นางเปิดตู้ไม้ออกดู พบว่าด้านในมีกล่องสองถึงสามกล่องเรียงกันอยู่ ด้านบนกล่องยังมีเสื้อผ้าหลากสีเนื้อดีพับเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ เสื้อผ้าเหล่านี้ล้วนมีสีสดใส ไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีชมพูบานเย็น หรือสีส้ม ล้วนเป็นสีที่สะดุดตาทั้งสิ้น แม้แต่ชุดที่นางสวมอยู่ก็เป็นสีแดงไม่ต่างจากตัวที่อยู่ในตู้ แต่ส่วนตัวแล้ว นางชอบเสื้อผ้าสีอ่อนมากกว่า
นางเปิดกล่องที่มีขนาดเท่ากันสองกล่อง พบว่ามีผ้าสีเขียวอ่อน สีชมพูอ่อน และผ้าสีขาวอีกหนึ่งผืน เป็นผ้าฝ้ายเนื้อดี นางหยิบผ้าสีขาวออกมา แล้วเก็บผ้าสีอื่นกลับเข้าที่ตามเดิม ผ้าเหล่านี้ดูดีเกินกว่าที่จะสวมใส่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ มันเหมาะกับการใส่เวลาเข้าเมืองมากกว่า นางเปิดกล่องอีกใบที่ดูเก่ากว่า ภายในเป็นเสื้อผ้าสีน้ำตาลเนื้อหยาบกว่าชุดอื่น เป็นผ้าป่านที่เหมาะกับการสวมใส่ทำงานโดยเฉพาะ เป็นชุดคลุมแขนยาวตัวยาว พร้อมกระโปรงสีน้ำตาลที่พับไว้อย่างดี นางเลือกหยิบออกมาสองชุด เมื่อล้วงลึกเข้าไปด้านในของตู้เสื้อผ้า นางพบกล่องไม้ไผ่ขนาดเท่าฝ่ามือ เมื่อนางเปิดมันออกดูก็พบว่า ภายในมีก้อนเงินรวมทั้งหมดสองตำลึงเงินกับห้าก้วน อย่างน้อยก็ยังมีเงินติดตัวบ้าง นางจะได้ซื้อเนื้อสดมาทำอาหาร นางเก็บของทุกอย่างที่ไม่ได้ใช้กลับเข้าตู้ตามเดิม เมื่อหมดความสนใจกับตู้เสื้อผ้า นางจึงเดินไปที่เตียง เตียงนี้มีเตาติดตั้งอยู่ด้านล่าง ปูทับด้วยผ้าหลายชั้น และชั้นบนสุดเป็นสีชมพู บนเตียงยังมีกระจกรูปทรงกลมขนาดเล็กวางอยู่ ‘ตั้งแต่นางทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้ ข้ายังไม่เคยเห็นหน้าตาของเจ้าของร่างเลย’ นางเดินไปหยิบกระจกขึ้นมา แล้วส่องมองใบหน้าของตนเอง… ซินหลินส่องกระจกแล้วต้องตกใจ เพราะใบหน้าที่มองเห็นในกระจกนั้นมีใบหน้าขาวกระจ่าง แก้มสีแดงที่ทาเป็นวงกลมตรงแก้มทั้งสองข้าง ส่วนปากของนางก็ยังทาสีแดงอีกด้วย! หยางฉิงคนเก่าคงจะแต่งหน้าไม่เป็นแน่ นางรับไม่ได้กับหน้าตาของตนเอง ถึงได้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดตอนที่เดินเข้าไปหาหลี่เซิงเขาจึงมองหน้าด้วยแววตารังเกียจ นางไม่สามารถยอมรับสภาพของใบหน้าตนเองได้ จึงเดินออกจากห้องไปยังห้องครัวเพื่อล้างหน้า หลังจากล้างหน้าเสร็จแล้ว นางก็เดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง ใช้ผ้าในห้องนอนเช็ดหน้าที่เปียกให้แห้ง ส่องกระจกดูอีกครั้ง นางก็ต้องทึ่งกับใบหน้าที่มองเห็นอยู่ในกระจก เพราะหน้าตาของนางสวย สวยกว่าตัวนางเมื่อก่อนเสียอีก ตากลมโตหวาน ปากจิ้มลิ้มสีชมพู รับกับแก้มป่อง ๆ ดูน่ารัก หยางฉิงคนเก่าช่างแต่งหน้าปกปิดความงามเสียได้ นางไม่ต้องแต่งแต้มอะไรก็งามล้มเมืองอยู่แล้ว... แต่การสวยเกินไปในยุคนี้ก็คงไม่ดี? นางสังเกตรูปร่างหน้าตาของตนเอง ก็พบว่าร่างนี้ก็ถือเป็นของดีเหมือนกัน เสียอย่างเดียวชีวิตของนางจนมากไปหน่อย แม้ว่าจะมีความสวย แต่ถ้าปราศจากข้าวกินและเงินใช้ก็คงไม่มีประโยชน์ ในเมื่อนางทะลุมิติมาอยู่ในยุคนี้แล้ว น่าจะมีของช่วยเหลือติดตัวมาบ้าง แต่นี่กลับไม่มีอะไรเลย นางตัดพ้อโชคชะตาของตนเอง อย่างน้อยถ้ามีอุปกรณ์ทำแผลก็คงจะดี จะได้ช่วยรักษาแผลให้หลี่เซิงได้ ถ้าใช้ยาในยุคนี้ เขาก็คงไม่มีวันหายดี ช่วงเวลาที่ซินหลินถอดถอนหายใจ ก็ทำให้นางนึกถึงของใช้ในคอนโดที่อยู่ในโลกเดิม มีของทุกอย่างรวมอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์กายภาพ ที่นอน อาหาร ยา และอุปกรณ์ทำแผลต่าง ๆ นางคิดถึงจนทำให้น้ำตาไหลซึมออกมาจากหางตา นางหลับตาลงเพื่อทำใจให้เย็นลง เมื่อเปิดตาขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่าตัวนางมาอยู่ในห้องนอนในคอนโดที่เคยพักอยู่ ‘ทำไมข้าถึงมาโผล่ที่นี่ได้?’ ห้องนอนของนางนั้นเป็นห้องนอนแบบง่าย ๆ ห้องสี่เหลี่ยมธรรมดา สีห้องทาเป็นสีขาวเข้ากันกับผ้าปูที่นอน ซินหลินเปิดประตูห้องนอนออกไปดู ก็พบกับอุปกรณ์กายภาพบำบัดที่ใช้ดูแลผู้ป่วย วางอยู่ตามชั้นต่าง ๆ ที่นางใช้ศึกษาเรียนรู้ เดินไปอีกฝั่งด้านขวามือก็เห็นประตู เปิดออกไปก็เป็นห้องครัว มีอุปกรณ์การทำอาหารทุกอย่างอยู่ในนั้น รวมถึงอาหารและของกินมากมายในตู้เย็น นางอยากเอาไข่และเนื้อหมูที่อยู่ในตู้เย็นออกมาทำอาหารให้หลี่เซิงกิน นึกถึงบ้านที่หลี่เซิงอยู่นั้น ร่างของนางก็กลับออกมาอยู่ข้างนอกในห้องนอนของหลี่เซิงโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ในมือของนางยังคงถือไข่ไก่และเนื้อหมูอยู่ นี่คือของวิเศษติดตัวนางมาใช่ไหม? ถ้ามีของพวกนี้ก็ไม่ต้องอดตายแล้ว นางคิดถึงอุปกรณ์ทำแผลที่อยู่ในคอนโด ซินหลินเริ่มทดลองหายตัวกลับไปที่คอนโด และนางก็กลับมาอยู่ในห้องของคอนโดอีกครั้ง นางรู้สึกดีอย่างมาก ทำให้ความเศร้าใจที่เกิดขึ้นเบาบางลง ซินหลินเดินไปที่ชั้นที่มีอุปกรณ์ทำแผลและยาหลากหลายชนิด นางเลือกหยิบเอายาที่จำเป็นออกมา ได้แก่ ยาแก้ปวด, ยาแก้อักเสบ และยากินฆ่าเชื้อ นางคิดว่าแผลตรงขาของหลี่เซิงควรได้รับการฆ่าเชื้อด้วยยาก่อนและหยิบเอาอุปกรณ์ทำแผลพร้อมทั้งผ้าพันแผลที่ฆ่าเชื้อแล้ว เมื่อคิดว่านางอยากออกไป ร่างกายของนางก็หายออกมาอยู่ที่เดิม ตอนนี้ซินหลินเดินกลับเข้าไปในห้องของหลี่เซิงอีกครั้ง “ท่านเช็ดตัวเสร็จหรือยัง?” ซินหลินถามเขาที่หน้าห้อง “เสร็จแล้ว” หลี่เซิงตอบกลับมานางออกไปไม่ดังมากนัก นางได้ยินเสียงตอบกลับมา จึงเปิดประตูห้องเข้าไป สายตามองเห็นว่าร่างกายของเขาดูสะอาดขึ้นเล็กน้อย แต่ผมของเขายาวและมันมาก ‘ข้าอยากจับเขาสระผมเสียจริง’ แต่ก็ได้แค่คิด เพราะเขาคงไม่ยอม ซินหลินเดินเข้าไปเก็บกระถางใส่น้ำและผ้าออกมา “ท่านอยากไปถ่ายหนักหรือถ่ายเบาไหม?” นางไม่รู้ว่าเวลาเขาถ่ายหนักเบาต้องทำอย่างไร หลี่เซิงได้ยินที่หยางฉิงถาม เขาก็มองนาง เหมือนนางจำไม่ได้ว่าเขาต้องใช้ของอะไรในการดูแลตัวเองบ้าง “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าวางถังไม้ไว้ให้ข้าในห้อง?” แต่ก็ยังดีที่นางยกถังไม้เอาออกไปทิ้งให้เขาทุกวัน ถ้าไม่เช่นนั้นในห้องนี้คงเหม็นไปหมดซินหลินมองดูถังไม้ที่อยู่ใต้เตียงของเขา ถังไม้มีฝาปิดเอาไว้อย่างดีเพื่อปกปิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา “ข้าขอเอาถังไม้ของท่านไปล้างก่อนนะ ท่านต้องใช้ตอนนี้หรือไม่?” นางอยากเอามันไปทิ้ง เพราะถังไม้นั้นช่างสกปรกและไม่ได้รับการทำความสะอาดที่ดีพอ“เจ้าจะทำอะไรก็เอาไปเถอะ ข้ายังไม่จำเป็นต้องใช้ตอนนี้” วันนี้นางทำไมถามเขามากเสียจริง ทุกครั้งที่นางมาที่ห้องของเขา นางก็แทบจะไม่มองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ“ถ้าอย่างนั้น ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว ท่านพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะมาขอดูแผลของท่านทีหลัง” ตอนแรกนางอยากจะดูแผลตรงขาของเขาเลย แต่ตอนนี้นางอยากให้เขาพักผ่อนก่อนก็แล้วกันนางเดินเอาถังไม้เหม็น ๆ ออกไปทิ้งด้านนอก มองดูถังไม้ที่ดำเกินกว่าจะใช้งานได้อีก นางคิดถึงอุปกรณ์ดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในคอนโด มันก็มีอุปกรณ์ที่ใช้ในเรื่องพวกนี้อยู่ นางเคยเอาพวกมันมาทำวิจัย โดยใช้วัสดุอื่นมาใช้ทดแทนสำหรับหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจากผู้คน‘ถ้าข้าเอาของพวกนั้นมาใช้ เขาจะสงสัยข้าหรือไม่? เพราะของสิ่งนั้นมันดีเกินกว่าที่อยู่ในยุคนี้’ซินหลินไม่คิดนานมากนัก ก็หายตัวกลับไปที่คอนโดและเอากระโถนสำหรับไว้ถ่ายหนัก กระบอกสำหรับถ่ายเบาที่ทำจากไม
หยางฉิงใช้แผ่นแปะแผลที่เป็นสิ่งที่ใช้แทนการเย็บแผล นางแปะแผลที่เปิดอ้าทั้งสองด้านให้ติดเข้าหากัน และก็แปะผ้าก๊อซ ตามด้วยผ้าสะอาดพันรอบบาดแผลของเขาเอาไว้อีกรอบ นางป้อนยาแก้ปวดและยาฆ่าเชื้อให้เขากิน พร้อมใช้น้ำเย็นเช็ดตัวหลี่เซิงจนตัวของเขาเย็นลงเมื่อนางสังเกตว่าหน้าตาของเขาไม่มีความเจ็บปวดแล้ว นางก็เก็บสิ่งของต่าง ๆ ที่ได้ทำไว้ เอาไปทิ้งไว้ที่คอนโด นางหยิบเอาเสื้อผ้าของเขาออกมา พร้อมทั้งเอาของเสียของเขาออกไปทิ้งที่ห้องส้วมด้านนอกทั้งล้างและตากไว้ให้แห้ง‘ข้าต้องเอาน้ำยาฆ่าเชื้อมาไว้ในห้องส้วมบ้างแล้ว มันช่างเหม็นจริง ๆ ดีที่ห้องส้วมของข้าอยู่ไกลจากตัวบ้าน’วันนี้เพิ่งวันที่สองเท่านั้น แค่ลืมตาตื่นนางก็ยุ่งวุ่นวายตั้งแต่เช้า ดีที่เอาหนองตรงขาของหลี่เซิงออกทัน ไม่อย่างนั้น เขาคงต้องโดนตัดขาแล้ว นางนั่งพักเหนื่อยอยู่ตรงริมลำธารข้างบ้านและเอาเสื้อผ้าของหลี่เซิงที่นางซักไว้แล้วเอามาตากอีกที เมื่อมองทุกอย่างที่ทำอย่างเร่งรีบในตอนเช้า ตอนนี้ตะวันก็โผล่พ้นขึ้นมาจนพระอาทิตย์เต็มดวง นางยังต้องทำความสะอาดบ้าน งานใหญ่ที่รออยู่…หลี่เซิงรู้สึกตัวในช่วงบ่ายของวัน เขารู้สึกเจ็บตรงบริเวณบาดแผลตรงขา เ
ทั้งสองคนล้มลงไปนอนบนพื้นดินจนฝุ่นฟุ้งกระจายตามน้ำหนักตัว“หลี่เจิงมันเอาแรงมาจากไหนมากมายนัก!” หลี่หยินหันไปพูดกับหลี่เจิงพร้อมกุมท้องที่เริ่มดีขึ้น“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร แต่เรื่องนี้มันยังไม่จบแค่นี้หรอก” หลี่เจิงใช้แรงที่เหลือลุกขึ้น ใบหน้าของนางดูน่ากลัว ตาที่ลุกวาวพร้อมกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ ‘ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีใครตีข้าเลยเสียครั้งเดียว’ แล้วมันเป็นใครถึงได้กล้ามาตีคนอย่างนาง“หน่อย!... เจ้ากล้าตีข้าหรือ คอยดูข้าจะให้ท่านแม่มาจัดการกับเจ้า!” หลี่เจิงชี้หน้าด่าหยางฉิงด้วยถ้อยคำหยาบคาย พร้อมกับมือแห้งกร้านฟาดไปบนใบหน้าหยางฉิงเต็มแรง ใบหน้าหยางฉิงหันไปตามแรงตบ บนใบหน้าซีกซ้ายเป็นรอยมือสีแดงเด่นชัด…หยางฉินมองเห็นมือหลี่เจิงกำลังตีลงมาบนใบหน้า หยางฉิงสามารถหลบฝ่ามือของนางได้ แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น นางยืนรอรับฝ่ามือของหลี่เจิงที่ฟาดลงมา อย่างเต็มใจ หยางฉิงรู้สึกเค็มและได้กลิ่นคาวเลือดมาจากข้างในปาก นางยิ้มพอใจเล็กน้อย พร้อมกับร้องตะโกนเรียกชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงให้ได้ยินกันทั่ว มือที่เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ก็ต่อยตีไปตรงซี่โครงของทั้งสองคนซ้ำ ๆ จนทั้งสองคนล้มไปกองอยู่บนพื้นดินหน้
“พวกนางทั้งสองคนก็ไปแล้ว ถึงข้าจะคิดว่าเรื่องนี้มันจะไม่จบง่าย ๆ ข้าก็ขอบคุณพวกท่านมากที่มาช่วยปกป้องข้า ตั้งแต่ที่ข้าได้รับอุบัติเหตุ ข้าก็ตั้งใจจะกลับตัว กลับใจเป็นคนที่ดีขึ้น ข้าเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง…” หยางฉิงอธิบายถึงเหตุผลที่นางเปลี่ยนไปให้ชาวบ้านได้ฟัง ‘นางได้เรื่องอ้างถึงนิสัยที่เปลี่ยนไปอยู่พอดี’ชาวบ้านที่ยังมุงดูอยู่หน้าบ้านหยางฉิง พวกเขาต่างได้ฟังที่นางพูดก็มีส่วนที่ถูกอยู่บ้าง เมื่อคนเราผ่านความเป็น ความตายมา ก็อาจจะรู้ถึงคุณค่าในการใช้ชีวิตมากขึ้น“พวกเราดีใจที่เจ้ากลับตัวกลับใจเป็นคนที่ดีได้ หลี่เซิงสามีของเจ้าเมื่อก่อนเขาก็ลำบากเพื่อเจ้ามามากมายนัก ต่อไปนี้เจ้าก็ต้องตั้งใจดูแลหลี่เซิงให้ดี ถึงสามีของเจ้าจะกลับมาเดินอีกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าเจ้าได้รู้จักหาเงินเจ้าก็อยู่ได้สบาย เจ้าดูที่ดินผื่นนี้สิ ที่หลี่เซิงพยายามแย่งมันมาให้เจ้า เอาละพวกข้าเข้าใจแล้ว พวกข้าจะเดินไปบอกผู้ใหญ่บ้านให้เจ้า เจ้าก็เข้าไปทำแผลที่ปากของเจ้าเถอะ และก็ระวังแม่สามีของเจ้าเอาไว้ นางไม่ยอมจบแค่นี้แน่” หลี่จือพูดเตือนหยางฉิงด้วยความเป็นห่วง ที่จริงนางสงสารหยางฉิงมากกว่าเสียอีกที่ต้องแยกบ้านออกมา
‘ทุกอย่างกลับมาเท่าเดิม… หรือว่าของทุกสิ่งที่อยู่ในคอนโดแห่งนี้ ไม่ว่านางจะหยิบจับสิ่งใดออกไปใช้ พวกมันก็จะกลับมาเหมือนเดิม?’เมื่อคิดได้ดังนั้น ริมฝีปากของนางก็ยกยิ้มขึ้น ‘ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ต้องกังวลว่าอาหารหรือยาที่อยู่ในนี้จะหมดไปอีกแล้ว’นางรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยนี่ก็เป็นเรื่องดีเพียงสิ่งเดียวตั้งแต่ที่นางทะลุมิติมายังที่แห่งนี้หยางฉิงหยิบไข่ไก่ออกมา เปิดเตาแล้วลงมือทำอาหาร นางทำไข่น้ำและข้าวต้มขาวเพื่อให้หลี่เซิงกินเป็นมื้อเย็น เขาเพิ่งหายจากพิษไข้ ควรกินอาหารอ่อน ๆ เพื่อให้ย่อยง่าย จะได้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง‘ข้าต้องบำรุงให้เขามีเนื้อหนังมากกว่านี้ ตอนนี้เขาผอมเกินไปแล้ว…’ส่วนเรื่องขาที่บาดเจ็บนั้น นางแน่ใจว่าสามารถช่วยให้เขากลับมาเดินได้! แต่เขาคงเดินได้ไม่ปกติอีกต่อไป เพราะเส้นเอ็นที่ขาของเขาถูกตัดขาด อีกทั้งยังขาดการรักษาที่เหมาะสม คนที่นี่ก็คงไม่มีใครรู้วิธีต่อเส้นเอ็นเป็นแน่ ด้วยความล้าหลังของยุคสมัย ทำให้หลายคนต้องกลายเป็นคนพิการโดยไม่รู้ตัวหยางฉิงหายตัวกลับออกมา ก่อนจะเดินไปดูประตูรั้วบ้านที่พังเสียหาย นางอยากสร้างรั้วใหม่เสียจริง ไหน ๆ มันก็พังไปแล้ว
“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่กัน” เขาอดถามนางออกไปไม่ได้หยางฉิงกำลังตั้งใจขุดดินอย่างเอาเป็นเอาตาย นางแทบไม่ค่อยได้ทำงานในไร่แบบนี้เลย ท่าการขุดดินของนางจึงมีท่าทางที่แปลกนัก ขณะที่นางกำลังจดจ่ออยู่กับการขุดดินอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของหลี่เซิงที่ถามอะไรบางอย่างกับนาง?“ท่านว่าอย่างไรนะ” นางถามเขาซ้ำอีกครั้ง“ข้าถามว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”เขาคงแปลกใจที่นางลุกขึ้นมาจับจอบขุดดินถางหญ้า “ข้าอยากปลูกผักผลไม้ เผื่อว่าจะได้มีผลไม้เอาไว้ขายได้เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง” นางบอกถึงเหตุผลให้เขาฟัง“เจ้าไม่มีเงินแล้วหรือ…” ตอนแยกบ้านเขาเห็นว่านางได้เงินจากท่านแม่มาหลายตำลึงเงิน“เงินแค่นั้นจะเพียงพอให้ข้าและท่านที่เป็นคนป่วยใช้พอหรือ แต่เรื่องนี้ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าจัดการได้ ท่านแค่ดูแลตัวเองให้แข็งแรงเร็ว ๆ ก็พอแล้ว” นางตอบเขาออกไปและเริ่มกลับมาสนใจขุดดินของนางต่อหลี่เซิงที่มองใบหน้าด้านข้างของหยางฉิง หน้าของนางแดงตัดกับดวงอาทิตย์กลมโตที่ใกล้จะตกดิน พอนางไม่ได้แต่งหน้าขาวแก้มแดงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว นางก็หน้าตาดีเหมือนกัน เขามองลงไปที่รูปร่างของหยางฉิง นางเป็นหญิงสาวที่รักสวยรักงาม หุ่นของนางจึงเหมาะที่จะ
หลี่เซิงนอนมองนางอยู่ จึงเห็นนางเดินเข้ามาหาเขา “เจ้าอยากปลูกสิ่งใด?”“ข้าอยากปลูกแตงโมนะ ที่นี่มีเมล็ดแตงโมหรือไม่” พูดถึงผลแตงโมแล้วก็รู้สึกอยากกินขึ้นมา“ถ้าเจ้าอยากได้เมล็ดผลไม้ชนิดนั้นต้องเข้าไปซื้อในเมือง ที่เราอยู่ไม่ค่อยมีใครได้ปลูกผลไม้ชนิดนี้กัน เพราะมันปลูกยาก มีแค่คนมีเงินเท่านั้นถึงจะได้กินพวกมัน ข้าก็ยังไม่เคยได้กินเลยสักครั้งเดียว‘ที่นี่เมล็ดแตงโมหายากขนาดนี้เลยหรือ’ “ข้าจะเข้าไปในเมืองได้เช่นไรกัน ข้ายังต้องดูแลท่านอยู่ ข้าไม่กล้าไปคนเดียวหรอกนะ” นางก็อยากเข้าไปดูตลาดในเมืองหลวงอยู่เหมือนกันแต่ก็ยังเป็นห่วงหลี่เซิงหมู่บ้านที่นางอยู่นี้ชื่อหมู่บ้านอันเหอ เป็นหมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างไกลจากเมืองหลวงเท่าไหร่นัก จึงสามารถเดินทางเอาของไปขายในเมืองหลวงได้ แต่การเดินทางนั้นต้องใช้รถเกวียนวัวหรือเกวียนม้าเท่านั้น บางคนใช้ลาลากแทนก็มี“ถ้าอย่างนั้น เจ้าไปถามที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน เผื่อจะมีของที่เจ้าอยากได้ ลูกชายของผู้ใหญ่บ้านเขาขายของเดินทางไปหลายพื้นที่ ถ้าโชคดีอาจได้พบสิ่งของแปลก ๆ ที่เขานำมาจากที่อื่นก็ได้”นางได้ฟังที่หลี่เซิงพูดก็ตาลุกวาว นางอยากไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้านเสียแล้ว
ค่ำคืนในวันมืดมิด มีสถานที่หนึ่งเปิดเพลงเสียงดังกระหึ่ม แสงสีสาดส่องไปทั่วทุกพื้นที่ ผู้คนมากมายเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกไปมา รายล้อมอยู่รอบตัวหญิงสาวผมเป็นลอนยาวสวยนัยน์ตาหวานเยิ้ม เธอมองดูความวุ่นวายและฟังเสียงบรรเลงเพลงร็อกพาให้ใจเธอเต้นตามจังหวะ มีผู้คนเต้นคลอเคลียกันไปมาในสถานบันเทิงที่เธอกำลังนั่งอยู่ ในมือถือไวน์ชั้นดีมีรสชาติหวานนุ่มลิ้นและรสขมเล็กน้อย เธอนั่งอยู่ตรงบาร์เหล้าที่มีบาร์เทนเดอร์วาดลวดลายในการชงเหล้าให้กับเหล่าลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในค่ำคืนนี้หญิงสาวสวยหุ่นดีในชุดสีแดงเข้ารูป เธอเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะเพลงด้วยความเมามัน สายตากวาดมองไปทั่วรอบตัว เธอมองเห็นเพื่อนสาวคนสวยในชุดดำสั้นรัดรูปได้อย่างพอดีตัว นั่งโงนเงนไปมาด้วยความน่าเป็นห่วง“ซินหลิน เธอไหวหรือเปล่าเนี่ย” เธอเดินเข้าไปถามเพื่อนสาวด้วยความเป็นห่วงเสียงเรียกของใครบางคนที่คุ้นเคยทำให้หญิงสาวในชุดสีดำได้สติและเงยหน้ามอง สายตาของเธอปรับภาพซ้อนไปมาให้มันชัดเจนขึ้น จึงได้มองเห็นเป็นเพื่อสาวคนสวยในชุดสีแดงรัดรูปเช่นเดียวกันกับเธอ “ฉันยังไหว พวกเธอเต้นกันต่อเลย ฉันขอนั่งพักหน่อยก็แล้วกัน” เธอตอบเพื่อนสาวที่
หลี่เซิงนอนมองนางอยู่ จึงเห็นนางเดินเข้ามาหาเขา “เจ้าอยากปลูกสิ่งใด?”“ข้าอยากปลูกแตงโมนะ ที่นี่มีเมล็ดแตงโมหรือไม่” พูดถึงผลแตงโมแล้วก็รู้สึกอยากกินขึ้นมา“ถ้าเจ้าอยากได้เมล็ดผลไม้ชนิดนั้นต้องเข้าไปซื้อในเมือง ที่เราอยู่ไม่ค่อยมีใครได้ปลูกผลไม้ชนิดนี้กัน เพราะมันปลูกยาก มีแค่คนมีเงินเท่านั้นถึงจะได้กินพวกมัน ข้าก็ยังไม่เคยได้กินเลยสักครั้งเดียว‘ที่นี่เมล็ดแตงโมหายากขนาดนี้เลยหรือ’ “ข้าจะเข้าไปในเมืองได้เช่นไรกัน ข้ายังต้องดูแลท่านอยู่ ข้าไม่กล้าไปคนเดียวหรอกนะ” นางก็อยากเข้าไปดูตลาดในเมืองหลวงอยู่เหมือนกันแต่ก็ยังเป็นห่วงหลี่เซิงหมู่บ้านที่นางอยู่นี้ชื่อหมู่บ้านอันเหอ เป็นหมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างไกลจากเมืองหลวงเท่าไหร่นัก จึงสามารถเดินทางเอาของไปขายในเมืองหลวงได้ แต่การเดินทางนั้นต้องใช้รถเกวียนวัวหรือเกวียนม้าเท่านั้น บางคนใช้ลาลากแทนก็มี“ถ้าอย่างนั้น เจ้าไปถามที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน เผื่อจะมีของที่เจ้าอยากได้ ลูกชายของผู้ใหญ่บ้านเขาขายของเดินทางไปหลายพื้นที่ ถ้าโชคดีอาจได้พบสิ่งของแปลก ๆ ที่เขานำมาจากที่อื่นก็ได้”นางได้ฟังที่หลี่เซิงพูดก็ตาลุกวาว นางอยากไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้านเสียแล้ว
“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่กัน” เขาอดถามนางออกไปไม่ได้หยางฉิงกำลังตั้งใจขุดดินอย่างเอาเป็นเอาตาย นางแทบไม่ค่อยได้ทำงานในไร่แบบนี้เลย ท่าการขุดดินของนางจึงมีท่าทางที่แปลกนัก ขณะที่นางกำลังจดจ่ออยู่กับการขุดดินอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของหลี่เซิงที่ถามอะไรบางอย่างกับนาง?“ท่านว่าอย่างไรนะ” นางถามเขาซ้ำอีกครั้ง“ข้าถามว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”เขาคงแปลกใจที่นางลุกขึ้นมาจับจอบขุดดินถางหญ้า “ข้าอยากปลูกผักผลไม้ เผื่อว่าจะได้มีผลไม้เอาไว้ขายได้เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง” นางบอกถึงเหตุผลให้เขาฟัง“เจ้าไม่มีเงินแล้วหรือ…” ตอนแยกบ้านเขาเห็นว่านางได้เงินจากท่านแม่มาหลายตำลึงเงิน“เงินแค่นั้นจะเพียงพอให้ข้าและท่านที่เป็นคนป่วยใช้พอหรือ แต่เรื่องนี้ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าจัดการได้ ท่านแค่ดูแลตัวเองให้แข็งแรงเร็ว ๆ ก็พอแล้ว” นางตอบเขาออกไปและเริ่มกลับมาสนใจขุดดินของนางต่อหลี่เซิงที่มองใบหน้าด้านข้างของหยางฉิง หน้าของนางแดงตัดกับดวงอาทิตย์กลมโตที่ใกล้จะตกดิน พอนางไม่ได้แต่งหน้าขาวแก้มแดงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว นางก็หน้าตาดีเหมือนกัน เขามองลงไปที่รูปร่างของหยางฉิง นางเป็นหญิงสาวที่รักสวยรักงาม หุ่นของนางจึงเหมาะที่จะ
‘ทุกอย่างกลับมาเท่าเดิม… หรือว่าของทุกสิ่งที่อยู่ในคอนโดแห่งนี้ ไม่ว่านางจะหยิบจับสิ่งใดออกไปใช้ พวกมันก็จะกลับมาเหมือนเดิม?’เมื่อคิดได้ดังนั้น ริมฝีปากของนางก็ยกยิ้มขึ้น ‘ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ต้องกังวลว่าอาหารหรือยาที่อยู่ในนี้จะหมดไปอีกแล้ว’นางรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยนี่ก็เป็นเรื่องดีเพียงสิ่งเดียวตั้งแต่ที่นางทะลุมิติมายังที่แห่งนี้หยางฉิงหยิบไข่ไก่ออกมา เปิดเตาแล้วลงมือทำอาหาร นางทำไข่น้ำและข้าวต้มขาวเพื่อให้หลี่เซิงกินเป็นมื้อเย็น เขาเพิ่งหายจากพิษไข้ ควรกินอาหารอ่อน ๆ เพื่อให้ย่อยง่าย จะได้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง‘ข้าต้องบำรุงให้เขามีเนื้อหนังมากกว่านี้ ตอนนี้เขาผอมเกินไปแล้ว…’ส่วนเรื่องขาที่บาดเจ็บนั้น นางแน่ใจว่าสามารถช่วยให้เขากลับมาเดินได้! แต่เขาคงเดินได้ไม่ปกติอีกต่อไป เพราะเส้นเอ็นที่ขาของเขาถูกตัดขาด อีกทั้งยังขาดการรักษาที่เหมาะสม คนที่นี่ก็คงไม่มีใครรู้วิธีต่อเส้นเอ็นเป็นแน่ ด้วยความล้าหลังของยุคสมัย ทำให้หลายคนต้องกลายเป็นคนพิการโดยไม่รู้ตัวหยางฉิงหายตัวกลับออกมา ก่อนจะเดินไปดูประตูรั้วบ้านที่พังเสียหาย นางอยากสร้างรั้วใหม่เสียจริง ไหน ๆ มันก็พังไปแล้ว
“พวกนางทั้งสองคนก็ไปแล้ว ถึงข้าจะคิดว่าเรื่องนี้มันจะไม่จบง่าย ๆ ข้าก็ขอบคุณพวกท่านมากที่มาช่วยปกป้องข้า ตั้งแต่ที่ข้าได้รับอุบัติเหตุ ข้าก็ตั้งใจจะกลับตัว กลับใจเป็นคนที่ดีขึ้น ข้าเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง…” หยางฉิงอธิบายถึงเหตุผลที่นางเปลี่ยนไปให้ชาวบ้านได้ฟัง ‘นางได้เรื่องอ้างถึงนิสัยที่เปลี่ยนไปอยู่พอดี’ชาวบ้านที่ยังมุงดูอยู่หน้าบ้านหยางฉิง พวกเขาต่างได้ฟังที่นางพูดก็มีส่วนที่ถูกอยู่บ้าง เมื่อคนเราผ่านความเป็น ความตายมา ก็อาจจะรู้ถึงคุณค่าในการใช้ชีวิตมากขึ้น“พวกเราดีใจที่เจ้ากลับตัวกลับใจเป็นคนที่ดีได้ หลี่เซิงสามีของเจ้าเมื่อก่อนเขาก็ลำบากเพื่อเจ้ามามากมายนัก ต่อไปนี้เจ้าก็ต้องตั้งใจดูแลหลี่เซิงให้ดี ถึงสามีของเจ้าจะกลับมาเดินอีกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าเจ้าได้รู้จักหาเงินเจ้าก็อยู่ได้สบาย เจ้าดูที่ดินผื่นนี้สิ ที่หลี่เซิงพยายามแย่งมันมาให้เจ้า เอาละพวกข้าเข้าใจแล้ว พวกข้าจะเดินไปบอกผู้ใหญ่บ้านให้เจ้า เจ้าก็เข้าไปทำแผลที่ปากของเจ้าเถอะ และก็ระวังแม่สามีของเจ้าเอาไว้ นางไม่ยอมจบแค่นี้แน่” หลี่จือพูดเตือนหยางฉิงด้วยความเป็นห่วง ที่จริงนางสงสารหยางฉิงมากกว่าเสียอีกที่ต้องแยกบ้านออกมา
ทั้งสองคนล้มลงไปนอนบนพื้นดินจนฝุ่นฟุ้งกระจายตามน้ำหนักตัว“หลี่เจิงมันเอาแรงมาจากไหนมากมายนัก!” หลี่หยินหันไปพูดกับหลี่เจิงพร้อมกุมท้องที่เริ่มดีขึ้น“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร แต่เรื่องนี้มันยังไม่จบแค่นี้หรอก” หลี่เจิงใช้แรงที่เหลือลุกขึ้น ใบหน้าของนางดูน่ากลัว ตาที่ลุกวาวพร้อมกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ ‘ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีใครตีข้าเลยเสียครั้งเดียว’ แล้วมันเป็นใครถึงได้กล้ามาตีคนอย่างนาง“หน่อย!... เจ้ากล้าตีข้าหรือ คอยดูข้าจะให้ท่านแม่มาจัดการกับเจ้า!” หลี่เจิงชี้หน้าด่าหยางฉิงด้วยถ้อยคำหยาบคาย พร้อมกับมือแห้งกร้านฟาดไปบนใบหน้าหยางฉิงเต็มแรง ใบหน้าหยางฉิงหันไปตามแรงตบ บนใบหน้าซีกซ้ายเป็นรอยมือสีแดงเด่นชัด…หยางฉินมองเห็นมือหลี่เจิงกำลังตีลงมาบนใบหน้า หยางฉิงสามารถหลบฝ่ามือของนางได้ แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น นางยืนรอรับฝ่ามือของหลี่เจิงที่ฟาดลงมา อย่างเต็มใจ หยางฉิงรู้สึกเค็มและได้กลิ่นคาวเลือดมาจากข้างในปาก นางยิ้มพอใจเล็กน้อย พร้อมกับร้องตะโกนเรียกชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงให้ได้ยินกันทั่ว มือที่เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ก็ต่อยตีไปตรงซี่โครงของทั้งสองคนซ้ำ ๆ จนทั้งสองคนล้มไปกองอยู่บนพื้นดินหน้
หยางฉิงใช้แผ่นแปะแผลที่เป็นสิ่งที่ใช้แทนการเย็บแผล นางแปะแผลที่เปิดอ้าทั้งสองด้านให้ติดเข้าหากัน และก็แปะผ้าก๊อซ ตามด้วยผ้าสะอาดพันรอบบาดแผลของเขาเอาไว้อีกรอบ นางป้อนยาแก้ปวดและยาฆ่าเชื้อให้เขากิน พร้อมใช้น้ำเย็นเช็ดตัวหลี่เซิงจนตัวของเขาเย็นลงเมื่อนางสังเกตว่าหน้าตาของเขาไม่มีความเจ็บปวดแล้ว นางก็เก็บสิ่งของต่าง ๆ ที่ได้ทำไว้ เอาไปทิ้งไว้ที่คอนโด นางหยิบเอาเสื้อผ้าของเขาออกมา พร้อมทั้งเอาของเสียของเขาออกไปทิ้งที่ห้องส้วมด้านนอกทั้งล้างและตากไว้ให้แห้ง‘ข้าต้องเอาน้ำยาฆ่าเชื้อมาไว้ในห้องส้วมบ้างแล้ว มันช่างเหม็นจริง ๆ ดีที่ห้องส้วมของข้าอยู่ไกลจากตัวบ้าน’วันนี้เพิ่งวันที่สองเท่านั้น แค่ลืมตาตื่นนางก็ยุ่งวุ่นวายตั้งแต่เช้า ดีที่เอาหนองตรงขาของหลี่เซิงออกทัน ไม่อย่างนั้น เขาคงต้องโดนตัดขาแล้ว นางนั่งพักเหนื่อยอยู่ตรงริมลำธารข้างบ้านและเอาเสื้อผ้าของหลี่เซิงที่นางซักไว้แล้วเอามาตากอีกที เมื่อมองทุกอย่างที่ทำอย่างเร่งรีบในตอนเช้า ตอนนี้ตะวันก็โผล่พ้นขึ้นมาจนพระอาทิตย์เต็มดวง นางยังต้องทำความสะอาดบ้าน งานใหญ่ที่รออยู่…หลี่เซิงรู้สึกตัวในช่วงบ่ายของวัน เขารู้สึกเจ็บตรงบริเวณบาดแผลตรงขา เ
ซินหลินมองดูถังไม้ที่อยู่ใต้เตียงของเขา ถังไม้มีฝาปิดเอาไว้อย่างดีเพื่อปกปิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา “ข้าขอเอาถังไม้ของท่านไปล้างก่อนนะ ท่านต้องใช้ตอนนี้หรือไม่?” นางอยากเอามันไปทิ้ง เพราะถังไม้นั้นช่างสกปรกและไม่ได้รับการทำความสะอาดที่ดีพอ“เจ้าจะทำอะไรก็เอาไปเถอะ ข้ายังไม่จำเป็นต้องใช้ตอนนี้” วันนี้นางทำไมถามเขามากเสียจริง ทุกครั้งที่นางมาที่ห้องของเขา นางก็แทบจะไม่มองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ“ถ้าอย่างนั้น ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว ท่านพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะมาขอดูแผลของท่านทีหลัง” ตอนแรกนางอยากจะดูแผลตรงขาของเขาเลย แต่ตอนนี้นางอยากให้เขาพักผ่อนก่อนก็แล้วกันนางเดินเอาถังไม้เหม็น ๆ ออกไปทิ้งด้านนอก มองดูถังไม้ที่ดำเกินกว่าจะใช้งานได้อีก นางคิดถึงอุปกรณ์ดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในคอนโด มันก็มีอุปกรณ์ที่ใช้ในเรื่องพวกนี้อยู่ นางเคยเอาพวกมันมาทำวิจัย โดยใช้วัสดุอื่นมาใช้ทดแทนสำหรับหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจากผู้คน‘ถ้าข้าเอาของพวกนั้นมาใช้ เขาจะสงสัยข้าหรือไม่? เพราะของสิ่งนั้นมันดีเกินกว่าที่อยู่ในยุคนี้’ซินหลินไม่คิดนานมากนัก ก็หายตัวกลับไปที่คอนโดและเอากระโถนสำหรับไว้ถ่ายหนัก กระบอกสำหรับถ่ายเบาที่ทำจากไม
นางเปิดตู้ไม้ออกดู พบว่าด้านในมีกล่องสองถึงสามกล่องเรียงกันอยู่ ด้านบนกล่องยังมีเสื้อผ้าหลากสีเนื้อดีพับเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ เสื้อผ้าเหล่านี้ล้วนมีสีสดใส ไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีชมพูบานเย็น หรือสีส้ม ล้วนเป็นสีที่สะดุดตาทั้งสิ้น แม้แต่ชุดที่นางสวมอยู่ก็เป็นสีแดงไม่ต่างจากตัวที่อยู่ในตู้ แต่ส่วนตัวแล้ว นางชอบเสื้อผ้าสีอ่อนมากกว่านางเปิดกล่องที่มีขนาดเท่ากันสองกล่อง พบว่ามีผ้าสีเขียวอ่อน สีชมพูอ่อน และผ้าสีขาวอีกหนึ่งผืน เป็นผ้าฝ้ายเนื้อดี นางหยิบผ้าสีขาวออกมา แล้วเก็บผ้าสีอื่นกลับเข้าที่ตามเดิม ผ้าเหล่านี้ดูดีเกินกว่าที่จะสวมใส่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ มันเหมาะกับการใส่เวลาเข้าเมืองมากกว่านางเปิดกล่องอีกใบที่ดูเก่ากว่า ภายในเป็นเสื้อผ้าสีน้ำตาลเนื้อหยาบกว่าชุดอื่น เป็นผ้าป่านที่เหมาะกับการสวมใส่ทำงานโดยเฉพาะ เป็นชุดคลุมแขนยาวตัวยาว พร้อมกระโปรงสีน้ำตาลที่พับไว้อย่างดี นางเลือกหยิบออกมาสองชุดเมื่อล้วงลึกเข้าไปด้านในของตู้เสื้อผ้า นางพบกล่องไม้ไผ่ขนาดเท่าฝ่ามือ เมื่อนางเปิดมันออกดูก็พบว่า ภายในมีก้อนเงินรวมทั้งหมดสองตำลึงเงินกับห้าก้วน อย่างน้อยก็ยังมีเงินติดตัวบ้าง นางจะได้ซื้อเนื้อส
นางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยขณะตักน้ำ แต่แล้วเสียงไอที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ ก็เรียกสติของนางให้กลับมา ซินหลินรีบตักน้ำจนเต็มถัง ก่อนจะเร่งเดินกลับไปในครัวเพื่อเตรียมต้มน้ำหลี่เซิงไอจนใบหน้าแดงก่ำ ริมฝีปากแห้งผากเพราะไม่ได้รับอาหารและน้ำมาหลายวัน เขาได้ยินเสียงของนางที่พูดขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้อง เขาหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง ท้ายที่สุดแล้ว นางก็ยังเป็นเช่นเดิม...เป็นนางที่ไม่เคยรักและใส่ใจเขา เป็นหญิงสาวที่เห็นแก่ตัวอยู่เสมอ...ซินหลินนำถังน้ำกลับเข้ามาในบ้าน ก่อนจะวางไว้หน้าเตาถ่านที่ยังมีไม้แห้งเหลือพอให้ใช้จุดไฟ นางพยายามจุดไฟอย่างชำนาญ แม้ชีวิตก่อนหน้านี้ของนางจะไม่เคยลำบากถึงเพียงนี้ แต่นางก็ไม่ได้อ่อนแอเกินกว่าจะเรียนรู้การทำอาหาร หรือจุดไฟเองได้เมื่อก่อน ตอนที่ฝึกงาน นางเคยต้องขึ้นเขาไปอยู่ในหมู่บ้านที่ยากจน เพื่อฝึกงานเป็นเวลาหลายเดือน วันเวลาเหล่านั้นทำให้นางได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายที่ไม่มีสอนในห้องเรียน นางรู้สึกขอบคุณประสบการณ์เหล่านั้น ที่ทำให้นางสามารถเอาตัวรอดในที่แห่งนี้ได้เมื่อน้ำเดือด นางตักน้ำใส่ถ้วย ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของหลี่เซิงอีกครั้ง“ข้าเอาน้ำมาให้ท่าน ท่านคงไม่ว