ไป๋ซูเม่ยเดินออกมาจากกระท่อม สายลมแผ่วเบาที่พัดมายังร่างของสตรีที่นางพึ่งจะมาสวมร่างของนางให้ความรู้สึกราวกับไม่ใช่ตัวเอง เมื่อเดินไปถึงขอบเนินเขาและเริ่มหลับตาลง ค่อย ๆ กำหนดลมหายใจและเรียกพลังปราณออกมาและปล่อยออกมา
“เฮ้อ…คงต้องเร่งฟื้นฟูสินะ ร่างนี้แม้ว่าจะมีความรู้มากมายเกี่ยวกับยาแต่ไร้ซึ่งวรยุทธ์ ยังไม่ต้องนับไปถึงการแก้แค้นเลย แค่เดินทางไปเมืองหลวงก็คงเกือบตายแล้ว”
ไป๋ซูเม่ยเริ่มนั่งกำหนดลมปราณและฝึกวิชาทบทวนวรยุทธ์อยู่ราว ๆ เกือบสองชั่วยามจนเริ่มปรับสภาพร่างกายเข้ากับร่างใหม่ได้มากขึ้น นางสามารถระเบิดหินที่อยู่ใกล้ ๆ ได้และเริ่มใช้กิ่งไม้มาฝึกวิชาดาบจนสำเร็จกระบวนท่าไม้ตายที่นางเคยฝึกมาก่อน
“ตูม!!!”
ก้อนหินตรงหน้าและกิ่งไผ่ที่ถูกตัดขาดด้วยกิ่งไม้ในมือนางหลังจากที่นางใช้วิชาขั้นสุดท้ายกระเด็นไปทุกทิศทุกทาง
“พลังปราณและวิชายุทธ์ข้ากลับคืนมาหมดแล้ว แต่ก็ยังเหนื่อยง่ายอยู่ สตรีผู้นี้อ่อนแอถึงเพียงนี้เชียวหรือเหตุใดจึงได้เหนื่อยง่ายถึงเพียงนี้กันนะ”
นางเดินกลับไปยังลำธารใกล้ ๆ เมื่อก้มหน้าลงไปส่องดูเงาที่สะท้อนในน้ำจึงได้เห็นชัด ๆ ใบหน้าของไป๋ซูเม่ยงดงามไม่มีที่ติ แต่ทว่า….
“แผลเป็นหรือปานกันล่ะนี่ มิน่าเล่าเจ้าถึงได้หนีมาอยู่ที่ห่างไกลถึงขนาดนี้”
แม้ว่านางจะงดงามราวกับสตรีล่มเมืองแต่กลับมีแผลเป็นที่แก้มซ้าย ซึ่งก่อนหน้านี้คงจะใช้ผ้าขาวปิดบังเอาไว้เพราะนางพึ่งใช้ผ้านั่นไปหยิบแมงมุมขึ้นมาจากพื้นจึงมิได้สวมมันอีก
“โชคดีแค่เป็นแผลเท่านั้น ดูเหมือนว่านางก็น่าจะรักษามาก่อนแล้ว เรื่องนี้แค่ใช้กำลังภายในจัดการขับพิษนี่ออกก็หายแล้วมิใช่หรือ ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับข้าเลย”
ว่าแล้วนางก็เริ่มจัดการกับแผลที่แก้มของนางทันทีแม้ว่าจะเป็นแผลที่มิได้ดูน่าเกลียดแต่หากจะทำให้สมบูรณ์แบบ ในชาตินี้นางจะต้องเป็นสตรีที่ผู้ใดพบเห็นจะต้องหันมองจนเหลียวหลังไม่เหมือนชาติที่แล้วที่นางเกิดมาหน้าตาธรรมดาและไม่เคยได้รับการใส่ใจจากบุรุษใดนอกจากองค์ชายผู้นั้น....
“ไป๋ซูเม่ย…ชาตินี้ก็ฝากด้วยนะ…..เสวียนอวี่…..ข้ากลับมาเอาชีวิตเจ้าแล้ว”
“คุณหนูเจ้าคะ เฮ้อ…หาท่านพบเสียที”
อาหยงเดินขึ้นเขามาเพื่อตามหาคุณหนูของนางเมื่อไป๋ซูเม่ยหันไปมองเห็นนางก็รู้ว่าเรื่องนี้นางอาจจะทำได้ไม่รวดเร็วนักเพราะนางมิได้ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว การเดินทางไปที่เมืองหลวงก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก
“อาหยงเจ้าตามข้ามาทำไมหรือ”
“ไป…ไปกินข้าวเถอะเจ้าค่ะ ข้าพึ่งทำอาหารเสร็จ กินตอนร้อน ๆ เจ้าค่ะ”
ไป๋ซูเม่ยยิ้มออกมาด้วยความอบอุ่นใจ นางไม่เคยมีผู้ใดที่คอยดูแลและคอยเป็นห่วงเช่นที่อาหยงทำให้ไป๋ซูเม่ยเช่นนี้มาก่อน นับจากนี้ไปนางจะเป็นไป๋ซูเม่ยคุณหนูของอาหยงและจะดูแลนางอย่างดีที่สุด
กระท่อมไม้ไผ่
“อาหยงข้าคิดว่าเราต้องหาเงิน”
“หาเงินหรือเจ้าคะ หาไปทำไมเจ้าคะ”
“ข้าอยากไปเมืองหลวง”
“อะไรนะเจ้าคะคุณหนู”
“อื้ม อาหารของเจ้าอร่อยมาก ๆ เลย เปิดร้านขายได้เลยนะนี่”
“ไม่ ๆ เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะคุณหนูท่านอย่าพึ่งเปลี่ยนเรื่องสิ ไปเมืองหลวงอะไรกันเหตุใดจึงเร่งด่วนเช่นนี้เจ้าคะแม้ว่าคุณท่านจะใจร้ายที่ไม่ส่งคนมาดูแลท่านแต่ก็มิได้ละเลยนะเจ้าคะ นี่คือตั๋วเงินที่นายท่านฝากข้าให้เอาไว้ดูแลคุณหนู”
“หืม…เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“ตั๋วเงินเจ้าค่ะ นายท่านโกรธคุณหนูได้ไม่นานหรอกคุณหนูก็ทราบ ท่านทะเลาะกับนายท่านทีไรก็หนีมาอยู่ที่นี่…คุณหนูเจ้าคะ มีอะไรหรือเจ้าคะ”
ไป๋ซูเม่ยนำตั๋วเงินนั้นมานั่งนับดู นึกไม่ถึงว่าไป๋ซูเม่ยจะมีบิดาที่ดีและยังพอมีความเป็นพ่ออยู่ ตั๋วเงินนี่มีจำนวนไม่น้อยเลย
“ห้าพันตำลึง ยอดเยี่ยมไปเลยข้ารวยแล้ว”
“รวย?? คุณหนู ท่านก็ร่ำรวยอยู่แล้วนี่เจ้าคะ นี่ก็เป็นเครื่องประดับของท่าน ที่จวนก็…..”
“ที่จวนงั้นหรือ อาหยงเจ้าบอกข้ามาทีสิว่าจวนของพวกเราอยู่ที่ใด ไกลจากที่นี่มากหรือไม่”
“ก็…แม้จะไกลแต่หากจ้างรถม้าไป….”
“เช่นนั้นเจ้าจัดการให้ข้าทีนะ ข้าจะไปดูที่จวนสักหน่อย”
“คุณหนู เหตุใดท่านไม่กลับไปที่จวนเลยเล่าเจ้าคะ เงินของท่าน…”
“เจ้าก็บอกมาด้วยว่าข้าเก็บเงินและทรัพย์สินส่วนตัวเอาไว้ที่ใด”
สองคืนต่อมา / จวนสกุลไป๋
“โอ้โหไป๋ซูเม่ย…..นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะร่ำรวยมากมายเช่นนี้ แต่หากเอาไปหมดนี่คงลำบากแน่”
นางลงเขามาตอนบ่ายเพื่อดูตำแหน่งของจวนสกุลไป๋ในเมืองหยางโจว และคืนนี้ตอนที่อาหยงหลับสนิทแล้วนางจึงลงเขามาที่นี่เพียงลำพังอีกครั้งเพื่อจะมา “ขโมยของ” ของตัวเองแต่เมื่อนางจะกลับก็ได้ยินเสียงคนสองคนเดินคุยกันเข้ามาในห้องนางจึงต้องหาที่หลบ
“มีอย่างที่ไหนกันจนป่านนี้ยังไม่ยอมกลับจวน”
“นายท่าน คุณหนูมีนิสัยดื้อรั้นแต่ก็มิใช่ผู้ที่….ไม่รู้ความนะขอรับเพียงแต่ว่า....”
“นางดื้อเกินไปแล้ว เพียงแค่ข้ารับอนุเข้ามาใช่ว่าข้าอยากจะรับเสียหน่อยแต่ท่านอ๋องขอร้องให้รับพวกนางสองแม่ลูกเอาไว้จะให้ข้าทำเช่นไรเล่า”
“ที่แท้ท่านพ่อของนางมิได้อยากรับอนุหรอกหรือ แล้วทะเลาะกันด้วยเรื่องเพียงเท่านี้เองนะหรือ”
“แต่ว่านายท่านก็ทราบดีว่าแม่นางหร่วนผู้นั้นเป็นคนทำให้ใบหน้าของคุณหนูเป็นรอยแผล ดังนั้นนางจึงไม่พอใจ”
ไป๋ซูเม่ยรู้สึกราวกับแก้มที่เคยมีแผลเจ็บขึ้นมาเล็กน้อยทั้ง ๆ ที่นางใช้วิชาและปราณขับออกไปจนหมดแล้ว
“ที่แท้นางโกรธจนหนีออกจากจวนเพราะเรื่องนี้นี่เอง บิดานางรับศัตรูที่ทำร้ายนางเข้ามา”
“แต่นางก็บอกแล้วว่ามันเป็นเพียงอุบัติเหตุและใช่ว่านางจะเป็นผู้ทำเสียเมื่อใดกัน บุตรสาวนางต่างหากที่เผลอทำยานั่นราดไปโดนหน้าของซูเม่ย ข้าเองก็กำลังรักษาให้นางอยู่แผลก็ใกล้จะหายแต่ดูที่นางทำสิ ไม่ยอมรักษาให้หายก่อนแต่กลับหนีออกไปมันใช้ได้ที่ไหนกัน!!”
“ไร้สาระจริง ๆ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้ารีบหาทางออกจากจวนดีกว่า”
นางทำในทันทีเมื่อพวกเขาเดินออกไปแล้ว นางกลับมาถึงกระท่อมอาหยงยังคงหลับสนิทอยู่ ทรัพย์สินที่นางได้มารวมกับที่อาหยงนำมาให้มากพอที่จะให้พวกนางสองคนเดินทางไปเมืองหลวงได้แล้วแต่ว่าตอนนี้นางคงต้องหาข้อมูลของคนที่นี่รวบรวมให้ได้มากที่สุดก่อนจะเดินทางไปที่เมืองหลวง
สิบวันถัดมา
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านจะไม่กลับจวนจริง ๆ หรือเจ้าคะ”
“ยัง ข้าจะเดินทางไปเมืองหลวง”
“คุณหนูแต่ว่าหากไปที่นั่นท่านจะต้องขออนุญาต….คุณหนูท่านหยุดทำไมเจ้าคะ”
“เงียบก่อน ด้านหน้านั้นมีเสียง อาจจะเป็น…”
“เสือ!! คุณหนูเจ้าคะ ที่นี่มีเสือหรือไม่”
“เจ้าเงียบก่อน!! อย่าเสียงดังและอยู่นิ่ง ๆ มันไม่ทำอะไรเจ้าหรอกมีข้าอยู่ที่นี่เจ้าไม่ต้องกลัว”
“คุณ…คุณหนู อย่าเข้าไปเจ้าค่ะ”
ไป๋ซูเม่ยค่อย ๆ เดินเข้าไปยังพุ่มไม้ที่มีบางอย่างทำให้ขยับอยู่ตรงหน้า นางหรี่ตาเล็กน้อยเพื่อเพ่งมองนางมั่นใจว่าไม่ใช่สัตว์ร้ายเพราะหากว่าเป็นเสือหรือหมาป่าจะไม่มีเสียงเช่นนี้ พวกมันจะมีเสียงคำรามทุ้มต่ำออกมาเล็กน้อยก่อนจะกระโจนใส่เหยื่อ แต่นี่เหมือนจะไม่ใช่สัตว์…..
“คนงั้นหรือ…..อาหยงเร็ว ๆ เข้าที่นี่มีคนบาดเจ็บ เขาถูกธนูยิง!!”
อาหยงเมื่อรู้ว่ามิใช่สัตว์ร้ายก็กล้าที่จะวิ่งเข้าไปหาคุณหนูตามคำสั่ง พวกนางพบว่าเป็นเพียงบุรุษหนุ่มคนหนึ่งที่ราวกับวิ่งหนีจากการถูกตามล่ามาร่างกายบาดเจ็บสะบักสะบอมจนแทบจะจำหน้าเดิมไม่ได้ ผมเผ้ารุงรังแต่หากดูจากการแต่งตัวและเครื่องประดับ มองดูก็พอจะรู้ว่าฐานะเขาคงไม่ธรรมดา“เหตุใดคนผู้นี้….ว๊าย!! คุณหนูเขาจะทำร้ายท่าน”ร่างหนาล้มลงที่อกไป๋ซูเม่ยทันทีเมื่อนางดึงปลายลูกธนูออกมาจากอกของเขา “เขาไม่มีแรงทำร้ายผู้ใดหรอก ดูท่าคงจะพยายามดึงลูกธนูนี้ออกด้วยตัวเองแต่คงหมดแรงเสียก่อน เจ้ามานี่มาช่วยข้าพาเขากลับไปที่กระท่อม”“คุณหนู…แต่ว่า…”“เร็วเข้าช่วยคนสำคัญกว่า”“เจ้าค่ะ”พวกนางพาเขากลับไปอย่างลำบากด้วยเพราะบุรุษผู้นี้ทั้งตัวใหญ่และชุดที่สวมก็ดูมีราคาที่แพง เมื่อมาถึงกระท่อมแล้วไป๋ซูเม่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหาชุดเปลี่ยนให้เขา นางจึงให้อาหยงลงเขาไปซื้อชุดบุรุษมาเปลี่ยนให้ ระหว่างนี้นางก็พยายามทำแผลให้เขา เช็ดตัวและห่มผ้าเอาไว้“ผ่านมาสองวันแล้วยังไม่ฟื้น คุณหนูเราคงจะไม่เสียเงินซื้อของไปเปล่า ๆ หรอกกระมังเจ้าคะ”“ไม่หรอก ลมหายใจเขานิ่งและคงที่ เป็นคนมีวิชายุทธ์สูง คงแค่พลาดท่าเท่านั้น ไม่
พวกเขาเดินออกมาจากนั้นไม่นาน องครักษ์คนหนึ่งของบุรุษหนุ่มที่นางได้ช่วยเหลือเดินมาเชิญนางไปที่ห้อง“แม่นาง คุณชายขอเชิญท่านไปที่ห้องขอรับ”“อืม ได้สิ”“คุณหนูเจ้าคะ พวกเขา….”“ไม่มีอะไรพวกเขามิใช่ศัตรูหรอกไม่ต้องห่วง”“เจ้าค่ะ”ไป๋ซูเม่ยเดินตามองครักษ์หนุ่มไปทันที เมื่อเข้าไปในห้องที่เขานั่งอยู่และมีองครักษ์อีกคนที่คอยทำแผลให้เขาอยู่“แม่นาง คุณชายมีเรื่องจะคุยกับท่านขอรับ”“เขาพักอยู่ที่นี่ได้จนกว่าจะหาย พวกท่านไม่ต้องห่วงเขาหรอกเพียงแต่ช่วงที่พวกท่านมาพบเขาที่นี่อย่านำพาเรื่องเดือดร้อนมาให้พวกข้าก็พอแล้ว”“ท่านรู้!! ว่าพวกเรา…”“คุณชายของเจ้าบาดเจ็บเคลื่อนไหวยังไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงลงจากเขาเลย แม้แต่เดินลงจากเตียงก็ยังไม่มีแรงมากพอหรอก เจ้าคงไม่คิดว่าจะแบกเขาลงเขาไปได้หรอกกระมัง”“คุณหนู ท่านเข้าใจถูกต้องแล้วขอรับข้าน้อยจึงอยากขอร้องท่าน....”“ได้สิไม่มีปัญหา ข้าไม่ใจร้ายกับคนป่วยหรอก”“ส่วนเรื่องค่ารักษา…”“คุณหนูข้ามิได้เดือดร้อนเรื่องเงิน นางเป็นถึงบุตรสาวของหมอหลวงไป๋เหลียน ไม่ได้ต้องการเงินมากขนาดนั้นพวกท่านทำตามที่นางพูดก็พอ”“อาหยง…”บุรุษหนุ่มมองหน้านางในทันทีเมื่อทราบว่านางคื
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน”“เหตุใดเจ้าถึงเย็นชาเช่นนี้ แม้ว่าเจ้าจะชำนาญทั้งหมดนั่นและยังมีวิชาแพทย์ติดตัวแต่ก็น่าจะทำตัวเป็นมิตรมากกว่านี้หน่อยก็ได้กระมัง ข้าก็มิใช่ศัตรูของเจ้าเสียเมื่อไหร่กันจริงหรือไม่”เขามองไปที่มือของนางที่ถือเพียงกิ่งไม้ที่เอาไว้ใช้แทนดาบเท่านั้น เขามองไปยังใบหน้าที่หันหลบเขาไปอีกทางหนึ่งเพราะคำพูดนั้น ไป๋ซูเม่ยในยามนี้ไม่อาจไว้ใจผู้ใดได้เพราะในชาติที่แล้วของนางตอนที่ยังเป็นอิ่นหลงนางถูกคนที่นางรักจนแทบจะถวายชีวิตให้เขาได้...ทรยศนางอย่างเลือดเย็น“รับนี่ไปสิ”“ท่านหมายความว่าอย่างไร”นางมองไปยังมือที่ยื่นดาบมาให้ตรงหน้า ดาบที่มีตราสัญลักษณ์ของเขาและสกุลเว่ยอยู่“ดาบของข้า มอบให้เจ้า”“ข้าไม่ต้องการใช้ดาบของผู้อื่น”“เจ้าเข้าใจข้าผิด ข้ามอบให้เจ้าเพียงเพื่อฝึกในเวลานี้เท่านั้น แต่ข้าจะสั่งทำดาบให้เจ้าใหม่แต่ในเมื่อตอนนี้เจ้าใช้เจ้านั่น…แทนการใช้ดาบเจ้าไม่มีทางรู้ได้เลยว่าวิชาที่แท้จริงจะต้องกำหนดปราณและใช้แรงเท่าใด เจ้าลองดูก่อนก็ได้”สายตาที่แน่วนิ่งของเขาทำให้ไป๋ซูเม่ยรู้สึกว่าเขาแตกต่างกับเสวียนอวี่ เขาดูไม่มีพิษไม่มีภัยแต่เพราะนางก็คิดเช่นนี้กับองค์ชายเสว
นางรู้สึกวาบหวิวทั้งที่ใบหูและใบหน้าที่เริ่มร้อนผ่าวขึ้นในทุก ๆ ช่วงเวลาที่เขาพูด“เคล้ง!!”ดาบในมือนางร่วงลงกับพื้นเมื่อเขาพูดจนจบ นางตกใจและรีบลืมตาขึ้นแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า เว่ยเฟิงหรงเดินกลับไปแล้วเมื่อเขาแอบหอมแก้มนางนางค่อย ๆ ใช้มือยกขึ้นมาลูบที่พวงแก้มของตนเองที่ถูกเขาฝังจมูกลงไปเมื่อครู่นี้ สัมผัสนี้แตกต่างกับตอนที่ถูกเสวียนอวี่จับเมื่อชาติที่แล้วมันทั้งวาบหวามและ….อบอุ่นอย่างน่าประหลาด“นี่ข้า…..เป็นอะไรไป”นางกำลังหวั่นไหวให้บุรุษอีกครั้งหนึ่งซึ่งนางได้เคยปฏิญาณตนเอาไว้แล้วว่าเกิดในชาตินี้นางจะไม่มีทางหวั่นไหวให้กับบุรุษอีก แต่ว่า…..เว่ยเฟิงหรงผู้นี้ช่างแตกต่างกับองค์ชายเสวียนอวี่ที่ทั้งบ้าคลั่งและก้าวร้าวผู้นั้นชาติก่อนของอิ่นหลง“ร้องดังกว่านี้สิอิ่นหลง เจ้าไม่มีความสุขงั้นหรือ”“อ๊าา องค์ชาย อย่ากัดเพคะ”“อ๊าา เสียวมากหรือไม่เหตุใดเจ้า…อาา อิ่นหลง”“องค์ชายเพคะ อ่อนโยนหน่อย”เสวียนอวี่ที่ดูดดึงยอดปทุมของนางจนช้ำคาปากและอีกข้างกำลังมีเลือดไหลออกมาจากการกัดของเขา ไหล่ของนางเต็มไปด้วยรอยฟันที่ถูกเขากัดเม้ม แรงกระแทกที่ราวกับโกรธผู้ใดมายังคงไม่ลดลง แม้ว่านางจะรู้สึกดี
เขาและนางยืนสบตากันครู่หนึ่ง แม้ว่าเขาจะแอบเห็นสายตาที่อ่อนโยนลงจากนางแต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นและก็กลับไปเป็นนิ่งเรียบและเย็นชาเช่นเดิม“เช่นนั้นขอบใจเจ้ามากสำหรับการดูแลข้าตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ขอให้เจ้า…โชคดี”“ท่านเองก็เช่นกัน ลาก่อน”เว่ยเฟิงหรงเดินลงจากเนินเขาที่ใช้ฝึกวิชาและมาลาอาหยงและเดินทางลงจากเขาลั่วซางทันทีโดยที่ไป๋ซูเม่ยมิได้ตามลงมาส่ง นางยังคงยืนอยู่ที่ลานฝึกและมองพวกเขาเดินลงจากเขาไปอย่างเงียบ ๆ“คุณชายเว่ย ท่านเป็นผู้ที่ไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับความแค้นนี้ ตัวข้ามิอาจไว้ใจผู้ใดได้เหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มาอีกต่อไปแล้ว”เว่ยเฟิงหรงหันหลังมามองนางที่ยืนนิ่งอยู่บนเชิงเขา นางเองก็ยังคงมองมาที่เขาเช่นกัน สองคนที่สบตากันแม้ว่าจะไกลแต่เขาคิดไม่ผิด เขาเห็นว่านางกำลังยิ้มให้เขาอยู่เป็นแน่ “หากว่ามีวาสนาคงได้พบกันอีกในวันข้างหน้า ถ้าได้พบเจ้าอีกครั้งข้าจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปเหมือนดังเช่นวันนี้เป็นแน่”“คุณชาย…”ต้าหมินเรียกเขาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าท่านชายเว่ยยังคงยืนอยู่ที่เดิมเขาจึงหันมาบอกต้าหมินก่อนจะเดินนำไปก่อน“รีบไปเถอะ”ระยะทางที่ไป๋ซูเม่ยเคยบอกต้าหมินเอาไว้ทำให้พวกเ
ต้าหมินที่รอตรวจป้ายเพื่อจะเข้าเมืองหลวงเห็นนางเข้าก่อนเพราะเขาจำเสียงของนางได้จึงเดินลงมาจากรถม้าและมาทักทายนาง เมื่ออาหยงเห็นเขาก็นึกดีใจ “แล้วรถม้าของพวกเจ้าอยู่ที่ใดล่ะ ไปกับคุณชายก็ได้อย่างไรพวกเจ้าก็มาจากที่เดียวกับคุณชาย”“เอ่อ…คุณชายท่านนี้”“อ้อ ท่านผู้ตรวจการ ข้าเป็นองครักษ์ของซื่อจื่อ ท่านชายเว่ยแห่งหยางโจว”“อ้อ ที่แท้ก็คนของซื่อจื่อเหตุใดเจ้าไม่บอกข้าก่อนเล่าแม่นางเช่นนั้นก็….”“ไม่เป็นไรท่านผู้ตรวจการ พวกเราไม่รีบ”“คุณหนู”“คุณหนูไป๋”ไป๋ซูเม่ยหันไปยิ้มให้กับต้าหมินที่ก้มลงคำนับนาง “อย่าทำให้ท่านผู้ตรวจการลำบากใจกลับไปที่รถม้าได้แล้ว”“คุณหนูขอรับแต่ว่าท่านชายกับท่าน…”“ข้ามิได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับซื่อจื่อ ต้าหมินขอบคุณท่านมากที่หวังดีแต่ว่า….หากว่าข้าทำเช่นนี้แล้วชาวบ้านคนอื่น ที่ต้องรอเช่นข้าเล่า แล้วไหนจะเสียงวิจารณ์การทำงานของท่านผู้ตรวจการที่ยอมปล่อยให้พวกเราเข้าไปอีก อีกทั้งสายตาที่มองพวกเราอีก พวกเราเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา พวกท่านเชิญก่อนเถอะพวกเรารอที่นี่ได้”“คุณหนู….ข้าขอโทษเจ้าค่ะข้าไม่ทันคิดเรื่องนี้”“อาหยงเจ้ากลับไปที่รถม้า แล้วเลิกก่อความวุ่นวายได้แล้ว”“
“เข้าใจผิดงั้นหรือ เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“ช่างเถอะ ๆ บางทีข้าอาจจะคิดมากไปก็ได้ เอาล่ะ ข้ายินดีต้อนรับท่านหากว่าท่านจะแวะเวียนไปเยี่ยมที่จวน”“จริงหรือ เจ้าไม่ไล่ข้าแล้วใช่หรือไม่”ซูเม่ยหันไปมองรอยยิ้มของคนข้าง ๆ ก็นึกสบายใจเมื่อได้พูดคุยกับเขาได้อีกครั้งโดยที่ไร้ความกดดันใด ๆ อาจจะเป็นนางที่คิดมากและกลัวเกินไปกับประสบการณ์ที่เจอกับเสวียนอวี่โดยลืมนึกไปว่าเขามิใช่เสวียนอวี่แต่เป็นบุรุษหนุ่มที่พยายามจะเป็นเพียงคนธรรมดาหนึ่งคนเท่านั้น“งั้นหรือ ข้าก็ผ่านมาทางนั้นเช่นกันทำไมถึงไม่พบเจ้า แต่ก็มาถึงเกือบพร้อม ๆ กันกับเจ้า ช่างน่าแปลกยิ่งนัก”“ท่านคงตามมาห่าง ๆ ก็เลยไม่ทันได้สังเกต”“คุณชายเจ้าคะ”ลู่หลินเดินมาอีกครั้ง ซูเม่ยลอบยิ้มอย่างรู้ทันนางจึงหันไปมองเว่ยเฟิงหรง นางมีประสบการณ์เรื่องเช่นนี้มาก่อนจึงเข้าใจความรู้สึกของลู่หลินได้ดี“คุณชายเว่ยเอาไว้พบกันใหม่ข้าขอตัวก่อน”“เอ่อ…ซูเม่ย ไปดื่มชาด้วยกันเถอะข้ายังคุยกับเจ้าไม่จบเลย มาเถอะมาเล่าต่อว่าหลังจากนั้นเจ้า….”“คุณ…ชาย…เอ่อ…”ลู่หลินเห็นเว่ยเฟิงหรงดึงแขนของซูเม่ยเดินไปที่รถม้าก็เริ่มโกรธและไม่พอใจมากขึ้นจนเดินหนีพวกเขาไปอีกทาง
วันรุ่งขึ้นขบวนรถม้าทยอยเดินทางเข้าเมืองหลวงหลังจากที่ประตูเมืองเปิด ไป๋ซูเม่ยแยกกับเว่ยเฟิงหรงที่ตรอกด้านในเพื่อจะไปยังจวนของตนเองส่วนเขาต้องเข้าไปที่จวนของท่านอ๋องในตัวเมืองชั้นในที่อยู่ใกล้กับวังหลวง “เย็นนี้หากว่าข้าเสร็จธุระเร็วข้าจะแวะไปเยี่ยมเจ้านะ”“เจ้าค่ะ”“คุณชาย เราต้องรีบไปกันแล้วเจ้าค่ะ”เสียงของสาวใช้ของเขาดังออกมาจากในรถม้า แม้ว่านางจะนั่งรถม้าคนละคันกับเขาแต่ความเจ้ากี้เจ้าการยังคงไม่ลดละจนไป๋ซูเม่ยนึกขำกับท่าทางนี้“ท่านรีบไปเถอะเจ้าค่ะ ข้าเองก็ต้องรีบไปที่จวนท่านหมอเช่นกัน”“ไว้พบกันใหม่นะซูเม่ย”“ไว้พบกันใหม่เจ้าค่ะ”จวนรับรองสำนักหมอหลวง“โอ้โหคุณหนูเจ้าคะจวนนี้กว้างมากเลยเจ้าค่ะ นึกไม่ถึงว่าตำแหน่งของนายท่านจะมีจวนในเมืองหลวงที่หรูหราขนาดนี้”“เจ้าคงเอาไปเปรียบกับกระท่อมไม้ที่เราอยู่มาก่อนสินะถึงได้บอกว่าที่นี่หรูหราและกว้างขวาง แต่ก็จริงอย่างเจ้าพูด มันดูหรูหราและน่าจะพักได้สบายจริง ๆ”ไป๋ซูเม่ยมองไปรอบ ๆ จวนนี้นับว่าเพียงพอสำหรับพวกนาง เป็นจวนหลวงสำหรับขุนนางชั้นสูงระดับท่านหมอหลวงขึ้นมาเอาไว้พักเมื่อเดินทางมาเมืองหลวง “รีบเก็บของเถอะเดี๋ยวเราออกไปเดินเล่นกั
“อ๊าา!! อ๊าา….ท่านพี่ ข้าบอกท่านไปแล้วว่าอย่าหักโหมอย่างไรเจ้าคะ อ๊ะ!!”“อีกรอบเดียวนะซูเม่ย อีกครั้งเดียวจะให้เจ้าพักแล้ว อาา…เม่ยเอ๋อร์!!!”ร่างหนาค่อย ๆ หย่อนกายลงข้าง ๆ พระชายาที่นอนหันหลังและหอบอยู่ข้าง ๆ เขา เมื่อบทรักครั้งสุดท้ายจบลงเว่ยเฟิงหรงหันมากอดนางที่นอนหันหลังให้เรือนผมนางยุ่งเหยิงเพราะเขา หลังที่เคยเนียนงดงามบัดนี้เต็มไปด้วยรอยจ้ำสีแดงเกือบทุกแห่งที่เขาจะฝากรอยเอาไว้ “เจ้าอยากอาบน้ำหรือไม่”“ข้า….ลุกไม่ไหว”“ข้าเองก็ลุกไม่ไหวแล้วเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นก็นอนพักผ่อนก่อนเถิดเอาไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยไปอาบด้วยกันแล้วค่อยขึ้นไปที่เขาลั่วซาง”“เฟิงหรง”“หืม”“ท่านคิดว่าข้าเอาแต่ใจตัวเองหรือไม่เจ้าคะที่…ขอให้ท่าน….”เขาหันมาดึงนางเข้ามากอดกับแผงอกกว้าง เขาดึงผ้าห่มมาห่มให้เขาและนางก่อนจะพูดกับนาง“เจ้าน่ะหรือจะเอาแต่ใจตัวเอง ข้าไม่เคยเห็นว่าเจ้าจะทำสิ่งใดที่ทำให้ข้าลำบากใจเลยสักครั้ง หากไม่นับเรื่องที่เจ้าแอบไปทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายในเมืองหลวงนั่น”“ข้า….จะไม่ทำ….”เขาใช้นิ้วปิดปากนางเอาไว้เพื่อมิให้นางพูดออกมา“ไม่ต้องพูดและไม่ต้องสัญญาอะไรอีกแล้ว แม้ว่าเจ้าจะไปอีกข้าก็จะติดตาม
งานพระราชพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทและงานอภิเษกสมรสผ่านไปได้สองวัน ไป๋ซูเม่ยและเว่ยเฟิงหรงก็ต้องกลับมาเตรียมของเพื่อเตรียมตัวเข้ารับพระราชพิธีสมรสพระราชทานทั้งคู่กราบทูลขอเพียงแค่พิธีรับราชโองการและงานเลี้ยงในวังเท่านั้นส่วนงานอภิเษกทั้งคู่ทูลขอฝ่าบาทกลับไปจัดที่หยางโจว“ซูเม่ย เมื่อใดเจ้าจะได้กลับมาที่เมืองหลวงอีกกันนะข้าหรือว่าให้ข้าไปเยี่ยมเจ้าที่หยางโจวดีล่ะ”“เฟยหย่าเจ้าอย่ามัวแต่นึกอยากเที่ยวสิ เจ้าเป็นพระชายาองค์รัชทายาทแล้วนะ ยังจะห่วงเที่ยวอีกงั้นหรือ”“เสด็จพี่เพคะ น้องซูเม่ยมาเมืองหลวงกว่าข้าจะรู้จักกับนางและได้สนิทกันก็แทบจะมิได้พานางไปเที่ยวที่ใดเลยเพราะมีแต่เรื่องเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวันจนถึงวันอภิเษกก็ต้องเตรียมการวุ่นวายเช่นนี้”“พี่หญิงเพคะ ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกเพคะหม่อมฉันกับซื่อจื่อจะแวะมาเยี่ยมพวกพระองค์อย่างแน่นอนเพคะ เสด็จพ่อเองก็ต้องเข้าวังหลวงอีกสี่เดือนข้างหน้าเพื่อมาเยี่ยมฝ่าบาทและร่วมงานพระราชพิธีคล้ายวันพระราชสมภพอยู่แล้ว เอาเป็นว่าเราจากกันไม่นานหรอกเพคะ”“เจ้าพูดจริง ๆ นะ น้องหญิงเจ้ากลับไปที่หยางโจวก็ดูแลตัวเองให้ดีนะ”“เพคะพี่หญิง ไม่สิพระชายาเองก็มีองค์
“อ๊าา หานลั่ว!!”ลิ้นของเขาเริ่มคลี่ร่องกลีบชื้นฉ่ำตรงหน้าออก ร่างของเฟยหย่าเอนขึ้นตามสัมผัสลิ้นและนิ้วของเขา มือนางจับที่ผ้าห่มเอาไว้แน่นเมื่อถูกเขาล่วงล้ำเข้ามาทั้งลิ้นและนิ้วจนนางทนไม่ไหว“อ๊าาา หานลั่ว ไม่ไหวแล้ว ข้ารู้สึกแปลก ๆ มันจะ อ๊าา!!!!”ร่างน้อย ๆ นั้นเกร็งกระตุกจนเกิดเสียง จวินหานลั่วรวบขาของนางและยังใช้ลิ้นปรนเปรอนางไม่หยุด เมื่อเห็นว่านางพร้อมแล้วเขาจึงค่อย ๆ สอดใส่แท่งแกร่งของเขาที่ปวดตึงหนึบอยู่นานแล้วเข้าไป เขาอ่อนโยนจนนางรู้สึกถึงความห่วงใยที่เขามีให้นาง “หานลั่ว อ๊าา ช่างดียิ่งนัก รู้สึก อ๊าา ดียิ่งนัก อ๊าา…”“เฟยหย่า ข้าจะ…เร่งได้อีกนิดได้หรือไม่”“เร็วอีกหน่อยเจ้าค่ะ อ๊าา หานลั่วเร็วขึ้นอีก อื้อ…”เขาพยายามรักษาความเร็วเอาไว้เพราะเกรงว่านางจะเจ็บ ลิ้นหนาค่อย ๆ จูบไปที่ยอดปทุมสีสวยเพื่อให้นางคลายความเจ็บแต่ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้เจ็บมากเพราะเขาอ่อนโยนกับนางมากกว่าที่จะทำให้นางเจ็บได้“อาา เฟยหย่าเปลี่ยนท่านะ”“อื้อ อ๊าา!! หานลั่ว ท่านี้ลึกมากเพคะ เสียวมากจริง ๆ อ๊าา กระแทกเข้ามาอีก อ๊าาา”จวินหานลั่วรู้ว่าเขาจะทนได้อีกไม่นานแล้วเมื่อด้านในนางทั้งคับแน่นและบีบรัดเข
สนามชู่จวี“อะไรกัน เล่นสกปรกงั้นหรือ แย่แล้ว องค์ชายสาม!!”“พี่หญิง ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ”เหยียนเฟยหย่าวิ่งไปยังห้องที่มีคนหามจวินหานลั่วเข้ามา นางวิ่งเข้ามาทันทีเมื่อเห็นเขาถูกหามออกมานอกสนาม“องค์ชายสาม!!”“เฟยหย่า!! เจ้ามา…ได้เช่นไรกัน”องค์ชายสั่งให้ทุกคนออกไปเมื่อเห็นว่าเฟยหย่าวิ่งพรวดพราดเข้ามา ประตูห้องพักปิดลงเมื่อนางหันมาจับมือเขาเอาไว้“องค์ชาย เหตุใดท่านจึงบาดเจ็บเช่นนี้ พวกนั้นเล่นนอกกติกา”“เฟยหย่า อย่าพึ่งพูดนี่เจ้ามาทำอะไรที่นี่”“หม่อมฉันเห็นพระองค์ถูกทำร้าย คนพวกนั้น…”“เฟยหย่า คนพวกนั้นมิใช่คนต่างแคว้นแต่เป็นนักฆ่าที่เสวียนอวี่ส่งเข้ามา”“อะไรนะ!! นี่เขา….ตั้งใจจะเล่นงานท่านงั้นหรือ”“เฟยหย่า!! เจ้าจะทำสิ่งใด อย่าพึ่งแหวกหญ้าให้งูตื่น เว่ยเฟิงหรงกับพี่ใหญ่เจ้ารู้แล้วพวกเขาอยู่ในสนาม ทันทีที่ข้าถูกเล่นงานเว่ยเฟิงหรงก็ให้คนพาข้าออกมาเกรงว่าพวกมันจะทำร้ายข้า เจ้าอย่าได้ทำสิ่งใดพวกเขาจัดการกันเองได้ คนของพวกเราอยู่ในสนามแล้ว ตอนนี้ก็เริ่มจัดการพวกที่เหลือแล้ว”“ก็ได้จวินหานลั่วครั้งนี้ข้าจะเชื่อท่าน”“เจ้าก้มลงมานี่หน่อยสิ”เหยียนเฟยหย่าก้มลงมา จวินหานลั่วจับนางลงมาและจู
งานเลี้ยงประจำปี“เจ้าว่าอย่างไรนะ เสด็จพ่อจะประทานสมรสงั้นหรือ เช่นนั้นข้าไม่เข้าร่วมจะดีกว่าข้าไม่สนใจเรื่องงานเลี้ยงกับพวกขุนนางขี้ประจบเหล่านั้นหรอก”“องค์ชายสาม ครั้งนี้มีสตรีบุตรขุนนางหลายคนเข้าร่วม พระองค์ไม่สนใจจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”“เฉินกงกง ท่านอยากให้ข้าแต่งงานมากขนาดนี้เชียวหรือ ท่านขี้เกียจดูแลข้าแล้วสินะ”“หามิได้ ๆ พ่ะย่ะค่ะเพียงแต่เรื่องการแต่งงานฝ่าบาทต้องเห็นชอบพระองค์เองก็มิควรเก็บตัวเช่นนี้”“ว่าแต่ครั้งนี้เสด็จพ่อจะประทานสมรสคู่ใดเป็นพิเศษเล่า”เฉินกงกงบอกกล่าวไป ทั้งเรื่องขององค์ชายที่จะแต่งบุตรสาวขุนนางและท่านหญิงเข้ามาในวังหลวง รวมถึงบรรดาองค์หญิงที่ต้องแต่งงานกับแม่ทัพและ….“อีกคู่น่าจะเป็นองค์ชายสี่กับคุณหนูรองสกุลเหยียนพ่ะย่ะค่ะ”ตำราพิชัยยุทธ์หล่นจากมือของ “จวินหานลั่ว” โดยไม่ได้ตั้งใจ เขาเหม่อลอยเมื่อได้ยินชื่อนั้นเข้าหูจนฉินกงกงตกใจ“องค์ชาย….องค์ชายสาม!!”“หา…เอ่อ อ้อ อะไรนะ สกุลเหยียนกับ…น้องสี่ พวกเขาไปรู้จักกันเมื่อใดงั้นหรือ”“เห็นว่าฮองเฮาเป็นผู้สู่ขอแทนองค์ชายสี่พ่ะย่ะค่ะ”“อะไรนะ…ฮองเฮางั้นหรือ ดูท่าแล้วไม่เกี่ยวกับความรู้สึกสินะ”หลังจากนั้นเขาเองก็
เว่ยเฟิงหรงอุ้มไป๋ซูเม่ยลงจากรถม้า พักหลัง ๆ คนในจวนอ๋องที่เมืองหลวงมักจะชินตากับการที่เว่ยซื่อจื่ออุ้มนางลงมาเช่นนี้แล้ว แต่ละคนคิดไปเองว่าเพราะไป๋ซูเม่ยนั่งรถม้ามาแล้วหลับซื่อจื่อไม่อยากให้นางตื่นจึงอุ้มลงมา และบางคนก็คิดว่าไป๋ซูเม่ยเป็นสตรีที่อ่อนแอ เพียงแค่นั่งรถม้ากระเทือนก็จะเดินไม่ไหว แต่ไม่มีผู้ใดเลยที่ล่วงรู้ความจริงนอกจากอาหยงและต้าหมิน องครักษ์ของซื่อจื่อและสาวใช้ของนาง“เฟิงหรงท่านจะเกินไปแล้วนะเจ้าคะข้าเอวแทบหักทุกครั้งเลย จากนี้ไปข้าจะแยกรถม้ากับท่าน!!”“เม่ยเอ๋อร์เจ้าจะทำเช่นนี้หาได้ไม่ ผู้อื่นก็คุ้นชินกับการที่ข้าทำเช่นนี้แล้วเจ้าจะใส่ใจไปทำไมกัน เจ้าก็มิใช่ผู้ที่จะสนใจสายตาคนอื่นเสียเมื่อไหร่เล่า ไม่เอาน่าอย่าทำหน้างอเช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะพาไปกินเกี๊ยวน้ำร้านประจำของเจ้าดีหรือไม่”“ไม่ต้องเอาเกี๊ยวมาล่อข้าให้ตายใจ ก่อนจะไปกินเกี๊ยวท่านมิกินข้าก่อนจนหมดแรงสุดท้ายก็ต้องให้คนซื้อมาให้ข้าถึงเตียงหรอกหรือ ข้ารู้จักท่านดีเว่ยเฟิงหรง คนเจ้าเล่ห์”“เช่นนั้นไหน ๆ เจ้าก็รู้ทันข้าแล้ว…ก็อย่าเสียเวลาเลยนะไปอาบน้ำกันเถอะคนดี”“หยุด!! ข้าไม่อาบกับท่านแน่นอน เว่ยเฟิงหรง!! ไม่นะ ออก
อารามหย่งหลินเว่ยเฟิงหรงและไป๋ซูเม่ยขึ้นเขามาเพื่อเยี่ยมอาจารย์ตงหยวนซึ่งนั่งสวดมนต์อย่างสงบอยู่ในวิหาร เมื่อทั้งสองเข้าไปอาจารย์ก็เอ่ยทักทายขึ้นมาโดยที่ยังไม่ทันได้หันมามองทั้งคู่“พวกเจ้ามาเยี่ยมข้าเร็วกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีกนะ”""คารวะอาจารย์""“อืม…ตามสบายเถิดเว่ยซื่อจื่อ ท่านหญิง”“อาจารย์ ท่านทราบ!!”“เสด็จพ่อของเว่ยซื่อจื่อและฝ่าบาทมาปรึกษาข้าก่อนหน้านี้ ถึงไม่ได้อยากรู้แต่อย่างไรก็ต้องรู้ ฮ่า ๆ วันนี้มาหาข้าได้ ดูแล้วท่านหญิงคงจะหายดีแล้วสินะ”“ศิษย์มาที่นี่เพื่อกราบขอบคุณท่านอาจารย์เจ้าค่ะที่ช่วยศิษย์เอาไว้ครั้งก่อน หากว่ามิได้อาจารย์ไปช่วยเหลือศิษย์คงไม่รอด”“เรื่องนั้นที่จริงไม่ต้องถึงมือข้าหรอก เพียงแต่ว่าคนของเจ้า….ดูเหมือนจะไม่มีสติเอาเสียเลยข้าจึงไปเพื่อเรียกสติเขาเท่านั้น”ไป๋ซูเม่ยมองมาที่เว่ยเฟิงหรงและลอบขำ เฟิงหรงถึงกับหันไปค้อนให้นางที่กล้าขำเขาต่อหน้าเช่นนี้“เม่ยเอ๋อร์ ไว้หน้าข้าหน่อยก็ดีนะ นี่ต่อหน้าอาจารย์เชียวนะ”“ท่านพี่ คงยากแล้วล่ะเจ้าค่ะ ทั้งท่านพ่อ พี่หญิงเฟยหย่า องค์รัชทายาทหรือแม้แต่ท่านอ๋องต่างก็นำเรื่องนี้มาพูดกับข้าหมดแล้ว ก็ยังมีอาจารย์นี่แหละเจ้าค
เว่ยเฟิงหรงกระซิบบอกจนนางต้องเบือนหน้าหนี นึกไม่ถึงว่าถึงขนาดนี้แล้วเขายังหึงอยู่ ไป๋ซูเม่ยเดินไปที่อุทยานหลวงตามที่เขาบอก นางเดินไปพบคนผู้หนึ่งซึ่งวันนี้เขาสวมชุดสีดำที่ดูแปลกตา“มาแล้วหรือ….คุณหนูไป๋”“อี้เสี่ยวฟาน เจ้า….เหตุใดจึงได้แต่งชุดนี้”นางมองไปยังชุดที่ดูแปลกตาสีเข้มที่ทำให้อี้เสี่ยวฟานดูดีและเหมาะสมกับเขามากกว่าชุดองครักษ์ที่เขามักจะสวมอยู่เสมอเมื่ออยู่กับเสวียนอวี่“นี่น่ะหรือ นี่เป็นเครื่องแบบของแม่ทัพกองทัพอินทรีย์ทองขององค์รัชทายาทน่ะ เป็นอย่างไรมันเหมาะกับข้าหรือไม่”“ว่าอย่างไรนะนี่เจ้าเป็น….ยอดเยี่ยมมากเลยไม่เห็นมีผู้ใดบอกข้ามาก่อนหน้านี้มาก่อนเลยว่าเจ้าจะเป็นถึงแม่ทัพของนักรบเกราะทองนั่น ข้ายินดีด้วย ข้า…เอ่อ…”“เราอยู่กันสองคน อิ่นหลงเจ้าบอกเรื่องของเจ้ากับเว่ยซื่อจื่อไปแล้วสินะ เขาถึงได้ยอมให้เจ้ามาพบข้าในวันนี้”ไป๋ซูเม่ยเงยหน้ามองสหายรักที่ในที่สุดเขาก็กล้ายอมรับนางแล้วว่านางคืออิ่นหลง สหายของเขา นางมองเขาพร้อมกับน้ำตาที่รื้นขึ้นมา“ใช่แล้วล่ะ ข้าบอกเฟิงหรงไปหมดแล้ว ทั้งเรื่องที่ข้าถูกเสวียนอวี่ฆ่าและอยู่ในร่างของไป๋ซูเม่ย คู่หมั้นของเขา”“สวรรค์คงเห็นความดีในต
“ที่จริงข้าก็คิดจะชวนเจ้าไปเช่นกัน เอาเป็นว่าพรุ่งนี้หลังจากเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้วเราก็แวะไปหาอาจารย์ก่อนก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะ ขอบคุณที่ท่านใส่ใจ”“ข้าย่อมรู้ดีว่าเจ้าอยากจะทำสิ่งใด เจ้าเป็นภรรยาของข้าแค่มองตาเจ้าก็พอจะรู้แล้วว่าเจ้าคิดสิ่งใดอยู่ แต่ข้าคงไม่อนุญาตให้เจ้าไปร่วมพิธีของเสวียนอวี่หรอกนะ”“ข้าไม่ได้อยากจะไปอยู่แล้วเจ้าค่ะ เรื่องนั้นมิได้เกี่ยวกับข้าสักหน่อย ว่าแต่พรุ่งนี้เราต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”“พระราชาทานรางวัลที่ช่วยปราบกบฏ ประทานยศใหม่และพระราชทานงานสมรส”“นี่พวกเรา…ต้องสมรสในเมืองหลวงหรือเจ้าคะ”“เป็นพระราชประสงค์ของฝ่าบาทที่อยากจะตอบแทนเจ้าและสกุลเหยียนน่ะ เสด็จพ่อบอกข้ามาเมื่อคืนก่อนครั้งนี้เห็นทีจะเลี่ยงยากเพราะว่าฝ่าบาทตั้งใจประทานรางวัลนี้ให้กับพวกเราและยัง…แต่งตั้งเจ้าเป็นท่านหญิงอีกด้วย”“ท่านหญิงหรือเจ้าคะ แต่ว่าข้า…เหตุใดจึง…”“เรื่องนี้เป็นใต้เท้าเหยียนสองพ่อลูกเป็นผู้เสนอ และฝ่าบาทเองก็นึกขอบใจเจ้าหากว่าคืนนั้นกองทัพสกุลเหยียนและกององครักษ์หลวงของเยียนจินสือมาไม่ทันคงเกิดความเสียหายมากกว่านั้น ดังนั้นเรื่องนี้เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท เสด็จพ่