“ยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม? ฉันทำมาให้”
แม่มาลีในชุดภูมิฐานสีเข้มถอดผ้ากันเปื้อนพาดไว้กับพนักพิงก่อนจะหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ สภาพแวดล้อมในตอนนี้เธอเป็นคนสั่งให้เจ้าไกรมันเป็นคนเก็บด้วยมือตัวเอง เก้าอี้พังไปก็หลายตัว ขอบโต๊ะก็บิ่นเป็นรอย ตู้นาฬิกาเรือนหรูก็ล้มระเนระนาด ทว่าน่าแปลกใจที่ข้าวของในห้องด้วงลูกชายเธอ และกันต์ธีร์ลูกชายเจ้าไกรยังคงอยู่ในสภาพปกติ ทั้งที่ขนาดห้องพระของเขิงอะไรก็ล้มนอนหมดแท้ ๆ
ไกรวิชญ์ที่พึ่งจัดการสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเสร็จแล้วนั้นก็มานั่งแหมะบนเก้าอี้ที่อยู่อีกตัวเพียงขาข้างซ้ายอาจงอไปหน่อยจึงต้องทรงตัวให้ดี
นั่งมองถ้วยข้าวต้มแห้งทรงเครื่องนานสองนานก็ไม่กินเสียที ทั้งที่ท้องร้องเสียงดังจนเธอได้ยินเป็นจังหวะ
“ไม่ได้แอบใส่เข็มลงไปใช่ไหม?”
ไกรวิชญ์รู้นิสัยใจคอแม่เลี้ยงคนนี้ รวมไปถึงรู้ด้วยว่าตนเองได้ทำอะไรกับลูกชายเจ้าหล่อนเอาไว้บ้าง จึงค่อนข้างระแวดระวังอาหารการกินเป็นพิเศษ
“ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องใส่ กินได้”
“...”
นายตำรวจสภาพโทรมเงยหน้านิ่งมองสบตาแม่เลี้ยงที่ก็หน้าเรียบแบนไม่ต่างกัน
เข
ไกรวิชญ์ตอนนี้กำลังเดินถือกระเป๋าสานใบโตเดินตามคุณแม่เลี้ยงต้อย ๆ จากการไปซื้อเนื้อผักสดที่ตลาดข้างสถานี ในตอนนี้เขาสามารถเรียกหญิงเจ้าว่าเป็นมารดาได้อย่างเต็มปาก เพราะที่ผ่านมาพวกเขาสามคนเจอเรื่องที่ค่อนข้างหนักหน่วงจนไม่มีเวลาคุยกัน รู้ตัวอีกทีนายหญิงใหญ่ก็ขอตัวย้ายไปอยู่บ้านพักตากอากาศเสียแล้วยิ่งได้คุยยิ่งแน่ใจว่าด้วงได้นิสัยแม่มาเต็ม ๆ ถึงจะพูดจาโผงผางเสียงดังกระชับแต่เนื้อแท้เป็นคนจิตใจดี หากตนมีทรัพย์สินเงินทองก็มักช่วยเหลือแบ่งปันเสมอ หากมองเปล่า ๆ ใครจะไปรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เคยลำบากตรากตรำเป็นแม่ค้าปูเสื่อขายผักมาก่อน“ไกร เดี๋ยวเอ็งไปเด็ดกะเพราที่สวนหลังบ้านมาให้แม่ทีนะ”“ครับ”ไกรวิชญ์พยักหน้าหลังจากจัดวางสัมภาระยังชั้นกระเบื้อง เอื้อมไปหยิบตะกร้าจักสานเดินออกจากครัวไปอย่างรวดเร็ว แม่มาลีเดินออกมาเหล่มองท่าทีของนายตำรวจผู้ทรงมาดก็นึกยิ้มหัวเราะด้วงเล่าให้ฟังพร้อมฟูมฟายไปว่าไอ้ไกรมันน่ากลัว ชอบดุชอบบ่นอย่างนู้นอย่างนี้ ในสายตาเธอมันก็ดุแค่หน้าเท่านั้นแหละ ออกคำสั่งอะไรก็ทำตามงก ๆ เวลาไกรมันตั้งใจทำอะไรมาก ๆ ให้ความรู้สึกมันเ
“คุณย่าครับ...”“จ๊ะกันต์”“ผม... มีเรื่องจะปรึกษาคุณย่านิดหน่อยครับ...”กันต์ธีร์บอกออกมาตามตรงว่าเด็กชายไม่กล้าเล่าความนี้แก่คุณอา อย่างที่เคยเป็นมาก่อนเพราะสังเกตเห็นถึงสุขภาพกายใจของเจ้าตัวไม่ค่อยสู้ดี หากต้องมารู้เรื่องนี้เข้าไปอีกคงจะเป็นการทับถมปัญหาไปไม่จบไม่สิ้นความสัมพันธ์ระหว่างคุณย่าและหลานชายเมื่อก่อนค่อนข้างสนิทสนมกันมาก เป็นประหนึ่งคุณแม่อีกคนก็ว่าได้ เวลาเด็กชายมีอะไรนอกจากอาด้วงจะเป็นย่ามาลีที่คอยอยู่ข้าง ๆ เสมอมา ขณะนี้ก็เช่นกันเด็กชายนั่งอยู่ข้าง ๆ เงยหน้ามองคุณย่าที่ส่งยิ้มมอบกำลังใจมาให้อย่างไม่ขาด ทีแรกเขารู้ว่าบิดาชอบพอในตัวคุณอาผู้เป็นน้องชายบุญธรรมแต่ทว่าเขาไม่รู้เลยว่าในทางตรงกันข้าม อาด้วงคิดเห็นอย่างไรกับคุณพ่อ จนเมื่อหลายวันก่อนมาถึง เขาออกมาแอบดูหน้าห้องคุณพ่อด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะได้ยินบทสนทนา‘เราเอาเรื่องนี้ไปบอกลูกกันเถอะ’‘ไม่ได้...’‘เรื่องมันเป็นแบบนี้แล้ว ทำไมเรายังปฏิเสธความรู้สึกตัวเองอีก’‘พี่คิดสิว่ากันต์จะรู้สึกยังไง แค่คืนนั้นท
ดันกิมาขึ้นสถานีรถไฟอย่างเคยทว่าเวลากลับเปลี่ยนไป ไม่ใช่เช้าตรู่แต่เป็นช่วงหัวค่ำเพราะวันพรุ่งนี้เขาว่าจะไปหาพี่ชายสักหน่อย เนื่องจากเจ้าตัวเมื่อรู้ที่อยู่ของเขาก็ส่งจดหมายมาไม่หยุดหย่อนประหนึ่งไม่กลัวว่าใครจะรู้อาชีพที่แท้จริงของเขาอาจารย์ชาวญี่ปุ่นในชุดคอปกสีขาวถอดเสื้อคลุมสูทออกมาพาดไว้กับกระเป๋าเดินทางคู่ใจเมื่อขึ้นมาหาที่นั่งได้ เพราะเป็นกะดึกเขาจึงไม่คาดหวังที่จะได้พบหน้าคุณดลรวี ทั้งที่เมื่อก่อนช่วงนี้จะได้เจอแท้ ๆ แต่มันคงจะเป็นการดีสำหรับเจ้าตัวมากกว่าที่จะได้มีเวลาพักผ่อนอยู่กับคนที่บ้านมากขึ้น เพราะก่อนหน้า อาการคุณดลรวีไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไรนัก ทำเอาเขาเป็นห่วงเลยว่าสักวันหากเจ้าตัวเกิดล้มทรุดขณะเดินทำงานจะเป็นอย่างไรทว่าคิดถึงเรื่องคุณดลรวีแล้วก็อดนึกไม่ได้ถึงวันที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะเขยิบขึ้นไปอีกระดับ เพราะตอนนี้อะไรหลายอย่างที่นายสถานีคนโปรดแสดงออก เขาก็เห็นว่าเหมาะสมแล้วที่จะเอ่ยปากขอคบหาดูใจอย่างตรงไปตรงมากระนั้นลึก ๆ ของเขากลับเป็นกังวลอยู่เรื่องหนึ่ง เขาคิดไม่ตกมาก็หลายครั้งหลายคราเมื่อเอาหัวลงหมอน เพราะรสนิยมของเขาจะว่าแปล
“กันต์ครับ เข้าบ้านไปอย่าลืมบอกคุณพ่อว่าอาออกไปธุระเรื่องเรียนพิเศษของเรา กลับไม่เกินสองทุ่มนะ”เด็กชายเจ้าของชื่อพยักหน้าหงึก ๆ ด้วยความเข้าใจ คุณอากำชับเรื่องนี้แล้วรวมไปถึงให้เล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับครูอุ่นโดยละเอียดและวันเวลาที่อาจารย์เจ้าจะเข้ามาทดลองสอนด้วยเช่นกันกันต์ธีร์ในชุดพร้อมนอนเดินสะพายกระเป๋าเข้าบ้านในขณะที่คุณอาเมื่อฝากฝังอะไรเสร็จสรรพจะรีบวิ่งออกไปยังทางที่พึ่งเข้ามาเพื่อไปให้ถึงที่หมายเร็วที่สุด จริง ๆ คุณอาหมายจะช่วยถือสัมภาระทั้งหมดขึ้นบ้านทว่าเพราะเขาเห็นเจ้าตัวมีธุระต่อที่สถานีจึงอาสาทำให้เองทว่าเมื่อคิดจะเอื้อมสองมือก้มไปหยิบหูกระเป๋าก็มีมือใหญ่มาคว้ามันไปเสียก่อน“เดี๋ยวพ่อเอาสองใบนี้ขึ้นไปให้เอง ลูกถือแต่ของตัวเองเถอะ”“ครับ”กันต์ธีร์หรี่ตาเม้มปากมองพื้นด้วยความแปลกใจก่อนจะเงยหน้าเดินตามผู้เป็นบิดาขึ้นบันได เขาเตรียมใจที่จะมาเจอคุณพ่อมาดดุเสียมากกว่า แต่ก่อนคุณย่าจะไปจากเรือนเมื่อสัปดาห์ก่อนหญิงเจ้าก็สัญญาเอาไว้แล้วว่าเมื่อเขากลับมาเขาจะได้เจอกับพ่อคนใหม่แน่นอนเมื่อเดินขึ้นไปหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่
ไกรวิชญ์ในเช้าวันศุกร์กำลังจัดแจงเครื่องแบบตำรวจบนตัวให้เข้าที่พร้อมสำหรับการออกทำงาน เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยสิ่งสุดท้ายคือการหยิบนาฬิกาเรือนโปรดขึ้นมาสวมยังข้อมือข้างซ้ายพร้อมตรวจเวลาไปด้วย เขาติดนิสัยตื่นเช้าตามน้องชายหลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จตอนนี้จึงเป็นเวลาเพียงตีห้าห้าสิบ เขาเหลือเวลาอีกเหลือเฟือสำหรับการทานมื้อเช้าจู่ ๆ เมื่อเขาบังเอิญมองไปยังหัวเตียงซึ่งเป็นที่ประจำของนาฬิกาปลุกและมันเคยเป็นที่วางถุงหอมทุกครั้งที่เขาเคยได้รับมาจากน้องชาย ว่าแล้วก็ชวนให้คิดถึง จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เขาได้รับคงจะเป็นวันเกิดตัวเองเมื่อกลางปี จนตอนนี้เขาก็ยังไม่ทิ้งมันไปและเก็บรักษาพวกมันทั้งหมดไว้เป็นอย่างดีแม้ดอกไม้จะแห้งกรอบไปแล้วก็ตาม เขาติดนิสัยนี้มาตั้งแต่ได้รับถุงหอมทำมือครั้งแรกเมื่อสมัยเด็กแล้ว ทีแรกก็ว่าจะทิ้งเมื่อมันหมดกลิ่นทว่าเมื่อเอาเข้าจริงเขากลับทำใจทิ้งไม่ลงเมื่อรู้ว่าด้วงเป็นคนเย็บเองกับมือ ดังนั้นตอนนี้ซองทั้งหมดจึงถูกเก็บไว้ในกล่องที่เขาซื้อมาโดยเฉพาะตอนนี้เขาชักอยากได้มันอีกแล้วสิ เพราะเวลาได้กลิ่นโชยมามันชวนให้หลับสบายจริง ๆ ไหนลูกชายเขาเมื่อหลาย
ความกังวลของเขาดำเนินมาจนถึงวันเสาร์ของอีกสัปดาห์ เวลาแปดโมงนิด ๆ ซึ่งเป็นวันที่นัดอาจารย์เจ้าเอาไว้ เขาตื่นขึ้นมาใส่เสื้อผ้าให้พอดูได้ไม่โทรมเหมือนเมื่อวันที่มาค้าง ด้วงบอกว่าจะออกไปรับอาจารย์แกที่สถานีเพราะเป็นที่ที่เจอกันประจำแต่ละคำที่น้องชายพูดออกมาช่างแทงใจเขาได้อย่างแยบยลเหลือเกิน“อาจะไปรับคุณครูแล้วนะ”“ผมขอไปด้วยได้ไหมครับ!?”เจ้าลูกชายกล่าวอย่างตื่นเต้น แน่ล่ะ ก็เป็นคนเลือกเองกับมือนี่ไกรวิชญ์มองสองอาหลานสนทนาก็อมยิ้ม ไม่ว่าตอนไหนเวลาด้วงคุยกับกันต์หรือกับเด็ก ๆ มักจะมีไอเสน่ห์แผ่ออกมาชวนให้มองได้ตลอดจริง ๆเขาพยายามไม่เอาตัวเองไปก้าวก่ายสิ่งที่ทั้งสองคนช่วยกันตัดสินใจตามคำแนะนำของคุณแม่ ตอนแรกที่เริ่มทำก็ค่อนข้างอึดอัดนิดหน่อย แต่พอลองปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติ ก็คล้ายว่าเขาจะได้รับประโยชน์จากมันด้วยเพราะตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเบาขึ้นโขเลยเมื่อได้ยินว่าคุณอาอนุญาตให้กันต์ธีร์ไปด้วยกันได้เขาจึงนึกอะไรออกและเดินเข้าไปแตะลูกชายเบา ๆ ขณะคุณอาเดินลงไปใส่รองเท้ารอ เรียกให้เจ้าตัวหันมาฟังที่เขาจะฝาก
เพราะจดหมายที่เขาเขียนไม่ได้มีผลต่อพฤติกรรมหรือจิตใจของผู้เป็นน้องเลยแม้แต่น้อย เขาจึงยืนตั้งสติอยู่หน้าประตูแล้วสัญญากับตัวเองว่าจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่ไม่ทำให้ด้วงต้องน้ำตาตกอีก*ก๊อก ก๊อก* เมื่อคิดเรียบเรียงคำถามในหัวแล้วเขาจึงค่อยยกมือขึ้นเคาะบานประตูเนื้อหนาพอให้อีกคนได้ยิน แล้วจึงเอ่ยระบุตามปกติ“พี่เองครับ ขอเข้าไปได้ไหม?”ภายในห้องนั้นเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรหลังจากสิ้นประโยค เขาจึงตัดสินใจรอไปอีกสักพักเผื่อว่าเจ้าของห้องกำลังใช้เวลาตัดสินใจ ทว่าผ่านไปนานสองนานจนผิวเขาเริ่มสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่เพิ่มขึ้น ไกรวิชญ์จึงตั้งใจจะเคาะอีกครั้งและหากครั้งนี้เจ้าตัวไม่ออกมาเขาจะยอมแพ้และผลัดการสนทนาไปเป็นวันอื่นแทนทว่าระหว่างที่เขาวางแผน เสียงกลอนที่ถูกไขจากด้านในก็ดังขึ้นพร้อมประตูที่แง้มออก เจ้าตัวไม่ได้รอรับเขาแต่เมื่อเปิดประตูเสร็จกลับเดินไปนั่งขอบเตียงทันที ภายในห้องไม่ได้มีจุดกำเนิดแสงใดนอกจากตะเกียงที่เขาติดมือมาด้วยเขาพาตัวเองมานั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามน้องชายที่สีหน้าดูจะไม่อยากคุยกับเขาสักเท่าไรนัก ดวงตาไร้แววนิ่งเฉย ไม่เปิดเ
นี่ถือเป็นการรับคำปรึกษาเชิงจิตวิทยา การสนทนานี้มีเป้าประสงค์เพื่อความเข้าใจที่มาของอารมณ์เชิงลบที่ก่อปัญหาและนำไปสู่พฤติกรรมของผู้รับฟังที่กระทบต่อการดำเนินชีวิต เมื่อนั้นเขาจึงจะสามารถช่วยหาวิธีที่เหมาะสมสำหรับคนไข้ได้“เล่าออกมาเท่าที่คุณสบายใจได้เลยครับ”“จะมีชื่อผมอยู่ในประวัติคนไข้รึเปล่าครับ?”“จะมีชื่อครับ แต่ไม่ใช่ในฐานะคนไข้ และเป็นผู้เข้ารับคำปรึกษาแทน”ไกรวิชญ์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ในเมื่อเขาต้องเล่าออกมาเจ้าตัวถึงจะให้ความช่วยเหลือเขาได้ แต่หากมันต้องอยู่ภายใต้ความสบายใจของเขาด้วยแล้วละก็“ผมมีน้องบุญธรรมอยู่คนหนึ่งครับ...”เขาไม่ได้โกหก เพียงไม่ได้ระบุเพศลงไปในรูปประโยค และเมื่อคุยกันไปกันมาหมอเองก็ดูจะไม่ได้คะยั้นคะยอให้เขาพูดสิ่งที่เขาไม่เต็มใจรวมไปถึงเขามีโอกาสหยุด หรือปฏิเสธการตอบคำถามได้ทุกเมื่อน่าแปลกใจที่คนอย่างเขาสามารถเล่าเรื่องครอบครัวตัวเองออกมาได้เป็นฉาก ๆ จนมาชะงักตอนที่เขาต้องเล่าเรื่องคดีการพนันและเรื่องพ่อ...เขาสังเกตว่าปากกาในมือหมอหยุดนิ่งมาตลอดจนเมื่อเขาหยุดชะงักไปนาน ตอนนี้คุณห
“ตื่นมาก็ทำงานเลยหรือ?”องค์กษัตริย์ไถ่ถามมเหสี ที่เคยนอนด้วยกันปกติจะเป็นเขาที่ออกมาทันทีหลังแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จเนื่องจากมีราชกิจกับเหล่าเสนาบดี แต่วันนี้เนื่องจากเป็นวันดีที่จะได้ไปส่งมเหสีขึ้นเกี้ยวกลับไปเยี่ยมมารดาพวกเขาจึงตื่นสายหน่อยและให้เวลาส่วนตัวแก่มเหสีคนใหม่ จึงมาอาบน้ำด้วยตัวเอง“ข้าไม่คิดว่าท่านจะทำได้จึงมีงานวังหลังเหลืออยู่”“เช่นนั้นเจ้าก็เลือกสนมรองขึ้นมาช่วยงานสิ งานบัญชีเยอะเช่นนี้เจ้าทำคนเดียวไม่ไหวหรอก”“หากข้าเลือกขึ้นมาแล้วท่านสัญญาได้ไหมว่าจะปันเวลาให้พวกนาง”เขาไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบเดิมซ้ำสอง อย่างไรพระสนมส่วนใหญ่ถึงบางรายอาจไม่แสดงออกแต่ลึก ๆ ทุกคนล้วนต้องการความรักจากองค์จักรพรรดิทั้งสิ้น“ข้าทำไม่ได้มเหสี”“เช่นนั้นก็สมควรแล้วที่ข้าจำต้องตื่นแต่เช้ามาทำงานแต่เพียงผู้เดียว”ว่าแล้วอดีตพระสนมจึงวางพู่กันลงลุกขึ้นจากเบาะรองนั่งเดินตรงไปยังส่วนอาบน้ำโดยไม่แม้แต่จะสบตาพระสวามีผู้ทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองได้ปิ่นปักผมหงส์กนกมาครองแม้วันนี้พวกเขาจะมีนัดไปเยี่ยมมารดาแต่ก็ยังคงตื่
“ท่านพี่ ท่านพี่เพคะ ท่านพี่ว่าปิ่นปักผมชิ้นนี้เข้ากับน้องไหมเพคะ?”เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงในชุดผ้าแพรยาวสีสันสดใสพร้อมด้วยสองมวยผมที่จับมักเป็นมวยกลมตกแต่งด้วยดอกไม้หยกห้อยระย้าประดับกรอบหน้างามอย่างคุณหนูลูกสาวขุนนางใหญ่ เธอหยิบปิ่นปักผมดอกกล้วยไม้ขึ้นมาทาบศีรษะกล่าวถามเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันที่ปลอมตัวเป็นคนรวยเข้ามาเดินเล่นในชุมชนในกลางเมืองเด็กหนุ่มผมหยักศกสีน้ำตาลผินใบหน้าแววตาเหยียดมองคู่หมั้นที่ติดสอยห้อยตามเขามาด้วย ทำเอาเสียอารมณ์ไม่ใช่น้อย แทนที่จะได้เดินดูทุกข์ราษฎรแล้วเอาไปเขียนรายงานส่งท่านอาจารย์กลายเป็นต้องมาดูแลประคบประหงมลูกคุณหนูเสียอย่างนั้น“กระจกก็มีเจ้าไม่ส่องดูเอาเองล่ะ”ไร้ซึ่งความเห็นใจ เด็กหนุ่มตอบเสียงแข็งเดินสะบัดก้นหนีจนองครักษ์ซึ่งติดตามมาด้วยถึงกับทำตัวไม่ถูกเฉกเช่นเดียวกับพระคู่หมั้นที่ยืนตัวแข็งทื่อไปแล้วองค์รัชทายาทในวัยสิบสองขวบปีเดินกระชับปีกหมวกคล้องลูกปัดหลบเลี่ยงมายังตรอกซอกซอยหนึ่งโดยมีองครักษ์ในชุดชาวบ้านเดินติดสอยห้อยตามมาคุ้มครองด้วย‘เดินถัดจากตลาดมานิดเดียวก็เจอศพคนตายแล้ว’
ชนชั้นในสถานที่อันปวงประชาภายนอกรั้วมองเข้ามาล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันถึงสิ่งปลูกสร้างอันประณีตงดงาม สวนดอกไม้อันเขียวชอุ่มและอาหารเลิศรสที่สามัญชนแม้เฝ้าเก็บเงินมาทั้งชีวิตก็ไม่สามารถลิ้มลองจานของโอรสสวรรค์ได้ท่ามกลางความอู้ฟู่โอฬารเหล่านั้น ภาพสวยหรูที่ใครต่อใครซึ่งพรายกระซิบกันมาผ่านกำแพงสูงกลับถูกสกัดด้วยมุมมืดของวังหลวงแห่งนี้พระราชโอรสได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นกษัตริย์เมื่อพระราชบิดาสิ้นอายุขัย พระคู่หมั้นเข้าพิธีอภิเษกสมรสและได้ครอบครองปิ่นปักผมหงส์กนกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระมารดาแห่งแผ่นดิน ทั้งสองปกครองเคียงคู่กันมาจนให้กำเนิดองค์รัชทายาท เป็นที่รักใคร่เอ็นดูต่อเหล่านางกำนัลน้อยใหญ่พระราชโอรสชาญฉลาดนัก ใฝ่เรียนใฝ่รู้ทุกสิ่งรอบตัวเป็นอาจิณ กระนั้นยังคงไว้ซึ่งประกายสดใสในแววตาเปล่งปลั่ง ประหนึ่งดวงตะวันน้อยที่ค่อย ๆ เจริญเติบโตและกลายมาเป็นที่พึ่งพิงของผืนฟ้าจนมาวันหนึ่ง ท่ามกลางโต๊ะไม้สักลายมังกรวางเรียงรายด้วยจานอาหาร เมื่อพระมเหสีได้ตักเนื้อข้าวเสวยเข้าไปเพียงคำเดียว เสียงช้อนเงินซึ่งค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีดำร่วงหล่น
"กันต์มาทำงานใกล้บ้านไม่ได้เหรอ อาไม่อยากให้เราไปอยู่ที่ไหนนาน ๆ เลย”“ผมไปอยู่นั่นแค่ปีเดียว เดี๋ยวก็ได้ย้ายมาศูนย์พระนครแล้วครับ”จนแล้วจนรอดคุณอาที่เลี้ยงดูหลานชายมาตั้งแต่ยังแบเบาะจนยามนี้มีงานมีการทำก็ยังเป็นห่วงแล้วเป็นห่วงอีก กลับมาบ้านครั้งหนึ่งก็จัดอาหารชุดใหญ่เอาไว้ให้เสียอลังการ พอจะกลับไปวิทยาลัยอาเจ้าก็เอาของกินใส่ปิ่นโตมาให้ทั้งยังหาอาหารที่เก็บได้นาน ๆ จัดใส่กระเป๋าเอาไว้ กลัวว่าหลานชายจะไม่มีอะไรกินเมื่ออยู่ที่นั่นตอนนี้กันต์ธีร์โตเป็นหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาได้พ่อ กำลังเรียนต่อชั้นป.โทจากทุนที่ได้มาทันทีหลังจบป.ตรี ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในนักวิจัยพรรณพืชของวิทยาลัยแม้เป็นที่ภาคภูมิใจของคนในครอบครัว ทว่าคุณอาไม่ชอบใจเท่าไรที่ที่เรียนที่ทำงานไกลจากบ้านเหลือเกิน เขาอดใจรอหลานเรียนจบ หวังจะได้กลับมาเห็นหน้าค่าตาทุกวันเหมือนวันวานกลายเป็นต้องเหินห่างกันเหมือนเดิมไปอีกหนึ่งปีเสียได้“เดี๋ยวผมจะพยายามกลับมาให้ได้ทุกสัปดาห์นะครับ”“มันจะไม่รบกวนเราไปใช่ไหมกันต์?”เดินทางครั้งหนึ่งนอกจากจะมีค่าใช้จ่ายแล้วยั
กันต์ธีร์ × อาจารย์น้ำหวานคุณอานายสถานีในวัยสามสิบสี่ย่างสามสิบห้านั่งปักผ้าเตรียมทำถุงหอมให้พี่ชายคนรักและกันต์ธีร์ที่จะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์นี้ โดยมีพี่ชายนั่งกกกอดอยู่ด้านหลังซุกไซ้ใบหน้าไปมาตามกิจวัตรอยู่บนเตียงนุ่ม แทนที่จะเรียกว่าเอือมระอาให้เรียกว่าชินชาเสียมากกว่า ทว่าอย่างไร ณ จุดจุดนี้อ้อมกอดของพี่ก็ไม่ได้ทำให้เขาปักผ้าลำบากขึ้นมากนักหรอกเห็นว่ามหาวิทยาลัยกันต์ธีร์อยู่ไกลจึงจำต้องไปอาศัยพักหอในที่ทางมหาวิทยาลัยจัดเอาไว้ให้ ดีที่เจ้าตัวเก่งพอจะได้ทุนการศึกษา ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จึงไม่ได้หนักหนาอะไรมาก เผลอ ๆ อาจราคาพอกันกับสมัยมัธยมเลยกระมังทว่าแม้จะผ่านมาครบหนึ่งปีที่หลานชายที่รักต้องออกไปใช้ชีวิตคนเดียวก็ยังมีเรื่องที่คุณอาคนนี้กังวลใจอยู่ไม่หาย“เฮ้อ...”“ถ้าเหนื่อยก็พักก่อนก็ได้ครับ ค่อยเย็บใหม่วันพรุ่งนี้”“น้องไม่ได้เหนื่อยเรื่องนั้น น้องแค่เป็นห่วงน้องกันต์”“กันต์โตเป็นหนุ่มแล้ว ปล่อยให้เขามีชีวิตเป็นของตัวเองบ้างก็ได้ ไว้มีปัญหาพี่เชื่อว่ากันต์จะมาบอก
“ด้วง เรามาโกนหนวดให้พี่ได้ไหมครับ?”ไกรวิชญ์ในทุกอาทิตย์มักจะเข้ามาอ้อนขอน้องชายถึงสิ่งนี้เป็นประจำ บางครั้งด้วงก็งงงวยว่าทำไมเจ้าพี่เมื่อก่อนก็จัดการเคราบนหน้าได้เองตามปกติแต่ทำไมหลังจากที่เขาโกนให้ครั้งแรกถึงได้ติดอกติดใจนัก“พี่เตรียมของไว้นะ เดี๋ยวผมตามเข้าไป”ด้วงซึ่งอาสาเช็ดโต๊ะทานอาหารหลังมื้อเช้าเสร็จบอกดังนั้นก่อนจะเห็นพี่ไกรเดินเข้าห้องอย่างอารมณ์ดี หากเทียบตัวตนของพี่ไกรวิชญ์เมื่อปีที่เรื่องราวเกิดขึ้นล้านแปดแล้วเหมือนเป็นคนละคนตอนนั้นเขามองหน้าพี่แทบไม่ติดคล้ายจะมีรังสีความน่ากลัวแผ่ออกมาตลอด คุยกันครั้งหนึ่งต้องมีทะเลาะเบาะแว้งไม่ลงรอย แต่มาเดี๋ยวนี้พี่เจ้าแค่มองหน้าเขาก็ยิ้มร่า มักจะชอบวิ่งเข้าหามาช่วยเขาไม่ว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องเล็กแค่ไหน จนบางครั้งก็เหมือนได้เห็นภาพซ้อนของกันต์ธีร์ในวัยเยาว์อย่างไรอย่างนั้น คิดแล้วก็ขำกับตัวเอง นี่เขาเห็นพี่มีนิสัยเหมือนเด็กเล็กอย่างนั้นหรือด้วงคิดสะระตะก่อนเดินไปพาดตากผ้าขี้ริ้วกับระเบียงด้านนอก จัดแจงเก้าอี้ให้เข้าที่แล้วจึงพาตัวเองเดินเข้าห้องนอนไปทำตามที่พี่เจ้าร้องขอไว้
“ไอ้ไกร ยังหมัดหนักเหมือนเดิมเลยนะ”“ขอบคุณครับ”ไกรวิชญ์รู้สึกว่าตัวเองห่างหายจากการซ้อมมวยมานานจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่มาเห็นจะเป็นเมื่อต้นปีที่แล้วก่อนที่จะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นจนเขาไม่มีเวลามากพอจะมาให้เวลากับการฝึกซ้อมที่นี่เป็นลานอเนกประสงค์ซึ่งตำรวจในพื้นที่หากมีเวลาก็จะมานั่งสังสรรค์พักผ่อนจากการทำงานในกรณีวันไหนไม่อยากกลับไปเจอหน้าเมีย (ไอ้พูนที่ก๊งเหล้าประจำนั้นเป็นคนบอกมา) ทว่าสำหรับเขาแล้วที่นี่เหมือนเป็นที่ออกกำลังเสียมากกว่า แถมทำไมเขาจะไม่อยากกลับเจอหน้าคนรักเล่าไกรวิชญ์ซึ่งปลดเสื้อเครื่องแบบออกเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวเปื้อนเหงื่อเดินกลับมานั่งพักบนแคร่ไม้ไผ่พลางถอดผ้าพันข้อมือ เขาค่อนข้างภาคภูมิใจมากที่วันนี้ข้อนิ้วเขาไม่ได้รับบาดเจ็บจนถลอกจากการต่อยถุงทราย ทั้งยังสภาพการณ์ดีขึ้นเยอะ แบบนี้ด้วงก็ไม่ต้องมาสละเวลานั่งทายาให้แล้ว“โอ๊ย ๆ ปวดไหล่จังเว้ย ไอ้ไกรเอ็งเมื่อก่อนมาซ้อมทุกวันเลยดิ”พูนเดินกลับมาจากลานหลังลองวัดฝีมือกับชาวบ้านในวงท่านหนึ่ง เพราะอยากรู้ว่าตัวเองอยู่ในระดับไหน แต่เอาเข้าจริงเขาที่ถนัดลอบเร้นม
ย้อนกลับไปวันที่ทุกคนจะไม่อยู่บ้านเนื่องจากคุณแม่ที่กลับมาอยู่บ้านหลักสักพักก็คิดจะย้ายกลับมาอย่างเต็มตัว ยิ่งไปกว่านั้นก็อยากพาเจ้าหมึกมาพระนครด้วย ทั้งกันต์ธีร์นัดกับเพื่อนว่าจะไปนอนค้างคืนเล่นอะไรตามประสาในช่วงวันศุกร์-เสาร์ ทำให้เขาและพี่ไกรเหลือกันอยู่สองคนในบ้าน เพราะลุงแดงก็อาสาตามไปช่วยขนสัมภาระกับพี่ชมพู่เมื่อรู้ดังนั้นพวกเขาเลยตกลงกันว่าจะออกไปเที่ยวกันสองคน พี่ไกรจึงเสนอว่าจะพาไปขับรถเล่นหลังจากปล่อยรถนอนในอู่มานานหลายปีจนต้องมีล้างทำความสะอาดไล่ฝุ่นกันนิดหน่อย เมื่อลองเปิดปิดใช้งานเครื่องยนต์ก็ยังสามารถทำงานได้ดีเหมือนเดิมพี่ไกรบอกว่าจะกลับมาขับรถให้มากขึ้น เวลาพาครอบครัวไปไหนมาไหนจะได้ไม่ต้องรอระบบขนส่งสาธารณะไกรวิชญ์ในชุดพร้อมเที่ยวเปิดประตูหน้าคนขับเข้ามาในรถ เมื่อเห็นว่าเครื่องปรับอากาศทำงานได้ดีไม่ร้อนอบอ้าวเขาจึงเดินขึ้นไปตามด้วงให้ลงมา“ไปวันเดียวเอง เราขนอะไรไปเยอะจัง”“ผมไม่ชินเลย ไปกันแค่สองคน”ปกติหากไปเที่ยวจะไปกันทั้งครอบครัว หรืออย่างน้อยก็จะมีกันต์ธีร์มาด้วยอีกคนเสมอ แต่ครั้งนี้เพราะเป็นครั้งแรกมัน
ด้วงเข้าใจดีว่าพี่ชายเป็นตำรวจก็มีล้มลุกคลุกคลานบ้างเวลาไล่ตามโจรผู้ร้ายน้องชายในชุดเครื่องแบบนายสถานีพึ่งเลิกงานมาหมาด ๆ นั่งมองพี่ชายบนเตียงคนไข้ตาเขม็งโดยที่ไกรวิชญ์ไม่สามารถปฏิเสธข้อกล่าวหาได้เป็นพี่พูนที่เอาความมาเล่าสู่กันฟังกับเจ้าแผนและเขาที่สถานีรถไฟ เห็นว่าคราวนี้งานไม่ยากเย็นอะไรเพราะได้ข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ ตัวพี่เองไม่ต้องลงไปอยู่ในสนามรบเองก็ได้ ทั้งพี่พูนเห็นว่าช่วงนี้พี่ไกรมีปัญหาด้านสายตา เริ่มมองระยะไกลๆ ไม่ค่อยชัด จะเอื้อมหยิบเอกสารที่อยู่ห่างออกไปสักหน่อยก็หยิบผิด ๆ ถูก ๆ เพ่งสายตามองนานเป็นนาทีก็ยังอ่านตัวอักษรบนกระดานไม่ออกซึ่งพี่พูนก็ปรามแล้วแต่พี่ไกรก็ยังดื้อแพ่งจับปืนไปลงพื้นที่โดยเมินคำเตือนเหล่านั้นจนได้กระสุนฝังหน้าขามาจนได้ แบบนี้เขาขอหยิกให้เนื้อเขียวหน่อยเถอะ“หายแล้วพี่ไปตัดแว่นใส่เลยนะ”“ไว้ค่อยรอช่างมาตัดให้แม่รอบหน้า-“ไม่ต้องเลย แล้วก็พากันต์ไปด้วย เผื่อมันส่งต่อทางพันธุกรรม”“ครับ...”ไกรวิชญ์เย็นวันนั้นกลับมาบ้านขากะเผลกจนต้องให้น้องชายช่วยประคอง ทั้งที่เมื่อก่อนสมัยยี