เพียงแต่ขณะที่ทำลายศพอยู่นั้น จู่ ๆ ก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นเล็กน้อยเฉินจืออี้พบว่าศพของผู้หญิงกำลังตั้งท้องเขายังเห็นรอยแผลจากการถูกไฟลวกบนหน้าท้องของศพผู้หญิงด้วยฉันคิดว่าแม้หลายปีมานี้เขามักจะปิดไฟนอนกับฉัน เพราะไม่อยากเห็นใบหน้าที่น่ารังเกียจของฉันแต่เขาน่าจะคุ้นเคยกับร่างกายของฉันมากเพียงพอรอยแผลบนหน้าท้องของฉันถูกพ่อใช้ก้นบุหรี่จี้เวลาเฉินจืออี้อยู่บนเตียงเขาชอบจูบตรงนั้นมาก เขาบอกว่ามันเหมือนกับดอกเหมย ซึ่งเป็นเครื่องหมายพิเศษที่พระเจ้ามอบให้ฉันแต่ตอนนี้เมื่อเขาเห็นรอยดอกเหมยที่คุ้นเคยนั้น เขากลับตะลึงเพียงชั่วขณะ จากนั้นก็โยนฉันลงไปในสระกรดซัลฟิวริกที่อยู่ข้าง ๆ อย่างไม่ลังเลใจน่าแปลกจัง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้วแต่เมื่อร่างกายของฉันถูกกัดกร่อนด้วยกรดซัลฟิวริก ฉันก็ยังสามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดในหัวใจโดยเฉพาะตอนที่เห็นเฉินจืออี้มองฉันด้วยสายตาเย็นชา มันทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่าเฉินจืออี้ คุณรู้ไหมว่านี่คือฉัน?หรือว่านี่คือสิ่งที่คุณต้องการทำอยู่แล้ว“ไม่รู้ว่าเป็นลูกสาวครอบครัวไหน ตั้งท้องแล้วยังถูกฆ่าหั่นศพอีก” ฉินตงเฟิงยืนถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ อยู่
เมื่อเขากลับมา เฉินจืออี้ก็ขมวดคิ้วด้วยความเหนื่อยล้าเขาทำเรื่องสำคัญสำเร็จ แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักราวกับกำลังคิดถึงอะไรบางอย่าง เขากดเปิดไลน์บนโทรศัพท์ของเขานิ้วเรียวยาวหยุดที่ประวัติการสนทนาระหว่างฉันกับเขาในนั้นยังมีบันทึกการทะเลาะกันของเราสองคนอยู่เมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว จู่ ๆ เฉินจืออี้ก็พูดออกมาว่าเขายินดีที่จะแต่งงานกับฉันอันที่จริงเรานอนด้วยกันตั้งแต่ที่ฉันบรรลุนิติภาวะแล้วหลายปีที่ผ่านมา เฉินจืออี้เขาไม่เคยยอมรับฉันในฐานะแฟน อีกทั้งยังบอกกับทุกคนว่าฉันเป็นแค่น้องสาวของเขาเท่านั้นดังนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องแต่งงานเลยแต่จู่ ๆ เขากลับพูดว่าอยากแต่งงานกับฉันนึกดูแล้ว นั่นน่าจะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่หาได้น้อยมากในชีวิตของฉันแต่วินาทีต่อจากนั้น คำพูดของเขากลับทำให้ฉันดิ่งลงถึงขีดสุด“แต่งงานกับฉันมีเงื่อนไขว่า”“เธอต้องบริจาคไตข้างหนึ่งให้กับฉินไฉ่เวย”ฉินไฉ่เวย ผู้หญิงที่เขาคิดถึงมาตลอดหลายปีฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองใช้ภาษามือบอกไปอย่างไรแต่พอฉันได้สติกลับมา ก็พบว่าฉันปฏิเสธไปแล้วและเฉินจืออี้ก็โกรธมากเราสองคนทะเลาะกันหนักมาก
ฉันกับเฉินจืออี้เราเป็นเพื่อนบ้านที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กฉันเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเล็กและเติบโตมากับพ่อที่ติดเหล้าอย่างหนักพ่อแม่ของเฉินจืออี้หย่างร้างกัน เขาอาศัยอยู่ข้างบ้านฉันและถูกเลี้ยงดูโดยแม่ที่อ่อนโยนแม่ของเฉินจืออี้ชอบฉันมาก เขามักจะอุ้มฉันและถามฉันอยู่บ่อย ๆ ว่าอยากเป็นภรรยาของเฉินจืออี้ไหมเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาทำแบบนี้ เฉินจืออี้จะมีท่าทีต่อต้านอย่างมาก“ใครจะอยากให้คนใบ้เป็นภรรยากัน”แต่ถึงอย่างนั้น เวลาอยู่ข้างนอกเฉินจืออี้ก็ปกป้องฉันมากเวลาที่ฉันถูกปาหิน ถูกสุนัขรุมกัด หรือถูกแย่งของ เขาจะรีบเข้ามาต่อยกับคนที่รังแกฉันทันทีแม้ว่าเขาจะฟกช้ำไปทั้งตัว เขาก็มักพยายามที่จะปกป้องฉันไว้ข้างหลังเขาเขาบอกว่าเขาไม่ชอบคนใบ้ แต่เขาคอยดูแลดวงดาวน้อยของอยู่เสมอจนกระทั่งปีนั้น เมื่อพ่อของฉันเป็นหนี้การพนันก้อนโต และเตรียมจะพาคนใบ้ที่ไร้ประโยชน์อย่างฉันไปขาย กลับถูกแม่ของเฉินจืออี้รู้เข้าเธอเขามาช่วยฉันไว้ แต่กลับถูกพ่อขี้เมาของฉันใช้มีดแทงเข้าไปสิบสามครั้งและไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลยฉันจำสายตาที่เฉินจืออี้มองฉันตอนที่ฉันฟื้นขึ้นมาในห้องพักผู้ป่วยได้ดี มันเป็นแววตาที่สิ้
ถึงเฉินจืออี้จะเกลียดฉัน แต่เขาก็รู้สึกผิดกับฉันคืนนั้นเราสองคนได้สูญเสียคนในครอบครัวไปเพราะฉันทั้งหูหนวกทั้งยังเป็นใบ้ และเพราะคำพูดสุดท้ายที่แม่ของเฉินจืออี้ทิ้งไว้ว่า ‘เสี่ยวซิงซิงเป็นเด็กน้อยที่แม่ช่วยไว้’ เฉินจืออี้จึงไม่จากไปไหนเขากลับเริ่มทำหน้าที่พี่ชายรับผิดชอบดูแลฉันมาตั้งแต่ตอนนั้นแต่ฉันรู้ดีว่าเขายังโกรธฉันอยู่หลายปีมานี้ ทุกครั้งที่ถึงวันครบรอบการตายของแม่ของเขา เขาก็จะดื่มจนเมาและไปไหว้แม่เพียงลำพังฉันเคยตามไปครั้งหนึ่ง กลับถูกเขาซึ่งดื่มเหล้าจนเมามายเตะไล่ออกมาเขาคว้าคอของฉันแล้วพูดด้วยสีหน้าดุร้าย "เจียงหว่านซิง เธอไม่คู่ควรที่จะก้มหัวคำนับต่อหน้าแม่ของฉัน”แต่หลังจากได้สติตื่นขึ้นมา เราจะกอดฉันและลูบรอยฟกช้ำบนคอของฉันอย่างทำตัวไม่ถูก เอาแต่พูดขอโทษกับฉันซ้ำ ๆ “เสี่ยวซิงซิง ฉันขอโทษ ฉันแค่...สับสนมาก”ฉันรู้ว่าเขารู้สึกสับสนมากแม้กระทั่งเวลาขึ้นเตียงกับฉัน เขาก็ยังปิดบังใบหน้าของฉันไว้จริง ๆ แล้ว ฉันเองก็สับสนมากเช่นกันฉันอยากให้เขาเป็นพี่ชายและอยู่เคียงข้างเขาแบบนี้ตลอดไปแต่มันกลับไม่เป็นไปตามที่หวัง ตลอดยี่สิบปีที่อยู่ด้วยกัน ทำให้ฉันหลงรักเขาจ
บนรถ ฉินตงเฟิงพูดลอย ๆ ขึ้นมาว่า“กำลังคิดถึงน้องใบ้ของนายอยู่เหรอ”“ไม่ใช่สักหน่อย ใครจะไปคิดถึงเธอกัน”เฉินจืออี้พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาพร้อมกับโยนโทรศัพท์ลง“ฉันว่าในเมื่อนายไม่ได้ชอบเธอ ทำไมถึงไม่บอกเธอให้ชัดเจนไปเลย เธอเป็นคนใบ้ออกจะดูน่าสงสารมาก”“เธอน่าสงสารอย่างนั้นเหรอ?” เฉินจืออี้ขยับเนกไทด้วยความหงุดหงิด “เธอน่าสงสารตรงไหน ฉันเลี้ยงดูเธอมาอย่างดี แล้วผลเป็นยังไง กลับกลายเป็นเลี้ยงคนเห็นแก่ตัวลืมบุญคุณ ตำหนิเธอไม่กี่คำ กลับทำสงครามเย็นกับฉัน ช่างปีกกล้าขาแข็งจริง ๆ”“ถึงอย่างไรก็เติบโตมากด้วยกัน ถ้าไม่รักก็ต้องผูกพันกันอยู่บ้าง ลองโทรศัพท์ไปปรับความเข้าใจกับเธอหน่อยไหม?”“ไม่ต้องหรอก” เฉินจืออี้เหลือบมองโทรศัพท์พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “ตามใจเธอจนเสียนิสัย!”แต่ถึงอย่างนั้น สักพักเฉินจืออี้ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาฉันด้วยข้อความที่เรียบง่ายว่า‘พรุ่งนี้ตอนเย็นฉันจะกลับไปกินข้าว’ดูสิ แม้กระทั่งขอคืนดีเขาก็ยังพูดอย่างมั่นใจ โดยไม่สนใจความรู้สึกของฉันเลยเพียงแต่เขายังไม่รู้ว่าจากนี้เขาจะไม่ต้องห่วงความรู้สึกของฉันอีกต่อไปแล้วฉันไม่สามารถรับรู้ได้แล้
“ใช่เหรอ?”เฉินจืออี้นวดระหว่างคิ้ว แล้วหลับตาลงอีกครั้งฉันเองก็หลับตาเช่นกันถ้าเฉินจืออี้อยากพิสูจน์ให้ชัดเจนกว่านี้อีกนิด อย่างน้อยเขาคงกดโทรศัพท์หาฉันแม้ว่าฉันจะได้ยินเสียงของเขาไม่ชัดเจนแต่เสียงโทรศัพท์ของฉันต้องดังขึ้นจะ——จะดังขึ้นมาจากท้ายรถของเขาแน่นอนแต่เขาไม่ทำเมื่อก่อนไม่ทำ ตอนนี้ก็ไม่ทำเช่นกันต่อไปก็จะไม่มีอีกแล้วด้วยไตของฉันข้างนั้น ทำให้การผ่าตัดของฉินไฉ่เวยประความสำเร็จดีมากเฉินจืออี้เป็นห่วงฉินไฉ่เวยมาก แม้ว่าเธอจะยังไม่ฟื้นขึ้นมา เขาก็ยังคอยเฝ้าตลอดไม่ไปไหนจนกระทั่งฉินไฉ่เวยฟื้นขึ้นมา เขาถึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ“จืออี้ ขอบคุณที่ช่วยฉันนะคะ”“ไม่ต้องเกรงใจหรอกไฉ่เวย เราเป็นเพื่อนกัน แถมก่อนหน้านี้คุณยังเคยช่วยชีวิตผมไว้ด้วย”ฉินไฉ่เวยฝืนยิ้มและไม่พูดอะไรต่ออีกดูคล้ายกับว่าเธอจะอ่อนล้าจากการผ่าตัดและไม่มีแรงที่จะพูดแต่มีเพียงฉันที่รู้ว่าเธอกำลังรู้สึกผิดเพราะเธอรู้ดีว่าในตอนนั้นคนที่ช่วยเฉินจืออี้ไว้ไม่ใช่เธอแต่เป็นฉันแต่ถึงอย่างไรสำหรับเฉินจืออี้แล้ว คนที่ช่วยเขาจะเป็นใครก็คงไม่สำคัญเพราะสิ่งสำคัญก็คือฉินไฉ่เวยคนนี้
ฉินไฉ่เวยเข้ามาในชีวิตเราสองคน ในตอนที่เฉินจืออี้เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเขาเริ่มเอ่ยชื่อผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมาบ่อย ๆฉินไฉ่เวยฉันแอบไปดูเธอ เธอสวยมาก ฐานะทางครอบครัวก็ดี เหมือนกับพญาหงส์ที่สูงส่งเมื่อเทียบกับผู้หญิงที่พูดไม่ได้และยังได้ยินไม่ชัดอย่างฉัน มันช่างต่างกันราวฟ้ากับเหวต่อมาเฉินจืออี้ไปเดินป่ากับเธอ ฉันเลยแอบตามสองคนนั้นไปฉันเห็นรอยยิ้มของเฉินจืออี้มันเป็นรอยยิ้มผ่อนคลายซึ่งฉันไม่เคยเห็นมาก่อนวินาทีนั้น ฉันกลัวจะเสียเขาไปจริง ๆฉันเหมือนตัวประหลาดน่ารังเกียจที่อยู่ในมุมมืด กำลังติดตามคู่หนุ่มสาวแสนสวยจนกระทั่งเห็นทั้งสองคนทะเลาะกันและแยกทางกันไป ฉันถึงรู้สึกโล่งใจแต่ครั้งนั้นที่ทั้งสองคนทะเลาะกันเกือบคร่าชีวิตของเฉินจืออี้ไปเขาลื่นล้มลงมาจากหน้าผาฉันไม่รู้ว่าตัวเองตามหาเขาเจอได้อย่างไรและฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองที่หนักแค่ห้าสิบกิโลกรัม สามารถแบกเขาที่หนักเจ็ดสิบกว่ากิโลกรัมเดินออกมาทีละก้าวทีละก้าวจนถึงถนนใหญ่ได้อย่างไรฉันรู้แค่ว่าแสงจันทร์ในค่ำคืนนั้นช่างอบอุ่นเหลือเกินและเฉินจืออี้ก็ยังกระซิบข้างหูฉันตลอดว่า“ไม่ได้ ฉันจะตายไม่ได้ เสี่ยวซิงซิงรอฉันอยู่
หลังจากแน่ใจว่าอาการของฉินไฉ่เวยเป็นปกติ เฉินจืออี้ถึงกลับบ้านด้วยความวางใจเขาส่งข้อความไลน์หาฉัน บอกว่าคืนนี้จะกลับมากินข้าวที่บ้านเขาคิดว่าเมื่อเขากลับมาฉันจะสวมผ้ากันเปื้อนและทำอาหารอร่อย ๆ ไว้รอ เหมือนกับลูกสุนัขที่กระดิกหางดีใจ วิ่งเข้าไปต้อนรับเจ้าของกลับบ้านแต่เขาไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งที่รอต้อนรับเขาคือห้องที่ว่างเปล่าเขาตามหาฉันจนทั้งทุกห้องแล้วไม่พบ จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาในที่สุดเขาก็โทรศัพท์หาฉันหลังจากที่ฉันตายได้สามวันคาดว่าเสียงที่ได้ยินน่าจะเป็นเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ปิดเครื่องจากปลายสายเฉินจื่ออี้โยนโทรศัพท์ลงอย่างแรง“เจียงหว่านซิง! นังใบ้! เธอจะกล้าดีเกินไปแล้ว! ได้! ฉันไม่เชื่อว่าเธอจะกล้าไปตลอดชีวิตหรอก!”พูดจบ เฉินจืออี้ก็หยับโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง นิ้วเรียวยาวกดไปบนหน้าจอเพื่อส่งข้อความเสียง“เจียงหว่านซิง ถ้าคืนนี้เธอไม่กลับมา เธอก็ไม่ต้องกลับมาอีกเลย!”เขาโยนโทรศัพท์ลงบนโซฟา หลังจากคิดอยู่สักพักเขาก็พูดเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ถ้าก่อนเที่ยงคืนคืนนี้เธอยังไม่ตอบกลับ งานแต่งของเราเป็นอันยกเลิก!”ฉันเฝ้าดูเขาดึงเนกไทด้วยความยอมแพ้กับตัวเอง พลา
เฉินจืออี้ ฉันไม่ต้องการตั้งแต่เล็กจนโตฉันแค่อยากให้คุณสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและมีความสุข อย่าให้ภาระอย่างฉันขัดขวางความก้าวหน้าของคุณไม่ใช่แบบนี้ ที่ทำให้คุณทำลายอนาคตตัวเองทำให้คุณกลายเป็นคนที่น่ากลัวแบบนี้“เจียงหว่านซิง เธอไม่ใช่ภาระของฉัน เธอคือครอบครัวของฉัน เป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของฉันบนโลกใบนี้”“พี่มันไม่ได้เรื่อง ดูแลปกป้องเธอไม่ได้ แต่เสี่ยวซิงซิงไม่ต้องกลัวนะ พี่กำลังจะไปอยู่เป็นเพื่อนเธอแล้ว”“พี่เคยบอกไว้ว่าพี่จะปกป้องดูแลและอยู่เคียงข้างเสี่ยวซิงซิงไปตลอดชีวิต”ขณะที่มีดผ่าตัดกรีดทะลุเลือดเนื้อของเขา ฉันกรีดร้องแทบขาดใจฉันพุ่งเข้าไปเพื่อหยุดเขา แต่ฉันกลับคว้าอะไรไม่ได้เลยฉันได้แต่เฝ้ามองเฉินจืออี้ผ่าเปิดทรวงอกของตัวเองความเจ็บปวดแสนสาหัสทำให้เขาไม่สามารถทำต่อไปได้ เขาสูดหายใจเฮือกหนึ่ง“ที่แท้มันก็เจ็บแบบนี้เอง”เขายิ้มแล้วฉีดยาชาให้ตัวเองจากนั้นก็ทำการผ่าเปิดทรวงอกของตัวเองต่อไปเลือดไหลนองราวกับผีร้ายฉันไม่รู้ว่าการกระทำนั้นกินเวลานานแค่ไหนความเจ็บปวดทำให้เขาหยุดตามสัญชาตญาณ แต่ไม่นานเขายังคงทำต่อไปเขายังทำต่อไปอยู่อย่างนั้นฉันเฝ้ามอ
ครั้งสุดท้ายที่ฉันเห็นเฉินจืออี้คือข้างสระกรดซัลฟิวริกเขากอดศีรษะของฉันและสวมผ้าคลุมสีขาวแสนสวยให้ฉันอย่างทะนุถนอมและข้าง ๆ เขา เป็นฉินไฉ่เวยกับฉินตงเฟิงที่ถูกมัดไว้“เฉินจืออี้ นายมีอะไรก็มาลงที่ฉัน น้องสาวฉันไม่เกี่ยว”“ฉินตงเฟิง ที่แท้นายก็มีเรื่องที่กลัวด้วยเหรอ”เฉินจืออี้วางฉันลงบนโต๊ะ แล้วค่อย ๆ เช็ดใบหน้าที่แทบจะไม่มีฝุ่นของฉันเขาจูบศีรษะที่เน่าเปื่อยของฉันและพูดด้วยรอยยิ้มว่า“เสี่ยวซิงซิงเด็กดี รอให้พี่จัดการคนที่มันรังแกเธอก่อนนะ แล้วเราค่อยกลับบ้านด้วยกัน”ไม่นะ——เฉินจืออี้ คุณบ้าไปแล้วหรือไง? คุณกำลังผิดกฎหมายนะ!“เฉินจืออี้ นายมันบ้าไปแล้วเหรอ? นายไม่เพียงแต่ปล้นนักโทษ นายยังลักพาตัวพวกเรามาอีก! ไม่ช้าก็เร็วตำรวจก็ต้องรู้! นาย...นายจะทำลายอนาคตตัวเองแบบนี้ไม่ได้!”“อนาคตงั้นเหรอ? ฉันยังมีอนาคตด้วยเหรอ?”เฉินจืออี้แสยะยิ้ม “นายรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงอยากเป็นหมอ? เพราะตอนที่เสี่ยวซิงซิงอายุสิบสองขวบเธอไข้สูงจนเกือบตาย ฉันแบกเธอออกไปตระเวนขอความช่วยเหลือ แต่กลับไม่มีใครช่วยฉันสักคน ตอนนั้นฉันจึงตัดสินใจว่าฉันต้องเป็นหมอให้ได้ ฉันจะได้ไม่ต้องไปขอร้องคนอื่นอีก และฉ
ตั้งแต่วันนั้นที่เขาเจอศีรษะของฉันฉันพบว่าฉันเริ่มค่อย ๆ อ่อนแรงลงฉันเข้าใจว่าความยึดติดอาลัยอาวรณ์ในโลกของฉันกำลังจะหายไปแล้วและฉันก็กำลังจะหายไปเช่นกันฉินตงเฟิงถูกตัดสินประหารชีวิตแม้ว่าเขาจะบอกว่าเขาเหลืออดกับเฉินจืออี้แต่ทุกคนรู้ดีว่าเขาทำเพื่อฉินไฉ่เวยเขาเป็นลูกบุญธรรมของตระกูลฉิน และเขาก็ดูแลน้องสาวคนนี้อย่างดีมาโดยตลอดขอเพียงน้องสาวมีชีวิตอยู่ต่อไป เขายอมทำได้ทุกอย่างแม้กระทั่งฆ่ารุ่นน้องที่เขารักและเอ็นดูมาตลอดหลังจากวันนั้นเฉินจืออี้ก็ไม่ไปทำงานอีกเลยเขาเอาแต่กอดศีรษะของฉันอยู่ในบ้านเขาเก็บข้าวของทำความสะอาดบ้าน และทำอาหารที่ฉันชอบกินเหมือนเช่นเคยและยังกินมันที่ติดเนื้อให้แทนฉัน รวมถึงกินอาหารเหลือที่ฉันไม่สามารถแตะต้องไปพวกนั้น เขายังซื้อชุดแต่งงานให้ฉันด้วยแต่ศีรษะของฉันใส่ได้เพียงผ้าคลุมหน้าเท่านั้นเขาบอกว่าฉันสวยมากเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดที่เขาเคยเจอเขายังบอกด้วยว่าเขาปฏิเสธที่ฉันขอแต่งงานเพราะเรื่องแบบนี้ผู้ชายควรเป็นคนทำสุดท้ายเขาบอกว่าเขาจะอยู่กับฉันตลอดไปเมื่อศีรษะของฉันเริ่มเน่าเปื่อยมากขึ้น กลิ่นเหม็นเน่าในห้องก็เริ่มรุนแรงขึ
เพล้งเฉินจืออี้กลับถึงบ้านได้ทุบรูปปั้นขนาดใหญ่และหนักอึ้งนั้นเมื่อรูปปั้นแตกกระจาย เผยให้เห็นศีรษะคนที่ถูกเก็บรักษาอย่างดีด้วยสารเคมีโผล่ออกมาดวงตากลมโตทั้งสองของเธอยังคงเบิกกว้างด้วยท่าทางสงบราวกับว่าเธอไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดใด ๆ เลยคล้ายกับว่าเธอแค่นอนหลับไปเท่านั้นเฉินจืออี้เหมือนคนที่ค้นพบสมบัติ เขาค่อยแกะรอยแตกออกจากใบหน้าของเธอแล้วลูบเบา ๆ“เสี่ยวซิงซิง ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะปกป้องเธอเอง และจะปกป้องเสี่ยวซิงซิงของพี่ตลอดไป”
ตำรวจวิ่งเข้ามาจากด้านหลังด้วยความรีบร้อน“คุณเฉิน เราตามสืบพบแล้วว่าเมื่อเจ็ดวันก่อน ใครเป็นคนมารับคุณเจียงออกไปจากบ้านของคุณ คือคุณฉินตงเฟิง คุณรู้จักเขาไหมครับ”ตอนที่เฉินตงเฟิงถูกจับ เขาดูมีท่าทีที่นิ่งผิดปกติ“ใช่ ผมเป็นคนทำ ผมเป็นคนหลอกเธอออกไป และจ้างคนมาฆ่าเธอเอง”“ไม่มีเหตุผล แค่ไม่ชอบขี้หน้าของเฉินจืออี้ก็เท่านั้น”ฉินตงเฟิงยิ้มมุมปากมองไปที่เฉินจืออี้ เหมือนเมื่อก่อนตอนที่ยังเป็นเพื่อนกันปกติ“เธออยู่ที่ไหน?”“จืออี้ นายพูดว่าไงนะ?”“ฉันถามว่าเธออยู่ที่ไหน?”ฉินตงเฟิงยังคงยิ้ม “ฉันบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอว่าเธอยังอยู่ข้าง ๆ นายเสมอ เฉินจืออี้ นายเองก็ฉลาด ไม่รู้เลยเหรอว่าโลกใบนี้มันไม่มีเรื่องบังเอิญมากมายขนาดนั้น เช่นบังเอิญตลาดมืดมีศพผู้หญิง บังเอิญไตของศพผู้หญิงคนนั้นเข้ากันได้กับไฉ่เวย และบังเอิญว่าศพผู้หญิงคนนั้นได้บริจาคไตไปแล้วครั้งหนึ่งจึงเหลือไตแค่ข้างเดียว และบังเอิญว่าศพผู้หญิงคนนั้นก็กำลังตั้งท้อง...”“แก...แก...ไอ้สารเลว! เธอทำอะไรไม่ได้สักอย่าง! แล้วเธอก็ยังเป็นรุ่นน้องของแกด้วย!”“โมโหมากล่ะสิ? ฉันเคยเตือนนายแล้วไม่ใช่เหรอ? ศพนี้กำลังตั้งท้องและยังถูกแย
เสี่ยวซิงซิงกลัวมากจึงโทรศัพท์ไปสามครั้งตามข้อตกลงตอนนั้นเมื่อเขารับโทรศัพท์ เสี่ยวซิงซิงดีใจมากไม่ว่าร่างกายจะเจ็บปวดแค่ไหน ไม่ว่าคนข้างหลังจะน่ากลัวแค่ไหนแต่เธอเชื่อมั่นว่าพี่ชายของเธอจะต้องมาช่วยเธออย่างแน่นอนแต่พี่ชายกลับไม่มาเขายังพูดอีกว่า “เจียงหว่านซิง เธอจะพอได้หรือยัง ฉันบอกแล้วว่าอาการของไฉ่เวยอยู่ในขีดอันตราย ถ้าเธอช่วยเขาไม่ได้ เธอก็อย่ามารบกวนฉัน”เขาทิ้งเสี่ยวซิงซิงจริง ๆ แล้ว การถูกแทงในตอนนั้นมันเจ็บมากแต่หลังจากได้ยินประโยคนั้นของเฉินจืออี้ ฉันกลับสูญเสียความรู้สึกเจ็บปวดไปอย่างน่าประหลาดแม้กระทั่งในตอนที่ถูกตัดศีรษะ แขนและขาออก ฉันก็ยังไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนักตั้งแต่ต้นจนจบฉันไม่แม้แต่จะเสียน้ำตาเลยด้วยซ้ำเฉินจืออี้ร้องไห้ไม่หยุดเขาอาจจะไม่รู้ตัวว่าน้ำตาของเขาไหลออกมาไม่หยุด“ทำไมฉันถึงร้องไห้ล่ะ?”“ไม่จริง ฉันจะร้องไห้ได้ยังไง”จากนั้นเขาปาดน้ำตาและรับโทรศัพท์จากโรงพยาบาล“ไม่ทราบว่าใช่ญาติของคุณเจียงหว่านซิงไหมคะ เราโทรมาจากโรงพยาบาลประชาชนที่หนึ่งค่ะ วันนี้ถึงกำหนดนัดตรวจครรภ์ของคุณเจียงหว่านซิง เธอกับลูกในท้องค่อนข้างอ่อนแอ กรุณาเข้าม
“คุณพูดจาเหลวไหล!”เฉินจืออี้ดวงตาเปลี่ยนสีแดง พลางกำคอของฉินไฉ่เวยไว้แน่น“ไม่มีทาง! เธออ่อนแอขนาดนั้น เดินเฉย ๆ ก็ยังล้ม จะแบกผมออกมาจากเขาได้ยังไง!”“แค่ก แค่ก แค่ก...คุณมันบ้าไปแล้ว คุณปล่อยฉันนะ!”ฉินไฉ่เวยผลักเขาออกไปอย่างแรง“เฉินจืออี้ ฉันจะบอกคุณให้อีกเรื่องหนึ่ง! ตอนนั้นที่คุณผ่าตัดเปลี่ยนไต คุณก็ใช้ไตข้างหนึ่งของเธอ! ฉันได้ยินเธอขอร้องรุ่นพี่ เธอไม่อยากให้คุณรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต เลยตัดสินใจปิดบังคุณไปตลอดชีวิต!”“ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้หญิงโง่คนนั้น! รักเดียวใจเดียวอุทิศตนให้กับผู้ชายอย่างคุณ! มันก็สมควรตายแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่า!”“คุณหุบปาก ผมบอกให้คุณหุบปาก”วันนั้นเฉินจืออี้ราวกับคนบ้าสุดท้ายตำรวจก็เข้ามาถึงช่วยฉินไฉ่เวยจากเขาไว้ได้ที่สถานีตำรวจ ในที่สุดเขาก็ยืนยันการเสียชีวิตของฉัน“แม้ว่าเราจะยังไม่พบศพของคุณเจียง แต่เมื่อพิจารณาจากรอยเลือดจำนวนมากที่พบในที่เกิดเหตุ จึงตั้งข้อสงสัยว่าน่าจะเป็นฆ่าหั่นชิ้นส่วน”“หั่นชิ้นส่วนเหรอครับ?”“ใช่ครับ เราพบมือและแขนที่ถูกตัดขาดอยู่ในกองหิมะ แต่ส่วนที่ยังหาไม่พบคือลำตัวกับศีรษะ”“ไม่...เป็นไปไม่ได้...ไม่ใช่เธอ ต้องไม่ใช่เธอ...พวกคุ
หลังจากนั้นเฉินจืออี้ไม่ไปทำงานอยู่หลายวันใครโทรศัพท์มาเขาก็ไม่รับสายเขาสวมผ้ากันเปื้อนทำความสะอาดบ้านและยังทำอาหารที่ฉันชอบมากมายในทุกวันเขาทำแม้กระทั่งเสิร์ฟข้าวให้ฉันพร้อมทั้งกัดไขมันที่ติดอยู่บนเนื้อออกให้ฉัน“เธอไม่ชอบกินไขมันแต่กลับชอบกินเนื้อติดมัน ไม่รู้ว่าใครจะไปตามใจเธอได้ขนาดนั้น! รีบกินเร็วเข้า ต่อไปฉันจะไม่ตามใจเธอแล้วนะ” “เจียงหว่านซิง เธอปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหม? ข้าวแค่นี้ก็กินไม่หมด เธอดูสิว่าเธอผอมขนาดไหน!”“ช่างเถอะ เอาข้าวที่เหลือมาเดี๋ยวฉันกินเอง ครั้งหน้าห้ามสิ้นเปลืองแบบนี้อีก สิ้นเปลืองมันไม่ดีรู้ไหม!”เป็นอยู่อย่างนั้น——ฉันมองดูเขาพูดคุยกับอากาศที่อยู่ตรงหน้าไปเรื่อย ๆหลังจากนั้นก็กินข้าวที่เหลือในจานของฉันอย่างพอใจสุดท้ายเขากลับไปที่ห้องนอนของเราและกอดหมอนของฉัน เหมือนปกติที่เขากอดฉันและลูบเบา ๆ ด้วยความอ่อนโยน“เสี่ยวซิงซิง ฉันเหนื่อยจัง ฉันขอกอดเธอหน่อยนะ กอดสักพักก็หายเหนื่อยแล้ว”ฉันรู้ว่าเฉินจืออี้มีบางอย่างผิดแผกไปฉันเคยคิดว่าหลังจากเฉินจืออี้รู้ความจริงแล้วจะเป็นอย่างไรฉันอยากให้เขาสำนึกผิดและจดจำฉันตลอดไปแต่สิ่งที่ฉันไม่อยากให้เ
ในที่สุดเฉินจืออี้ก็โทรแจ้งตำรวจตำรวจตรวจสอบกล้องวงจรปิดแล้วพบว่าสถานที่ที่ฉันหายตัวไปนั้นอยู่ใกล้ ๆ กับโรงงานร้างแม้ว่าจุดนั้นจะเป็นโรงงานร้าง แต่เพราะหิมะตกจึงมักจะมีคู่รักแวะเวียนมาถ่ายรูปเช็คอินที่นั่น เพราะถือว่าเป็นสถานที่ที่โรแมนติก เฉินจืออี้ขับรถไปถึงทุ่งหิมะนั้นเขาเดินไปบนหิมะอย่างทุลักทุเลพร้อมกับตะโกนเรียกชื่อฉันจากนั้นดูเหมือนเขาจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และมองไปที่โรงงานร้างที่อยู่ไม่ไกลอย่างไม่เชื่อสายตาในที่สุดเขาก็รู้แล้วใช่ไหม?ในที่สุดก็พบว่าที่นี่อยู่ใกล้กับสถานที่ที่เขาทำการผ่าศพหญิงสาวนิรนามศพนั้น“คุณเฉิน สุนัขตำรวจของเราพบสิ่งนี้ในกองหิมะครับ”เครื่องช่วยฟังเปื้อนเลือดข้างหนึ่งยากที่จะอธิบายปฏิกิริยาของเฉินจืออี้ ดูเหมือนว่าเขาจะตกใจจนพูดอะไรไม่ออกสุดท้ายเขาก็เปิดดูเครื่องช่วยฟังราคาแพงที่เขาสั่งทำให้ฉัน“เป็นไปไม่ได้ นี่ไม่มีทางใช่ของเธอ บนโลกนี้มีเครื่องช่วยฟังตั้งมากมาย ไม่ใช่ของเธอ เธอยังรอผมกลับไปกินข้าวที่บ้าน ผม...ผมไม่พูดกับคุณแล้ว เสี่ยวซิงซิงยังรอผมกลับไปกินข้าวที่บ้าน ผม...ผมต้องกลับไปกินข้าวที่บ้าน”เขาผลักตำรวจออกและเดินโซซัดโซ