ซูเจินนางไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่นางกลับมาที่จวนแล้ว เพียงแต่รู้ว่าหวังกงกงมิได้ลงโทษอันใด นางก็เลิกสนใจเรื่องของเด็กน้อยไม่รู้ความอย่างเยี่ยนเฟยหยางทันทีขุนนางไม่น้อยในเมืองหลวงที่ต้องการมาเยี่ยมซูเต๋อถึงที่เรือน แต่ก็ถูกปฏิเสธไป เพราะเขาต้องเตรียมตัวออกเดินทางไปทิศตะวันตกของแคว้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้าในตอนนี้ภายในจวนตระกูลซู มีบ่าวในจวนเพิ่มมาอีกหลายสิบคน แต่ละคนล้วนถูกซูเจินนางให้หลันฮวาตรวจสอบเสียก่อน หากมีคนใดที่ดูไม่น่าไว้วางใจ หรือดูเหมือนจะเป็นหนอนจากตระกูลอื่นเข้ามาสืบข่าวในจวน ต่างถูกขายทิ้งออกไปทันทีทาสที่ซื้อมาแทบไม่อยากเชื่อว่าตระกูลซู มีวิธีคัดพวกเขาออกจากกลุ่มคนได้อย่างไร เมื่อนำความกลับไปบอกนายของตนที่ส่งมา พวกเขาก็ล้วนแต่แปลกใจแม้แต่ฮ่องเต้ยังไม่ส่งคนของเขาเข้ามาปะปนกับกลุ่มคนที่ตระกูลซูไม่ซื้อตัวมา เพียงแค่นี้พวกเขาก็น่าจะคิดได้แล้ว กลับคิดไม่ได้เมื่อเป็นเช่นนั้น ทาสที่ถูกขายทิ้งออกไปจึงไม่รู้เลยว่ามีบางอย่างติดตามเขากลับไปด้วย เรื่องนี้เป็นเสี่ยวเตี๋ยที่จัดการ เพราะนางไม่อาจให้จิ่วเม่ยและซูจ้านที่ต้องอยู่เรือนได้รับอันตรายต่อให้มีสัตว์ในปกครองของพวกเข
เรื่องที่ใต้เท้าหานกังวลก็เกิดขึ้นจนได้ เพราะราคาข้าวสาร เนื้อแห้งที่เพิ่มขึ้นสูงจนคนโลภแอบเก็บเสบียงไว้ขายเอง ส่วนที่แจกจ่ายก็เพียงแจกจ่ายออกไปแค่น้อยนิด เรื่องนี้เกิดขึ้นในหลายหมู่บ้านนักซูเจินนางแจ้งเรื่องที่ได้รับรู้มาจากเสี่ยวมี่ทันที พร้อมทั้งบอกที่ซ่อนของเสบียงที่ถูกยักยอกไป ใต้เท้าหานก็ไม่รอช้า เขาให้เจ้าหน้าที่เข้าไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเองยังดีที่ท่านเจ้าเมืองจินเจียมิใช่คนโลภเขาจึงไม่ได้แอบเก็บเสบียงไว้เอง เมื่อรู้เรื่องจากคนที่ใต้เท้าหานส่งมาแจ้งก็เข้าไปตรวจสอบทันทีหัวหน้าหมู่บ้านและขุนนางท้องถิ่นไม่น้อยที่ถูฏลงโทษไปใช้แรงงานถึงสามปี เพราะชาวบ้านจำนวนไม่น้อยโกรธแค้นที่ถูกยักยอกเสบียงในส่วนของตน จนเกือบจะเกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้นยิ่งเป็นราชโองการตัดสินโทษจากฮ่องเต้ด้วยแล้ว เจ้าเมืองจินเจียก็ไม่กล้าละเลยต่างจัดการเรื่องอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวจะมีความผิดติดตัวไปด้วยหัวหน้าหมู่บ้านและขุนนางท้องถิ่นจำนวนไม่น้อยที่ถูกลงโทษต้องก็ต้องประหลาดใจ เพราะไม่รู้ว่าใต้เท้าหานสายตากว้างไกลเช่นนี้ พวกเขาออกเดินทางไปเมืองอื่นแล้วแท้ๆ ตอนที่พวกเขาจัดการเรื่องนี้ ไม่คิดว่าแม้แต่ที่ซ่อนเสบียง
ตอนกลางดึก ซูเจินนางออกจากจวนท่านเจ้าเมืองไปยังจวนหลังใหม่ที่เช่าไว้ โดยมีหลันฮวาที่ช่วยปกปิดการมีอยู่ของตัวนาง นางออกมาพร้อมกับบิดาซึ่งเขาไม่มีทางปล่อยให้นางไปเพียงลำพังอย่างแน่นอนภายในจวนท่านเจ้าเมือง แม้แต่เป็นเวลามืดค่ำแล้ว องครักษ์และบ่าวไพร่ จึงคงทำหน้าที่เวรยามกันอย่างแข่งขัน เรื่องนี้สร้างความแปลกใจให้สองพ่อลูกไม่น้อย“ท่านพ่อ ท่านว่าในจวนเจ้าเมืองเหมือนกลัวบางอย่างจะหายไปหรือไม่เจ้าคะ” ซูเจินเอ่ยถามบิดา เมื่อทั้งสองออกมาพ้นเขตจวนท่านเจ้าเมืองแล้ว“พ่อก็คิดเห็นเช่นเจ้า มีอย่างที่ใด ให้เวรยามเดินกันเพ่นพ่านเช่นนี้ หากมิกลัวว่าจะถูกพวกเราพบเจอสิ่งใดเข้า”“หากจะบอกว่าเป็นโรงเก็บเสบียงด้านหลังเห็นทีจะไม่ใช่เจ้าค่ะ แม้แต่ก่อนที่ลูกจะมาที่เรือนหลังนี้ ลูกเดินไปที่โรงเก็บมาแล้ว ก็ไม่เห็นจะมีคนอยู่เฝ้าสักคน”ก่อนที่ซูเจินนางจะมาเรือนหลังที่เช่าไว้ นางได้ไปที่โรงเก็บของเพื่อนำเสบียงบางส่วนมาใส่เพิ่มไว้ด้านในตามแผนการที่พวกเขาได้พูดคุยกันไว้“เรื่องนี้ไว้ค่อยปรึกษาท่านใต้เท้าหานก็แล้วกัน” เพราะซูเต๋อก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่เกินความสามารถของตนเช่นกันสองพ่อลูกเร่งนำเสบียงออกมาเต็มจนเต็มโร
ท่านเจ้าเมืองกังแสร้งทำสีหน้าลำบากใจ เพราะว่าภายในห้องโถงยังมีขุนนางสำคัญอยู่ถึงสองคนแต่เมื่อหันกลับมามองที่ใต้เท้าหานก็พบว่าเขามิได้มีท่าทีสนใจเรื่องที่พ่อบ้านมารายงานตน จึงได้เอ่ยขอตัวขึ้น“ข้าน้อยขอตัวสักครู่ขอรับ”“ไปเถิด เช่นนั้นข้าสองคนจะออกไปดูเจินเออร์ว่านางกลับมาแล้วหรือยัง” ความจริงทั้งคู่อยากจะหาทางปลีกตัวออกไปพบซูเจินที่กำลังตั้งโรงทาน“ได้ ได้ ขอรับ”ท่านเจ้าเมืองสาวเท้าเดินอย่างเร่งรีบไปที่ห้องรับรองข้างห้องตำราทันที เมื่อเข้าไปถึงได้ฟังเรื่องราวจากอันธพาลที่เลี้ยงดูไว้ก็เกิดโทสะ ขว้างปาข้าวของภายในห้องจนเสียงดังออกมาด้านนอก“ไป ข้าอยากจะเห็นนักว่าผู้ใดบังอาจขัดคำสั่งข้าเช่นนี้” เจ้าเมืองกังเดินนำหน้าออกจากประตูจวน พร้อมทั้งร้องสั่งให้นำรถม้าออกทันทีกว่าเขาจะเดินทางมาถึง ใต้เท้าหานและซูเต๋อก็เดินทางมาช่วยซูเจินนางแจกจ่ายเสบียงแก่ชาวบ้านเรียบร้อยแล้ว“ขอบพระคุณนายท่านเจ้าค่ะ” หญิงชรารับถุงเสบียงพร้อมเอ่ยขอบคุณเสียงสั่นที่เรือนของนางไม่มีอาหารเหลืออยู่แล้ว สามีก็มาล้มป่วยลงไปอีกคน นับว่าอาหารที่ได้ครั้งนี้เพียงพอให้ทั้งคู่ที่รอบุตรชายเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากพี่สาวที่
ความจริงเวลานี้ทุกคนสมควรต้องกลับเรือนไปพักผ่อนแล้ว แต่ตอนที่ทานมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว ใต้เท้าหานกลับเอ่ยรั้งให้ท่านเจ้าเมืองกังอยู่พูดคุยกับเขาต่อ เพราะอาจจะได้ตัวคนร้ายในค่ำนี้เลยทั้งหมดออกไปจากจวนท่านเจ้าเมือง เพื่อเดินทางไปที่ว่าการ ที่เสี่ยวสือพาคนและหลักฐานที่จับกุมได้เดินทางล่วงหน้าไปก่อนแล้วซูเจินนางไม่ได้ติดตามไปด้วย แต่บอกกล่าวบิดาไว้แล้วว่านางจะขึ้นเขาไปดูแหล่งต้นน้ำ เพราะเรื่องนี้ก็ไม่อาจล่าช้าได้เช่นกันทางด้านใต้เท้าหานกับซูเต๋อ เมื่อมาถึงก็ต้องตกใจไม่น้อยที่คนร้ายทั้งหมดใบหน้าปูดบวมทั้งยังเสื้อผ้าที่ขาดหลุดลุ่ยไม่เหลือชิ้นดี ไม่ต้องถามก็พอจะเดาได้ว่าเป็นสัตว์ในปกครองของซูเจินนางลงมืออย่างแน่นอนเจ้าเมืองกังเมื่อเห็นคนของตนถูกจับกุมตัวไว้ แข็งขาก็อ่อนแรงจนล้มไปกองกับพื้น ลำบากให้ซูเต๋อต้องประคองเขาลุกขึ้นมานั่งที่เก้าอี้อีกทียิ่งเห็นคนที่ซูเต๋อไปจับตัวมาอีกเกือบสิบคน ท่านเจ้าเมืองก็จวนเจียนจะเป็นลมเสียให้ได้ ได้แต่คิดอยู่ในใจ เห็นทีครั้งนี้เขาคงไม่รอดแล้วแต่จิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างท่านเจ้าเมืองกังก็ไม่ยอมจนมุมกับเรื่องนี้ง่ายๆ เพราะไม่มีหลักฐานว่าเสบียงที่เขาขนออกจากจวนเ
ซูเจินเดินเข้าไปที่ฝายกั้นน้ำ นางเพ่งจิตทั้งหมดไปที่ก้อนหินเพื่อทำลาย แต่อาจจะเป็นเพราะด้วยอารมณ์ของนางที่มีโทสะอยู่เต็มท้องทำให้เกิดแรงระเบิดส่งเสียงดังไปทั่วผืนป่า แม้แต่ชาวเมืองซีจวงและเมืองที่อยู่ใกล้กันต่างก็ได้ยินอย่างชัดเจนใต้เท้าหานกับซูเต๋อที่ยังวุ่นวายอยู่ที่ว่าการ ต้องลุกพรวดวิ่งออกมาด้านหน้าที่ว่าการด้วยความตกใจ ทั้งสองมองไปทางทิศเหนือของเมืองด้วยความกังวลเพราะครั้งนี้ไม่มีแสงสีขาวปรากฏเช่นที่เมืองเหอโจว แต่กลายเป็นเสียงที่ดังสะเทือนไปทั่วแผ่นดินแทนซูเต๋อได้แต่หวังว่าบุตรสาวของเขาจะปลอดภัย เขาได้แต่โทษตนเองที่ปล่อยให้นางไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเองทางด้านซูเจินนางไม่ได้รับอันตรายตรงที่ใด เพราะหลันฮวาใช้พลังของนางปกป้องทั้งหมดเอาไว้ได้ทันพอฝายกั้นน้ำที่ทำจากหินพังทลายลง มวลน้ำขนาดใหญ่ก็ไหลไปตามเส้นทางน้ำแม่น้ำซีจวงทันที ถึงจะมองจากตรงที่นางยืนอยู่จะดูน่ากลัวราวกับว่ามวลน้ำจะซัดซูเจินที่ยืนริมตลิ่งหายไปกับสายน้ำแต่เมื่อน้ำจวนจะมาถึงตัวนางกลับม้วนตัวลงไปตามเส้นทางน้ำตามเดิม แม้แต่ละอองยังไม่กระเด็นมาโดนตัวนางเลยสักนิดซูเจินเดินไปที่ผืนป่า นางวางมือลงอีกครั้ง พร้อมทั้งเพ
เจ้าเมืองกังย่อมรู้เรื่องนี้ดี หากเขายอมรับสภาพออกมาทั้งหมดไม่แคล้วโทษที่ได้รับคงเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย จึงได้ยอมทนโดนทรมานไม่ยอมที่จะเปิดปากพูดออกมา“ส่งตัวเข้าเมืองหลวงเสีย ให้ฮ่องเต้สอบความด้วยพระองค์เอง” ใต้เท้าหานไม่ต้องการให้เจ้าเมืองกังตายก่อนที่จะรู้เรื่องราวทั้งหมด จึงให้เจ้าหน้าที่รีบนำตัวไปส่งที่เมืองหลวงทันทีเมื่อเห็นว่าเรื่องที่เมืองซีจวงจัดการเรียบร้อยแล้ว ใต้เท้าหานจัดจัดการแต่งตั้ง รองเจ้าเมือง ให้ขึ้นรักษาการแทนเจ้าเมืองกังไปชั่วคราวก่อน รอคำสั่งแต่งตั้งจากราชสำนักอีกทีทั้งหมดจึงออกเดินทางพร้อมกับขบวนคุมตัวเจ้าเมืองกังเข้าเมืองหลวง หากเกิดเรื่องใดขึ้นระหว่างทาง อย่างน้อยองครักษ์ที่ใต้เท้าหานนำมาจะได้จัดการได้ทันซูเจินนางก็มีความคิดเห็นไม่ต่างจากใต้เท้าหาน เจ้าเมืองกังเป็นเพียงขุนนางขั้นแปดจะติดต่อคนของแคว้นต้าฉีได้อย่างไร“แต่หลักฐานเรื่องผลประโยชน์ที่แคว้นต้าฉีมอบให้เจ้าเมืองกังมิอาจจะหาได้พบ เรื่องนี้นับว่ายากจะเอาผิดเขาได้” ใต้เท้าหานถอนหายใจออกมาซูเจินที่รู้เรื่องนี้ดีก็อดที่จะสะดุ้งไม่ได้ เพราะหลักฐานเอาผิดอยู่ภายในมิติของนาง หากนางมอบให้ฮ่องเต้ไม่เท่ากับว่านางด
สุดท้ายก่อนที่ขบวนคุมตัวเดินทางจะเข้าเมืองหลวงจึงได้เกิดการปะทะกับกลุ่มของมือสังหาร เพราะตลอดการเดินทางที่เข้าใกล้เมืองหลวงไม่มีที่ลับตาให้สามารถปกปิดกลุ่มขบวนเดินทางที่ใหญ่ได้จำต้องเปิดเผยตัวแต่เรื่องนี้เห็นทีจะไม่ง่ายนัก เพราะใต้เท้าหานส่งสารไปแจ้งเรื่องกับฮ่องเต้ไว้ก่อนแล้ว ฮ่องเต้จึงส่งองครักษ์เสื้อแพรมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเองเมื่อกลุ่มมือสังหารเปิดเผยตัวออกมา องครักษ์เสื้อแพรที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วก็เข้ามาจัดการ ซูเจินนางให้เสี่ยวมี่คอยคุ้มกันท่านเจ้าเมืองกังมิให้เขาโดนสังหารได้เสียก่อนในตอนนี้รอบรถม้าที่คุมขังท่านเจ้าเมืองกัง จึงมีนกหลายร้อยตัวล้อมไว้รอบ แทบจะมองไม่เห็นว่าด้านในขังผู้ใดเอาไว้ มือสังหารที่บุกเข้ามาใกล้รถม้าที่ท่านเจ้าเมืองกังถูกขังอยู่ก็ถูกนกจิกกัดเล่นงานจนเลือดอาบไปไม่น้อยถึงจะเป็นเหตุการณ์ที่น่าประหลาด แต่จะมีผู้ใดอยากจะคิดหาคำตอบในเวลานี้ ได้แต่เร่งจัดการภารกิจที่ได้รับให้เรียบร้อย เมื่อมีองครักษ์เสื้อแพรเข้ามาจัดการเรื่องนี้ เสี่ยวสือจึงนำองครักษ์ทั้งหมดมาล้อมรอบรถม้าของใต้เท้าหานเอาไว้ด้วยกลัวว่าจะมีมือสังหารเข้ามาโจมตีทางด้านใน ผิดกับคนที่นั่งในรถม้าทั
เยี่ยนเฟยหยางประคองซูเจินไปที่เกี้ยวแปดคนหามหลังใหญ่ ชุดเจ้าสาวที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่เมื่อต้องแสงแดดกับเปล่งประกายระยิบระยับราวกับมีดวงดาวนับล้านดวงอยู่ที่ชุดของนาง ยิ่งทำให้คุณหนูต้องไปอ้อนวอนบิดามารดาให้ไปถามจวนตระกูลซูว่าไปตัดชุดที่ใดมา แต่ก็มิได้รับคำตอบซูเจินถูกเยี่ยนเฟยหยางประคองเข้าตำหนักของเขา ทั้งคู่ข้ามกระถางไฟก่อนที่จะไปหยุดที่แท่นกราบไหว้ฟ้าดินด้านหน้ามีเสด็จพ่อ เสด็จแม่และไทเฮาของเยี่ยนเฟยหยางนั่งอยู่ เสียงสวีกงกงขันทีของเยี่ยนเฟยหยางร้องบอกให้พวกเขากราบไหว้ฟ้าดิน ไหว้บิดามารดา ก่อนจะคำนับกันเองซูเจินที่กำลังลุกขึ้น เพราะคิดว่าเสร็จสิ้นพิธีแล้ว แต่กลับถูกเยี่ยนเฟยหยางดึงรั้งมือของนางไว้ให้นั่งลงตามเดิม“ข้าเยี่ยนเฟยหยาง ขอสาบานต่อหน้าฟ้าดิน เสด็จพ่อ เสด็จแม่ และเสด็จย่า ว่าทั้งชีวิตจะมีเพียงซูเจินเป็นภรรยาแต่เพียงผู้เดียว หากผิดคำสาบานขอให้ฟ้าดินลงโทษ” ซูเจินจะร้องห้ามก็ไม่ทันเสียแล้วขุนนางที่ได้เข้าร่วมพิธีงานมงคลต่างตกตะลึง เพราะยังไม่มีเชื้อพระวงศ์พระองค์ใดที่กล้าเอ่ยสาบานเช่นนี้ออกมาสิ้นเสียงของเยี่ยนเฟยหยางท้องฟ้าที่กระจ่างใส ก็คำรามขึ้นเป็นการตอบรับคำของเขา ยิ
เป็นเช่นที่เยี่ยนเฟยหยางว่า เพราะซูเจินอยากให้หวังกงกงได้เดินทางไปทั่วแคว้นเพื่อท่องเที่ยวกับนาง ทั้งชีวิตเขาแทบจะอยู่เพียงในรั้ววัง หากฮ่องเต้ไม่เสด็จที่ใดเขาก็ไม่ได้ไปเช่นกันหวังกงกงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มหน้าบาน ต่างจากฮ่องเต้ที่เบ้หน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ไหนว่าจะอยู่กับเขาอีกสองปี แต่ดูเหมือนว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะทิ้งเขาไปเสียแล้วเป็นอย่างที่ฮ่องเต้คิด หนึ่งเดือนต่อมาซูเจินนางก็ขอเข้าวัง ครั้งนี้นางแลกตัวหวังกงกงกับน้ำวิเศษของนาง“เหอะ เจ้าผิดคำพูด หวังกงกงขอเวลาเจิ้นอีกสองปี แต่นี่ยังไม่ถึงหนึ่งปีเจ้าก็จะมาขโมยตัวเขาไปแล้วรึ”“เช่นนั้น พระองค์ต้องการอันใดเพคะ” นางขมวดคิ้วคิด เพราะนางคิดมาแล้วว่าจะพาหวังกงกงออกเดินทางไปด้วยกัน“เจิ้นต้องการจะเป็นผู้ฝึกตน” ซูเจินและหวังกงกงหันไปมองที่ฮ่องเต้อย่างตกใจ“พระองค์รู้หรือไม่ หากเป็นผู้ฝึกตนต้องละทิ้งบัลลังก์ พระองค์จะยินยอมหรือเพคะ” หากมีฮ่องเต้ที่มีอายุยืนยาว จะไม่สร้างเรื่องปั่นป่วนขึ้นมาอย่างนั้นรึ“เจิ้นเข้าใจเรื่องนี้ดี และคิดหาทางออกไว้แล้ว” “เสด็จพ่อ พระองค์ตัดสินพระทัยแล้วรึพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยนเฟยหยางที่เพิ่งเรียกสติกลับมาได้เอ่ยถามออกม
“เรื่องนี้...” นางคิดว่าอย่างไร การแต่งงานในวัยเพียงสิบห้าหนาวก็ดูเหมือนจะเร็วไป“เจ้ากลัวอันใด”“ข้าคิดว่ามันเร็วเกินไป ที่จะแต่งงานในวัยสิบห้าหนาว”“เจินเจิน สตรีแคว้นต้าเยี่ยนวัยเท่านี้นับว่าไม่เร็วแล้ว” เขาเริ่มจะไม่สบอารมณ์แล้ว ที่นางไม่ยอมตอบรับเสียที“เอาเถิดอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกหลายเดือน” นางบอกปัดไป ก่อนจะไล่เขาให้ไปที่ห้องพัก“ไม่ ข้าจะเข้าไปในมิติของเจ้า” เยี่ยนเฟยหยางคิดจะเข้าไปฝึกในมิติต่อ“เจ้าค่ะ” ซูเจินพาเข้าไปด้านใน สุดท้ายนางก็ต้องอยู่ฝึกด้วยกันกับเขา“นายหญิง ดอกไม้ที่ข้าปลูกไว้ รู้ว่าท่านทั้งสองกำลังจะเข้าสู่ขั้นเซียนจึงยอมสละสองดอกมาให้ท่านเจ้าค่ะ” ซูเจินมองดอกหลันฮวาที่นางเคยสัมผัสตอนที่มาที่นี่“ข้าจับมันได้ใช่หรือไม่” นางไม่รู้ว่าหากจับแล้วจะได้กลับไปที่โลกเดิมหรือไม่ นางก็ตอบไม่ได้ว่าอยากกลับไปหรือเปล่าแต่ก่อนที่หลันฮวาจะเอ่ยตอบ เยี่ยนเฟยหยางที่เห็นท่าทางของซูเจินดูไม่สบายใจ ที่นางต้องจับดอกไม้ที่หลันฮวานำมา ก็อดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้“เหตุใดเจ้าถึงไม่กล้าจับมัน”นางถอนหายใจออกมา ในเมื่อเขาอยากรู้นางก็ไม่คิดจะปิดบัง ก่อนจะเล่าเรื่องราวความเป็นมาของนาง จนได้ม
ในตอนแรกที่คิดว่านับเดือนกว่าจะถึง แต่เอาเข้าจริง นางเดินทางเพียงยี่สิบวันเท่านั้น จากหนานไห่จนถึงเขตชายแดนเหนือ ด้วยการนำทางของเสี่ยวมี่ ที่หาเส้นทางที่ใกล้ที่สุดให้นางนางแวะที่เมืองหน้าด่านของชายแดนเหนือ เพื่อนำเสบียงอาหารออกมาแจกจ่ายให้กับค่ายผู้อพยพเพราะจำนวนคนที่นางมองเห็นคร่าวๆ ก็นับเกือบแสนคนเห็นจะได้ เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าสงครามกำลังเกิดขึ้นจริงรึซูเต๋อเข้าไปพบเจ้าเมือง ที่รู้จักกับเขาดี เพื่อแจ้งเรื่องที่ทางการให้นำเสบียงออกมาแจกจ่าย ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดคิดหาที่มาของเสบียงอีกแล้วเพราะจำนวนคนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน เสบียงที่มีเพียงพอให้พวกเขากินวันหนึ่งมื้อเท่านั้น ยิ่งได้เสบียงมาเพิ่มก็สามารถต่อชีวิตชาวบ้านไปได้อีกวันครั้งนี้ซูเจินนำเสบียงออกมามากกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งยังต้องนำออกมาเกือบทุกวัน ถึงจะเพียงพอให้ทุกคนได้กินอิ่มท้องนางอยู่ที่เมืองด่านหน้าของชายแดนเหนือได้สามวัน จึงออกเดินทางไปหัวเมืองอื่นต่อ สามหัวเมืองหลักที่อยู่ด่านหน้าล้วนแต่มีคนอพยพนับแสนคน ซูเจินจึงต้องอยู่จัดการเรื่องเสบียงหลายวันเกือบหนึ่งเดือนที่นางต้องจัดการเรื่องเสบียง โดยที่ไม่รู้เลยว่าทางชายแดนเหนือที่
หวังกงกงรีบเดินเข้าไปจับตัวนางกำนัลไว้ แล้วค้นตัวจนได้ยาหุ่นเชิดมาทันที เขานำมาส่งให้เยี่ยนเฟยหยางเพื่อตรวจสอบ แล้วออกไปจัดการนางกำนัลที่ตำหนักของไทเฮาแต่เยี่ยนเฟยหยางกลับเดินเข้าไปหาทั้งสองคนแล้วนำยากรอกเข้าไปในปากแทน“เมื่อพวกท่านกล้าทำร้ายเสด็จพ่อและเสด็จย่าก็จงมีชีวิตอยู่เช่นพวกเขาเถิด” ดวงตาแข็งกร้าวของเยี่ยนเฟยหยาง ทำให้ทั้งสองอดที่จะหวาดกลัวออกมาไม่ได้ทั้งคู่ไม่คิดว่าเยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงรวดเร็วเพียงนี้ คิดว่าเรื่องทั้งหมดที่วางแผนไว้จะแล้วเสร็จก่อนที่เยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงแต่คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต เพราะเยี่ยนเฟยหยางเดินทางกลับมาถึงเร็วทำให้สิ่งที่พวกเขาคิดไว้ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจเมื่อจัดการทั้งสองคนเรียบร้อย เยี่ยนเฟยหยางรีบเดินทางไปที่ตำหนักของฮองเฮาและพี่ใหญ่ของตนทันทีพอไปถึงจึงพบว่าทั้งสองอาการไม่ต่างจากเสด็จย่าของตนนัก เมื่อช่วยทั้งสองให้พ้นอันตรายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปพูดคุยกับเสด็จพ่อ เรื่องภูเขาแร่ที่เว่ยอ๋องส่งคนไปทันที“เรื่องนี่เห็นทีเสนาบดีตู้ก็คงรวมมือด้วย หากเจ้ากลับมาไม่ทัน ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น” ฮ่องเต้ให้หวังกงกงนำยาที่ใช้
เยี่ยนเฟยหยางแทบไม่อยากจะเชื่อ เพราะพระองค์ยังดูแข็งแรง แทบไม่เคยเปรยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนสักครั้ง ส่วนเรื่องให้ผู้ใดขึ้นเป็นรัชทายาทเขามิได้สนใจ“ย่าให้องครักษ์เงาไปสืบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ยังมิทัน ที่จะรู้เรื่องราวดี ย่าก็ล้มป่วยจนมิอาจลุกจากเตียงได้ ว่าแต่เจ้าเอาอะไรให้ยาดื่ม” นางอดที่จะสงสัยไม่ได้“หลานได้น้ำวิเศษมาจากเจินเจิน และในตอนนี้หลานก็เป็นผู้ฝึกตนแล้ว แต่ขอท่านย่าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป จนกว่าหลานจะหาตัวคนร้ายได้พ่ะย่ะค่ะ”“ย่า เข้าใจแล้ว เจ้ารีบไปดูเสด็จพ่อของเจ้าเถิด พี่ชายเจ้าย่าก็มิได้เห็นมาสักพักแล้ว” ไทเฮาตบที่หลังมือของหลานชายเบาๆ“เสด็จย่า พระองค์ทรงแสร้งป่วยต่อไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ หลานเห็นนางกำนัลของท่านดูมิน่าไว้ใจนัก”“เรื่องนี้ย่าก็พอจะรู้ว่าบ้าง แต่ยังมิอาจทำอันใดได้ ด้วยกลัวว่าคนร้ายจะรู้ตัวเสียก่อน”“หลานเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่าพักผ่อนก่อนเถิด” เยี่ยนเฟยหยางประคองไทเฮาให้นอนลงเช่นเดิมเขาคลายลมปราณที่ปิดกั้นเสียงเอาไว้ แล้วเดินออกจากห้องบรรทมไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หวังกงกงที่ยืนรออยู่หน้าตำหนักก็เดินเข้ามาหาทันที“องค์ชายห้า กระหม่อมมิรู้ว่าสมควรพู
แต่เยี่ยนเฟยหยางก็อาลัยอาวรณ์นางอยู่ไม่น้อย เมื่อใกล้ถึงเวลาที่ต้องแยกจาก กลายเป็นว่าแทนที่เขาจะทุ่มเทเอาเวลาไปฝึก กลับไล่จ้าวลู่เทียนออกไปด้านนอกมิติ แล้วอยู่ด้านในมิติกับซูเจินแทน“ท่านไล่พี่เทียนไปแล้ว หากท่านพ่อมิเห็นท่านอยู่ด้านนอกจะคิดเช่นไรเจ้าคะ” นางเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ“ไม่เห็นจะเป็นอันใด ดีเสียอีกที่เปิ่นหวางจะได้แต่งเจ้าเข้าตำหนักเสียเลย ทั้งยังพาเจ้าไปที่ชายแดนเหนือพร้อมกันได้อีกด้วย” เขากุมมือของนางไว้แน่น พร้อมทั้งจ้องมองนางอย่างหลงใหล“เพ้ย ภายในหัวของท่านมีแต่เรื่องใดกันแน่ข้าอยากจะรู้นัก”“อยากรู้จริงหรือไม่” เสียงกระซิบของเยี่ยนเฟยหยางที่ดังข้างหูของนาง ทำให้ขนหัวของซูเจินลุกขึ้นทันทีนางรีบชักเท้าถอยหลัง แต่ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อเยี่ยนเฟยหยางรั้งคอของนางไว้ พร้อมทั้งก้มลงมาประกบริมฝีปากของเขากับของนางทันที“อย่าดื้อ เปิ่นหวางจะออกเดินทางแล้ว” เยี่ยนเฟยหยางขบที่ริมฝีปากของซูเจินเบาๆ เพื่อให้นางเปิดช่องทางให้เรียวลิ้นของเขาแทรกเข้าไปได้ซูเจินนางก็ทำตามอย่างว่าง่าย เพราะอย่างไรอีกไม่กี่วันเขาก็จะออกเดินทางแล้วฝ่ามือของเยี่ยนเฟยหยางลูบคลำไปตามแผ่นหลังของซูเจิน “อื้ออ” นา
พอรุ่งเช้ามาเยือน เมื่อไม่เห็นทั้งสามคนออกมาจากห้องพัก ใต้เท้าหานและซูเต๋อก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาคงจะยังอยู่ในมิติ จึงได้ออกไปจัดการเรื่องสร้างเขื่อนแทนซูเจินนางออกมาจากมิติ เมื่อด้านนอกผ่านไปได้หนึ่งวันแล้ว นางรีบให้สวีกงกงจัดหาจวนหลังใหญ่ให้ทันที เพราะต้องนำเสบียงอาหารออกมาให้ชาวบ้านได้ประทังชีวิตสวีกงกงก็จัดการเรื่องนี้ได้อย่างเรียบร้อย ทั้งยังจัดหาคน เพื่อจัดการเรื่องนำเสบียงออกไปแจกจ่าย โดยมีเขาคอยควบคุมเรื่องนี้ด้วยตนเองอยู่ทุกขั้นตอนเจ้าเมืองจั่วที่ไม่เห็นหน้าเยี่ยนเฟยหยางเลยสักวัน จะเอ่ยถามก็ไม่กล้า จึงได้แต่ลอบถอนหายใจคิดว่าเขาเดินทางกลับไปแล้ว จึงคิดที่พาให้คนไปรับตัวบุตรสาวกลับมาอยู่ที่จวนเช่นเดิมซูเจินนางออกไปตรวจสอบความเสียหายรอบๆ เมืองกับสหายทั้งสามของนางที่กลับมามีรูปลักษณ์เช่นเดิมเมื่ออยู่ด้านนอก และในอ้อมแขนของนางยังมีเหล่าหู่ที่ดูเหมือนลูกแมวน้อยด้วยอีกตัวรอบเมืองที่โดนน้ำท่วมมีความเสียหายมากนัก นางจึงคิดที่จะให้ชาวบ้านปลูกพืชที่สามารถเติบโตในน้ำได้ดี นางจึงนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวใต้เท้าหานให้ช่วยจัดการหากให้นางบอกกล่าวขุนนางกรมเกษตรที่อยู่ในเมืองหนานไห่พวกเขาคงมิ
หลันฮวาที่เห็นเสี่ยวอี่เปลี่ยนไปก็กำลังจะเอ่ยถาม แต่กลับถูกเขาร้องห้ามไว้เสียก่อน“ไปดูนายหญิงก่อนเร็วเข้า”“นายหญิงเป็นอันใด”“นางลงไปแช่น้ำในถ้ำของเหล่าหู่ ตอนนี้กำลังร้องอย่างเจ็บปวด” หลันฮวาไม่ทันได้แจ้งคนอื่นนางรีบบินตามเสี่ยวมี่ไปที่ถ้ำของเหล่าหู่ทันทีใต้เท้าหานกับซูเต๋อก็รีบตามไปอย่างร้อนใจ เยี่ยนเฟยหยางที่กำลังช่วยจ้าวลู่เทียนฝึกเดินลมปราณก็พบความผิดปกติ จึงได้พากันติดตามไปด้วยเมื่อเข้าใกล้ถ้ำของเหล่าหู่ เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เกือบจะทำให้ทั้งสี่เสียสติ ซูเต๋อที่ใกล้ชิดบุตรสาวมากที่สุด เขายังไม่เคยเห็นนางร้องเช่นนี้มาก่อนเยี่ยนเฟยหยางมิอาจทนได้ เขาอยากจะไปดูให้เห็นกับตาว่าเกิดเรื่องอันใดกับนางกันแน่ แต่เมื่อถึงปากถ้ำทั้งสี่ก็ถูกเหล่าหู่และเสี่ยวอี่ขวางเอาไว้“ตอนนี้นายหญิงอยู่ในน้ำ พวกท่านมิอาจเข้าไปได้ขอรับ” เสี่ยวอี่เอ่ยขึ้นมา เขาจะปล่อยให้บุรุษทั้งสี่เห็นสภาพที่เปลือยเปล่าของนายหญิงได้อย่างไร“เหตุใดนางถึงได้ดูเจ็บปวดเช่นนี้” เยี่ยนเฟยหยางเอ่ยถามอย่างร้อนใจ“เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ”พวกเขาไม่อาจทำสิ่งใดได้ ได้แต่รอให้หลันฮวาออกมาหรือไม่ก็รอให้ซูเจินนางออก