พวกเขาเดินออกมาจากนั้นไม่นาน องครักษ์คนหนึ่งของบุรุษหนุ่มที่นางได้ช่วยเหลือเดินมาเชิญนางไปที่ห้อง
“แม่นาง คุณชายขอเชิญท่านไปที่ห้องขอรับ”
“อืม ได้สิ”
“คุณหนูเจ้าคะ พวกเขา….”
“ไม่มีอะไรพวกเขามิใช่ศัตรูหรอกไม่ต้องห่วง”
“เจ้าค่ะ”
ไป๋ซูเม่ยเดินตามองครักษ์หนุ่มไปทันที เมื่อเข้าไปในห้องที่เขานั่งอยู่และมีองครักษ์อีกคนที่คอยทำแผลให้เขาอยู่
“แม่นาง คุณชายมีเรื่องจะคุยกับท่านขอรับ”
“เขาพักอยู่ที่นี่ได้จนกว่าจะหาย พวกท่านไม่ต้องห่วงเขาหรอกเพียงแต่ช่วงที่พวกท่านมาพบเขาที่นี่อย่านำพาเรื่องเดือดร้อนมาให้พวกข้าก็พอแล้ว”
“ท่านรู้!! ว่าพวกเรา…”
“คุณชายของเจ้าบาดเจ็บเคลื่อนไหวยังไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงลงจากเขาเลย แม้แต่เดินลงจากเตียงก็ยังไม่มีแรงมากพอหรอก เจ้าคงไม่คิดว่าจะแบกเขาลงเขาไปได้หรอกกระมัง”
“คุณหนู ท่านเข้าใจถูกต้องแล้วขอรับข้าน้อยจึงอยากขอร้องท่าน....”
“ได้สิไม่มีปัญหา ข้าไม่ใจร้ายกับคนป่วยหรอก”
“ส่วนเรื่องค่ารักษา…”
“คุณหนูข้ามิได้เดือดร้อนเรื่องเงิน นางเป็นถึงบุตรสาวของหมอหลวงไป๋เหลียน ไม่ได้ต้องการเงินมากขนาดนั้นพวกท่านทำตามที่นางพูดก็พอ”
“อาหยง…”
บุรุษหนุ่มมองหน้านางในทันทีเมื่อทราบว่านางคือผู้ใด เดิมทีคิดเอาไว้ว่านางต้องมิใช่คนธรรมดาอยู่แล้วเพราะท่าทางและความชำนาญเช่นนี้แม้จะบอกว่าเป็นท่านหมอเทวดาเขาก็คงเชื่อ แต่สตรีที่เก่งกาจและสามารถอยู่เพียงลำพังในป่ากับสาวใช้เพียงสองคนจะมีสักกี่คนที่ทำได้
“ที่แท้ก็คุณหนูไป๋บุตรีท่านหมอไป๋นี่เอง ล่วงเกินเจ้าแล้ว”
“ช่างเถอะ ข้ามิได้พูดในฐานะนั้นกับท่าน ข้าพูดในฐานะหมอที่รักษาคนหากว่าท่านหายแล้วพวกเราต่างคนก็ต่างไป”
“ขอบคุณ ข้าจะอยู่กับคุณชายที่นี่…”
“ไม่ต้อง…”
“ดีเลยเจ้าอยู่ก็ช่วยได้มาก อย่างน้อยช่วงนี้ที่คุณชายพวกเจ้ายังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เจ้าก็ดูแลไปก็แล้วกันข้าจะให้อาหยงนำยามาให้ตามเวลา หากว่ามีอาการอื่นที่มากกว่านี้ก็เรียกข้าได้ ส่วนเจ้าหากว่าจะลงเขาให้เดินลัดออกไปอีกทาง ข้าจะให้อาหยงเดินไปส่งเจ้า เส้นทางนั้นจะถึงในเมืองเร็วกว่าและจะไม่มีผู้ใดพบเห็นเจ้าแน่นอน”
“ขอบคุณคุณหนูไป๋ขอรับ”
“อืม อาหยงรีบพาเขาไป”
“เจ้าค่ะ”
พวกเขาเดินออกไปหมดแล้วเหลือเพียงนางและบุรุษหนุ่มตรงหน้า ไป๋ซูเม่ยมองเห็นชามข้าวที่เขากินจนหมดนางจึงเก็บของใส่ถาด
“เช่นนั้น…ก่อนหน้านี้ผู้ที่เปลี่ยนชุดให้ข้า…”
“ใช่ ข้าเป็นคนเปลี่ยนให้ท่านเอง มีอะไรงั้นหรือ”
“ข้า…เจ้า….แคก ๆ เอ่อ…”
“หึ หากท่านอายตอนนี้คิดว่าไม่ทันแล้วกระมัง ส่วนหากว่าท่านจะถามข้า ข้าก็จะตอบว่าข้าเป็นหมอ หน้าที่รักษาท่านให้หายเป็นสิ่งที่ข้าต้องทำเช่นกัน”
“เช่นนั้น….ก็ต้องขอบคุณเจ้าแล้ว”
“ข้าจะไปยกยามาให้ท่านรอสักครู่”
“แม่นางไป๋”
“มีสิ่งใดอีกงั้นหรือ….องค์ซื่อจื่อ”
“เจ้า…ได้ยินงั้นหรือ”
“แม้ว่าจะไม่อยากได้ยินแต่กระท่อมไม้แห่งนี้มิใช่ที่ที่ควรจะพูดคุยเรื่องลับ ๆ นักหรอกท่านว่าหรือไม่ อย่าห่วงเลยไม่ว่าท่านจะเป็นผู้ใดต่อให้เป็นองค์ชายข้าก็มิได้สนใจ”
“ข้า…ไม่ได้คิดจะโกหกเจ้า”
“ข้าเข้าใจ หากเป็นข้า…จนจากกันไปแล้วข้าก็ไม่คิดจะพูดหรอก เอาล่ะข้าจะยกชามไปเก็บท่านก็นอนพักดี ๆ ไปก่อนก็แล้วกัน”
นางเดินถือถาดอาหารออกไปแล้วเขาจึงนึกขำกับท่าทางนั้นของนาง แม้ว่าเขาจะไม่เคยพบเห็นบุตรของท่านหมอหลวงมาก่อนแต่คำร่ำลือต่าง ๆ เกี่ยวกับนางทั้งด้านความชำนาญศาสตร์ทั้งสี่ ความรู้ทางการแพทย์และยังรูปโฉมที่งดงามล่มบ้านล่มเมืองนั่นเมื่อเห็นเช่นนี้แล้วเขาพบว่าที่รำลือกันนั่น ยังน้อยกว่านั้นมากนัก
“เย็นชาชะมัด หึ”
เขาเคยนึกดูแคลนสตรีเช่นนางมาก่อนเพราะเขาเป็นองค์ซื่อจื่อ เป็นทายาทเพียงคนเดียวของท่านอ๋องแห่ง หยางโจวที่จะขึ้นสืบทอดอำนาจและปกครองเมืองหยางโจว
เขาเป็นรองเพียงเหล่าองค์ชายไม่กี่พระองค์เท่านั้น และแน่นอนว่าหลาย ๆ พระองค์ก็เป็นคู่อริเก่ากับเขาและไม่อยากให้เขามีชีวิตอยู่เพื่อแย่งอำนาจในเมืองหลวง
“ท่านดื่มยานี้แล้วจะรู้สึกง่วงแต่ยานี้จะช่วยฟื้นฟูภายในได้ดีกว่า ท่านมีวิชายุทธ์พลังปราณของท่านจะฟื้นตัวเร็วขึ้นหากมีแรงก็…”
“คุณชาย…”
ต้าหมินเดินเข้ามาพอดีที่เขากำลังฟังนางพูด เมื่อเห็นว่าองครักษ์ของเขาเข้ามาแล้วนางจึงหันไปมองและหยุดพูดทันที
“เช่นนั้นพวกท่านก็พักผ่อนเถอะ ข้าจะให้อาหยงนำเครื่องนอนมาเพิ่มให้ข้าขอตัวก่อน”
แม้ว่าอยากจะคุยต่ออีกสักหน่อยแต่นางก็เดินออกไปแล้ว “เว่ยเฟิงหรง” ซื่อจื่อหนุ่มหันมามองค้อนให้กับองครักษ์อย่างเสียมิได้
“คุณชาย เหตุใดท่านมองข้าเช่นนั้นขอรับ”
“เจ้ามันไม่รู้ความจริง ๆ”
“ข้าน้อย…ทำสิ่งใดผิดหรือขอรับ”
“ช่างเถอะ ให้คนตามสืบหรือยังว่าเป็นฝีมือผู้ใดกันแน่ ข้าเพียงแค่ก้าวขาออกจากหยางโจวก็ถูกลอบทำร้ายที่ชายแดนจนระเห็จมาถึงที่นี่ หากไม่ได้นางช่วยไว้ละก็ข้าคงเป็นอาหารของเสือไปแล้ว”
“เรื่องนี้มีผู้ต้องสงสัยอยู่เพียงสองคนขอรับ องค์ชายสี่เสวียนอวี่และองค์ชายหกเสวียนฟง”
“หึ พระโอรสของฮองเฮาดูเหมือนว่าจะเกรงกลัวข้าที่เป็นเพียงพระนัดดา (หลานชาย) ของฝ่าบาทมากกว่าเหล่าองค์ชายที่อยู่ใกล้ตัวพวกเขาเสียอีก”
“มีผู้ใดไม่ทราบบ้างว่าคุณชายเป็นขุนศึกที่มีความสามารถและเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าส่งข่าวไปในวังหลวงให้หานลั่วหรือยัง”
“ส่งไปแล้วขอรับ องค์ชายสามก็ส่งจดหมายกลับมาแล้วว่าหากว่าพบตัวท่านแล้วให้ซ่อนตัวก่อน หากพวกเขาไม่พบท่านพวกนั้นคงไม่มีทางหยุดแน่”
“เราอยู่ที่นี่ได้อีกไม่นานแล้ว มิเช่นนั้นพวกนางจะเดือดร้อนไปด้วย”
“คุณชาย ท่านเป็นห่วงคุณหนูไป๋หรือขอรับ”
“ว่าแต่ว่า เหตุใดบุตรสาวของท่านหมอไป๋ถึงมาปลีกวิเวกอยู่ที่นี่คนเดียวเล่า นางมิได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสตรีอันดับหนึ่งของเมืองหยางโจวในตอนนี้หรอกหรือ”
“ใช่ขอรับ แต่เห็นว่านางทะเลาะกับท่านหมอเรื่อง…เอ่อ ที่ท่านอ๋องประทานอนุไปให้และบุตรสาวของอนุผู้นั้นทำให้นางเสียโฉม”
“เสียโฉมงั้นหรือ ข้าไม่เห็นว่านางจะมีรอยแผลใด ๆ เลยนี่ เจ้าเองก็เห็นรูปโฉมที่งดงามนั่นมิใช่หรือ”
“คุณชายท่านลืมไปหรือไม่ว่านางเป็นหมอนะขอรับ”
“อ่อ…นั่นสินะ”
ห้าวันถัดมา
เว่ยเฟิงหรงพักฟื้นจนหายดีแล้ว ตอนนี้เขาเริ่มกลับมาฝึกวิชาดาบแล้ว ช่วงเวลาที่พักอยู่ที่นี่เขาพบกับไป๋ซูเม่ยเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น นางจะแวะมาตรวจเขาเพียงแค่สองวันหนึ่งครั้งและหากไม่มีอาการอื่น ๆ เขาก็แทบจะไม่เห็นนางเลย
จนเมื่อกลางดึกคืนนี้ที่เขาเดินออกมารับลมด้านนอกและเดินไปยังเชิงเขาใกล้ ๆ เพราะได้ยินเสียงต้นไม้ไหวและบางอย่างระเบิด เขาจึงเดินเข้าไปอย่างใคร่รู้และพบกับนางอยู่ที่นั่น
“นอกจากวิชาแพทย์ที่ยอดเยี่ยมแล้ว วรยุทธ์นางร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวงั้นหรือ”
ราวกับนางได้ยินเพราะไม่นานลมและกิ่งไผ่ตรงหน้าก็ถูกนางพัดและโจมตีเขา เว่ยเฟิงหรงม้วนตัวเพื่อหลบกิ่งไม้นั้นและไปยืนตรงหน้านาง ไป๋ซูเม่ยถอยหลังและตั้งท่าเพื่อต่อสู้แต่เมื่อนางเห็นว่าเป็นเขาจึงได้หยุด
“ท่านมาทำอะไรที่นี่”
“ข้าเคยได้ยินมาว่าเจ้ามีความชำนาญด้านศาสตร์ทั้งสี่ กลอนหมากอักษรและวาดภาพแต่นึกไม่ถึงว่าจะมีวรยุทธ์ที่เก่งกาจด้วย”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน”“เหตุใดเจ้าถึงเย็นชาเช่นนี้ แม้ว่าเจ้าจะชำนาญทั้งหมดนั่นและยังมีวิชาแพทย์ติดตัวแต่ก็น่าจะทำตัวเป็นมิตรมากกว่านี้หน่อยก็ได้กระมัง ข้าก็มิใช่ศัตรูของเจ้าเสียเมื่อไหร่กันจริงหรือไม่”เขามองไปที่มือของนางที่ถือเพียงกิ่งไม้ที่เอาไว้ใช้แทนดาบเท่านั้น เขามองไปยังใบหน้าที่หันหลบเขาไปอีกทางหนึ่งเพราะคำพูดนั้น ไป๋ซูเม่ยในยามนี้ไม่อาจไว้ใจผู้ใดได้เพราะในชาติที่แล้วของนางตอนที่ยังเป็นอิ่นหลงนางถูกคนที่นางรักจนแทบจะถวายชีวิตให้เขาได้...ทรยศนางอย่างเลือดเย็น“รับนี่ไปสิ”“ท่านหมายความว่าอย่างไร”นางมองไปยังมือที่ยื่นดาบมาให้ตรงหน้า ดาบที่มีตราสัญลักษณ์ของเขาและสกุลเว่ยอยู่“ดาบของข้า มอบให้เจ้า”“ข้าไม่ต้องการใช้ดาบของผู้อื่น”“เจ้าเข้าใจข้าผิด ข้ามอบให้เจ้าเพียงเพื่อฝึกในเวลานี้เท่านั้น แต่ข้าจะสั่งทำดาบให้เจ้าใหม่แต่ในเมื่อตอนนี้เจ้าใช้เจ้านั่น…แทนการใช้ดาบเจ้าไม่มีทางรู้ได้เลยว่าวิชาที่แท้จริงจะต้องกำหนดปราณและใช้แรงเท่าใด เจ้าลองดูก่อนก็ได้”สายตาที่แน่วนิ่งของเขาทำให้ไป๋ซูเม่ยรู้สึกว่าเขาแตกต่างกับเสวียนอวี่ เขาดูไม่มีพิษไม่มีภัยแต่เพราะนางก็คิดเช่นนี้กับองค์ชายเสว
นางรู้สึกวาบหวิวทั้งที่ใบหูและใบหน้าที่เริ่มร้อนผ่าวขึ้นในทุก ๆ ช่วงเวลาที่เขาพูด“เคล้ง!!”ดาบในมือนางร่วงลงกับพื้นเมื่อเขาพูดจนจบ นางตกใจและรีบลืมตาขึ้นแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า เว่ยเฟิงหรงเดินกลับไปแล้วเมื่อเขาแอบหอมแก้มนางนางค่อย ๆ ใช้มือยกขึ้นมาลูบที่พวงแก้มของตนเองที่ถูกเขาฝังจมูกลงไปเมื่อครู่นี้ สัมผัสนี้แตกต่างกับตอนที่ถูกเสวียนอวี่จับเมื่อชาติที่แล้วมันทั้งวาบหวามและ….อบอุ่นอย่างน่าประหลาด“นี่ข้า…..เป็นอะไรไป”นางกำลังหวั่นไหวให้บุรุษอีกครั้งหนึ่งซึ่งนางได้เคยปฏิญาณตนเอาไว้แล้วว่าเกิดในชาตินี้นางจะไม่มีทางหวั่นไหวให้กับบุรุษอีก แต่ว่า…..เว่ยเฟิงหรงผู้นี้ช่างแตกต่างกับองค์ชายเสวียนอวี่ที่ทั้งบ้าคลั่งและก้าวร้าวผู้นั้นชาติก่อนของอิ่นหลง“ร้องดังกว่านี้สิอิ่นหลง เจ้าไม่มีความสุขงั้นหรือ”“อ๊าา องค์ชาย อย่ากัดเพคะ”“อ๊าา เสียวมากหรือไม่เหตุใดเจ้า…อาา อิ่นหลง”“องค์ชายเพคะ อ่อนโยนหน่อย”เสวียนอวี่ที่ดูดดึงยอดปทุมของนางจนช้ำคาปากและอีกข้างกำลังมีเลือดไหลออกมาจากการกัดของเขา ไหล่ของนางเต็มไปด้วยรอยฟันที่ถูกเขากัดเม้ม แรงกระแทกที่ราวกับโกรธผู้ใดมายังคงไม่ลดลง แม้ว่านางจะรู้สึกดี
เขาและนางยืนสบตากันครู่หนึ่ง แม้ว่าเขาจะแอบเห็นสายตาที่อ่อนโยนลงจากนางแต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นและก็กลับไปเป็นนิ่งเรียบและเย็นชาเช่นเดิม“เช่นนั้นขอบใจเจ้ามากสำหรับการดูแลข้าตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ขอให้เจ้า…โชคดี”“ท่านเองก็เช่นกัน ลาก่อน”เว่ยเฟิงหรงเดินลงจากเนินเขาที่ใช้ฝึกวิชาและมาลาอาหยงและเดินทางลงจากเขาลั่วซางทันทีโดยที่ไป๋ซูเม่ยมิได้ตามลงมาส่ง นางยังคงยืนอยู่ที่ลานฝึกและมองพวกเขาเดินลงจากเขาไปอย่างเงียบ ๆ“คุณชายเว่ย ท่านเป็นผู้ที่ไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับความแค้นนี้ ตัวข้ามิอาจไว้ใจผู้ใดได้เหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มาอีกต่อไปแล้ว”เว่ยเฟิงหรงหันหลังมามองนางที่ยืนนิ่งอยู่บนเชิงเขา นางเองก็ยังคงมองมาที่เขาเช่นกัน สองคนที่สบตากันแม้ว่าจะไกลแต่เขาคิดไม่ผิด เขาเห็นว่านางกำลังยิ้มให้เขาอยู่เป็นแน่ “หากว่ามีวาสนาคงได้พบกันอีกในวันข้างหน้า ถ้าได้พบเจ้าอีกครั้งข้าจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปเหมือนดังเช่นวันนี้เป็นแน่”“คุณชาย…”ต้าหมินเรียกเขาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าท่านชายเว่ยยังคงยืนอยู่ที่เดิมเขาจึงหันมาบอกต้าหมินก่อนจะเดินนำไปก่อน“รีบไปเถอะ”ระยะทางที่ไป๋ซูเม่ยเคยบอกต้าหมินเอาไว้ทำให้พวกเ
ต้าหมินที่รอตรวจป้ายเพื่อจะเข้าเมืองหลวงเห็นนางเข้าก่อนเพราะเขาจำเสียงของนางได้จึงเดินลงมาจากรถม้าและมาทักทายนาง เมื่ออาหยงเห็นเขาก็นึกดีใจ “แล้วรถม้าของพวกเจ้าอยู่ที่ใดล่ะ ไปกับคุณชายก็ได้อย่างไรพวกเจ้าก็มาจากที่เดียวกับคุณชาย”“เอ่อ…คุณชายท่านนี้”“อ้อ ท่านผู้ตรวจการ ข้าเป็นองครักษ์ของซื่อจื่อ ท่านชายเว่ยแห่งหยางโจว”“อ้อ ที่แท้ก็คนของซื่อจื่อเหตุใดเจ้าไม่บอกข้าก่อนเล่าแม่นางเช่นนั้นก็….”“ไม่เป็นไรท่านผู้ตรวจการ พวกเราไม่รีบ”“คุณหนู”“คุณหนูไป๋”ไป๋ซูเม่ยหันไปยิ้มให้กับต้าหมินที่ก้มลงคำนับนาง “อย่าทำให้ท่านผู้ตรวจการลำบากใจกลับไปที่รถม้าได้แล้ว”“คุณหนูขอรับแต่ว่าท่านชายกับท่าน…”“ข้ามิได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับซื่อจื่อ ต้าหมินขอบคุณท่านมากที่หวังดีแต่ว่า….หากว่าข้าทำเช่นนี้แล้วชาวบ้านคนอื่น ที่ต้องรอเช่นข้าเล่า แล้วไหนจะเสียงวิจารณ์การทำงานของท่านผู้ตรวจการที่ยอมปล่อยให้พวกเราเข้าไปอีก อีกทั้งสายตาที่มองพวกเราอีก พวกเราเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา พวกท่านเชิญก่อนเถอะพวกเรารอที่นี่ได้”“คุณหนู….ข้าขอโทษเจ้าค่ะข้าไม่ทันคิดเรื่องนี้”“อาหยงเจ้ากลับไปที่รถม้า แล้วเลิกก่อความวุ่นวายได้แล้ว”“
“เข้าใจผิดงั้นหรือ เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“ช่างเถอะ ๆ บางทีข้าอาจจะคิดมากไปก็ได้ เอาล่ะ ข้ายินดีต้อนรับท่านหากว่าท่านจะแวะเวียนไปเยี่ยมที่จวน”“จริงหรือ เจ้าไม่ไล่ข้าแล้วใช่หรือไม่”ซูเม่ยหันไปมองรอยยิ้มของคนข้าง ๆ ก็นึกสบายใจเมื่อได้พูดคุยกับเขาได้อีกครั้งโดยที่ไร้ความกดดันใด ๆ อาจจะเป็นนางที่คิดมากและกลัวเกินไปกับประสบการณ์ที่เจอกับเสวียนอวี่โดยลืมนึกไปว่าเขามิใช่เสวียนอวี่แต่เป็นบุรุษหนุ่มที่พยายามจะเป็นเพียงคนธรรมดาหนึ่งคนเท่านั้น“งั้นหรือ ข้าก็ผ่านมาทางนั้นเช่นกันทำไมถึงไม่พบเจ้า แต่ก็มาถึงเกือบพร้อม ๆ กันกับเจ้า ช่างน่าแปลกยิ่งนัก”“ท่านคงตามมาห่าง ๆ ก็เลยไม่ทันได้สังเกต”“คุณชายเจ้าคะ”ลู่หลินเดินมาอีกครั้ง ซูเม่ยลอบยิ้มอย่างรู้ทันนางจึงหันไปมองเว่ยเฟิงหรง นางมีประสบการณ์เรื่องเช่นนี้มาก่อนจึงเข้าใจความรู้สึกของลู่หลินได้ดี“คุณชายเว่ยเอาไว้พบกันใหม่ข้าขอตัวก่อน”“เอ่อ…ซูเม่ย ไปดื่มชาด้วยกันเถอะข้ายังคุยกับเจ้าไม่จบเลย มาเถอะมาเล่าต่อว่าหลังจากนั้นเจ้า….”“คุณ…ชาย…เอ่อ…”ลู่หลินเห็นเว่ยเฟิงหรงดึงแขนของซูเม่ยเดินไปที่รถม้าก็เริ่มโกรธและไม่พอใจมากขึ้นจนเดินหนีพวกเขาไปอีกทาง
“หากข้ามีโอกาสหวนคืนอีกครั้ง ข้าจะไม่มีวันให้อภัยท่าน!!”เขาลั่วซาง นอกเมืองหยางโจว“เฮือก….แคก แคก….ที่นี่….คือที่ใด”“คุณหนู!! ท่านอยู่ที่นี่เองหรือเจ้าคะ ตายจริง!! ท่านถูกงูกัดหรือเจ้าคะ”“งูกัด? คุณหนูงั้นหรือ เจ้าเป็นผู้ใดกัน”“คุณหนูเจ้าคะ นี่ข้าเองอาหยงอย่างไรเจ้าคะ คุณหนูท่านช่างใจแข็งนัก แม้ว่าท่านจะมีปากเสียงกับนายท่านแต่ก็ไม่ควรใจร้อนหนีมาอยู่ในป่านี้เพียงลำพังนะเจ้าคะ ข้าแอบหนีตามท่านออกมาเจ้าค่ะ นึกไม่ถึงว่าท่านจะมีสภาพเป็นเช่นนี้ นี่พึ่งจะสิบวันเองที่ท่าน….”“โอ๊ย!! อย่าพึ่งพูด พยุงข้าก่อนแล้วค่อย ๆ เล่า”“ไป๋ซูเม่ย” รู้สึกว่าขานางได้รับบาดเจ็บแต่ในตอนนี้เริ่มดีขึ้นมาแล้ว แม้ว่าจะยังจับต้นสายปลายเหตุไม่ได้ แต่ดูจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในยามนี้ …..นางทำสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้“อิ่นหลง ยอมแพ้เสียเถอะเจ้าไม่มีทางรอดแล้ว”“พวกเจ้าเคยเป็นคนของข้า!!….เหตุใด…..”“ขออภัย เงินผู้ใดให้มาข้าก็รับใช้คนผู้นั้น “อิ่นหลง” ต้องโทษที่เจ้ารักคนที่ไม่ควรรักจึงทำให้เกิดเรื่อง หากว่าเจ้ายังอยู่ องค์ชายสี่ไม่มีทางมีความสุข”“แต่ข้า!! ข้าเป็นคนช่วยชีวิตเขา เป็นองครักษ์ข้างกายที่ซื่อสัตย์ของเขามาโด
ไป๋ซูเม่ยเดินออกมาจากกระท่อม สายลมแผ่วเบาที่พัดมายังร่างของสตรีที่นางพึ่งจะมาสวมร่างของนางให้ความรู้สึกราวกับไม่ใช่ตัวเอง เมื่อเดินไปถึงขอบเนินเขาและเริ่มหลับตาลง ค่อย ๆ กำหนดลมหายใจและเรียกพลังปราณออกมาและปล่อยออกมา“เฮ้อ…คงต้องเร่งฟื้นฟูสินะ ร่างนี้แม้ว่าจะมีความรู้มากมายเกี่ยวกับยาแต่ไร้ซึ่งวรยุทธ์ ยังไม่ต้องนับไปถึงการแก้แค้นเลย แค่เดินทางไปเมืองหลวงก็คงเกือบตายแล้ว”ไป๋ซูเม่ยเริ่มนั่งกำหนดลมปราณและฝึกวิชาทบทวนวรยุทธ์อยู่ราว ๆ เกือบสองชั่วยามจนเริ่มปรับสภาพร่างกายเข้ากับร่างใหม่ได้มากขึ้น นางสามารถระเบิดหินที่อยู่ใกล้ ๆ ได้และเริ่มใช้กิ่งไม้มาฝึกวิชาดาบจนสำเร็จกระบวนท่าไม้ตายที่นางเคยฝึกมาก่อน“ตูม!!!”ก้อนหินตรงหน้าและกิ่งไผ่ที่ถูกตัดขาดด้วยกิ่งไม้ในมือนางหลังจากที่นางใช้วิชาขั้นสุดท้ายกระเด็นไปทุกทิศทุกทาง “พลังปราณและวิชายุทธ์ข้ากลับคืนมาหมดแล้ว แต่ก็ยังเหนื่อยง่ายอยู่ สตรีผู้นี้อ่อนแอถึงเพียงนี้เชียวหรือเหตุใดจึงได้เหนื่อยง่ายถึงเพียงนี้กันนะ”นางเดินกลับไปยังลำธารใกล้ ๆ เมื่อก้มหน้าลงไปส่องดูเงาที่สะท้อนในน้ำจึงได้เห็นชัด ๆ ใบหน้าของไป๋ซูเม่ยงดงามไม่มีที่ติ แต่ทว่า….“แผลเป็
อาหยงเมื่อรู้ว่ามิใช่สัตว์ร้ายก็กล้าที่จะวิ่งเข้าไปหาคุณหนูตามคำสั่ง พวกนางพบว่าเป็นเพียงบุรุษหนุ่มคนหนึ่งที่ราวกับวิ่งหนีจากการถูกตามล่ามาร่างกายบาดเจ็บสะบักสะบอมจนแทบจะจำหน้าเดิมไม่ได้ ผมเผ้ารุงรังแต่หากดูจากการแต่งตัวและเครื่องประดับ มองดูก็พอจะรู้ว่าฐานะเขาคงไม่ธรรมดา“เหตุใดคนผู้นี้….ว๊าย!! คุณหนูเขาจะทำร้ายท่าน”ร่างหนาล้มลงที่อกไป๋ซูเม่ยทันทีเมื่อนางดึงปลายลูกธนูออกมาจากอกของเขา “เขาไม่มีแรงทำร้ายผู้ใดหรอก ดูท่าคงจะพยายามดึงลูกธนูนี้ออกด้วยตัวเองแต่คงหมดแรงเสียก่อน เจ้ามานี่มาช่วยข้าพาเขากลับไปที่กระท่อม”“คุณหนู…แต่ว่า…”“เร็วเข้าช่วยคนสำคัญกว่า”“เจ้าค่ะ”พวกนางพาเขากลับไปอย่างลำบากด้วยเพราะบุรุษผู้นี้ทั้งตัวใหญ่และชุดที่สวมก็ดูมีราคาที่แพง เมื่อมาถึงกระท่อมแล้วไป๋ซูเม่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหาชุดเปลี่ยนให้เขา นางจึงให้อาหยงลงเขาไปซื้อชุดบุรุษมาเปลี่ยนให้ ระหว่างนี้นางก็พยายามทำแผลให้เขา เช็ดตัวและห่มผ้าเอาไว้“ผ่านมาสองวันแล้วยังไม่ฟื้น คุณหนูเราคงจะไม่เสียเงินซื้อของไปเปล่า ๆ หรอกกระมังเจ้าคะ”“ไม่หรอก ลมหายใจเขานิ่งและคงที่ เป็นคนมีวิชายุทธ์สูง คงแค่พลาดท่าเท่านั้น ไม่
“เข้าใจผิดงั้นหรือ เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“ช่างเถอะ ๆ บางทีข้าอาจจะคิดมากไปก็ได้ เอาล่ะ ข้ายินดีต้อนรับท่านหากว่าท่านจะแวะเวียนไปเยี่ยมที่จวน”“จริงหรือ เจ้าไม่ไล่ข้าแล้วใช่หรือไม่”ซูเม่ยหันไปมองรอยยิ้มของคนข้าง ๆ ก็นึกสบายใจเมื่อได้พูดคุยกับเขาได้อีกครั้งโดยที่ไร้ความกดดันใด ๆ อาจจะเป็นนางที่คิดมากและกลัวเกินไปกับประสบการณ์ที่เจอกับเสวียนอวี่โดยลืมนึกไปว่าเขามิใช่เสวียนอวี่แต่เป็นบุรุษหนุ่มที่พยายามจะเป็นเพียงคนธรรมดาหนึ่งคนเท่านั้น“งั้นหรือ ข้าก็ผ่านมาทางนั้นเช่นกันทำไมถึงไม่พบเจ้า แต่ก็มาถึงเกือบพร้อม ๆ กันกับเจ้า ช่างน่าแปลกยิ่งนัก”“ท่านคงตามมาห่าง ๆ ก็เลยไม่ทันได้สังเกต”“คุณชายเจ้าคะ”ลู่หลินเดินมาอีกครั้ง ซูเม่ยลอบยิ้มอย่างรู้ทันนางจึงหันไปมองเว่ยเฟิงหรง นางมีประสบการณ์เรื่องเช่นนี้มาก่อนจึงเข้าใจความรู้สึกของลู่หลินได้ดี“คุณชายเว่ยเอาไว้พบกันใหม่ข้าขอตัวก่อน”“เอ่อ…ซูเม่ย ไปดื่มชาด้วยกันเถอะข้ายังคุยกับเจ้าไม่จบเลย มาเถอะมาเล่าต่อว่าหลังจากนั้นเจ้า….”“คุณ…ชาย…เอ่อ…”ลู่หลินเห็นเว่ยเฟิงหรงดึงแขนของซูเม่ยเดินไปที่รถม้าก็เริ่มโกรธและไม่พอใจมากขึ้นจนเดินหนีพวกเขาไปอีกทาง
ต้าหมินที่รอตรวจป้ายเพื่อจะเข้าเมืองหลวงเห็นนางเข้าก่อนเพราะเขาจำเสียงของนางได้จึงเดินลงมาจากรถม้าและมาทักทายนาง เมื่ออาหยงเห็นเขาก็นึกดีใจ “แล้วรถม้าของพวกเจ้าอยู่ที่ใดล่ะ ไปกับคุณชายก็ได้อย่างไรพวกเจ้าก็มาจากที่เดียวกับคุณชาย”“เอ่อ…คุณชายท่านนี้”“อ้อ ท่านผู้ตรวจการ ข้าเป็นองครักษ์ของซื่อจื่อ ท่านชายเว่ยแห่งหยางโจว”“อ้อ ที่แท้ก็คนของซื่อจื่อเหตุใดเจ้าไม่บอกข้าก่อนเล่าแม่นางเช่นนั้นก็….”“ไม่เป็นไรท่านผู้ตรวจการ พวกเราไม่รีบ”“คุณหนู”“คุณหนูไป๋”ไป๋ซูเม่ยหันไปยิ้มให้กับต้าหมินที่ก้มลงคำนับนาง “อย่าทำให้ท่านผู้ตรวจการลำบากใจกลับไปที่รถม้าได้แล้ว”“คุณหนูขอรับแต่ว่าท่านชายกับท่าน…”“ข้ามิได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับซื่อจื่อ ต้าหมินขอบคุณท่านมากที่หวังดีแต่ว่า….หากว่าข้าทำเช่นนี้แล้วชาวบ้านคนอื่น ที่ต้องรอเช่นข้าเล่า แล้วไหนจะเสียงวิจารณ์การทำงานของท่านผู้ตรวจการที่ยอมปล่อยให้พวกเราเข้าไปอีก อีกทั้งสายตาที่มองพวกเราอีก พวกเราเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา พวกท่านเชิญก่อนเถอะพวกเรารอที่นี่ได้”“คุณหนู….ข้าขอโทษเจ้าค่ะข้าไม่ทันคิดเรื่องนี้”“อาหยงเจ้ากลับไปที่รถม้า แล้วเลิกก่อความวุ่นวายได้แล้ว”“
เขาและนางยืนสบตากันครู่หนึ่ง แม้ว่าเขาจะแอบเห็นสายตาที่อ่อนโยนลงจากนางแต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นและก็กลับไปเป็นนิ่งเรียบและเย็นชาเช่นเดิม“เช่นนั้นขอบใจเจ้ามากสำหรับการดูแลข้าตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ขอให้เจ้า…โชคดี”“ท่านเองก็เช่นกัน ลาก่อน”เว่ยเฟิงหรงเดินลงจากเนินเขาที่ใช้ฝึกวิชาและมาลาอาหยงและเดินทางลงจากเขาลั่วซางทันทีโดยที่ไป๋ซูเม่ยมิได้ตามลงมาส่ง นางยังคงยืนอยู่ที่ลานฝึกและมองพวกเขาเดินลงจากเขาไปอย่างเงียบ ๆ“คุณชายเว่ย ท่านเป็นผู้ที่ไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับความแค้นนี้ ตัวข้ามิอาจไว้ใจผู้ใดได้เหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มาอีกต่อไปแล้ว”เว่ยเฟิงหรงหันหลังมามองนางที่ยืนนิ่งอยู่บนเชิงเขา นางเองก็ยังคงมองมาที่เขาเช่นกัน สองคนที่สบตากันแม้ว่าจะไกลแต่เขาคิดไม่ผิด เขาเห็นว่านางกำลังยิ้มให้เขาอยู่เป็นแน่ “หากว่ามีวาสนาคงได้พบกันอีกในวันข้างหน้า ถ้าได้พบเจ้าอีกครั้งข้าจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปเหมือนดังเช่นวันนี้เป็นแน่”“คุณชาย…”ต้าหมินเรียกเขาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าท่านชายเว่ยยังคงยืนอยู่ที่เดิมเขาจึงหันมาบอกต้าหมินก่อนจะเดินนำไปก่อน“รีบไปเถอะ”ระยะทางที่ไป๋ซูเม่ยเคยบอกต้าหมินเอาไว้ทำให้พวกเ
นางรู้สึกวาบหวิวทั้งที่ใบหูและใบหน้าที่เริ่มร้อนผ่าวขึ้นในทุก ๆ ช่วงเวลาที่เขาพูด“เคล้ง!!”ดาบในมือนางร่วงลงกับพื้นเมื่อเขาพูดจนจบ นางตกใจและรีบลืมตาขึ้นแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า เว่ยเฟิงหรงเดินกลับไปแล้วเมื่อเขาแอบหอมแก้มนางนางค่อย ๆ ใช้มือยกขึ้นมาลูบที่พวงแก้มของตนเองที่ถูกเขาฝังจมูกลงไปเมื่อครู่นี้ สัมผัสนี้แตกต่างกับตอนที่ถูกเสวียนอวี่จับเมื่อชาติที่แล้วมันทั้งวาบหวามและ….อบอุ่นอย่างน่าประหลาด“นี่ข้า…..เป็นอะไรไป”นางกำลังหวั่นไหวให้บุรุษอีกครั้งหนึ่งซึ่งนางได้เคยปฏิญาณตนเอาไว้แล้วว่าเกิดในชาตินี้นางจะไม่มีทางหวั่นไหวให้กับบุรุษอีก แต่ว่า…..เว่ยเฟิงหรงผู้นี้ช่างแตกต่างกับองค์ชายเสวียนอวี่ที่ทั้งบ้าคลั่งและก้าวร้าวผู้นั้นชาติก่อนของอิ่นหลง“ร้องดังกว่านี้สิอิ่นหลง เจ้าไม่มีความสุขงั้นหรือ”“อ๊าา องค์ชาย อย่ากัดเพคะ”“อ๊าา เสียวมากหรือไม่เหตุใดเจ้า…อาา อิ่นหลง”“องค์ชายเพคะ อ่อนโยนหน่อย”เสวียนอวี่ที่ดูดดึงยอดปทุมของนางจนช้ำคาปากและอีกข้างกำลังมีเลือดไหลออกมาจากการกัดของเขา ไหล่ของนางเต็มไปด้วยรอยฟันที่ถูกเขากัดเม้ม แรงกระแทกที่ราวกับโกรธผู้ใดมายังคงไม่ลดลง แม้ว่านางจะรู้สึกดี
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน”“เหตุใดเจ้าถึงเย็นชาเช่นนี้ แม้ว่าเจ้าจะชำนาญทั้งหมดนั่นและยังมีวิชาแพทย์ติดตัวแต่ก็น่าจะทำตัวเป็นมิตรมากกว่านี้หน่อยก็ได้กระมัง ข้าก็มิใช่ศัตรูของเจ้าเสียเมื่อไหร่กันจริงหรือไม่”เขามองไปที่มือของนางที่ถือเพียงกิ่งไม้ที่เอาไว้ใช้แทนดาบเท่านั้น เขามองไปยังใบหน้าที่หันหลบเขาไปอีกทางหนึ่งเพราะคำพูดนั้น ไป๋ซูเม่ยในยามนี้ไม่อาจไว้ใจผู้ใดได้เพราะในชาติที่แล้วของนางตอนที่ยังเป็นอิ่นหลงนางถูกคนที่นางรักจนแทบจะถวายชีวิตให้เขาได้...ทรยศนางอย่างเลือดเย็น“รับนี่ไปสิ”“ท่านหมายความว่าอย่างไร”นางมองไปยังมือที่ยื่นดาบมาให้ตรงหน้า ดาบที่มีตราสัญลักษณ์ของเขาและสกุลเว่ยอยู่“ดาบของข้า มอบให้เจ้า”“ข้าไม่ต้องการใช้ดาบของผู้อื่น”“เจ้าเข้าใจข้าผิด ข้ามอบให้เจ้าเพียงเพื่อฝึกในเวลานี้เท่านั้น แต่ข้าจะสั่งทำดาบให้เจ้าใหม่แต่ในเมื่อตอนนี้เจ้าใช้เจ้านั่น…แทนการใช้ดาบเจ้าไม่มีทางรู้ได้เลยว่าวิชาที่แท้จริงจะต้องกำหนดปราณและใช้แรงเท่าใด เจ้าลองดูก่อนก็ได้”สายตาที่แน่วนิ่งของเขาทำให้ไป๋ซูเม่ยรู้สึกว่าเขาแตกต่างกับเสวียนอวี่ เขาดูไม่มีพิษไม่มีภัยแต่เพราะนางก็คิดเช่นนี้กับองค์ชายเสว
พวกเขาเดินออกมาจากนั้นไม่นาน องครักษ์คนหนึ่งของบุรุษหนุ่มที่นางได้ช่วยเหลือเดินมาเชิญนางไปที่ห้อง“แม่นาง คุณชายขอเชิญท่านไปที่ห้องขอรับ”“อืม ได้สิ”“คุณหนูเจ้าคะ พวกเขา….”“ไม่มีอะไรพวกเขามิใช่ศัตรูหรอกไม่ต้องห่วง”“เจ้าค่ะ”ไป๋ซูเม่ยเดินตามองครักษ์หนุ่มไปทันที เมื่อเข้าไปในห้องที่เขานั่งอยู่และมีองครักษ์อีกคนที่คอยทำแผลให้เขาอยู่“แม่นาง คุณชายมีเรื่องจะคุยกับท่านขอรับ”“เขาพักอยู่ที่นี่ได้จนกว่าจะหาย พวกท่านไม่ต้องห่วงเขาหรอกเพียงแต่ช่วงที่พวกท่านมาพบเขาที่นี่อย่านำพาเรื่องเดือดร้อนมาให้พวกข้าก็พอแล้ว”“ท่านรู้!! ว่าพวกเรา…”“คุณชายของเจ้าบาดเจ็บเคลื่อนไหวยังไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงลงจากเขาเลย แม้แต่เดินลงจากเตียงก็ยังไม่มีแรงมากพอหรอก เจ้าคงไม่คิดว่าจะแบกเขาลงเขาไปได้หรอกกระมัง”“คุณหนู ท่านเข้าใจถูกต้องแล้วขอรับข้าน้อยจึงอยากขอร้องท่าน....”“ได้สิไม่มีปัญหา ข้าไม่ใจร้ายกับคนป่วยหรอก”“ส่วนเรื่องค่ารักษา…”“คุณหนูข้ามิได้เดือดร้อนเรื่องเงิน นางเป็นถึงบุตรสาวของหมอหลวงไป๋เหลียน ไม่ได้ต้องการเงินมากขนาดนั้นพวกท่านทำตามที่นางพูดก็พอ”“อาหยง…”บุรุษหนุ่มมองหน้านางในทันทีเมื่อทราบว่านางคื
อาหยงเมื่อรู้ว่ามิใช่สัตว์ร้ายก็กล้าที่จะวิ่งเข้าไปหาคุณหนูตามคำสั่ง พวกนางพบว่าเป็นเพียงบุรุษหนุ่มคนหนึ่งที่ราวกับวิ่งหนีจากการถูกตามล่ามาร่างกายบาดเจ็บสะบักสะบอมจนแทบจะจำหน้าเดิมไม่ได้ ผมเผ้ารุงรังแต่หากดูจากการแต่งตัวและเครื่องประดับ มองดูก็พอจะรู้ว่าฐานะเขาคงไม่ธรรมดา“เหตุใดคนผู้นี้….ว๊าย!! คุณหนูเขาจะทำร้ายท่าน”ร่างหนาล้มลงที่อกไป๋ซูเม่ยทันทีเมื่อนางดึงปลายลูกธนูออกมาจากอกของเขา “เขาไม่มีแรงทำร้ายผู้ใดหรอก ดูท่าคงจะพยายามดึงลูกธนูนี้ออกด้วยตัวเองแต่คงหมดแรงเสียก่อน เจ้ามานี่มาช่วยข้าพาเขากลับไปที่กระท่อม”“คุณหนู…แต่ว่า…”“เร็วเข้าช่วยคนสำคัญกว่า”“เจ้าค่ะ”พวกนางพาเขากลับไปอย่างลำบากด้วยเพราะบุรุษผู้นี้ทั้งตัวใหญ่และชุดที่สวมก็ดูมีราคาที่แพง เมื่อมาถึงกระท่อมแล้วไป๋ซูเม่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหาชุดเปลี่ยนให้เขา นางจึงให้อาหยงลงเขาไปซื้อชุดบุรุษมาเปลี่ยนให้ ระหว่างนี้นางก็พยายามทำแผลให้เขา เช็ดตัวและห่มผ้าเอาไว้“ผ่านมาสองวันแล้วยังไม่ฟื้น คุณหนูเราคงจะไม่เสียเงินซื้อของไปเปล่า ๆ หรอกกระมังเจ้าคะ”“ไม่หรอก ลมหายใจเขานิ่งและคงที่ เป็นคนมีวิชายุทธ์สูง คงแค่พลาดท่าเท่านั้น ไม่
ไป๋ซูเม่ยเดินออกมาจากกระท่อม สายลมแผ่วเบาที่พัดมายังร่างของสตรีที่นางพึ่งจะมาสวมร่างของนางให้ความรู้สึกราวกับไม่ใช่ตัวเอง เมื่อเดินไปถึงขอบเนินเขาและเริ่มหลับตาลง ค่อย ๆ กำหนดลมหายใจและเรียกพลังปราณออกมาและปล่อยออกมา“เฮ้อ…คงต้องเร่งฟื้นฟูสินะ ร่างนี้แม้ว่าจะมีความรู้มากมายเกี่ยวกับยาแต่ไร้ซึ่งวรยุทธ์ ยังไม่ต้องนับไปถึงการแก้แค้นเลย แค่เดินทางไปเมืองหลวงก็คงเกือบตายแล้ว”ไป๋ซูเม่ยเริ่มนั่งกำหนดลมปราณและฝึกวิชาทบทวนวรยุทธ์อยู่ราว ๆ เกือบสองชั่วยามจนเริ่มปรับสภาพร่างกายเข้ากับร่างใหม่ได้มากขึ้น นางสามารถระเบิดหินที่อยู่ใกล้ ๆ ได้และเริ่มใช้กิ่งไม้มาฝึกวิชาดาบจนสำเร็จกระบวนท่าไม้ตายที่นางเคยฝึกมาก่อน“ตูม!!!”ก้อนหินตรงหน้าและกิ่งไผ่ที่ถูกตัดขาดด้วยกิ่งไม้ในมือนางหลังจากที่นางใช้วิชาขั้นสุดท้ายกระเด็นไปทุกทิศทุกทาง “พลังปราณและวิชายุทธ์ข้ากลับคืนมาหมดแล้ว แต่ก็ยังเหนื่อยง่ายอยู่ สตรีผู้นี้อ่อนแอถึงเพียงนี้เชียวหรือเหตุใดจึงได้เหนื่อยง่ายถึงเพียงนี้กันนะ”นางเดินกลับไปยังลำธารใกล้ ๆ เมื่อก้มหน้าลงไปส่องดูเงาที่สะท้อนในน้ำจึงได้เห็นชัด ๆ ใบหน้าของไป๋ซูเม่ยงดงามไม่มีที่ติ แต่ทว่า….“แผลเป็
“หากข้ามีโอกาสหวนคืนอีกครั้ง ข้าจะไม่มีวันให้อภัยท่าน!!”เขาลั่วซาง นอกเมืองหยางโจว“เฮือก….แคก แคก….ที่นี่….คือที่ใด”“คุณหนู!! ท่านอยู่ที่นี่เองหรือเจ้าคะ ตายจริง!! ท่านถูกงูกัดหรือเจ้าคะ”“งูกัด? คุณหนูงั้นหรือ เจ้าเป็นผู้ใดกัน”“คุณหนูเจ้าคะ นี่ข้าเองอาหยงอย่างไรเจ้าคะ คุณหนูท่านช่างใจแข็งนัก แม้ว่าท่านจะมีปากเสียงกับนายท่านแต่ก็ไม่ควรใจร้อนหนีมาอยู่ในป่านี้เพียงลำพังนะเจ้าคะ ข้าแอบหนีตามท่านออกมาเจ้าค่ะ นึกไม่ถึงว่าท่านจะมีสภาพเป็นเช่นนี้ นี่พึ่งจะสิบวันเองที่ท่าน….”“โอ๊ย!! อย่าพึ่งพูด พยุงข้าก่อนแล้วค่อย ๆ เล่า”“ไป๋ซูเม่ย” รู้สึกว่าขานางได้รับบาดเจ็บแต่ในตอนนี้เริ่มดีขึ้นมาแล้ว แม้ว่าจะยังจับต้นสายปลายเหตุไม่ได้ แต่ดูจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในยามนี้ …..นางทำสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้“อิ่นหลง ยอมแพ้เสียเถอะเจ้าไม่มีทางรอดแล้ว”“พวกเจ้าเคยเป็นคนของข้า!!….เหตุใด…..”“ขออภัย เงินผู้ใดให้มาข้าก็รับใช้คนผู้นั้น “อิ่นหลง” ต้องโทษที่เจ้ารักคนที่ไม่ควรรักจึงทำให้เกิดเรื่อง หากว่าเจ้ายังอยู่ องค์ชายสี่ไม่มีทางมีความสุข”“แต่ข้า!! ข้าเป็นคนช่วยชีวิตเขา เป็นองครักษ์ข้างกายที่ซื่อสัตย์ของเขามาโด