พวกเขาเดินออกมาจากนั้นไม่นาน องครักษ์คนหนึ่งของบุรุษหนุ่มที่นางได้ช่วยเหลือเดินมาเชิญนางไปที่ห้อง
“แม่นาง คุณชายขอเชิญท่านไปที่ห้องขอรับ”
“อืม ได้สิ”
“คุณหนูเจ้าคะ พวกเขา….”
“ไม่มีอะไรพวกเขามิใช่ศัตรูหรอกไม่ต้องห่วง”
“เจ้าค่ะ”
ไป๋ซูเม่ยเดินตามองครักษ์หนุ่มไปทันที เมื่อเข้าไปในห้องที่เขานั่งอยู่และมีองครักษ์อีกคนที่คอยทำแผลให้เขาอยู่
“แม่นาง คุณชายมีเรื่องจะคุยกับท่านขอรับ”
“เขาพักอยู่ที่นี่ได้จนกว่าจะหาย พวกท่านไม่ต้องห่วงเขาหรอกเพียงแต่ช่วงที่พวกท่านมาพบเขาที่นี่อย่านำพาเรื่องเดือดร้อนมาให้พวกข้าก็พอแล้ว”
“ท่านรู้!! ว่าพวกเรา…”
“คุณชายของเจ้าบาดเจ็บเคลื่อนไหวยังไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงลงจากเขาเลย แม้แต่เดินลงจากเตียงก็ยังไม่มีแรงมากพอหรอก เจ้าคงไม่คิดว่าจะแบกเขาลงเขาไปได้หรอกกระมัง”
“คุณหนู ท่านเข้าใจถูกต้องแล้วขอรับข้าน้อยจึงอยากขอร้องท่าน....”
“ได้สิไม่มีปัญหา ข้าไม่ใจร้ายกับคนป่วยหรอก”
“ส่วนเรื่องค่ารักษา…”
“คุณหนูข้ามิได้เดือดร้อนเรื่องเงิน นางเป็นถึงบุตรสาวของหมอหลวงไป๋เหลียน ไม่ได้ต้องการเงินมากขนาดนั้นพวกท่านทำตามที่นางพูดก็พอ”
“อาหยง…”
บุรุษหนุ่มมองหน้านางในทันทีเมื่อทราบว่านางคือผู้ใด เดิมทีคิดเอาไว้ว่านางต้องมิใช่คนธรรมดาอยู่แล้วเพราะท่าทางและความชำนาญเช่นนี้แม้จะบอกว่าเป็นท่านหมอเทวดาเขาก็คงเชื่อ แต่สตรีที่เก่งกาจและสามารถอยู่เพียงลำพังในป่ากับสาวใช้เพียงสองคนจะมีสักกี่คนที่ทำได้
“ที่แท้ก็คุณหนูไป๋บุตรีท่านหมอไป๋นี่เอง ล่วงเกินเจ้าแล้ว”
“ช่างเถอะ ข้ามิได้พูดในฐานะนั้นกับท่าน ข้าพูดในฐานะหมอที่รักษาคนหากว่าท่านหายแล้วพวกเราต่างคนก็ต่างไป”
“ขอบคุณ ข้าจะอยู่กับคุณชายที่นี่…”
“ไม่ต้อง…”
“ดีเลยเจ้าอยู่ก็ช่วยได้มาก อย่างน้อยช่วงนี้ที่คุณชายพวกเจ้ายังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เจ้าก็ดูแลไปก็แล้วกันข้าจะให้อาหยงนำยามาให้ตามเวลา หากว่ามีอาการอื่นที่มากกว่านี้ก็เรียกข้าได้ ส่วนเจ้าหากว่าจะลงเขาให้เดินลัดออกไปอีกทาง ข้าจะให้อาหยงเดินไปส่งเจ้า เส้นทางนั้นจะถึงในเมืองเร็วกว่าและจะไม่มีผู้ใดพบเห็นเจ้าแน่นอน”
“ขอบคุณคุณหนูไป๋ขอรับ”
“อืม อาหยงรีบพาเขาไป”
“เจ้าค่ะ”
พวกเขาเดินออกไปหมดแล้วเหลือเพียงนางและบุรุษหนุ่มตรงหน้า ไป๋ซูเม่ยมองเห็นชามข้าวที่เขากินจนหมดนางจึงเก็บของใส่ถาด
“เช่นนั้น…ก่อนหน้านี้ผู้ที่เปลี่ยนชุดให้ข้า…”
“ใช่ ข้าเป็นคนเปลี่ยนให้ท่านเอง มีอะไรงั้นหรือ”
“ข้า…เจ้า….แคก ๆ เอ่อ…”
“หึ หากท่านอายตอนนี้คิดว่าไม่ทันแล้วกระมัง ส่วนหากว่าท่านจะถามข้า ข้าก็จะตอบว่าข้าเป็นหมอ หน้าที่รักษาท่านให้หายเป็นสิ่งที่ข้าต้องทำเช่นกัน”
“เช่นนั้น….ก็ต้องขอบคุณเจ้าแล้ว”
“ข้าจะไปยกยามาให้ท่านรอสักครู่”
“แม่นางไป๋”
“มีสิ่งใดอีกงั้นหรือ….องค์ซื่อจื่อ”
“เจ้า…ได้ยินงั้นหรือ”
“แม้ว่าจะไม่อยากได้ยินแต่กระท่อมไม้แห่งนี้มิใช่ที่ที่ควรจะพูดคุยเรื่องลับ ๆ นักหรอกท่านว่าหรือไม่ อย่าห่วงเลยไม่ว่าท่านจะเป็นผู้ใดต่อให้เป็นองค์ชายข้าก็มิได้สนใจ”
“ข้า…ไม่ได้คิดจะโกหกเจ้า”
“ข้าเข้าใจ หากเป็นข้า…จนจากกันไปแล้วข้าก็ไม่คิดจะพูดหรอก เอาล่ะข้าจะยกชามไปเก็บท่านก็นอนพักดี ๆ ไปก่อนก็แล้วกัน”
นางเดินถือถาดอาหารออกไปแล้วเขาจึงนึกขำกับท่าทางนั้นของนาง แม้ว่าเขาจะไม่เคยพบเห็นบุตรของท่านหมอหลวงมาก่อนแต่คำร่ำลือต่าง ๆ เกี่ยวกับนางทั้งด้านความชำนาญศาสตร์ทั้งสี่ ความรู้ทางการแพทย์และยังรูปโฉมที่งดงามล่มบ้านล่มเมืองนั่นเมื่อเห็นเช่นนี้แล้วเขาพบว่าที่รำลือกันนั่น ยังน้อยกว่านั้นมากนัก
“เย็นชาชะมัด หึ”
เขาเคยนึกดูแคลนสตรีเช่นนางมาก่อนเพราะเขาเป็นองค์ซื่อจื่อ เป็นทายาทเพียงคนเดียวของท่านอ๋องแห่ง หยางโจวที่จะขึ้นสืบทอดอำนาจและปกครองเมืองหยางโจว
เขาเป็นรองเพียงเหล่าองค์ชายไม่กี่พระองค์เท่านั้น และแน่นอนว่าหลาย ๆ พระองค์ก็เป็นคู่อริเก่ากับเขาและไม่อยากให้เขามีชีวิตอยู่เพื่อแย่งอำนาจในเมืองหลวง
“ท่านดื่มยานี้แล้วจะรู้สึกง่วงแต่ยานี้จะช่วยฟื้นฟูภายในได้ดีกว่า ท่านมีวิชายุทธ์พลังปราณของท่านจะฟื้นตัวเร็วขึ้นหากมีแรงก็…”
“คุณชาย…”
ต้าหมินเดินเข้ามาพอดีที่เขากำลังฟังนางพูด เมื่อเห็นว่าองครักษ์ของเขาเข้ามาแล้วนางจึงหันไปมองและหยุดพูดทันที
“เช่นนั้นพวกท่านก็พักผ่อนเถอะ ข้าจะให้อาหยงนำเครื่องนอนมาเพิ่มให้ข้าขอตัวก่อน”
แม้ว่าอยากจะคุยต่ออีกสักหน่อยแต่นางก็เดินออกไปแล้ว “เว่ยเฟิงหรง” ซื่อจื่อหนุ่มหันมามองค้อนให้กับองครักษ์อย่างเสียมิได้
“คุณชาย เหตุใดท่านมองข้าเช่นนั้นขอรับ”
“เจ้ามันไม่รู้ความจริง ๆ”
“ข้าน้อย…ทำสิ่งใดผิดหรือขอรับ”
“ช่างเถอะ ให้คนตามสืบหรือยังว่าเป็นฝีมือผู้ใดกันแน่ ข้าเพียงแค่ก้าวขาออกจากหยางโจวก็ถูกลอบทำร้ายที่ชายแดนจนระเห็จมาถึงที่นี่ หากไม่ได้นางช่วยไว้ละก็ข้าคงเป็นอาหารของเสือไปแล้ว”
“เรื่องนี้มีผู้ต้องสงสัยอยู่เพียงสองคนขอรับ องค์ชายสี่เสวียนอวี่และองค์ชายหกเสวียนฟง”
“หึ พระโอรสของฮองเฮาดูเหมือนว่าจะเกรงกลัวข้าที่เป็นเพียงพระนัดดา (หลานชาย) ของฝ่าบาทมากกว่าเหล่าองค์ชายที่อยู่ใกล้ตัวพวกเขาเสียอีก”
“มีผู้ใดไม่ทราบบ้างว่าคุณชายเป็นขุนศึกที่มีความสามารถและเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าส่งข่าวไปในวังหลวงให้หานลั่วหรือยัง”
“ส่งไปแล้วขอรับ องค์ชายสามก็ส่งจดหมายกลับมาแล้วว่าหากว่าพบตัวท่านแล้วให้ซ่อนตัวก่อน หากพวกเขาไม่พบท่านพวกนั้นคงไม่มีทางหยุดแน่”
“เราอยู่ที่นี่ได้อีกไม่นานแล้ว มิเช่นนั้นพวกนางจะเดือดร้อนไปด้วย”
“คุณชาย ท่านเป็นห่วงคุณหนูไป๋หรือขอรับ”
“ว่าแต่ว่า เหตุใดบุตรสาวของท่านหมอไป๋ถึงมาปลีกวิเวกอยู่ที่นี่คนเดียวเล่า นางมิได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสตรีอันดับหนึ่งของเมืองหยางโจวในตอนนี้หรอกหรือ”
“ใช่ขอรับ แต่เห็นว่านางทะเลาะกับท่านหมอเรื่อง…เอ่อ ที่ท่านอ๋องประทานอนุไปให้และบุตรสาวของอนุผู้นั้นทำให้นางเสียโฉม”
“เสียโฉมงั้นหรือ ข้าไม่เห็นว่านางจะมีรอยแผลใด ๆ เลยนี่ เจ้าเองก็เห็นรูปโฉมที่งดงามนั่นมิใช่หรือ”
“คุณชายท่านลืมไปหรือไม่ว่านางเป็นหมอนะขอรับ”
“อ่อ…นั่นสินะ”
ห้าวันถัดมา
เว่ยเฟิงหรงพักฟื้นจนหายดีแล้ว ตอนนี้เขาเริ่มกลับมาฝึกวิชาดาบแล้ว ช่วงเวลาที่พักอยู่ที่นี่เขาพบกับไป๋ซูเม่ยเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น นางจะแวะมาตรวจเขาเพียงแค่สองวันหนึ่งครั้งและหากไม่มีอาการอื่น ๆ เขาก็แทบจะไม่เห็นนางเลย
จนเมื่อกลางดึกคืนนี้ที่เขาเดินออกมารับลมด้านนอกและเดินไปยังเชิงเขาใกล้ ๆ เพราะได้ยินเสียงต้นไม้ไหวและบางอย่างระเบิด เขาจึงเดินเข้าไปอย่างใคร่รู้และพบกับนางอยู่ที่นั่น
“นอกจากวิชาแพทย์ที่ยอดเยี่ยมแล้ว วรยุทธ์นางร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวงั้นหรือ”
ราวกับนางได้ยินเพราะไม่นานลมและกิ่งไผ่ตรงหน้าก็ถูกนางพัดและโจมตีเขา เว่ยเฟิงหรงม้วนตัวเพื่อหลบกิ่งไม้นั้นและไปยืนตรงหน้านาง ไป๋ซูเม่ยถอยหลังและตั้งท่าเพื่อต่อสู้แต่เมื่อนางเห็นว่าเป็นเขาจึงได้หยุด
“ท่านมาทำอะไรที่นี่”
“ข้าเคยได้ยินมาว่าเจ้ามีความชำนาญด้านศาสตร์ทั้งสี่ กลอนหมากอักษรและวาดภาพแต่นึกไม่ถึงว่าจะมีวรยุทธ์ที่เก่งกาจด้วย”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน”“เหตุใดเจ้าถึงเย็นชาเช่นนี้ แม้ว่าเจ้าจะชำนาญทั้งหมดนั่นและยังมีวิชาแพทย์ติดตัวแต่ก็น่าจะทำตัวเป็นมิตรมากกว่านี้หน่อยก็ได้กระมัง ข้าก็มิใช่ศัตรูของเจ้าเสียเมื่อไหร่กันจริงหรือไม่”เขามองไปที่มือของนางที่ถือเพียงกิ่งไม้ที่เอาไว้ใช้แทนดาบเท่านั้น เขามองไปยังใบหน้าที่หันหลบเขาไปอีกทางหนึ่งเพราะคำพูดนั้น ไป๋ซูเม่ยในยามนี้ไม่อาจไว้ใจผู้ใดได้เพราะในชาติที่แล้วของนางตอนที่ยังเป็นอิ่นหลงนางถูกคนที่นางรักจนแทบจะถวายชีวิตให้เขาได้...ทรยศนางอย่างเลือดเย็น“รับนี่ไปสิ”“ท่านหมายความว่าอย่างไร”นางมองไปยังมือที่ยื่นดาบมาให้ตรงหน้า ดาบที่มีตราสัญลักษณ์ของเขาและสกุลเว่ยอยู่“ดาบของข้า มอบให้เจ้า”“ข้าไม่ต้องการใช้ดาบของผู้อื่น”“เจ้าเข้าใจข้าผิด ข้ามอบให้เจ้าเพียงเพื่อฝึกในเวลานี้เท่านั้น แต่ข้าจะสั่งทำดาบให้เจ้าใหม่แต่ในเมื่อตอนนี้เจ้าใช้เจ้านั่น…แทนการใช้ดาบเจ้าไม่มีทางรู้ได้เลยว่าวิชาที่แท้จริงจะต้องกำหนดปราณและใช้แรงเท่าใด เจ้าลองดูก่อนก็ได้”สายตาที่แน่วนิ่งของเขาทำให้ไป๋ซูเม่ยรู้สึกว่าเขาแตกต่างกับเสวียนอวี่ เขาดูไม่มีพิษไม่มีภัยแต่เพราะนางก็คิดเช่นนี้กับองค์ชายเสว
นางรู้สึกวาบหวิวทั้งที่ใบหูและใบหน้าที่เริ่มร้อนผ่าวขึ้นในทุก ๆ ช่วงเวลาที่เขาพูด“เคล้ง!!”ดาบในมือนางร่วงลงกับพื้นเมื่อเขาพูดจนจบ นางตกใจและรีบลืมตาขึ้นแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า เว่ยเฟิงหรงเดินกลับไปแล้วเมื่อเขาแอบหอมแก้มนางนางค่อย ๆ ใช้มือยกขึ้นมาลูบที่พวงแก้มของตนเองที่ถูกเขาฝังจมูกลงไปเมื่อครู่นี้ สัมผัสนี้แตกต่างกับตอนที่ถูกเสวียนอวี่จับเมื่อชาติที่แล้วมันทั้งวาบหวามและ….อบอุ่นอย่างน่าประหลาด“นี่ข้า…..เป็นอะไรไป”นางกำลังหวั่นไหวให้บุรุษอีกครั้งหนึ่งซึ่งนางได้เคยปฏิญาณตนเอาไว้แล้วว่าเกิดในชาตินี้นางจะไม่มีทางหวั่นไหวให้กับบุรุษอีก แต่ว่า…..เว่ยเฟิงหรงผู้นี้ช่างแตกต่างกับองค์ชายเสวียนอวี่ที่ทั้งบ้าคลั่งและก้าวร้าวผู้นั้นชาติก่อนของอิ่นหลง“ร้องดังกว่านี้สิอิ่นหลง เจ้าไม่มีความสุขงั้นหรือ”“อ๊าา องค์ชาย อย่ากัดเพคะ”“อ๊าา เสียวมากหรือไม่เหตุใดเจ้า…อาา อิ่นหลง”“องค์ชายเพคะ อ่อนโยนหน่อย”เสวียนอวี่ที่ดูดดึงยอดปทุมของนางจนช้ำคาปากและอีกข้างกำลังมีเลือดไหลออกมาจากการกัดของเขา ไหล่ของนางเต็มไปด้วยรอยฟันที่ถูกเขากัดเม้ม แรงกระแทกที่ราวกับโกรธผู้ใดมายังคงไม่ลดลง แม้ว่านางจะรู้สึกดี
เขาและนางยืนสบตากันครู่หนึ่ง แม้ว่าเขาจะแอบเห็นสายตาที่อ่อนโยนลงจากนางแต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นและก็กลับไปเป็นนิ่งเรียบและเย็นชาเช่นเดิม“เช่นนั้นขอบใจเจ้ามากสำหรับการดูแลข้าตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ขอให้เจ้า…โชคดี”“ท่านเองก็เช่นกัน ลาก่อน”เว่ยเฟิงหรงเดินลงจากเนินเขาที่ใช้ฝึกวิชาและมาลาอาหยงและเดินทางลงจากเขาลั่วซางทันทีโดยที่ไป๋ซูเม่ยมิได้ตามลงมาส่ง นางยังคงยืนอยู่ที่ลานฝึกและมองพวกเขาเดินลงจากเขาไปอย่างเงียบ ๆ“คุณชายเว่ย ท่านเป็นผู้ที่ไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับความแค้นนี้ ตัวข้ามิอาจไว้ใจผู้ใดได้เหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มาอีกต่อไปแล้ว”เว่ยเฟิงหรงหันหลังมามองนางที่ยืนนิ่งอยู่บนเชิงเขา นางเองก็ยังคงมองมาที่เขาเช่นกัน สองคนที่สบตากันแม้ว่าจะไกลแต่เขาคิดไม่ผิด เขาเห็นว่านางกำลังยิ้มให้เขาอยู่เป็นแน่ “หากว่ามีวาสนาคงได้พบกันอีกในวันข้างหน้า ถ้าได้พบเจ้าอีกครั้งข้าจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปเหมือนดังเช่นวันนี้เป็นแน่”“คุณชาย…”ต้าหมินเรียกเขาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าท่านชายเว่ยยังคงยืนอยู่ที่เดิมเขาจึงหันมาบอกต้าหมินก่อนจะเดินนำไปก่อน“รีบไปเถอะ”ระยะทางที่ไป๋ซูเม่ยเคยบอกต้าหมินเอาไว้ทำให้พวกเ
ต้าหมินที่รอตรวจป้ายเพื่อจะเข้าเมืองหลวงเห็นนางเข้าก่อนเพราะเขาจำเสียงของนางได้จึงเดินลงมาจากรถม้าและมาทักทายนาง เมื่ออาหยงเห็นเขาก็นึกดีใจ “แล้วรถม้าของพวกเจ้าอยู่ที่ใดล่ะ ไปกับคุณชายก็ได้อย่างไรพวกเจ้าก็มาจากที่เดียวกับคุณชาย”“เอ่อ…คุณชายท่านนี้”“อ้อ ท่านผู้ตรวจการ ข้าเป็นองครักษ์ของซื่อจื่อ ท่านชายเว่ยแห่งหยางโจว”“อ้อ ที่แท้ก็คนของซื่อจื่อเหตุใดเจ้าไม่บอกข้าก่อนเล่าแม่นางเช่นนั้นก็….”“ไม่เป็นไรท่านผู้ตรวจการ พวกเราไม่รีบ”“คุณหนู”“คุณหนูไป๋”ไป๋ซูเม่ยหันไปยิ้มให้กับต้าหมินที่ก้มลงคำนับนาง “อย่าทำให้ท่านผู้ตรวจการลำบากใจกลับไปที่รถม้าได้แล้ว”“คุณหนูขอรับแต่ว่าท่านชายกับท่าน…”“ข้ามิได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับซื่อจื่อ ต้าหมินขอบคุณท่านมากที่หวังดีแต่ว่า….หากว่าข้าทำเช่นนี้แล้วชาวบ้านคนอื่น ที่ต้องรอเช่นข้าเล่า แล้วไหนจะเสียงวิจารณ์การทำงานของท่านผู้ตรวจการที่ยอมปล่อยให้พวกเราเข้าไปอีก อีกทั้งสายตาที่มองพวกเราอีก พวกเราเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา พวกท่านเชิญก่อนเถอะพวกเรารอที่นี่ได้”“คุณหนู….ข้าขอโทษเจ้าค่ะข้าไม่ทันคิดเรื่องนี้”“อาหยงเจ้ากลับไปที่รถม้า แล้วเลิกก่อความวุ่นวายได้แล้ว”“
“เข้าใจผิดงั้นหรือ เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“ช่างเถอะ ๆ บางทีข้าอาจจะคิดมากไปก็ได้ เอาล่ะ ข้ายินดีต้อนรับท่านหากว่าท่านจะแวะเวียนไปเยี่ยมที่จวน”“จริงหรือ เจ้าไม่ไล่ข้าแล้วใช่หรือไม่”ซูเม่ยหันไปมองรอยยิ้มของคนข้าง ๆ ก็นึกสบายใจเมื่อได้พูดคุยกับเขาได้อีกครั้งโดยที่ไร้ความกดดันใด ๆ อาจจะเป็นนางที่คิดมากและกลัวเกินไปกับประสบการณ์ที่เจอกับเสวียนอวี่โดยลืมนึกไปว่าเขามิใช่เสวียนอวี่แต่เป็นบุรุษหนุ่มที่พยายามจะเป็นเพียงคนธรรมดาหนึ่งคนเท่านั้น“งั้นหรือ ข้าก็ผ่านมาทางนั้นเช่นกันทำไมถึงไม่พบเจ้า แต่ก็มาถึงเกือบพร้อม ๆ กันกับเจ้า ช่างน่าแปลกยิ่งนัก”“ท่านคงตามมาห่าง ๆ ก็เลยไม่ทันได้สังเกต”“คุณชายเจ้าคะ”ลู่หลินเดินมาอีกครั้ง ซูเม่ยลอบยิ้มอย่างรู้ทันนางจึงหันไปมองเว่ยเฟิงหรง นางมีประสบการณ์เรื่องเช่นนี้มาก่อนจึงเข้าใจความรู้สึกของลู่หลินได้ดี“คุณชายเว่ยเอาไว้พบกันใหม่ข้าขอตัวก่อน”“เอ่อ…ซูเม่ย ไปดื่มชาด้วยกันเถอะข้ายังคุยกับเจ้าไม่จบเลย มาเถอะมาเล่าต่อว่าหลังจากนั้นเจ้า….”“คุณ…ชาย…เอ่อ…”ลู่หลินเห็นเว่ยเฟิงหรงดึงแขนของซูเม่ยเดินไปที่รถม้าก็เริ่มโกรธและไม่พอใจมากขึ้นจนเดินหนีพวกเขาไปอีกทาง
วันรุ่งขึ้นขบวนรถม้าทยอยเดินทางเข้าเมืองหลวงหลังจากที่ประตูเมืองเปิด ไป๋ซูเม่ยแยกกับเว่ยเฟิงหรงที่ตรอกด้านในเพื่อจะไปยังจวนของตนเองส่วนเขาต้องเข้าไปที่จวนของท่านอ๋องในตัวเมืองชั้นในที่อยู่ใกล้กับวังหลวง “เย็นนี้หากว่าข้าเสร็จธุระเร็วข้าจะแวะไปเยี่ยมเจ้านะ”“เจ้าค่ะ”“คุณชาย เราต้องรีบไปกันแล้วเจ้าค่ะ”เสียงของสาวใช้ของเขาดังออกมาจากในรถม้า แม้ว่านางจะนั่งรถม้าคนละคันกับเขาแต่ความเจ้ากี้เจ้าการยังคงไม่ลดละจนไป๋ซูเม่ยนึกขำกับท่าทางนี้“ท่านรีบไปเถอะเจ้าค่ะ ข้าเองก็ต้องรีบไปที่จวนท่านหมอเช่นกัน”“ไว้พบกันใหม่นะซูเม่ย”“ไว้พบกันใหม่เจ้าค่ะ”จวนรับรองสำนักหมอหลวง“โอ้โหคุณหนูเจ้าคะจวนนี้กว้างมากเลยเจ้าค่ะ นึกไม่ถึงว่าตำแหน่งของนายท่านจะมีจวนในเมืองหลวงที่หรูหราขนาดนี้”“เจ้าคงเอาไปเปรียบกับกระท่อมไม้ที่เราอยู่มาก่อนสินะถึงได้บอกว่าที่นี่หรูหราและกว้างขวาง แต่ก็จริงอย่างเจ้าพูด มันดูหรูหราและน่าจะพักได้สบายจริง ๆ”ไป๋ซูเม่ยมองไปรอบ ๆ จวนนี้นับว่าเพียงพอสำหรับพวกนาง เป็นจวนหลวงสำหรับขุนนางชั้นสูงระดับท่านหมอหลวงขึ้นมาเอาไว้พักเมื่อเดินทางมาเมืองหลวง “รีบเก็บของเถอะเดี๋ยวเราออกไปเดินเล่นกั
อาหยงเดินหลบไปตามคำสั่ง ไป๋ซูเม่ยแสร้งทำเป็นเดินไปใกล้ ๆ พวกมันและทำบางอย่าง นางแอบหยิบเมล็ดถั่วจากถาดของชาวบ้านที่วิ่งผ่านไปในมาเก็บไว้กำมือหนึ่งและเริ่มจัดการพวกมันทันที“ฟิ้ว….ฟิ้ว…ฟิ้ว ๆๆ”“อ๊ากกก!!! ลูกพี่ หูข้า!!…”“อ๊าก!! ตะ…ตาของข้า ผู้ใดกัน!!”พลังปราณผสมกับความแค้นของไป๋ซูเม่ยถูกรวมไปกับแรงที่พุ่งไปที่รูหูและลูกตาของพวกเหล่าอันธพาลของเสวียนอวี่ พวกมันถูกถั่วของนางโจมตีจนแก้วหูทะลุและเริ่มมีเลือดไหลออกมาหลายคนโดนไปที่ตา เลือดที่พุ่งออกมาจากดวงตานั้นทำให้รู้ว่าตาพวกมันบอดในทันที จางอู่ถึงกับตกใจและคาดไม่ถึง เพียงแค่พริบตาเดียวคนของเขาก็ถูกทำร้ายจนหมดเหลือเพียงเขาคนเดียวยืนอยู่กลางถนน“ผู้ใดกัน ช่างกล้าเหิมเกริมต่อต้านข้างั้นหรือ เผยตัวออกมา!!”ไป๋ซูเม่ยเพียงแค่เดินกลับมาที่อาหยงอยู่และสลัดถั่วที่เหลือในมือไปทางจางอู่ เสื้อผ้าของเขาก็ฉีกขาดจนถูกถอดออกจนหมดเป็นที่น่าอับอายต่อหน้าชาวเมืองหลวงอีกทั้งดวงตาทั้งสองก็ถูกถั่วที่เหลือพุ่งเข้าไปอย่างตรงเป้าหมายจางอู่ล้มเสียงดังสนั่นท่ามกลางความสะใจของชาวบ้านโดยรอบที่ไม่มีผู้ใดสนใจจะช่วยพวกมันเลยสักคนอีกทั้งยังพากันโยนข้าวของและดึงเอาเง
ไป๋ซูเม่ยยิ้มให้เขาและนึกขำกับท่าทีนี้ เขาไม่เก่งเอาเสียเลยเรื่องเล่ห์เหลี่ยมในการเข้าหาสตรี แต่ท่าทีตรงไปตรงมาเช่นนี้กลับทำให้นางชื่นชมยิ่งนักเพราะดูไม่มีเล่ห์เหลี่ยมและไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์แอบแฝง“ดูแลท่านมาเกือบหนึ่งเดือน เลี้ยงอีกสักมื้อข้าคงไม่จนลงหรอกเจ้าค่ะ อยู่กินด้วยกันหลาย ๆ คนก็สนุกดีเช่นกัน”นานแล้วที่นางมิได้กินอาหารร่วมกับคนอื่นด้วยสีหน้าที่มีความสุขเช่นนี้ แม้ว่าจะมีเพียงแค่เว่ยเฟิงหรงเพียงคนเดียวที่นั่งกินข้าวกับนางแต่ก็มีเรื่องเล่ามากมายที่นางไม่เคยรู้มาก่อน เขาเป็นผู้ที่เล่าเรื่องได้น่าสนใจมากทีเดียว“อาหารอร่อยมากเลยอาหยง เจ้าน่าจะเปิดร้านได้เลยนะ”“ขอบคุณที่ชมเจ้าค่ะคุณชายเว่ย คุณหนูเองก็เคยพูดเช่นนั้นเหมือนกันพอได้ยินพวกท่านชมบ่อย ๆ ข้าเองก็เริ่มคิดแล้วนะเจ้าคะ”พวกเขาเดินมาส่งเว่ยเฟิงหรงจึงได้เดินคุยกันมาจนถึงหน้ารถม้า“จริงสิพรุ่งนี้เช้าข้าจะมารับเจ้านะ”“ได้เจ้าค่ะ ท่านรีบกลับเถอะดึกแล้วออกไปต้องระวังด้วย”“อืม เข้าใจแล้วเจ้าก็ด้วย”เมื่อส่งเว่ยเฟิงหรงกลับจวนแล้วพวกนางก็กลับเข้าไปพักผ่อน ในจวนนี้แม้ว่าจะอยู่ในตัวเมืองหลวงแต่บรรยากาศเมื่อถึงกลางคืนก็เงียบสงบไม
“อ๊าา!! อ๊าา….ท่านพี่ ข้าบอกท่านไปแล้วว่าอย่าหักโหมอย่างไรเจ้าคะ อ๊ะ!!”“อีกรอบเดียวนะซูเม่ย อีกครั้งเดียวจะให้เจ้าพักแล้ว อาา…เม่ยเอ๋อร์!!!”ร่างหนาค่อย ๆ หย่อนกายลงข้าง ๆ พระชายาที่นอนหันหลังและหอบอยู่ข้าง ๆ เขา เมื่อบทรักครั้งสุดท้ายจบลงเว่ยเฟิงหรงหันมากอดนางที่นอนหันหลังให้เรือนผมนางยุ่งเหยิงเพราะเขา หลังที่เคยเนียนงดงามบัดนี้เต็มไปด้วยรอยจ้ำสีแดงเกือบทุกแห่งที่เขาจะฝากรอยเอาไว้ “เจ้าอยากอาบน้ำหรือไม่”“ข้า….ลุกไม่ไหว”“ข้าเองก็ลุกไม่ไหวแล้วเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นก็นอนพักผ่อนก่อนเถิดเอาไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยไปอาบด้วยกันแล้วค่อยขึ้นไปที่เขาลั่วซาง”“เฟิงหรง”“หืม”“ท่านคิดว่าข้าเอาแต่ใจตัวเองหรือไม่เจ้าคะที่…ขอให้ท่าน….”เขาหันมาดึงนางเข้ามากอดกับแผงอกกว้าง เขาดึงผ้าห่มมาห่มให้เขาและนางก่อนจะพูดกับนาง“เจ้าน่ะหรือจะเอาแต่ใจตัวเอง ข้าไม่เคยเห็นว่าเจ้าจะทำสิ่งใดที่ทำให้ข้าลำบากใจเลยสักครั้ง หากไม่นับเรื่องที่เจ้าแอบไปทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายในเมืองหลวงนั่น”“ข้า….จะไม่ทำ….”เขาใช้นิ้วปิดปากนางเอาไว้เพื่อมิให้นางพูดออกมา“ไม่ต้องพูดและไม่ต้องสัญญาอะไรอีกแล้ว แม้ว่าเจ้าจะไปอีกข้าก็จะติดตาม
งานพระราชพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทและงานอภิเษกสมรสผ่านไปได้สองวัน ไป๋ซูเม่ยและเว่ยเฟิงหรงก็ต้องกลับมาเตรียมของเพื่อเตรียมตัวเข้ารับพระราชพิธีสมรสพระราชทานทั้งคู่กราบทูลขอเพียงแค่พิธีรับราชโองการและงานเลี้ยงในวังเท่านั้นส่วนงานอภิเษกทั้งคู่ทูลขอฝ่าบาทกลับไปจัดที่หยางโจว“ซูเม่ย เมื่อใดเจ้าจะได้กลับมาที่เมืองหลวงอีกกันนะข้าหรือว่าให้ข้าไปเยี่ยมเจ้าที่หยางโจวดีล่ะ”“เฟยหย่าเจ้าอย่ามัวแต่นึกอยากเที่ยวสิ เจ้าเป็นพระชายาองค์รัชทายาทแล้วนะ ยังจะห่วงเที่ยวอีกงั้นหรือ”“เสด็จพี่เพคะ น้องซูเม่ยมาเมืองหลวงกว่าข้าจะรู้จักกับนางและได้สนิทกันก็แทบจะมิได้พานางไปเที่ยวที่ใดเลยเพราะมีแต่เรื่องเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวันจนถึงวันอภิเษกก็ต้องเตรียมการวุ่นวายเช่นนี้”“พี่หญิงเพคะ ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกเพคะหม่อมฉันกับซื่อจื่อจะแวะมาเยี่ยมพวกพระองค์อย่างแน่นอนเพคะ เสด็จพ่อเองก็ต้องเข้าวังหลวงอีกสี่เดือนข้างหน้าเพื่อมาเยี่ยมฝ่าบาทและร่วมงานพระราชพิธีคล้ายวันพระราชสมภพอยู่แล้ว เอาเป็นว่าเราจากกันไม่นานหรอกเพคะ”“เจ้าพูดจริง ๆ นะ น้องหญิงเจ้ากลับไปที่หยางโจวก็ดูแลตัวเองให้ดีนะ”“เพคะพี่หญิง ไม่สิพระชายาเองก็มีองค์
“อ๊าา หานลั่ว!!”ลิ้นของเขาเริ่มคลี่ร่องกลีบชื้นฉ่ำตรงหน้าออก ร่างของเฟยหย่าเอนขึ้นตามสัมผัสลิ้นและนิ้วของเขา มือนางจับที่ผ้าห่มเอาไว้แน่นเมื่อถูกเขาล่วงล้ำเข้ามาทั้งลิ้นและนิ้วจนนางทนไม่ไหว“อ๊าาา หานลั่ว ไม่ไหวแล้ว ข้ารู้สึกแปลก ๆ มันจะ อ๊าา!!!!”ร่างน้อย ๆ นั้นเกร็งกระตุกจนเกิดเสียง จวินหานลั่วรวบขาของนางและยังใช้ลิ้นปรนเปรอนางไม่หยุด เมื่อเห็นว่านางพร้อมแล้วเขาจึงค่อย ๆ สอดใส่แท่งแกร่งของเขาที่ปวดตึงหนึบอยู่นานแล้วเข้าไป เขาอ่อนโยนจนนางรู้สึกถึงความห่วงใยที่เขามีให้นาง “หานลั่ว อ๊าา ช่างดียิ่งนัก รู้สึก อ๊าา ดียิ่งนัก อ๊าา…”“เฟยหย่า ข้าจะ…เร่งได้อีกนิดได้หรือไม่”“เร็วอีกหน่อยเจ้าค่ะ อ๊าา หานลั่วเร็วขึ้นอีก อื้อ…”เขาพยายามรักษาความเร็วเอาไว้เพราะเกรงว่านางจะเจ็บ ลิ้นหนาค่อย ๆ จูบไปที่ยอดปทุมสีสวยเพื่อให้นางคลายความเจ็บแต่ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้เจ็บมากเพราะเขาอ่อนโยนกับนางมากกว่าที่จะทำให้นางเจ็บได้“อาา เฟยหย่าเปลี่ยนท่านะ”“อื้อ อ๊าา!! หานลั่ว ท่านี้ลึกมากเพคะ เสียวมากจริง ๆ อ๊าา กระแทกเข้ามาอีก อ๊าาา”จวินหานลั่วรู้ว่าเขาจะทนได้อีกไม่นานแล้วเมื่อด้านในนางทั้งคับแน่นและบีบรัดเข
สนามชู่จวี“อะไรกัน เล่นสกปรกงั้นหรือ แย่แล้ว องค์ชายสาม!!”“พี่หญิง ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ”เหยียนเฟยหย่าวิ่งไปยังห้องที่มีคนหามจวินหานลั่วเข้ามา นางวิ่งเข้ามาทันทีเมื่อเห็นเขาถูกหามออกมานอกสนาม“องค์ชายสาม!!”“เฟยหย่า!! เจ้ามา…ได้เช่นไรกัน”องค์ชายสั่งให้ทุกคนออกไปเมื่อเห็นว่าเฟยหย่าวิ่งพรวดพราดเข้ามา ประตูห้องพักปิดลงเมื่อนางหันมาจับมือเขาเอาไว้“องค์ชาย เหตุใดท่านจึงบาดเจ็บเช่นนี้ พวกนั้นเล่นนอกกติกา”“เฟยหย่า อย่าพึ่งพูดนี่เจ้ามาทำอะไรที่นี่”“หม่อมฉันเห็นพระองค์ถูกทำร้าย คนพวกนั้น…”“เฟยหย่า คนพวกนั้นมิใช่คนต่างแคว้นแต่เป็นนักฆ่าที่เสวียนอวี่ส่งเข้ามา”“อะไรนะ!! นี่เขา….ตั้งใจจะเล่นงานท่านงั้นหรือ”“เฟยหย่า!! เจ้าจะทำสิ่งใด อย่าพึ่งแหวกหญ้าให้งูตื่น เว่ยเฟิงหรงกับพี่ใหญ่เจ้ารู้แล้วพวกเขาอยู่ในสนาม ทันทีที่ข้าถูกเล่นงานเว่ยเฟิงหรงก็ให้คนพาข้าออกมาเกรงว่าพวกมันจะทำร้ายข้า เจ้าอย่าได้ทำสิ่งใดพวกเขาจัดการกันเองได้ คนของพวกเราอยู่ในสนามแล้ว ตอนนี้ก็เริ่มจัดการพวกที่เหลือแล้ว”“ก็ได้จวินหานลั่วครั้งนี้ข้าจะเชื่อท่าน”“เจ้าก้มลงมานี่หน่อยสิ”เหยียนเฟยหย่าก้มลงมา จวินหานลั่วจับนางลงมาและจู
งานเลี้ยงประจำปี“เจ้าว่าอย่างไรนะ เสด็จพ่อจะประทานสมรสงั้นหรือ เช่นนั้นข้าไม่เข้าร่วมจะดีกว่าข้าไม่สนใจเรื่องงานเลี้ยงกับพวกขุนนางขี้ประจบเหล่านั้นหรอก”“องค์ชายสาม ครั้งนี้มีสตรีบุตรขุนนางหลายคนเข้าร่วม พระองค์ไม่สนใจจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”“เฉินกงกง ท่านอยากให้ข้าแต่งงานมากขนาดนี้เชียวหรือ ท่านขี้เกียจดูแลข้าแล้วสินะ”“หามิได้ ๆ พ่ะย่ะค่ะเพียงแต่เรื่องการแต่งงานฝ่าบาทต้องเห็นชอบพระองค์เองก็มิควรเก็บตัวเช่นนี้”“ว่าแต่ครั้งนี้เสด็จพ่อจะประทานสมรสคู่ใดเป็นพิเศษเล่า”เฉินกงกงบอกกล่าวไป ทั้งเรื่องขององค์ชายที่จะแต่งบุตรสาวขุนนางและท่านหญิงเข้ามาในวังหลวง รวมถึงบรรดาองค์หญิงที่ต้องแต่งงานกับแม่ทัพและ….“อีกคู่น่าจะเป็นองค์ชายสี่กับคุณหนูรองสกุลเหยียนพ่ะย่ะค่ะ”ตำราพิชัยยุทธ์หล่นจากมือของ “จวินหานลั่ว” โดยไม่ได้ตั้งใจ เขาเหม่อลอยเมื่อได้ยินชื่อนั้นเข้าหูจนฉินกงกงตกใจ“องค์ชาย….องค์ชายสาม!!”“หา…เอ่อ อ้อ อะไรนะ สกุลเหยียนกับ…น้องสี่ พวกเขาไปรู้จักกันเมื่อใดงั้นหรือ”“เห็นว่าฮองเฮาเป็นผู้สู่ขอแทนองค์ชายสี่พ่ะย่ะค่ะ”“อะไรนะ…ฮองเฮางั้นหรือ ดูท่าแล้วไม่เกี่ยวกับความรู้สึกสินะ”หลังจากนั้นเขาเองก็
เว่ยเฟิงหรงอุ้มไป๋ซูเม่ยลงจากรถม้า พักหลัง ๆ คนในจวนอ๋องที่เมืองหลวงมักจะชินตากับการที่เว่ยซื่อจื่ออุ้มนางลงมาเช่นนี้แล้ว แต่ละคนคิดไปเองว่าเพราะไป๋ซูเม่ยนั่งรถม้ามาแล้วหลับซื่อจื่อไม่อยากให้นางตื่นจึงอุ้มลงมา และบางคนก็คิดว่าไป๋ซูเม่ยเป็นสตรีที่อ่อนแอ เพียงแค่นั่งรถม้ากระเทือนก็จะเดินไม่ไหว แต่ไม่มีผู้ใดเลยที่ล่วงรู้ความจริงนอกจากอาหยงและต้าหมิน องครักษ์ของซื่อจื่อและสาวใช้ของนาง“เฟิงหรงท่านจะเกินไปแล้วนะเจ้าคะข้าเอวแทบหักทุกครั้งเลย จากนี้ไปข้าจะแยกรถม้ากับท่าน!!”“เม่ยเอ๋อร์เจ้าจะทำเช่นนี้หาได้ไม่ ผู้อื่นก็คุ้นชินกับการที่ข้าทำเช่นนี้แล้วเจ้าจะใส่ใจไปทำไมกัน เจ้าก็มิใช่ผู้ที่จะสนใจสายตาคนอื่นเสียเมื่อไหร่เล่า ไม่เอาน่าอย่าทำหน้างอเช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะพาไปกินเกี๊ยวน้ำร้านประจำของเจ้าดีหรือไม่”“ไม่ต้องเอาเกี๊ยวมาล่อข้าให้ตายใจ ก่อนจะไปกินเกี๊ยวท่านมิกินข้าก่อนจนหมดแรงสุดท้ายก็ต้องให้คนซื้อมาให้ข้าถึงเตียงหรอกหรือ ข้ารู้จักท่านดีเว่ยเฟิงหรง คนเจ้าเล่ห์”“เช่นนั้นไหน ๆ เจ้าก็รู้ทันข้าแล้ว…ก็อย่าเสียเวลาเลยนะไปอาบน้ำกันเถอะคนดี”“หยุด!! ข้าไม่อาบกับท่านแน่นอน เว่ยเฟิงหรง!! ไม่นะ ออก
อารามหย่งหลินเว่ยเฟิงหรงและไป๋ซูเม่ยขึ้นเขามาเพื่อเยี่ยมอาจารย์ตงหยวนซึ่งนั่งสวดมนต์อย่างสงบอยู่ในวิหาร เมื่อทั้งสองเข้าไปอาจารย์ก็เอ่ยทักทายขึ้นมาโดยที่ยังไม่ทันได้หันมามองทั้งคู่“พวกเจ้ามาเยี่ยมข้าเร็วกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีกนะ”""คารวะอาจารย์""“อืม…ตามสบายเถิดเว่ยซื่อจื่อ ท่านหญิง”“อาจารย์ ท่านทราบ!!”“เสด็จพ่อของเว่ยซื่อจื่อและฝ่าบาทมาปรึกษาข้าก่อนหน้านี้ ถึงไม่ได้อยากรู้แต่อย่างไรก็ต้องรู้ ฮ่า ๆ วันนี้มาหาข้าได้ ดูแล้วท่านหญิงคงจะหายดีแล้วสินะ”“ศิษย์มาที่นี่เพื่อกราบขอบคุณท่านอาจารย์เจ้าค่ะที่ช่วยศิษย์เอาไว้ครั้งก่อน หากว่ามิได้อาจารย์ไปช่วยเหลือศิษย์คงไม่รอด”“เรื่องนั้นที่จริงไม่ต้องถึงมือข้าหรอก เพียงแต่ว่าคนของเจ้า….ดูเหมือนจะไม่มีสติเอาเสียเลยข้าจึงไปเพื่อเรียกสติเขาเท่านั้น”ไป๋ซูเม่ยมองมาที่เว่ยเฟิงหรงและลอบขำ เฟิงหรงถึงกับหันไปค้อนให้นางที่กล้าขำเขาต่อหน้าเช่นนี้“เม่ยเอ๋อร์ ไว้หน้าข้าหน่อยก็ดีนะ นี่ต่อหน้าอาจารย์เชียวนะ”“ท่านพี่ คงยากแล้วล่ะเจ้าค่ะ ทั้งท่านพ่อ พี่หญิงเฟยหย่า องค์รัชทายาทหรือแม้แต่ท่านอ๋องต่างก็นำเรื่องนี้มาพูดกับข้าหมดแล้ว ก็ยังมีอาจารย์นี่แหละเจ้าค
เว่ยเฟิงหรงกระซิบบอกจนนางต้องเบือนหน้าหนี นึกไม่ถึงว่าถึงขนาดนี้แล้วเขายังหึงอยู่ ไป๋ซูเม่ยเดินไปที่อุทยานหลวงตามที่เขาบอก นางเดินไปพบคนผู้หนึ่งซึ่งวันนี้เขาสวมชุดสีดำที่ดูแปลกตา“มาแล้วหรือ….คุณหนูไป๋”“อี้เสี่ยวฟาน เจ้า….เหตุใดจึงได้แต่งชุดนี้”นางมองไปยังชุดที่ดูแปลกตาสีเข้มที่ทำให้อี้เสี่ยวฟานดูดีและเหมาะสมกับเขามากกว่าชุดองครักษ์ที่เขามักจะสวมอยู่เสมอเมื่ออยู่กับเสวียนอวี่“นี่น่ะหรือ นี่เป็นเครื่องแบบของแม่ทัพกองทัพอินทรีย์ทองขององค์รัชทายาทน่ะ เป็นอย่างไรมันเหมาะกับข้าหรือไม่”“ว่าอย่างไรนะนี่เจ้าเป็น….ยอดเยี่ยมมากเลยไม่เห็นมีผู้ใดบอกข้ามาก่อนหน้านี้มาก่อนเลยว่าเจ้าจะเป็นถึงแม่ทัพของนักรบเกราะทองนั่น ข้ายินดีด้วย ข้า…เอ่อ…”“เราอยู่กันสองคน อิ่นหลงเจ้าบอกเรื่องของเจ้ากับเว่ยซื่อจื่อไปแล้วสินะ เขาถึงได้ยอมให้เจ้ามาพบข้าในวันนี้”ไป๋ซูเม่ยเงยหน้ามองสหายรักที่ในที่สุดเขาก็กล้ายอมรับนางแล้วว่านางคืออิ่นหลง สหายของเขา นางมองเขาพร้อมกับน้ำตาที่รื้นขึ้นมา“ใช่แล้วล่ะ ข้าบอกเฟิงหรงไปหมดแล้ว ทั้งเรื่องที่ข้าถูกเสวียนอวี่ฆ่าและอยู่ในร่างของไป๋ซูเม่ย คู่หมั้นของเขา”“สวรรค์คงเห็นความดีในต
“ที่จริงข้าก็คิดจะชวนเจ้าไปเช่นกัน เอาเป็นว่าพรุ่งนี้หลังจากเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้วเราก็แวะไปหาอาจารย์ก่อนก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะ ขอบคุณที่ท่านใส่ใจ”“ข้าย่อมรู้ดีว่าเจ้าอยากจะทำสิ่งใด เจ้าเป็นภรรยาของข้าแค่มองตาเจ้าก็พอจะรู้แล้วว่าเจ้าคิดสิ่งใดอยู่ แต่ข้าคงไม่อนุญาตให้เจ้าไปร่วมพิธีของเสวียนอวี่หรอกนะ”“ข้าไม่ได้อยากจะไปอยู่แล้วเจ้าค่ะ เรื่องนั้นมิได้เกี่ยวกับข้าสักหน่อย ว่าแต่พรุ่งนี้เราต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”“พระราชาทานรางวัลที่ช่วยปราบกบฏ ประทานยศใหม่และพระราชทานงานสมรส”“นี่พวกเรา…ต้องสมรสในเมืองหลวงหรือเจ้าคะ”“เป็นพระราชประสงค์ของฝ่าบาทที่อยากจะตอบแทนเจ้าและสกุลเหยียนน่ะ เสด็จพ่อบอกข้ามาเมื่อคืนก่อนครั้งนี้เห็นทีจะเลี่ยงยากเพราะว่าฝ่าบาทตั้งใจประทานรางวัลนี้ให้กับพวกเราและยัง…แต่งตั้งเจ้าเป็นท่านหญิงอีกด้วย”“ท่านหญิงหรือเจ้าคะ แต่ว่าข้า…เหตุใดจึง…”“เรื่องนี้เป็นใต้เท้าเหยียนสองพ่อลูกเป็นผู้เสนอ และฝ่าบาทเองก็นึกขอบใจเจ้าหากว่าคืนนั้นกองทัพสกุลเหยียนและกององครักษ์หลวงของเยียนจินสือมาไม่ทันคงเกิดความเสียหายมากกว่านั้น ดังนั้นเรื่องนี้เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท เสด็จพ่