสีแดงมงคล เฉินเฟิ่นอี้เป็นผู้หญิงที่สวยมากในสายตาของน้องสาว"พี่สาวสามของเธอเป็นคนสวยมาตั้งนานแล้ว หล่อนแค่ไม่แต่งตัวเหมือนกับเธอที่ต้องทำงาน" พี่สาวใหญ่เดินเข้ามานั่งใกล้น้องสาวภายในห้องเจ้าสาวตอนนี้ มีพี่สาวใหญ่ พี่สาวรอง เฉินเหม่ยเย่ และเฉินเฟิ่นอี้ที่เป็นเจ้าสาว ทั้งสี่คนเป็นหลานสาวสายหลักของลุงสามที่เป็นผู้นำตระกูล ต่อให้แต่งงานแล้วแต่ยังเป็นคนสำคัญเฉินเฟิ่นอี้แต่งงานแล้วเธอจะเป็นคนของตระกูลโอวหยาง แต่ว่ายังสามารถมีปากเสียงในตระกูลเ
ต่อให้เร่งมากแค่ไหน การสร้างบ้านยังต้องใช้เวลาสองเดือน เฉินเฟิ่นอี้จึงใช้เวลาที่ว่างในการช่วยเฉียนลี่เซียนเปิดร้านตัดเย็บ มันเป็นเพียงการตัดเย็บที่ลูกค้าสั่งตัดไม่เกินห้าตัว ปะซ่อมบริเวณที่ขาดกว่าบ้านจะเสร็จ ร้านตัดเย็บเฉียนก็เริ่มเข้าที่แล้ว เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เธอปล่อยให้หล่อนจัดการร้านเอาเอง เพราะมีเฉียนเฟยเข้ามาช่วยจึงไม่ค่อยห่วงนักบ้านที่สร้างใหม่เป็นบ้านปูนห้าห้องนอน ล้อมรั้วแข็งแรงไม่ให้คนนอกเข้าไป แต่เฉินเฟิ่นอี้ฝากกุญแจให้ผู้ใหญ่บ้านจ้างคนไปทำความสะอาดข้างนอกบ้านให้ รวมถึงถางหญ้าในที่ดิน ค่าดูแลเดือนละยี่สิบหยวน แน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยอมจ่ายทันทีที่บ้านเสร็จ กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ก็เดินทางกลับปักกิ่งเพื่อเริ่มงาน พวกผู้หญิงมีงานถ่ายแบบเข้ามาบ้าง เฉินเฟิ่นอี้อนุญาตให้ทำและลดเงินเดือนบางส่วนของพวกหล่อนลงร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ยอีกสองสาขาอยู่ห่างจากสาขาใหญ่พอสมควร แต่เป็นบริเวณที่มีคนเดินผ่าน แน่นอนว่าร้านของเธอพี่ใหญ่เฉินเป็นคนหาให้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าสาขาที่สองเป็นสาขาที่เฉินเฟิ่นอี้สร้างร่วมกับน้องชายน้องสาว ส่วนสาขาใหญ่ตอนนี้มันเป็นเพียงชื่อของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าการ
งานมงคลผ่านไปแล้ว มีแต่คนอิจฉาเจ้าสาวเพราะได้รับสินสอดจำนวนมาก หลังงานมงคลเฉินเฟิ่นอี้เรียกผู้รับเหมาเข้าไปดูบ้านพร้อมกับสร้างบ้านใหม่ด้วยเวลาอันน้อยนิด เฉินเฟิ่นอี้จ่ายไม่อั้นเพื่อให้บ้านเสร็จก่อนกลับปักกิ่ง แต่ถึงจะเสร็จไม่ทันเธอก็จะรอให้มันเสร็จก่อนอยู่ดี ต่อให้มีคนนินทาและด่าว่าโง่ที่เอาเงินมาทิ้งกับบ้านที่ไม่ได้อยู่ เฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้สนใจ"พี่จัดการเรื่องผ้าถุงเสร็จแล้ว พวกเรากลับไปที่ร้านกันก่อนเถอะครับ" โอวหยางจิงบอกคนรักที่นั่งรออยู่ในโรงงานวันนี้เฉินเฟิ่นอี้เข้ามาจัดการเรื่องที่จะให้โรงงานส่งผ้าถุงเข้าไปในปักกิ่ง ค่าใช้จ่ายในการขนส่งแน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยินดีจ่าย ขอแค่ให้ของไปถึงมือส่วนร้านเซี่ยเซี่ยร้านแรกของเธอจะยุติการขาย เรื่องนี้ได้คุยกับลุงเหว่ยเทาไปแล้วตอนที่กลับมาถึงวันแรก แต่ต้องเข้าไปคุยอีกทีเพื่อยกเลิกสัญญาพอมีการประกาศออกไปดูเหมือนว่าทุกคนจะตกใจและรีบมาซื้อเก็บเอาไว้ สินค้าจะมีเหลือให้ขายเพียงห้าพันผืนสุดท้าย หากขายหมดก่อนร้านจะปิดลงทันที"ค่ะ"หากเป็นเมื่อก่อนเฉินเฟิ่นอี้กับโอหยางจิงคงปั่นจักรยานกัน แต่ตอนนี้คุณลุงโอวหยางให้คนรักของเธอนำรถมาใช้งานระหว่างอยู
วันที่เจ็ดเดือนสามปี 1982 กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้เดินทางมาถึงบ้านพักในอำเภอจวี่ที่เป็นบ้านหลังเดิม และเพื่อนของลุงสามเป็นคนจัดพื้นที่เอาไว้ให้แล้วการเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้มีผู้ใหญ่บ้านเฉินเดินทางมาด้วย มีเพียงผู้ปกครองที่เดินทางกลับบ้าน เฉินเฟิ่นอี้พร้อมกับน้อง ๆ ต้องการมาเข้าร่วมงานมงคลของเว่ยฟ่งกับเจียวซีถึงได้ตามกันมา ยกเว้นเฉินชิงชิงน้องชายคนเล็กของบ้านที่ปีนี้อายุสิบเอ็ดปีแล้วเฉินเฟิ่นอี้รับกุญแจจากลุงเหว่ยเทาทันทีที่มาถึง บ้านพักหลังนี้ถือว่าเป็นความทรงจำของเธอก็ว่าได้ อยู่มาตั้งหลายปี ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม"คุณลุงเหว่ยไม่ได้ปล่อยบ้านให้คนอื่นเช่าเหรอคะ" เฉินเฟิ่นอี้หันไปถามเจ้าของบ้านที่นั่งอยู่ในห้องโถง และสอบถามเรื่องราวระหว่างที่ไปอยู่ในปักกิ่ง"บ้านหลังนี้หลานบอกว่ามันเป็นความทรงจำไม่ใช่หรือ ถึงลุงไม่ได้ขายให้แต่ก็เก็บเอาไว้รอพวกหลานกลับมา" เหว่ยเทายิ้มเล็กน้อยเขาไม่ได้แต่งงานมีภรรยา สมบัติที่มีอยู่จึงเป็นของเขาและมีรายได้จากการปล่อยเช่าห้องพัก ไม่จำเป็นต้องปล่อยเช่าบ้านหลังนี้ให้คนอื่น และเด็กบ้านเฉินก็เหมือนลูกเหมือนหลานของเขา"ขอบคุณค่ะ""ลุงสามฝากบอกว่าถ้ามีเวลาให้ขึ
หลังงานเลี้ยงจบลง ข่าวที่หลายคนจับตามองมากที่สุดไม่พ้นหลานชายหลานสาวของตระกูลเฉินมีคนรักแล้ว หลายคนยังคงต้องการขยับความสัมพันธ์ เผื่อว่าวันหน้าจะมีโอกาส จึงจ้างกลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ไปร่วมงานอยู่บ่อย ๆช่วงปิดภาคเรียนเป็นช่วงที่ต้องทำหลายอย่าง กว่าจะลงตัวก็เปิดภาคเรียนแล้ว ภาคเรียนที่สองเป็นภาคเรียนที่เหนื่อยมาก บ่อยครั้งที่เฉินเฟิ่นอี้ต้องนอนในหอพักของมหาวิทยาลัยความสัมพันธ์ของกลุ่มเพื่อนยังคงหนาแน่น ยิ่งที่บ้านย้ายเข้าไปอยู่ในเขตตระกูลเฉิน ทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านพักทำให้ได้พบเจอหน้ากันทุกวันยิ่งได้อยู่ด้วยกันกับเฉินเฟิ่นอี้ ทุกคนต่างลงความเห็นที่จะทำงานกับเพื่อนสาว เว่ยฟ่งถึงขั้นต่อสายมาหาพ่อกับแม่เรื่องที่เขาเรียนจบแล้วจะกลับไปแต่งงานกับเจียวซีแล้วจะกลับมาอยู่ในปักกิ่งคนอื่น ๆ ก็มีท่าทีไม่ต่างกัน ผู้ชายเข้าไปช่วยรุ่นพี่โอวหยางจิงทำงาน ผู้หญิงช่วยเฉินเฟิ่นอี้ในร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ย ตอนนี้ได้ค่าตอบแทนน้อย แต่ถือว่าคุ้มเพราะช่วยอยู่เบื้องหลังแค่มาเรียนปีแรกก็ทำเอาผู้ปกครองปวดหัวแล้ว ปีที่ีสองยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ไม่มีใครกลับบ้านในช่วงปิดภาคเรียน ถ้าอยากเจอก็ให้เดินทางมาหาความสัมพัน
หลานชาย หลานสาว รวมถึงกลุ่มเพื่อนสนิทถูกจับแต่งตัวให้เหมาะสมกับงานสำคัญ อันที่จริงกลุ่มเพื่อนของเฉินเฟิ่นอี้ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมก็ได้ แต่ทุกคนลงความคิดเห็นว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ภายใต้การดูแลของบ้านเฉินแล้วแขกภายในงานมีหลายคนที่เคยสนิทกับคนในตระกูลเฉิน เพราะฉะนั้นเฉินเฟิ่นอี้จึงพยายามบอกคนอื่นให้หลีกเลี่ยงเท่าที่จะทำได้เฉินเฟิ่นอี้มองชุดที่ออกแบบด้วยฝีมือของพี่เยี่ยฉิงจากร้านเยว่ซิน ทันทีที่จะมีการจัดเตรียมงานเธอได้ทำการติดต่อขอตัดเย็บเสื้อผ้าให้ และตระกูลเยี่ยคือหนึ่งในพันธมิตรของปู่เธอ"เสียดายจริง ๆ ที่เธอไม่คิดจะทำงานในวงการบ้างหรือ" เยี่ยฉิงมองชุดบนตัวของเฉินเฟิ่นอี้"ไม่ละค่ะ ฉันชอบทำงานเบื้องหลังมากกว่า" เธอรีบส่ายหน้าปฏิเสธไป ให้ช่วยแต่งหน้าหรือทำอย่างอื่นได้ แต่จะให้ถ่ายแบบเธอทำไม่ได้จริง ๆ"อื้อ ๆ ฉันก็ว่าแบบนั้นดูเป็นเธอมากกว่า" หล่อนหัวเราะเฉินเฟิ่นอี้เป็นเจ้าของร้านผ้าถุงที่ออกแบบลวดลายเอง เยี่ยฉิงเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าที่ไม่ถ่ายแบบงานตัวเอง จึงเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเยี่ยฉิงที่ช่วยเฉินเฟิ่นอี้แต่งตัวแล้วเดินไปช่วยคนอื่นต่อ ทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้แต่งตัว แน่นอนว่างานส
ข่าวหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งของหลายวันมานี้จะเป็นข่าวอะไรไปไม่ได้นอกจากข่าวผลัดเปลี่ยนผู้นำตระกูลเฉิน เป็นผู้นำที่หลาย ๆ คนคิดว่าเหมาะสมที่สุด นั่นก็คือ เฉินจงอี้ หรือปู่เฉินของเด็ก ๆ บ้านเฉิน ที่รับช่วงต่อระหว่างรอลูกชายทั้งสี่เรียนรู้งานเฉินเฟิ่นอี้ให้พี่ใหญ่เฉินส่งคนคอยตามคนตระกูลเฉินไปอย่างลับ ๆ เธอไม่ไว้ใจพวกเขา อย่าลืมว่าเฉินหานกับ เฉินหว่านทั้งสองต่างมีชื่อเสียง เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ และปู่รอง ปู่สามของตระกูลจะไม่มีน้ำยาทำอะไรจริง ๆ น่ะหรือ"ปู่คะ ฉันว่าพวกเราอยู่ที่บ้านนี้สักพักก่อนดีกว่าค่ะ ส่วนบ้านหลังนั้นก็ให้คนเข้าไปเก็บกวาดซ่อมแซมใหม่ก่อน" เฉินเฟิ่นอี้เสนอเมื่อปู่เฉินจะพาทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านตระกูลเฉินบ้านมันเก่ามากแล้วควรทำความสะอาดครั้งใหญ่ อีกอย่างเธอก็ไม่รู้ว่าข้างในจะมีอะไรที่เป็นอันตรายหรือไม่ และเธอสะดวกใจที่จะอยู่บ้านพักหลังนี้มากกว่า แต่ว่าถ้าปู่เฉินต้องการที่จะย้ายไปเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร ขอเพียงให้มั่นใจก่อนว่ามันจะปลอดภัยจริง ๆช่วงนี้เธอไม่สามารถติดต่อกับระบบได้และมันก็หายไปหลายวันแล้ว ทำให้เฉินเฟิ่นอี้เป็นกังวลและคิดว่าควรรอมากกว่า"ทำไมล่ะ ที่จริงพวกเร
ปู่เฉิน ย่าเฉิน ลุงใหญ่ ลุงรอง ลุงสาม พ่อของเธอ พี่ใหญ่เฉิน และเฉินเฟิ่นอี้อยู่บนรถยนต์เพื่อเดินทางไปยังตระกูลเฉินตามที่เคยบอกเฉินหว่านเอาไว้ เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้พูดเล่น ตอนนี้ตระกูลเฉินมีหนี้และอีกไม่นานกิจการค้าขายที่เคยเป็นของปู่เฉินก็จะถูกยึด พี่ใหญ่เฉินกล่าวว่ามีคนจากตระกูลเฉินขอกู้เงินจำนวนหนึ่งล้านหยวนแลกกับกิจการเฉินเฟิ่นอี้นั่งข้างคนขับซึงก็คือพี่ใหญ่เฉิน นอกจากพวกเธอแล้วยังมีนายทหารอีกสองคันที่พี่ใหญ่เฉินพามาด้วย ดูเหมือนว่าตระกูลเฉินจะไม่มีเงินจ้างคนทำความสะอาดทางเข้า เขตบ้านตระกูลเฉินรกมากรถยนต์ดับลงหน้าบ้าน สมาชิกบ้านเฉินลงจากรถ เฉินเฟิ่นอี้เดินไปหาย่าเฉินที่อยู่ในวงล้อมของลูก ๆ เฉินเฟิ่นไม่ได้กลัวแต่ถ้าเกิดมีการลงไม้ลงมือกัน อย่างน้อยอยู่ใกล้ย่าเฉินจะปลอดภัยที่สุด“ที่นี่คือตระกูลเฉินเหรอคะ?”เฉินเฟิ่นอี้มองไปยังบ้านหลายหลังที่อยู่ติดกัน ด้านหน้าทางเข้าพบว่าเป็นบ้านสมัยใหม่ที่ดูดี แต่พอเข้ามาด้านหลังต้องบอกว่ามันทรุดโทรมมาก โดยเฉพาะหลังที่เป็นเหมือนบ้านรวม ตัวหลังคาหน้าบ้านมันแตกแล้ว“เปลี่ยนไปมากจริง ๆ” ปู่เฉินว่าด้วยความเสียดาย ที่ผ่านมาเขาคิดว่าจะมีคนดูแลที่นี่เหมือนก
เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดร้านนานหลายวัน เฉินเฟิ่นอี้กลับมาเปิดร้านอีกครั้งและจ้างคนมาเฝ้าหน้าร้านถึงสามคนเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย หนังสือพิมพ์ลงข่าวทายาทของเจ้าของกิจการที่ยกให้น้องชายก่อนที่เขาจะหายตัวไปพร้อมครอบครัว ทำให้ร้านผ้าถุงมีลูกค้าเข้ามาซื้อของมากขึ้น และมีหลายร้านที่มาจ้างให้เฉินเหม่ยเย่ไปถ่ายงาน นอกจากนี้กลุ่มเพื่อนผู้หญิงก็ยังมีงานตามมาอีกไม่ต่างกันเฉินเฟิ่นอี้นั่งลงบนเก้าอี้เพื่อตรวจสอบบัญชีของเมื่อวานที่ยังไม่ได้จัดการ ข้าง ๆ กันมีโอวหยางจิงที่ตามมาด้วย เห็นบอกว่างานในโรงงานไม่ได้มีอะไรให้ทำและไม่ได้รับลูกค้าเพิ่ม เพียงตัดเย็บให้ร้านของเธอกับตัดเย็บเสื้อผ้าให้ร้านเยว่ซินก็ทำแทบไม่ทันแล้ว"เมื่อวานโจวซิงฉือบอกว่าที่บ้านติดต่อมา มีคนเข้าไปหาพวกเขาสอบถามถึงเรื่องของเธอ แต่ครอบครัวของเขาบอกไปว่าไม่รู้จักเธอ" โอวหยางจิงเอ่ยขึ้นระหว่างที่นั่งมองคนรักทำงานทุกคนติดต่อไปยังครอบครัวเพื่อให้บอกว่าไม่รู้จักบ้านเฉินหรือหากพวกเขามีพยานให้ตอบว่าเป็นเพื่อนของลูกเท่านั้นไม่ได้รู้จักสนิทสนม และเป็นคำสั่งของเฉินเฟิ่นอี้เองเพื่อความปลอดภัยของทุกคน และไม่มีใครถามเนื่องจากเชื่อในตัวของเพื่อน