“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่กัน” เขาอดถามนางออกไปไม่ได้
หยางฉิงกำลังตั้งใจขุดดินอย่างเอาเป็นเอาตาย นางแทบไม่ค่อยได้ทำงานในไร่แบบนี้เลย ท่าการขุดดินของนางจึงมีท่าทางที่แปลกนัก ขณะที่นางกำลังจดจ่ออยู่กับการขุดดินอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของหลี่เซิงที่ถามอะไรบางอย่างกับนาง? “ท่านว่าอย่างไรนะ” นางถามเขาซ้ำอีกครั้ง “ข้าถามว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?” เขาคงแปลกใจที่นางลุกขึ้นมาจับจอบขุดดินถางหญ้า “ข้าอยากปลูกผักผลไม้ เผื่อว่าจะได้มีผลไม้เอาไว้ขายได้เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง” นางบอกถึงเหตุผลให้เขาฟัง “เจ้าไม่มีเงินแล้วหรือ…” ตอนแยกบ้านเขาเห็นว่านางได้เงินจากท่านแม่มาหลายตำลึงเงิน “เงินแค่นั้นจะเพียงพอให้ข้าและท่านที่เป็นคนป่วยใช้พอหรือ แต่เรื่องนี้ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าจัดการได้ ท่านแค่ดูแลตัวเองให้แข็งแรงเร็ว ๆ ก็พอแล้ว” นางตอบเขาออกไปและเริ่มกลับมาสนใจขุดดินของนางต่อ หลี่เซิงที่มองใบหน้าด้านข้างของหยางฉิง หน้าของนางแดงตัดกับดวงอาทิตย์กลมโตที่ใกล้จะตกดิน พอนางไม่ได้แต่งหน้าขาวแก้มแดงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว นางก็หน้าตาดีเหมือนกัน เขามองลงไปที่รูปร่างของหยางฉิง นางเป็นหญิงสาวที่รักสวยรักงาม หุ่นของนางจึงเหมาะที่จะเป็นแม่พันธุ์ชั้นดี ‘นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่กันเนี่ย’ เขาลบภาพในสมองของเขาออกไปทันทีเมื่อเขาเริ่มคิดเรื่องไร้สาระแบบนี้ เขานึกถึงวันที่แต่งงานกับหยางฉิง เวลานั้นนางเป็นหญิงสาวเอาแต่ใจ นางชอบเขามากจึงทำทุกวิถีทางได้เขามา หลังจากที่เขาแต่งงานกับนาง เขาต้องออกไปเป็นทหารต่ออีกสามปี จนบาดเจ็บกลับมาจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้เข้าหอกับนางเลยเสียครั้งเดียว เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านางมีมุมที่ดีแบบนี้ด้วย เมื่อก่อนถ้านางทำดีกับเขาเหมือนเดิม ไม่รังเกียจที่เขากลายเป็นคนพิการ เขาก็อาจจะรักนางไปแล้วก็ได้ การดูแลเอาใจใส่ของหยางฉิงที่มีต่อเขาตลอดสองวันมานี้ทำให้เขารู้สึกดีกับนางมากขึ้น เขาเลิกมองนางและกลับมานอนพักผ่อนเอาแรง นางเอาหมอนอันใหญ่มาให้เขาหนุ่นนอนอันใหม่ หมอนที่นางนำมาช่างนุ่มยิ่งนัก และนางยังเอาหมอนอีกอันที่มีรูปทรงแปลกตา นางสอนเขาว่า ให้เขาเอาหมอนลูกยาวดันไว้ที่หลังของเขา เวลาเขานอนให้พลิกตัวไปมา ไม่อย่างนั้นก้นของเขาอาจจะเป็นแผลได้ ‘เขาแปลกใจ นางทำไมรู้เรื่องพวกนี้ได้’ ถึงหลี่เซิงจะแปลกใจแต่เขาก็ทำตามคำแนะนำที่นางบอก ถ้ามันเป็นประโยชน์ต่อเขา เขาก็จะทำตาม หยางฉิงมองเห็นตะวันใกล้ลับขอบฟ้า ความมืดมิดเริ่มคืบคลานเข้ามา นางวางจอบไว้ตรงด้านหลังบ้าน ‘พรุ่งนี้นางค่อยมาทำต่อก็แล้วกัน’ นางเดินกลับเข้ามาในบ้าน เข้าไปในคอนโดและเอาอาหารที่ทำไว้ เอาออกมาให้หลี่เซิง นางจะรอเขากินให้เสร็จก่อน จึงค่อยกลับมากินที่หลัง ตอนนี้นางเริ่มปรับตัวเข้ากับการอยู่ในยุคนี้ได้บ้างแล้ว หยางฉิงเอาอาหารไปให้เขาในห้อง นางเอาของเสียนำออกไปทิ้ง และล้างให้สะอาดนำกลับมาวางไว้ในห้องเขาเหมือนเดิน เมื่อเช้าเธอทำแผลให้เขาไปแล้ว นางต้องรอสักสองถึงสามวันเพื่อให้แผลของเขาติดกันดีเสียก่อน นางจึงจะเริ่มทำแผลให้เขาอีกครั้ง หลังจากที่นางดูแลหลี่เซิงให้ยาเขากินเรียบร้อย ก็กลับไปคอนโดเพื่ออาบน้ำ นางนอนแช่ในอ่างน้ำเพื่อผ่อนคลาย และจุดกลิ่นอโรมาเพื่อให้บรรเทาความเมื่อยล้าที่พบเจอมาตลอดทั้งวัน นางไม่ลืมที่จะมาสก์หน้าและทาครีมกันแดดทุกครั้งที่อยู่ที่นั้น นางก็ไม่ต่างจากหยางฉิงคนเดิมตรงที่ ก็เป็นคนรักสวยรักงามเหมือนกัน กลางดึกหยางฉิงเดินออกไปดูหลี่เซิงอีกครั้ง นางกลัวว่าเขาจะมีไข้ขึ้นอีก พอเดินเข้ามาในห้องของหลี่เซิง นางมองเห็นเขานอนหมอนที่นางให้และใช้หมอนข้างตามวิธีที่สอน เธอเอามือแตะตรงหน้าผากของเขาเพื่อตรวจดูให้แน่ใจ ‘ตอนนี้ตัวของเขาไม่ได้ร้อนแล้ว นางเอาน้ำดื่มวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงและเดินออกจากห้องเขาไป หลังเสียงประตูปิดลงหลี่เซิงก็ลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด นัยน์ตาของเขามีประกายบางอย่างที่มีชีวิตชีวา เขายิ้มกับตัวเองและนอนหลับไปอีกครั้งด้วยฤทธิ์ยาที่กินไป เสียงนาฬิกาปลุกส่งเสียงร้องเพื่อปลุกหยางฉิงที่นอนหลับอยู่บนเตียงนอนให้ลืมตาตื่นขึ้น หยางฉิงไม่ลืมที่นางตั้งใจเอาไว้ วันนี้นางจะเริ่มออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายของนางแข็งแรงขึ้น นางเปลี่ยนไปใส่ชุดออกกำลังกาย เป็นกางเกงวอร์มขายาวกับเสื้อแขนยาว นางไม่มีชุดที่เป็นกางเกง จึงต้องใส่ชุดที่มีไปวิ่งแทนเสียก่อน นางล้างหน้าแปรงฟันและกลับมาที่บ้านหลี่เซิง หยางฉิงมองเห็นท้องฟ้าด้านนอกยังมืดแต่ก็ยังมีแสงสว่างจากดวงจันทร์ที่ส่องแสงลงมา ทำให้มองเห็นทางพื้นที่ด้านหลังไม่มืดมากนักและเริ่มก้าวเท้าวิ่งอยู่บนพื้นที่สองไร้ด้านหลังบ้าน ถึงจะมีหญ้าขึ้นรกแต่หญ้าเหล่านั้นก็เป็นหญ้าที่ตายแล้ว ความสูงของมันก็ไม่ได้สูงมากเท่าไหร่ ยังพอให้วิ่งได้ นางวิ่งวนไปมาอยู่ห้ารอบ จึงได้หยุดวิ่งเป็นเวลาที่แสงแดดของวันใหม่สาดส่องมาที่นางพอดี จึงรีบกลับไปในบ้านเปลี่ยนชุดกลับมาเป็นแบบเดิม นางกลัวว่าชาวบ้านจะมองเห็นนางในชุดแปลกตา ในระหว่างที่หยางฉิงตื่นมาวิ่งตั้งแต่เช้า ก็มีสายตาคู่หนึ่งคอยมองจ้องนางอยู่ตลอดเวลา หลี่เซิงตื่นเช้าเป็นประจำเพราะเขาเคยเป็นทหารมาก่อน เขาต้องตื่นไปฝึกร่างกายของเขาอยู่เสมอ ตื่นขึ้นมาเขาก็ได้ยินเสียงคนวิ่งไปมาอยู่หลังบ้าน เขาเพ่งสายตามองก็เห็นว่าคนที่วิ่งนั้นเป็นหยางฉิง นางแต่งชุดแปลกตาผมของนางมัดขึ้นสูงเผยให้เห็นลำคอเพียวยาวรับกับใบหน้าเรียวเล็กแต่มีแก้ม ตาของนางกลมโตหวานเห็นเด่นชัดมาแต่ไกล เขานอนมองดูนางวิ่งไปมาจนเสร็จ นางก็หายไปจากสายตาของเขา พอนางหายไป เขาก็รู้สึกเหมือนขาดหายอะไรบางอย่างขึ้นมาในใจ หลังจากที่หยางฉิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย นางก็เตรียมของทุกอย่างให้หลี่เซิงเหมือนเช่นทุกวัน เดี๋ยวนี้เธอทำเรื่องเหล่านี้จนชินเสียแล้ว นางทำทุกอย่างเสร็จก็ไปขุดดินที่ด้านหลังบ้านต่อ นางใช้เวลาขุดดินอยู่ครึ่งวันโดยมีสายตาของหลี่เซิงมองดูเธอทำงานอยู่ตลอด นางมองเห็นชาวบ้าน เดินผ่านนอกรั้วบ้านไปมาต่างทักทายนางด้วยท่าทางที่ดีขึ้น หยางฉิ่งมองดูพื้นที่ครึ่งไร่ที่ขุดจนเสร็จด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ‘ขุดเสร็จแล้วต้องทำอย่างไรต่อละ’นางยังไม่มีเมล็ดพันธุ์ของผลไม้สักอย่างเดียวเลย นางเดินเข้าไปตรงหน้าต่างที่หลี่เซิงนอนอยู่ “ท่านรู้หรือไม่ว่า ข้าจะซื้อเมล็ดพันธุ์ได้ที่ไหนบ้าง” นางค้นหาในความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไม่พบเจอสิ่งใดหลี่เซิงนอนมองนางอยู่ จึงเห็นนางเดินเข้ามาหาเขา “เจ้าอยากปลูกสิ่งใด?”“ข้าอยากปลูกแตงโมนะ ที่นี่มีเมล็ดแตงโมหรือไม่” พูดถึงผลแตงโมแล้วก็รู้สึกอยากกินขึ้นมา“ถ้าเจ้าอยากได้เมล็ดผลไม้ชนิดนั้นต้องเข้าไปซื้อในเมือง ที่เราอยู่ไม่ค่อยมีใครได้ปลูกผลไม้ชนิดนี้กัน เพราะมันปลูกยาก มีแค่คนมีเงินเท่านั้นถึงจะได้กินพวกมัน ข้าก็ยังไม่เคยได้กินเลยสักครั้งเดียว‘ที่นี่เมล็ดแตงโมหายากขนาดนี้เลยหรือ’ “ข้าจะเข้าไปในเมืองได้เช่นไรกัน ข้ายังต้องดูแลท่านอยู่ ข้าไม่กล้าไปคนเดียวหรอกนะ” นางก็อยากเข้าไปดูตลาดในเมืองหลวงอยู่เหมือนกันแต่ก็ยังเป็นห่วงหลี่เซิงหมู่บ้านที่นางอยู่นี้ชื่อหมู่บ้านอันเหอ เป็นหมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างไกลจากเมืองหลวงเท่าไหร่นัก จึงสามารถเดินทางเอาของไปขายในเมืองหลวงได้ แต่การเดินทางนั้นต้องใช้รถเกวียนวัวหรือเกวียนม้าเท่านั้น บางคนใช้ลาลากแทนก็มี“ถ้าอย่างนั้น เจ้าไปถามที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน เผื่อจะมีของที่เจ้าอยากได้ ลูกชายของผู้ใหญ่บ้านเขาขายของเดินทางไปหลายพื้นที่ ถ้าโชคดีอาจได้พบสิ่งของแปลก ๆ ที่เขานำมาจากที่อื่นก็ได้”นางได้ฟังที่หลี่เซิงพูดก็ตาลุกวาว นางอยากไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้านเสียแล้ว
ค่ำคืนในวันมืดมิด มีสถานที่หนึ่งเปิดเพลงเสียงดังกระหึ่ม แสงสีสาดส่องไปทั่วทุกพื้นที่ ผู้คนมากมายเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกไปมา รายล้อมอยู่รอบตัวหญิงสาวผมเป็นลอนยาวสวยนัยน์ตาหวานเยิ้ม เธอมองดูความวุ่นวายและฟังเสียงบรรเลงเพลงร็อกพาให้ใจเธอเต้นตามจังหวะ มีผู้คนเต้นคลอเคลียกันไปมาในสถานบันเทิงที่เธอกำลังนั่งอยู่ ในมือถือไวน์ชั้นดีมีรสชาติหวานนุ่มลิ้นและรสขมเล็กน้อย เธอนั่งอยู่ตรงบาร์เหล้าที่มีบาร์เทนเดอร์วาดลวดลายในการชงเหล้าให้กับเหล่าลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในค่ำคืนนี้หญิงสาวสวยหุ่นดีในชุดสีแดงเข้ารูป เธอเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะเพลงด้วยความเมามัน สายตากวาดมองไปทั่วรอบตัว เธอมองเห็นเพื่อนสาวคนสวยในชุดดำสั้นรัดรูปได้อย่างพอดีตัว นั่งโงนเงนไปมาด้วยความน่าเป็นห่วง“ซินหลิน เธอไหวหรือเปล่าเนี่ย” เธอเดินเข้าไปถามเพื่อนสาวด้วยความเป็นห่วงเสียงเรียกของใครบางคนที่คุ้นเคยทำให้หญิงสาวในชุดสีดำได้สติและเงยหน้ามอง สายตาของเธอปรับภาพซ้อนไปมาให้มันชัดเจนขึ้น จึงได้มองเห็นเป็นเพื่อสาวคนสวยในชุดสีแดงรัดรูปเช่นเดียวกันกับเธอ “ฉันยังไหว พวกเธอเต้นกันต่อเลย ฉันขอนั่งพักหน่อยก็แล้วกัน” เธอตอบเพื่อนสาวที่
“ขอบคุณ ยาห่อนี้ราคาเท่าไหร่?” ซินหลินไม่ชอบเอาของใครฟรี ๆ ถึงตอนนี้จะไม่มีเงินแม้แต่เหรียญเดียวก็ตามหลี่เทาว่าจะไม่เก็บเงิน แต่ชาวบ้านที่มามุงดูเยอะเกินไป เขาจะไม่เก็บเงินก็ไม่ได้ “ยาห่อนี้ราคาเพียงห้าอีแปะ เอาไว้ถ้าเจ้ามีเงินค่อยเอามาให้ข้าทีหลังก็ได้” เขาบอกราคาของยาให้นางรู้“เอาไว้กลับไปบ้านจะหาเงินมาจ่ายให้ท่าน วันนี้รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ ต้องขอบคุณทุกคนที่มาช่วย ฉันขอตัวกลับบ้านก่อน” ซินหลินรีบเดินก้มหน้า เดินออกไปตามทางที่อยู่ในความทรงจำชาวบ้านที่มุงดูต่างตกใจ อ้าปากค้าง พวกเขาไม่ได้ยินเสียงด่า หรือเสียงโวยวายดังมาจากหยางฉิง คำพูดของนางก็ดูแปลกไป หรือนางสมองกระทบกระเทือนไปแล้วใช่หรือไม่ ผู้คนมองดูหยางฉิงเดินออกไปพร้อมกัน แต่ละคนก็มีเรื่องสงสัยในเรื่องเดียวกัน ว่าหยางฉิงแปลกไป? ...หลังจากที่ซินหลินหนีออกมาจากผู้คนได้แล้ว เธอเดินไปตามทางที่อยู่ในความทรงจำอย่างไม่เร่งรีบ ระหว่างที่กำลังเดิน สายตาก็มองไปสองข้างทาง ถนนที่ไม่คุ้นเคย สายลมพัดผ่านเข้ามาเบา ๆ พาให้บรรยากาศดูเงียบเหงามากขึ้นสายตามองไปตามบ้านแต่ละหลังที่อยู่ในหมู่บ้านที่ซินหลินทะลุมิติเข้ามา บ้านของที่นี่ส่วนใหญ่สร้างด
นางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยขณะตักน้ำ แต่แล้วเสียงไอที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ ก็เรียกสติของนางให้กลับมา ซินหลินรีบตักน้ำจนเต็มถัง ก่อนจะเร่งเดินกลับไปในครัวเพื่อเตรียมต้มน้ำหลี่เซิงไอจนใบหน้าแดงก่ำ ริมฝีปากแห้งผากเพราะไม่ได้รับอาหารและน้ำมาหลายวัน เขาได้ยินเสียงของนางที่พูดขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้อง เขาหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง ท้ายที่สุดแล้ว นางก็ยังเป็นเช่นเดิม...เป็นนางที่ไม่เคยรักและใส่ใจเขา เป็นหญิงสาวที่เห็นแก่ตัวอยู่เสมอ...ซินหลินนำถังน้ำกลับเข้ามาในบ้าน ก่อนจะวางไว้หน้าเตาถ่านที่ยังมีไม้แห้งเหลือพอให้ใช้จุดไฟ นางพยายามจุดไฟอย่างชำนาญ แม้ชีวิตก่อนหน้านี้ของนางจะไม่เคยลำบากถึงเพียงนี้ แต่นางก็ไม่ได้อ่อนแอเกินกว่าจะเรียนรู้การทำอาหาร หรือจุดไฟเองได้เมื่อก่อน ตอนที่ฝึกงาน นางเคยต้องขึ้นเขาไปอยู่ในหมู่บ้านที่ยากจน เพื่อฝึกงานเป็นเวลาหลายเดือน วันเวลาเหล่านั้นทำให้นางได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายที่ไม่มีสอนในห้องเรียน นางรู้สึกขอบคุณประสบการณ์เหล่านั้น ที่ทำให้นางสามารถเอาตัวรอดในที่แห่งนี้ได้เมื่อน้ำเดือด นางตักน้ำใส่ถ้วย ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของหลี่เซิงอีกครั้ง“ข้าเอาน้ำมาให้ท่าน ท่านคงไม่ว
นางเปิดตู้ไม้ออกดู พบว่าด้านในมีกล่องสองถึงสามกล่องเรียงกันอยู่ ด้านบนกล่องยังมีเสื้อผ้าหลากสีเนื้อดีพับเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ เสื้อผ้าเหล่านี้ล้วนมีสีสดใส ไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีชมพูบานเย็น หรือสีส้ม ล้วนเป็นสีที่สะดุดตาทั้งสิ้น แม้แต่ชุดที่นางสวมอยู่ก็เป็นสีแดงไม่ต่างจากตัวที่อยู่ในตู้ แต่ส่วนตัวแล้ว นางชอบเสื้อผ้าสีอ่อนมากกว่านางเปิดกล่องที่มีขนาดเท่ากันสองกล่อง พบว่ามีผ้าสีเขียวอ่อน สีชมพูอ่อน และผ้าสีขาวอีกหนึ่งผืน เป็นผ้าฝ้ายเนื้อดี นางหยิบผ้าสีขาวออกมา แล้วเก็บผ้าสีอื่นกลับเข้าที่ตามเดิม ผ้าเหล่านี้ดูดีเกินกว่าที่จะสวมใส่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ มันเหมาะกับการใส่เวลาเข้าเมืองมากกว่านางเปิดกล่องอีกใบที่ดูเก่ากว่า ภายในเป็นเสื้อผ้าสีน้ำตาลเนื้อหยาบกว่าชุดอื่น เป็นผ้าป่านที่เหมาะกับการสวมใส่ทำงานโดยเฉพาะ เป็นชุดคลุมแขนยาวตัวยาว พร้อมกระโปรงสีน้ำตาลที่พับไว้อย่างดี นางเลือกหยิบออกมาสองชุดเมื่อล้วงลึกเข้าไปด้านในของตู้เสื้อผ้า นางพบกล่องไม้ไผ่ขนาดเท่าฝ่ามือ เมื่อนางเปิดมันออกดูก็พบว่า ภายในมีก้อนเงินรวมทั้งหมดสองตำลึงเงินกับห้าก้วน อย่างน้อยก็ยังมีเงินติดตัวบ้าง นางจะได้ซื้อเนื้อส
ซินหลินมองดูถังไม้ที่อยู่ใต้เตียงของเขา ถังไม้มีฝาปิดเอาไว้อย่างดีเพื่อปกปิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา “ข้าขอเอาถังไม้ของท่านไปล้างก่อนนะ ท่านต้องใช้ตอนนี้หรือไม่?” นางอยากเอามันไปทิ้ง เพราะถังไม้นั้นช่างสกปรกและไม่ได้รับการทำความสะอาดที่ดีพอ“เจ้าจะทำอะไรก็เอาไปเถอะ ข้ายังไม่จำเป็นต้องใช้ตอนนี้” วันนี้นางทำไมถามเขามากเสียจริง ทุกครั้งที่นางมาที่ห้องของเขา นางก็แทบจะไม่มองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ“ถ้าอย่างนั้น ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว ท่านพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะมาขอดูแผลของท่านทีหลัง” ตอนแรกนางอยากจะดูแผลตรงขาของเขาเลย แต่ตอนนี้นางอยากให้เขาพักผ่อนก่อนก็แล้วกันนางเดินเอาถังไม้เหม็น ๆ ออกไปทิ้งด้านนอก มองดูถังไม้ที่ดำเกินกว่าจะใช้งานได้อีก นางคิดถึงอุปกรณ์ดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในคอนโด มันก็มีอุปกรณ์ที่ใช้ในเรื่องพวกนี้อยู่ นางเคยเอาพวกมันมาทำวิจัย โดยใช้วัสดุอื่นมาใช้ทดแทนสำหรับหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจากผู้คน‘ถ้าข้าเอาของพวกนั้นมาใช้ เขาจะสงสัยข้าหรือไม่? เพราะของสิ่งนั้นมันดีเกินกว่าที่อยู่ในยุคนี้’ซินหลินไม่คิดนานมากนัก ก็หายตัวกลับไปที่คอนโดและเอากระโถนสำหรับไว้ถ่ายหนัก กระบอกสำหรับถ่ายเบาที่ทำจากไม
หยางฉิงใช้แผ่นแปะแผลที่เป็นสิ่งที่ใช้แทนการเย็บแผล นางแปะแผลที่เปิดอ้าทั้งสองด้านให้ติดเข้าหากัน และก็แปะผ้าก๊อซ ตามด้วยผ้าสะอาดพันรอบบาดแผลของเขาเอาไว้อีกรอบ นางป้อนยาแก้ปวดและยาฆ่าเชื้อให้เขากิน พร้อมใช้น้ำเย็นเช็ดตัวหลี่เซิงจนตัวของเขาเย็นลงเมื่อนางสังเกตว่าหน้าตาของเขาไม่มีความเจ็บปวดแล้ว นางก็เก็บสิ่งของต่าง ๆ ที่ได้ทำไว้ เอาไปทิ้งไว้ที่คอนโด นางหยิบเอาเสื้อผ้าของเขาออกมา พร้อมทั้งเอาของเสียของเขาออกไปทิ้งที่ห้องส้วมด้านนอกทั้งล้างและตากไว้ให้แห้ง‘ข้าต้องเอาน้ำยาฆ่าเชื้อมาไว้ในห้องส้วมบ้างแล้ว มันช่างเหม็นจริง ๆ ดีที่ห้องส้วมของข้าอยู่ไกลจากตัวบ้าน’วันนี้เพิ่งวันที่สองเท่านั้น แค่ลืมตาตื่นนางก็ยุ่งวุ่นวายตั้งแต่เช้า ดีที่เอาหนองตรงขาของหลี่เซิงออกทัน ไม่อย่างนั้น เขาคงต้องโดนตัดขาแล้ว นางนั่งพักเหนื่อยอยู่ตรงริมลำธารข้างบ้านและเอาเสื้อผ้าของหลี่เซิงที่นางซักไว้แล้วเอามาตากอีกที เมื่อมองทุกอย่างที่ทำอย่างเร่งรีบในตอนเช้า ตอนนี้ตะวันก็โผล่พ้นขึ้นมาจนพระอาทิตย์เต็มดวง นางยังต้องทำความสะอาดบ้าน งานใหญ่ที่รออยู่…หลี่เซิงรู้สึกตัวในช่วงบ่ายของวัน เขารู้สึกเจ็บตรงบริเวณบาดแผลตรงขา เ
ทั้งสองคนล้มลงไปนอนบนพื้นดินจนฝุ่นฟุ้งกระจายตามน้ำหนักตัว“หลี่เจิงมันเอาแรงมาจากไหนมากมายนัก!” หลี่หยินหันไปพูดกับหลี่เจิงพร้อมกุมท้องที่เริ่มดีขึ้น“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร แต่เรื่องนี้มันยังไม่จบแค่นี้หรอก” หลี่เจิงใช้แรงที่เหลือลุกขึ้น ใบหน้าของนางดูน่ากลัว ตาที่ลุกวาวพร้อมกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ ‘ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีใครตีข้าเลยเสียครั้งเดียว’ แล้วมันเป็นใครถึงได้กล้ามาตีคนอย่างนาง“หน่อย!... เจ้ากล้าตีข้าหรือ คอยดูข้าจะให้ท่านแม่มาจัดการกับเจ้า!” หลี่เจิงชี้หน้าด่าหยางฉิงด้วยถ้อยคำหยาบคาย พร้อมกับมือแห้งกร้านฟาดไปบนใบหน้าหยางฉิงเต็มแรง ใบหน้าหยางฉิงหันไปตามแรงตบ บนใบหน้าซีกซ้ายเป็นรอยมือสีแดงเด่นชัด…หยางฉินมองเห็นมือหลี่เจิงกำลังตีลงมาบนใบหน้า หยางฉิงสามารถหลบฝ่ามือของนางได้ แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น นางยืนรอรับฝ่ามือของหลี่เจิงที่ฟาดลงมา อย่างเต็มใจ หยางฉิงรู้สึกเค็มและได้กลิ่นคาวเลือดมาจากข้างในปาก นางยิ้มพอใจเล็กน้อย พร้อมกับร้องตะโกนเรียกชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงให้ได้ยินกันทั่ว มือที่เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ก็ต่อยตีไปตรงซี่โครงของทั้งสองคนซ้ำ ๆ จนทั้งสองคนล้มไปกองอยู่บนพื้นดินหน้
หลี่เซิงนอนมองนางอยู่ จึงเห็นนางเดินเข้ามาหาเขา “เจ้าอยากปลูกสิ่งใด?”“ข้าอยากปลูกแตงโมนะ ที่นี่มีเมล็ดแตงโมหรือไม่” พูดถึงผลแตงโมแล้วก็รู้สึกอยากกินขึ้นมา“ถ้าเจ้าอยากได้เมล็ดผลไม้ชนิดนั้นต้องเข้าไปซื้อในเมือง ที่เราอยู่ไม่ค่อยมีใครได้ปลูกผลไม้ชนิดนี้กัน เพราะมันปลูกยาก มีแค่คนมีเงินเท่านั้นถึงจะได้กินพวกมัน ข้าก็ยังไม่เคยได้กินเลยสักครั้งเดียว‘ที่นี่เมล็ดแตงโมหายากขนาดนี้เลยหรือ’ “ข้าจะเข้าไปในเมืองได้เช่นไรกัน ข้ายังต้องดูแลท่านอยู่ ข้าไม่กล้าไปคนเดียวหรอกนะ” นางก็อยากเข้าไปดูตลาดในเมืองหลวงอยู่เหมือนกันแต่ก็ยังเป็นห่วงหลี่เซิงหมู่บ้านที่นางอยู่นี้ชื่อหมู่บ้านอันเหอ เป็นหมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างไกลจากเมืองหลวงเท่าไหร่นัก จึงสามารถเดินทางเอาของไปขายในเมืองหลวงได้ แต่การเดินทางนั้นต้องใช้รถเกวียนวัวหรือเกวียนม้าเท่านั้น บางคนใช้ลาลากแทนก็มี“ถ้าอย่างนั้น เจ้าไปถามที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน เผื่อจะมีของที่เจ้าอยากได้ ลูกชายของผู้ใหญ่บ้านเขาขายของเดินทางไปหลายพื้นที่ ถ้าโชคดีอาจได้พบสิ่งของแปลก ๆ ที่เขานำมาจากที่อื่นก็ได้”นางได้ฟังที่หลี่เซิงพูดก็ตาลุกวาว นางอยากไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้านเสียแล้ว
“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่กัน” เขาอดถามนางออกไปไม่ได้หยางฉิงกำลังตั้งใจขุดดินอย่างเอาเป็นเอาตาย นางแทบไม่ค่อยได้ทำงานในไร่แบบนี้เลย ท่าการขุดดินของนางจึงมีท่าทางที่แปลกนัก ขณะที่นางกำลังจดจ่ออยู่กับการขุดดินอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของหลี่เซิงที่ถามอะไรบางอย่างกับนาง?“ท่านว่าอย่างไรนะ” นางถามเขาซ้ำอีกครั้ง“ข้าถามว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”เขาคงแปลกใจที่นางลุกขึ้นมาจับจอบขุดดินถางหญ้า “ข้าอยากปลูกผักผลไม้ เผื่อว่าจะได้มีผลไม้เอาไว้ขายได้เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง” นางบอกถึงเหตุผลให้เขาฟัง“เจ้าไม่มีเงินแล้วหรือ…” ตอนแยกบ้านเขาเห็นว่านางได้เงินจากท่านแม่มาหลายตำลึงเงิน“เงินแค่นั้นจะเพียงพอให้ข้าและท่านที่เป็นคนป่วยใช้พอหรือ แต่เรื่องนี้ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าจัดการได้ ท่านแค่ดูแลตัวเองให้แข็งแรงเร็ว ๆ ก็พอแล้ว” นางตอบเขาออกไปและเริ่มกลับมาสนใจขุดดินของนางต่อหลี่เซิงที่มองใบหน้าด้านข้างของหยางฉิง หน้าของนางแดงตัดกับดวงอาทิตย์กลมโตที่ใกล้จะตกดิน พอนางไม่ได้แต่งหน้าขาวแก้มแดงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว นางก็หน้าตาดีเหมือนกัน เขามองลงไปที่รูปร่างของหยางฉิง นางเป็นหญิงสาวที่รักสวยรักงาม หุ่นของนางจึงเหมาะที่จะ
‘ทุกอย่างกลับมาเท่าเดิม… หรือว่าของทุกสิ่งที่อยู่ในคอนโดแห่งนี้ ไม่ว่านางจะหยิบจับสิ่งใดออกไปใช้ พวกมันก็จะกลับมาเหมือนเดิม?’เมื่อคิดได้ดังนั้น ริมฝีปากของนางก็ยกยิ้มขึ้น ‘ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ต้องกังวลว่าอาหารหรือยาที่อยู่ในนี้จะหมดไปอีกแล้ว’นางรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยนี่ก็เป็นเรื่องดีเพียงสิ่งเดียวตั้งแต่ที่นางทะลุมิติมายังที่แห่งนี้หยางฉิงหยิบไข่ไก่ออกมา เปิดเตาแล้วลงมือทำอาหาร นางทำไข่น้ำและข้าวต้มขาวเพื่อให้หลี่เซิงกินเป็นมื้อเย็น เขาเพิ่งหายจากพิษไข้ ควรกินอาหารอ่อน ๆ เพื่อให้ย่อยง่าย จะได้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง‘ข้าต้องบำรุงให้เขามีเนื้อหนังมากกว่านี้ ตอนนี้เขาผอมเกินไปแล้ว…’ส่วนเรื่องขาที่บาดเจ็บนั้น นางแน่ใจว่าสามารถช่วยให้เขากลับมาเดินได้! แต่เขาคงเดินได้ไม่ปกติอีกต่อไป เพราะเส้นเอ็นที่ขาของเขาถูกตัดขาด อีกทั้งยังขาดการรักษาที่เหมาะสม คนที่นี่ก็คงไม่มีใครรู้วิธีต่อเส้นเอ็นเป็นแน่ ด้วยความล้าหลังของยุคสมัย ทำให้หลายคนต้องกลายเป็นคนพิการโดยไม่รู้ตัวหยางฉิงหายตัวกลับออกมา ก่อนจะเดินไปดูประตูรั้วบ้านที่พังเสียหาย นางอยากสร้างรั้วใหม่เสียจริง ไหน ๆ มันก็พังไปแล้ว
“พวกนางทั้งสองคนก็ไปแล้ว ถึงข้าจะคิดว่าเรื่องนี้มันจะไม่จบง่าย ๆ ข้าก็ขอบคุณพวกท่านมากที่มาช่วยปกป้องข้า ตั้งแต่ที่ข้าได้รับอุบัติเหตุ ข้าก็ตั้งใจจะกลับตัว กลับใจเป็นคนที่ดีขึ้น ข้าเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง…” หยางฉิงอธิบายถึงเหตุผลที่นางเปลี่ยนไปให้ชาวบ้านได้ฟัง ‘นางได้เรื่องอ้างถึงนิสัยที่เปลี่ยนไปอยู่พอดี’ชาวบ้านที่ยังมุงดูอยู่หน้าบ้านหยางฉิง พวกเขาต่างได้ฟังที่นางพูดก็มีส่วนที่ถูกอยู่บ้าง เมื่อคนเราผ่านความเป็น ความตายมา ก็อาจจะรู้ถึงคุณค่าในการใช้ชีวิตมากขึ้น“พวกเราดีใจที่เจ้ากลับตัวกลับใจเป็นคนที่ดีได้ หลี่เซิงสามีของเจ้าเมื่อก่อนเขาก็ลำบากเพื่อเจ้ามามากมายนัก ต่อไปนี้เจ้าก็ต้องตั้งใจดูแลหลี่เซิงให้ดี ถึงสามีของเจ้าจะกลับมาเดินอีกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าเจ้าได้รู้จักหาเงินเจ้าก็อยู่ได้สบาย เจ้าดูที่ดินผื่นนี้สิ ที่หลี่เซิงพยายามแย่งมันมาให้เจ้า เอาละพวกข้าเข้าใจแล้ว พวกข้าจะเดินไปบอกผู้ใหญ่บ้านให้เจ้า เจ้าก็เข้าไปทำแผลที่ปากของเจ้าเถอะ และก็ระวังแม่สามีของเจ้าเอาไว้ นางไม่ยอมจบแค่นี้แน่” หลี่จือพูดเตือนหยางฉิงด้วยความเป็นห่วง ที่จริงนางสงสารหยางฉิงมากกว่าเสียอีกที่ต้องแยกบ้านออกมา
ทั้งสองคนล้มลงไปนอนบนพื้นดินจนฝุ่นฟุ้งกระจายตามน้ำหนักตัว“หลี่เจิงมันเอาแรงมาจากไหนมากมายนัก!” หลี่หยินหันไปพูดกับหลี่เจิงพร้อมกุมท้องที่เริ่มดีขึ้น“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร แต่เรื่องนี้มันยังไม่จบแค่นี้หรอก” หลี่เจิงใช้แรงที่เหลือลุกขึ้น ใบหน้าของนางดูน่ากลัว ตาที่ลุกวาวพร้อมกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ ‘ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีใครตีข้าเลยเสียครั้งเดียว’ แล้วมันเป็นใครถึงได้กล้ามาตีคนอย่างนาง“หน่อย!... เจ้ากล้าตีข้าหรือ คอยดูข้าจะให้ท่านแม่มาจัดการกับเจ้า!” หลี่เจิงชี้หน้าด่าหยางฉิงด้วยถ้อยคำหยาบคาย พร้อมกับมือแห้งกร้านฟาดไปบนใบหน้าหยางฉิงเต็มแรง ใบหน้าหยางฉิงหันไปตามแรงตบ บนใบหน้าซีกซ้ายเป็นรอยมือสีแดงเด่นชัด…หยางฉินมองเห็นมือหลี่เจิงกำลังตีลงมาบนใบหน้า หยางฉิงสามารถหลบฝ่ามือของนางได้ แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น นางยืนรอรับฝ่ามือของหลี่เจิงที่ฟาดลงมา อย่างเต็มใจ หยางฉิงรู้สึกเค็มและได้กลิ่นคาวเลือดมาจากข้างในปาก นางยิ้มพอใจเล็กน้อย พร้อมกับร้องตะโกนเรียกชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงให้ได้ยินกันทั่ว มือที่เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ก็ต่อยตีไปตรงซี่โครงของทั้งสองคนซ้ำ ๆ จนทั้งสองคนล้มไปกองอยู่บนพื้นดินหน้
หยางฉิงใช้แผ่นแปะแผลที่เป็นสิ่งที่ใช้แทนการเย็บแผล นางแปะแผลที่เปิดอ้าทั้งสองด้านให้ติดเข้าหากัน และก็แปะผ้าก๊อซ ตามด้วยผ้าสะอาดพันรอบบาดแผลของเขาเอาไว้อีกรอบ นางป้อนยาแก้ปวดและยาฆ่าเชื้อให้เขากิน พร้อมใช้น้ำเย็นเช็ดตัวหลี่เซิงจนตัวของเขาเย็นลงเมื่อนางสังเกตว่าหน้าตาของเขาไม่มีความเจ็บปวดแล้ว นางก็เก็บสิ่งของต่าง ๆ ที่ได้ทำไว้ เอาไปทิ้งไว้ที่คอนโด นางหยิบเอาเสื้อผ้าของเขาออกมา พร้อมทั้งเอาของเสียของเขาออกไปทิ้งที่ห้องส้วมด้านนอกทั้งล้างและตากไว้ให้แห้ง‘ข้าต้องเอาน้ำยาฆ่าเชื้อมาไว้ในห้องส้วมบ้างแล้ว มันช่างเหม็นจริง ๆ ดีที่ห้องส้วมของข้าอยู่ไกลจากตัวบ้าน’วันนี้เพิ่งวันที่สองเท่านั้น แค่ลืมตาตื่นนางก็ยุ่งวุ่นวายตั้งแต่เช้า ดีที่เอาหนองตรงขาของหลี่เซิงออกทัน ไม่อย่างนั้น เขาคงต้องโดนตัดขาแล้ว นางนั่งพักเหนื่อยอยู่ตรงริมลำธารข้างบ้านและเอาเสื้อผ้าของหลี่เซิงที่นางซักไว้แล้วเอามาตากอีกที เมื่อมองทุกอย่างที่ทำอย่างเร่งรีบในตอนเช้า ตอนนี้ตะวันก็โผล่พ้นขึ้นมาจนพระอาทิตย์เต็มดวง นางยังต้องทำความสะอาดบ้าน งานใหญ่ที่รออยู่…หลี่เซิงรู้สึกตัวในช่วงบ่ายของวัน เขารู้สึกเจ็บตรงบริเวณบาดแผลตรงขา เ
ซินหลินมองดูถังไม้ที่อยู่ใต้เตียงของเขา ถังไม้มีฝาปิดเอาไว้อย่างดีเพื่อปกปิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา “ข้าขอเอาถังไม้ของท่านไปล้างก่อนนะ ท่านต้องใช้ตอนนี้หรือไม่?” นางอยากเอามันไปทิ้ง เพราะถังไม้นั้นช่างสกปรกและไม่ได้รับการทำความสะอาดที่ดีพอ“เจ้าจะทำอะไรก็เอาไปเถอะ ข้ายังไม่จำเป็นต้องใช้ตอนนี้” วันนี้นางทำไมถามเขามากเสียจริง ทุกครั้งที่นางมาที่ห้องของเขา นางก็แทบจะไม่มองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ“ถ้าอย่างนั้น ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว ท่านพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะมาขอดูแผลของท่านทีหลัง” ตอนแรกนางอยากจะดูแผลตรงขาของเขาเลย แต่ตอนนี้นางอยากให้เขาพักผ่อนก่อนก็แล้วกันนางเดินเอาถังไม้เหม็น ๆ ออกไปทิ้งด้านนอก มองดูถังไม้ที่ดำเกินกว่าจะใช้งานได้อีก นางคิดถึงอุปกรณ์ดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในคอนโด มันก็มีอุปกรณ์ที่ใช้ในเรื่องพวกนี้อยู่ นางเคยเอาพวกมันมาทำวิจัย โดยใช้วัสดุอื่นมาใช้ทดแทนสำหรับหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจากผู้คน‘ถ้าข้าเอาของพวกนั้นมาใช้ เขาจะสงสัยข้าหรือไม่? เพราะของสิ่งนั้นมันดีเกินกว่าที่อยู่ในยุคนี้’ซินหลินไม่คิดนานมากนัก ก็หายตัวกลับไปที่คอนโดและเอากระโถนสำหรับไว้ถ่ายหนัก กระบอกสำหรับถ่ายเบาที่ทำจากไม
นางเปิดตู้ไม้ออกดู พบว่าด้านในมีกล่องสองถึงสามกล่องเรียงกันอยู่ ด้านบนกล่องยังมีเสื้อผ้าหลากสีเนื้อดีพับเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ เสื้อผ้าเหล่านี้ล้วนมีสีสดใส ไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีชมพูบานเย็น หรือสีส้ม ล้วนเป็นสีที่สะดุดตาทั้งสิ้น แม้แต่ชุดที่นางสวมอยู่ก็เป็นสีแดงไม่ต่างจากตัวที่อยู่ในตู้ แต่ส่วนตัวแล้ว นางชอบเสื้อผ้าสีอ่อนมากกว่านางเปิดกล่องที่มีขนาดเท่ากันสองกล่อง พบว่ามีผ้าสีเขียวอ่อน สีชมพูอ่อน และผ้าสีขาวอีกหนึ่งผืน เป็นผ้าฝ้ายเนื้อดี นางหยิบผ้าสีขาวออกมา แล้วเก็บผ้าสีอื่นกลับเข้าที่ตามเดิม ผ้าเหล่านี้ดูดีเกินกว่าที่จะสวมใส่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ มันเหมาะกับการใส่เวลาเข้าเมืองมากกว่านางเปิดกล่องอีกใบที่ดูเก่ากว่า ภายในเป็นเสื้อผ้าสีน้ำตาลเนื้อหยาบกว่าชุดอื่น เป็นผ้าป่านที่เหมาะกับการสวมใส่ทำงานโดยเฉพาะ เป็นชุดคลุมแขนยาวตัวยาว พร้อมกระโปรงสีน้ำตาลที่พับไว้อย่างดี นางเลือกหยิบออกมาสองชุดเมื่อล้วงลึกเข้าไปด้านในของตู้เสื้อผ้า นางพบกล่องไม้ไผ่ขนาดเท่าฝ่ามือ เมื่อนางเปิดมันออกดูก็พบว่า ภายในมีก้อนเงินรวมทั้งหมดสองตำลึงเงินกับห้าก้วน อย่างน้อยก็ยังมีเงินติดตัวบ้าง นางจะได้ซื้อเนื้อส
นางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยขณะตักน้ำ แต่แล้วเสียงไอที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ ก็เรียกสติของนางให้กลับมา ซินหลินรีบตักน้ำจนเต็มถัง ก่อนจะเร่งเดินกลับไปในครัวเพื่อเตรียมต้มน้ำหลี่เซิงไอจนใบหน้าแดงก่ำ ริมฝีปากแห้งผากเพราะไม่ได้รับอาหารและน้ำมาหลายวัน เขาได้ยินเสียงของนางที่พูดขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้อง เขาหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง ท้ายที่สุดแล้ว นางก็ยังเป็นเช่นเดิม...เป็นนางที่ไม่เคยรักและใส่ใจเขา เป็นหญิงสาวที่เห็นแก่ตัวอยู่เสมอ...ซินหลินนำถังน้ำกลับเข้ามาในบ้าน ก่อนจะวางไว้หน้าเตาถ่านที่ยังมีไม้แห้งเหลือพอให้ใช้จุดไฟ นางพยายามจุดไฟอย่างชำนาญ แม้ชีวิตก่อนหน้านี้ของนางจะไม่เคยลำบากถึงเพียงนี้ แต่นางก็ไม่ได้อ่อนแอเกินกว่าจะเรียนรู้การทำอาหาร หรือจุดไฟเองได้เมื่อก่อน ตอนที่ฝึกงาน นางเคยต้องขึ้นเขาไปอยู่ในหมู่บ้านที่ยากจน เพื่อฝึกงานเป็นเวลาหลายเดือน วันเวลาเหล่านั้นทำให้นางได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายที่ไม่มีสอนในห้องเรียน นางรู้สึกขอบคุณประสบการณ์เหล่านั้น ที่ทำให้นางสามารถเอาตัวรอดในที่แห่งนี้ได้เมื่อน้ำเดือด นางตักน้ำใส่ถ้วย ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของหลี่เซิงอีกครั้ง“ข้าเอาน้ำมาให้ท่าน ท่านคงไม่ว