แม่ทัพเอี้ยนมั่นใจในสรรพกำลังของตนเอง แต่การเข้ายึดเมืองฮั่ว หากทำได้ง่ายดายเหมือนเมืองเฮยและเมืองเหอก็จะดีกว่าการสู้รบให้สิ้นเปลืองกำลังทหาร อย่างไรก็ตามเกรงว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นเมืองฮั่วเป็นเมืองใหญ่ กองกำลังทหารประจำเมืองมีความแข็งแกร่ง มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีคุณภาพ พื้นดินของเมืองฮั่วมีความอุดมสมบูรณ์การทำเกษตรกรรมล้วนให้ผลที่ดี นอกจากนั้นเรื่องการค้าขายก็เจริญรุ่งเรือง คลังของเมืองฮั่วเต็มไปด้วยทรัพย์สินเงินทองแม่ทัพเอี้ยนไม่ชัดเจนว่าทหารเมืองฮั่วมีกำลังพลมากน้อยเพียงไร จึงตัดสินใจถอนกำลังจากลานหน้ากำแพงเมืองไปตั้งค่ายทหารในพื้นที่กว้างห่างออกไปหน่อยแม่ทัพใหญ่จวงเจี้ยนแอบถอนหายใจโล่งอกไปได้บ้าง เขาไม่ต้องการให้เกิดการสู้รบ ไม่ว่าจะเมืองเฮย เมืองเหอ หรือเมืองฮั่ว ล้วนถือเป็นราษฎรแคว้นต้าเจีย แต่ถ้าจำเป็นก็ต้องทำเจ้าเมืองเฮยสูญสิ้นชีวิตอย่างน่าอนาถเพราะมุ่งเน้นแต่ด้านเศรษฐกิจละเลยการทหาร เจ้าเมืองเหอสูญสิ้นอิสรภาพเพราะความไว้วางใจเขาในฐานะแม่ทัพใหญ่กองทัพหลวงที่ฮ่องเต้ส่งมาแต่เจ้าเมืองฮั่วกลับแตกต่าง นอกจากพัฒนาเศรษฐกิจแล้ว เขายังให้ความสำคัญกับความมั่นคงของเมือง ครอบครัวที่มีลู
ผู้นำทหารเมืองฮั่วสั่งให้มือธนูระดมยิงไปที่กลุ่มทหารต้าเลี่ยงที่อุ้มท่อนซุง เมื่อมีการเคลื่อนไหวเพื่อให้ท่อนซุงกระแทกประตูเมืองก็เปิดเผยร่างคนออกมาแล้ว มือธนูอันแม่นฉมังของเมืองฮั่วสามารถส่งลูกศรลอดช่องที่เปิดออกเพียงน้อยนิด ส่งผลให้ท่อนซุงหลุดออกจากมือลงพื้น เสียงดังโครมใหญ่ ฝุ่นฟุ้งไปทั่วบริเวณ เมื่อเสียการทรงตัวคนหนึ่ง ก็ทำให้รวนทั้งขบวน แม่ทัพหนุ่มของแคว้นต้าเลี่ยงจึงสั่งให้ถอยกลับก่อน ท่อนซุงจึงถูกทิ้งไว้หน้าประตูเมืองการสู้รบตั้งแต่เช้าถึงค่ำ ผลัดกันรุกผลัดกันรับก็ไม่มีผู้ใดเอาชนะได้อย่างเด็ดขาด แม่ทัพหนุ่มของแคว้นต้าเลี่ยงจึงสั่งถอยกลับไปตั้งมั่นที่ค่ายทหารก่อน เมื่อลานหน้าประตูไร้ทหารต้าเลี่ยงแล้ว เจ้าเมืองฮั่วจึงสั่งให้ทหารเมืองฮั่วเปิดประตูเมืองแล้วลากท่อนซุงนั้นเข้ามาไว้ภายใน อย่างน้อยหากกองทัพแคว้นต้าเลี่ยงต้องการเปิดประตูเมืองด้วยการใช้ท่อนซุงกระแทกอีก ก็ต้องไปแบกท่อนซุงใหม่มา จะไม่วางไว้ให้เป็นอาวุธสำเร็จรูปของศัตรูผู้รุกรานเด็ดขาด เช้าวันรุ่งขึ้น กองทัพแคว้นต้าเลี่ยงกลับมาพร้อมกับเครื่องยิงลูกหินขนาดใหญ่ ทหารราบถือคบไฟไว้ในมือเตรียมจุดไฟเผาประตูและกำแพงเมือง ประตูเมือ
ผู้นำทหารกลับย้อนถามสุ่ยฝานหรงว่า “อ้าว มิใช่ท่านอ๋องนำกองทัพเสริมมาจากเมืองหลวงมาเพื่อช่วยเมืองฮั่วทำศึกหรือขอรับ” ฉินอ๋องส่ายหน้า ตอบว่า “ข้ามีหน้าที่ตรวจสอบเรื่องราวของเมืองเหอ”เจ้าเมืองฮั่วถอนหายใจก่อนกล่าวว่า “กระหม่อมขอความช่วยเหลือไปทางเมืองหลวงแล้ว แต่ไม่มีการตอบรับอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ” จากนั้น ก็สอบถามว่า “เหตุใดแม่ทัพใหญ่จวงเจี้ยนจึงเข้าร่วมกับกองทัพแคว้นต้าเลี่ยงพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอ๋องและสุ่ยฝานหรงต่างก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินอ๋องก็ตอบว่า “เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจน เอาเป็นว่าเมื่อสมัครใจเข้าร่วมกับกองทัพต้าเลี่ยงแล้วก็ต้องรับผลที่จะตามมา”เจ้าเมืองฮั่วอดสงสัยไม่ได้ว่า “ท่านอ๋องเข้ามาในเมืองฮั่วได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมสั่งปิดทางเข้าออกเมืองทุกเส้นทางแล้ว”ฉินอ๋องยิ้ม ไม่ตอบ แต่กล่าวว่า “นอกจากข้าจะเข้ามาได้แล้ว ยังนำลูกศรเจาะเกราะจำนวนมากมาให้เมืองฮั่วด้วย ลูกศรนี้สามารถทะลุทะลวงโล่ของต้าเลี่ยงได้”ประกายตาของเจ้าเมืองฮั่วและผู้นำทหารสว่างวาบขึ้นทันที ฉินอ๋องกล่าวต่อว่า “เอาละ พวกเรามาพูดคุยกันเรื่องการโต้กลับต้าเลี่ยงกันดีกว่า ข้ารู้ว่าพวกท่านเหนื่อยมาก แต่การศึกต้องรวดเร
ยามเช้าตรู่ตะวันเคลื่อนสูงขึ้น แสงเงินแสงทองส่องสว่างไปทั่วหล้า เหล่านกกาโผผินออกจากรังบินอย่างเป็นระเบียบมุ่งสู่จุดหมาย อากาศยังคงหนาวเย็น แต่แม่ทัพใหญ่จวงเจี้ยนมีเหงื่อซึมออกมาจากร่างกาย เขาพร้อมทหารคนสนิทกลุ่มเล็ก ๆ ควบอาชาอย่างเร่งรีบมุ่งสู่เมืองหลวงเพราะไม่สามารถใช้เส้นทางตรงผ่านเข้าไปยังเมืองฮั่วได้ พวกเขาจึงต้องใช้เส้นทางอ้อมซึ่งมีระยะทางไกลกว่ากันมาก อากาศยามเช้าสดชื่นแต่แม่ทัพใหญ่จวงเจี้ยนรู้สึกราวกับว่าจะขาดอากาศหายใจ หัวใจเต้นระรัว เขารู้สึกเหมือนว่าเลือดในกายพุ่งจากปลายเท้าขึ้นสู่สมอง และจากสมองย้อนกลับลงเท้า แล้วก็พุ่งขึ้นสู่สมองใหม่ กลับไปกลับมาทหารคนสนิทนายหนึ่งบังคับอาชาให้ขึ้นมาเคียงคู่กับแม่ทัพใหญ่จวงเจี้ยน แล้วตะโกนถามว่า“พวกเราจะต้องพักม้าซักครู่หรือไม่ขอรับ”แม่ทัพใหญ่จวงเจี้ยนจึงรู้สึกตัว พวกเขาควบอาชามาตั้งแต่ยามโฉว่จนถึงบัดนี้จำเป็นต้องให้น้ำให้หญ้าแก่พาหนะมีชีวิตพวกเขาเลือกต้นไม้ใหญ่ริมทางเพื่อหยุดพัก แม่ทัพใหญ่จวงเจี้ยนเอนหลังพิงต้นไม้ ทหารคนสนิทส่งอาหารให้ เขาส่ายหน้า ยามนี้รู้สึกเหมือนลำคอตีบตัน ไม่สามารถกลืนอาหารให้ผ่านลงท้องได้“ท่านแม่ทัพใหญ่ทานอาหาร
จะดำเนินการต่อไปอย่างไรคงต้องให้คนในวังตัดสินใจแล้ว แม่ทัพใหญ่จวงเจี้ยนพร้อมกลุ่มทหารคนสนิท เร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนแทบจะไม่พักม้า ใช้เวลาเดินทางห้าวันเต็ม เมื่อเข้ายามอิ๋นของวันที่ห้า เขาก็มานั่งหน้าหมองคล้ำที่ห้องอักษรจวนองค์ชายรองแล้ว กลุ่มทหารที่เดินทางมาด้วยนั่งรอนอกห้องอักษรองค์ชายรอง เทียนตี้ฮุ่ย รับฟังรายงานด้วยหน้าตาเคร่งเครียด “ตอนนี้คงไร้ความช่วยเหลือจากแคว้นต้าเลี่ยงแล้ว หากรอให้จื่อหยวนกลับมาถึงเมืองหลวง พวกเราก็คงหนีไม่พ้นข้อหาสมคบคิดกับศัตรู”แม่ทัพใหญ่จวงเจี้ยนยังคงข้องใจ “เหตุใดฉินอ๋องต้องบุกกองทัพแคว้นต้าเลี่ยงล่ะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมส่งข่าวไปกราบทูลฝ่าบาทแล้วว่าแคว้นต้าเลี่ยงขอเป็นพันธมิตรกับต้าเจีย”องค์ชายรองกัดฟันแน่น กล่าวลอดไรฟันว่า “ก็ยังไม่มีพระราชโองการให้เข้าเฝ้า ท่านกลับให้ทหารต้าเลี่ยงกักขังเจ้าเมืองเหอ จื่อหยวนมีสายข่าวอยู่ทั่วไปหมด เท่านี้ก็รู้แล้วว่าไม่จริงใจที่จะเป็นพันธมิตร”“เป็นเพราะแม่ทัพเอี้ยนพ่ะย่ะค่ะ เขาใจร้อนห้ามก็ไม่ฟัง”“ท่านเองก็ไม่รอบคอบ”เมื่อมองเห็นแม่ทัพใหญ่จวงเจี้ยนก้มหน้านิ่ง องค์ชายรองก็เก็บความโกรธไว้ในอก กล่าวต่อไปว่า“จื่อหยวนก็เจ้
ความผิดหวังวิ่งขึ้นมาเต็มสายพระเนตรที่จ้องมองพระราชโอรสองค์รอง พระองค์ตะโกนดังลั่นว่า“องครักษ์ เข้ามาเดี๋ยวนี้”ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องเสวย ภายนอกไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ ความเย็นวาบเข้าเกาะกุมสันหลังของฮ่องเต้แล้วลามไปทั่วพระวรกายเทียนตี้ฮุ่ยกล่าวว่า “ไม่มีผู้ใดมาช่วยได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่ต้องห่วง ลูกไม่ได้ฆ่าพวกเขา เพียงแต่สลบไปเท่านั้น อย่างไรก็เป็นชาวต้าเจีย ลูกก็ไม่อยากเห็นเลือดของชาวต้าเจียนองพื้น”เขาเดินมาพยุงฮ่องเต้ให้ลุกขึ้นยืน “ขอเสด็จพ่อโปรดออกพระราชโองการสละราชบัลลังก์พ่ะย่ะค่ะ ลูกจะช่วยดูแลต้าเจียเอง”ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ขึ้นฟาดใบหน้าของพระราชโอรสอย่างแรง เทียนตี้ฮุ่ยไม่หลบ ผื่นแดงรูปฝ่ามือปรากฏชัดเจนบนแก้มของเขา“เจ้า...กบฏหรือ...เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร”องค์ชายรองไม่ตอบ แต่หญิงสูงศักดิ์ผู้สวยงามที่เพิ่งเดินเข้ามาสมทบเป็นผู้ตอบแทน“ฝ่าบาทเพคะ พระองค์ก็ทราบว่าเทียนตี้เต๋อร่างกายอ่อนแอเพียงนั้น สามวันดี สี่วันไข้ อย่างไรก็ไม่สามารถปกครองต้าเจียได้ยาวนาน แต่พระองค์ดื้อรั้นแต่งตั้งเทียนตี้เต๋อเป็นรัชทายาท ความไม่เป็นธรรมเช่นนี้จะให้หม่อมฉันและโอรสแบกรับได้อย่างไร”ฮ่องเต้ผ
สถานการณ์ในท้องพระโรงของวังหลวงตึงเครียด เมื่อถูกควบคุมตัวมายังท้องพระโรง ฮ่องเต้ก็ประทับนิ่งบนบัลลังก์มังกร องค์ชายรอง เทียนตี้ฮุ่ย ยืนอยู่เบื้องหลังทางขวามือ วันนี้ไม่มีขันทีที่คอยรับใช้ใกล้ชิด เพราะถูกจับกุมไปคุมขังไว้แล้วอัครมหาเสนาบดีถือพระราชโองการสละราชสมบัติอยู่ในมือ องค์ชายรองสั่งการให้เขาอ่านเสียงดัง แต่อัครมหาเสนาบดีกลับมือสั่น เสียงก็สั่น เพียงเริ่มประโยคแรก เทียนตี้ฮุ่ยก็บอกว่า“ท่านอัครมหาเสนาบดีคงรู้สึกไม่สบาย เชิญท่านไปพักผ่อนก่อน”เมื่อสิ้นสุดถ้อยคำขององค์ชายรอง แม่ทัพใหญ่จวงเจี้ยนก็สั่งให้ทหารตรงเข้าล็อกแขนของอัครมหาเสนาบดีแล้วพาออกไปนอกท้องพระโรง ไม่แน่ว่าพาไปพักผ่อนในห้องรับรอง หรือพาไปคุมขังกันแน่ เพราะมีการลากลู่ถูกังอย่างไม่ปรานีปราศัยในท้องพระโรงเริ่มระส่ำระสาย ขุนนางใหญ่ท่านหนึ่งหันไปชี้หน้าแม่ทัพใหญ่จวงเจี้ยนแล้วตวาดเสียงดังว่า “มากไปแล้วนะ กล้าทำกับท่านอัครมหาเสนาบดีเช่นนี้”ยังไม่ทันขาดคำ ดาบในมือของแม่ทัพใหญ่จวงเจี้ยนก็ตวัดลงมา ร่างนั้นแยกออกเป็นสองส่วน เลือดกระเซ็นไปโดนเครื่องแต่งกายของขุนนางที่ยืนอยู่ใกล้ เสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้น หลายคนเริ่มแตกตื
ณ จวนองค์ชายรอง แม่ทัพใหญ่จวงเจี้ยนก็มารายงานข่าวที่ไม่น่าฟังอีกแล้วว่า “ค้นทุกตำหนักแล้วพ่ะย่ะค่ะ ยังไม่พบฮองเฮาและรัชทายาท”เทียนตี้ฮุ่ยตบโต๊ะเสียงดัง “แค่ผู้หญิงแก่กับคนป่วย พวกท่านปล่อยให้หนีไปได้อย่างไร”“กระหม่อมคิดว่ายังหลบซ่อนอยู่ในวังหลวงพ่ะย่ะค่ะ เพราะเมื่อคืนก่อนหน้าที่จะเข้าควบคุมฝ่าบาท ผู้คนยังเห็นฮองเฮาเสวยมื้อค่ำกับรัชทายาท แล้วเมื่อเช้ามืดตอนเข้าคุมตัวฝ่าบาท กระหม่อมก็ให้คนไปคุมตัวฮองเฮาและรัชทายาททันที แต่หาไม่พบพ่ะย่ะค่ะ”“คนทั้งคนจะหายตัวไปได้อย่างไร ท่านให้ทหารเร่งค้นหาให้ละเอียดอีกครั้ง ไม่ว่าจะในน้ำตกจำลอง หรือในสวนพฤกษา อ้อ...ในสระน้ำ ให้ทหารลงไปค้นที่ก้นสระด้วย อาจจะพยายามหนีจนตกน้ำไปแล้วก็ได้ ค้นให้ละเอียดทุกพื้นที่”“พ่ะย่ะค่ะ”เทียนตี้ฮุ่ยหายใจแรงอย่างหงุดหงิด พึมพำว่า “หากเจอตัวแล้ว ท่านก็จัดการให้หายไปจากโลกนี้ได้เลย เก็บไว้ไม่ได้ อาจจะเป็นภัยในภายหน้า”“เมื่อพบแล้วกระหม่อมจะจัดการและนำศีรษะมารายงานพ่ะย่ะค่ะ” ในขณะที่ลูกพี่ลูกน้องของรัชทายาทกำลังวางแผนสังหารอย่างโหดร้าย ร่างตะคุ่มของคนสี่คนเดินไปตามเส้นทางคดเคี้ยวในเส้นทางใต้ดิน มีเพียงไข่มุกราตรีในมือของ
สิบปีผ่านไป ณ ตำหนักคุนหนิง ฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง นั่งดื่มชาในสวนดอกไม้ อากาศอบอุ่น มีลมพัดผ่านเบา ๆ นึกถึงชะตาชีวิตที่แปลกประหลาด ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่มีชีวิตสงบสุขเหมือนคุณหนูสูงศักดิ์ทั่วไป แต่เมื่อถึงวัยมีคู่ครองก็มีเรื่องเดือดร้อนไม่จบไม่สิ้น ชีวิตเหมือนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง กว่าจะฝ่าฟันมาถึงวันนี้ก็ได้รับประคับประคองจากพระสวามีผู้สง่างามและครอบครัวเดิม สุ่ยเฉินเฟิงสัญญากับตนเองว่าจะทะนุถนอมความรักของพวกเขาไว้อย่างดีฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง และฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมห้าองค์ องค์ชายหย่งเฉิงคล้ายเสด็จพ่อมากที่สุดทั้งรูปร่างหน้าตา อุปนิสัย และความรู้ความสามารถ องค์ชายหย่งเฉิงชื่นชอบการฝึกซ้อมอาวุธทุกประเภท อีกทั้งยังชำนาญหมากล้อมและการฝึกเชาว์ปัญญาต่าง ๆ เรียกว่าเก่งทั้งบู๊และบุ๋นองค์หญิงเฟิงซินหน้าตาคล้ายเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ ทำให้นางเป็นที่โปรดปรานของเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือยิ่งนัก บางครั้งฮ่องเต้ยังจำใจต้องอนุญาตให้องค์หญิงเฟิงซินไปพักค้างที่ตำหนักนอกวังบ้างเพราะทนการรบเร้าของผู้เป็นมารดาไม่ไหว แรก ๆ ก็ไปพักค้างครั้งละหนึ่งคืน พอนานเข้าเสด็จย่าไทเฮา
ราษฎรต้อนรับการประสูติขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงอย่างเอิกเกริก ร้านค้าในตลาดและบ้านเรือนราษฎรปักธงถวายพระพร เหลาเฉียนจัดทำอาหารพิเศษแจกจ่ายให้ลูกค้าโดยไม่คิดเงิน ร้านขายผลไม้ก็นำส้มมงคลมาแจกจ่ายให้ผู้คนที่สัญจรไปมาเมื่อครั้งเทียนตี้หย่งยังดำรงตำแหน่งฉินอ๋อง ราษฎรก็รักใคร่ชื่นชม แม้ในจวนอ๋องจะไม่มีพระชายา พระชายารอง หรืออนุ ก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจ ต่อมาขึ้นครองราชย์ ราษฎรก็ปลื้มปิติ แต่ก็กังวลเพราะฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ลั่นวาจาไว้ว่าจะมีฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิงเพียงพระองค์เดียวแม้ในขณะที่แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งฮองเฮา พระนางจะตั้งครรภ์แล้วก็ตาม หากเป็นพระราชธิดาพวกเขาก็ยังไม่วางใจ ดังนั้นเมื่อองค์ชายน้อยหย่งเฉิงประสูติ จึงเป็นทั้งความยินดีและความโล่งใจของราษฎรทั้งหลาย อย่างน้อยก็สบายใจได้ว่า แคว้นต้าเจียมีผู้สืบทอดบัลลังก์มังกรแล้วในแต่ละวันขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงมีเสด็จย่าทั้งสองและท่านยายผลัดกันมาดูแล คือเสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้ เสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ และท่านยายเจียงจือไฉ แต่เสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้จะได้เปรียบมากกว่าเพราะประทับในวังเช่นเดียวกัน จึงมาดูแลเกือบทุกวัน เว้นแต่วันที่เสด็จย่าไทเฮ
พระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮาเป็นไปอย่างเรียบง่ายตามความประสงค์ของสุ่ยเฉินเฟิง ตำหนักคุนหนิงของฮองเฮาได้รับการปรับปรุงใหม่ มีห้องสำหรับทารกติดกับห้องบรรทมของฮองเฮา สำหรับฮ่องเต้เทียนคงอิงฉงนั้นแม้จะมีตำหนักเฉียนชิง แต่พระองค์ก็จะมาบรรทมที่ตำหนักคุนหนิงเป็นประจำ เว้นแต่ช่วงที่ทรงงานดึกจึงจะพักผ่อนที่ตำหนักเฉียนชิงเพื่อให้ฮองเฮาพักผ่อนเต็มที่ ไม่ต้องตื่นกลางดึกสุ่ยฝานหรงซึ่งบัดนี้ได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีนั้น บางวันจะพาเหมยกุ้ยเข้าวังมาส่งที่ตำหนักคุนหนิงในช่วงเช้า และมารับกลับหลังจากประชุมขุนนางเสร็จ ชีวิตของสุ่ยเฉินเฟิงจึงไม่เงียบเหงาเกินไป ส่วนถิงถิงซึ่งบัดนี้เป็นนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาก็ช่างมีเรื่องซุบซิบมาเล่าให้ฟัง แม้กระทั่งองค์หญิงนาราที่เสวยผลไป่เซียงกั่วเพื่อให้เกิดผื่นจะได้ยืดเวลาการอยู่ในวังหลวงเพื่อมีเวลาขอถวายตัวเป็นสนมก็มาเล่าให้ฟัง เรียกได้ว่าทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ถิงถิงไม่ค่อยจะพลาดข่าว ถิงถิงมีความเห็นว่ารู้มากหน่อยดีกว่ารู้น้อยไปเมื่อสุ่ยฝานหรงเข้ารับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแล้ว ฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ก็ต้องวางกำลังคนที่ไว้ใจให้ควบคุมหน่วยกำลัง
ไทเฮาสือจินอวี้ลุกขึ้นจากที่ประทับ ตรงไปยังองค์หญิงนาราที่นั่งคุกเข่า ใช้สองพระหัตถ์แตะไหล่ประคองให้องค์หญิงน้อยลุกขึ้นยืน แล้วตรัสว่า “องค์หญิงนารามีหน้าตาสวยงามและเพียบพร้อมด้วยความรู้ ไม่ควรจะมาเป็นสนม ความหวังดีนี้ไม่อาจรับไว้ได้ ขอให้แคว้นต้าเจียและเผ่าตู้ผูกพันเป็นมิตรที่ดีต่อกันเถิด”ภายนอกมีเสียงดังขึ้นว่า “ฮ่องเต้เสด็จ”เมื่อร่างสูงสง่าของฮ่องเต้ก้าวเข้ามาในโถงกลางของวังหลัง พระองค์ทำความเคารพไทเฮาก่อน แล้วจึงหันไปตรัสแก่ผู้อื่นที่ทำความเคารพว่า “ไม่ต้องมากพิธี” องค์หญิงน้อยมองด้วยสายตาหลงใหลเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อยแล้วตรัสด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เจิ้นขอบใจในน้ำใจของถู่ซือและองค์หญิง แต่ไม่อาจรับไว้ได้ ต้าเจียและเผ่าตู้ไม่จำเป็นต้องผูกพันกันด้วยการอภิเษกหรือการเป็นสนม แต่ยังเป็นพันธมิตรกันต่อไปได้”องค์หญิงน้อยทำได้เพียงกล่าวเสียงเบาว่า “เพคะ” รู้สึกอับอายแทบแทรกแผ่นดิน ไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกปฏิเสธแม้แต่การเป็นสนม เทียนตี้หย่งหันไปทางทูตเผ่าตู้แล้วตรัสว่า “เผ่าตู้มีสินค้าหายากหลายอย่างที่ต้าเจียไม่มี เจิ้นจะให้ทูตการค้าต้าเจียหารือเรื่องการพัฒนาการค้าขายระหว่างกันดีห
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เทียนตี้หย่ง ขึ้นครองราชย์สถาปนาเป็นฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง ราษฎรทั่วแคว้นต้าเจียเฉลิมฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืน พวกเขาล้วนมีความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งใดที่เคยหวัง ต่างแคว้นล้วนส่งทูตมาแสดงความยินดี ไม่มีแคว้นใดหาญกล้าทดสอบความแข็งแกร่งของฮ่องเต้พระองค์ใหม่เผ่าตู้เป็นชนเผ่าที่เคยถูกแคว้นต้าเลี่ยงรุกรานและสร้างความอัปยศให้แก่องค์หญิงหลายองค์จนปลิดชีพตนเอง เมื่อแคว้นต้าเจียปราบปรามแคว้นต้าเลี่ยงทำให้เผ่าตู้ได้รับอิสระอีกครั้ง เมื่อมาแสดงความยินดีในครั้งนี้ มีองค์หญิงน้อยเผ่าตู้ร่วมเดินทางมาด้วย องค์หญิงนาราเป็นองค์หญิงองค์เดียวที่ปลอดภัยจากการรุกราน เนื่องจากช่วงเวลานั้นไม่ได้อยู่ในดินแดนเผ่าตู้ ในท้องพระโรง พระเจ้าเทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร พระพักตร์ขาวใส ดวงตาดำขลับยาวรีปลายชี้ฟ้า จมูกโด่งเป็นสัน ช่างสง่างามเหลือเกิน องค์หญิงน้อยมองดูด้วยความตะลึง หลงรักบุรุษผู้สง่างามนี้ทันทีเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์ขอบคุณแคว้นต่าง ๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดี และเชิญทูตทุกแคว้นทุกชนเผ่าเข้าร่วมงานเลี้ยงในตอนเย็น เนื่องจากยังไม่มีการแต่งตั
หลังจากพระเจ้าเต๋อหมิงได้รับบาดเจ็บ คณะหมอหลวงก็พยายามทุกวิธีในการรักษา เพราะฤทธิ์ยาระงับความเจ็บปวดที่หมอหลวงปรุงขึ้น แม้พระพักตร์จะขาวซีดแต่ก็ไม่แสดงถึงความเจ็บปวด เวลาผ่านไปสิบกว่าวัน ลมหายใจที่แผ่วเบานั้นก็หยุดนิ่ง หัวหน้าหมอหลวงตรวจชีพจรอีกครั้งก่อนจะหันมาทูลต่อไทเฮาสือจินอวี้ว่า“พระองค์กลับคืนสู่สวรรค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไทเฮาสือจินอวี้ตัวอ่อน เป็นลมล้มพับ ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง ที่ยืนอยู่ใกล้กันรับตัวเสด็จป้าสะใภ้ไว้ทันก่อนพระวรกายกระทบพื้น หมอหลวงแบ่งคนมาปฐมพยาบาลไทเฮา ความเศร้าโศกเสียใจล้นห้องบรรทมออกไปครอบคลุมวังหลวงและกระจายออกไปทั่วแคว้น พระเจ้าเต๋อหมิงเป็นผู้ปกครองใต้หล้าด้วยความเมตตา จึงเป็นที่รักใคร่ของราษฎร ในช่วงเวลาอันเศร้าหมอง ฉินอ๋องเป็นกำลังหลักในการสั่งการเรื่องต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยหลังจากพิธีการต่าง ๆ ผ่านพ้นไป ไทเฮาสือจินอวี้ก็เรียกฉินอ๋องเข้าเฝ้า สุ่ยเฉินเฟิงดูแลเครื่องแต่งกายให้พระสวามี ฉินอ๋องใช้นิ้วดันคางของนางให้เงยหน้าขึ้น“เฟิงเอ๋อร์ เจ้ากังวลอะไรหรือ”สุ่ยเฉินเฟิงถอนหายใจ “ไม่แน่ว่าการเรียกตัวเข้าเฝ้าในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับบัลลังก์ที่ว่างอยู่เพ
พระเจ้าเต๋อหมิงบาดเจ็บสาหัส นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุพระองค์ก็ยังไม่ลืมพระเนตรขึ้นมา มีเพียงชีพจรและลมหายใจแผ่วเบาเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ เกิดความโกลาหลในการบริหารงานเล็กน้อย ไทเฮาสือจินอวี้ต้องออกนั่งเป็นประธานการประชุมขุนนางในฐานะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พระนางไม่ประทับบนบัลลังก์มังกร แต่กลับให้คนนำเก้าอี้หงส์จากตำหนักของพระนางมาใช้ประทับเป็นการชั่วคราวแม้ว่าปกติไม่ว่าไทเฮาหรือฮองเฮาพระองค์ใดก็ตาม ไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการของวังหลวงได้ ผู้เป็นมารดาของแผ่นดินมีหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลวังหลังให้เป็นไปโดยเรียบร้อย แต่สถานการณ์ของแคว้นต้าเจียในคราวนี้แตกต่างออกไป พระเจ้าเต๋อหมิงไม่ได้อภิเษกสมรสเพราะอยู่ระหว่างการไว้ทุกข์ให้กับไท่ซ่างหวงซึ่งก็คือเสด็จพ่อของพระองค์นั่นเอง อีกทั้งพระเจ้าเต๋อหมิงก็ไม่มีสนมจึงยังไม่มีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาแม้แต่พระองค์เดียว แคว้นต้าเจียจึงยังไม่มีรัชทายาทเดิมทีเหล่าขุนนางตั้งใจว่าหลังจากพ้นการไว้ทุกข์ให้ไท่ซ่างหวงแล้ว พวกเขาจะกดดันให้พระเจ้าเต๋อหมิงอภิเษกสมรสและแต่งตั้งฮองเฮา รวมทั้งให้เริ่มการคัดเลือกสนมเข้ามาปรนนิบัติตามธรรมเนียมท
ก่อนที่สุ่ยฝานหรงจะออกไป ฉินอ๋องสั่งการเพิ่มเติมว่า “ตอนที่จับกุมเมิ่งกุ้ยเฟย คนที่สุสานบรรพชนล้วนถูกลงโทษ นางกำนัลอู่ก็ติดตามกุ้ยเฟยไปที่สุสานด้วย ท่านตรวจสอบด้วยว่าผู้ใดช่วยเหลือให้นางหลบหนีจนรอดพ้นได้” “พ่ะย่ะค่ะ”สุ่ยฝานหรงออกไปแล้ว ฉินอ๋องกลับเข้าไปในห้องบรรทมของพระเจ้าเต๋อหมิง มีโต๊ะวางไว้มุมห้อง เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ จางชุนรินน้ำชาส่งให้ เขารับมาถือไว้นิ่ง ๆ มองตรงไปก็เห็นญาติผู้พี่นอนนิ่ง พระพักตร์ซีดเซียว นี่คือสิ่งที่เขากังวลอยู่เสมอว่าจะเกิดขึ้น และแล้วก็เกิดขึ้นจริง พี่สี่ของเขาพระทัยอ่อน ใช้สายพระเนตรที่เมตตามองผู้คนโดยรอบ ใช้พระคุณแต่เพียงอย่างเดียวในการปกครองเวลาผ่านไป แม่ทัพใหญ่สุ่ยฝานหรงกลับมาอีกครั้งเมื่อเข้ายามอิ๋น เขาสีหน้าไม่ดีนัก รายงานว่า“ตรวจสอบโดยละเอียดแล้วพ่ะย่ะค่ะ นางกำนัลอู่ไม่ถูกจับกุมเพราะนางลากลับบ้านเดิมเพื่อจัดการงานศพของมารดา เมื่องานศพเสร็จแล้ว ระหว่างทางที่เดินทางกลับเมืองหลวง ก็ได้ข่าวว่าคนที่สุสานบรรพชนถูกจับกุม นางจึงซ่อนเร้นตัว เมื่อทหารที่ไปตรวจค้นสุสานบรรพชนและทำลายเห็ดเมากลับไปแล้ว นางก็ลักลอบเข้าไปในสุสานบรรพชน เพราะนางอยู่ที่นั่นกั
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จป้าสะใภ้ หลานจะสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้สภาพในคุกไม่เหมาะสำหรับผู้บาดเจ็บ” เขาหันถามหัวหน้าหมอหลวงว่า “จะเคลื่อนย้ายฝ่าบาทได้หรือไม่ หรือต้องรอให้อาการดีขึ้นกว่านี้ก่อน”หัวหน้าหมอหลวงตอบว่า “สามารถเคลื่อนย้ายได้แล้วพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวัง คุกหลวงไม่เหมาะกับการรักษาผู้ป่วยจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”ในที่สุด พระเจ้าเต๋อหมิงก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยังตำหนักเฉียนชิง ฉินอ๋องประคองไทเฮา สือจินอวี้ไปพร้อมกัน โดยให้สุ่ยฝานหรงซึ่งตามมาถึงแล้ว ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียด ไทเฮานั่งกุมพระหัตถ์พระราชโอรส พระพักตร์ของพระองค์และพระเจ้าเต๋อหมิงซีดขาวพอกัน"เสด็จป้าสะใภ้พักผ่อนก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ไทเฮาสือจินอวี้ส่ายพระพักตร์ “ป้าสะใภ้จะเฝ้าเต๋อเอ๋อร์ เมื่อเขาฟื้นจะได้เห็นหน้าแม่เป็นคนแรก”“ถ้าเช่นนั้นหลานจะให้คนจัดห้องด้านข้างเป็นที่บรรทมชั่วคราวดีไหมพ่ะย่ะค่ะ เสด็จป้าสะใภ้ไปพักผ่อนก่อน มิฉะนั้นอาจจะประชวรไปอีกพระองค์ หากพี่สี่รู้สึกตัวแม้เพียงเล็กน้อยจะให้คนไปทูลให้ทรงทราบทันที”ไทเฮาพยักพระพักตร์ ฉินอ๋องจึงสั่งให้ขันทีประจำตำหนักเฉียนชิงเร่งจัดห้องบรรทมช