ตั้งแต่ที่จำความได้ ตัวฉันก็ตระหนักได้แต่คุณค่าของตัวเอง ว่าเป็นแค่เครื่องมือฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคนที่คลอดฉันออกมาเป็นใครสิ่งเดียวที่จำได้ มีแต่ใบหน้าโกรธเกรี้ยวที่ใช้ฝึกหัดเฆี่ยนตี แปรเปลี่ยนเด็กสาวบริสุทธิ์ให้เป็นมือสังหารถูกกระทำเหมือนเป็นของเล่น... นอกจากจะช่วงชิงความบริสุทธิ์ในฐานะผู้หญิงของฉันไป ทั้งยังมอบคำสั่งมากมายที่ทำให้มือของฉันต้องเปื้อนเลือดตัวฉันในตอนนั้นไม่ได้ตระหนักว่ามันเป็นเรื่องแปลกแม้แต่น้อย ก็เครื่องมือมันคิดเองไม่ได้นี่นาก่อนที่จะได้เจอกับไมน์และรีเบคก้า...การได้ใช้ชีวิตแฝงตัวกับพวกเธอในฐานะผู้สังเกตการณ์จากภายในทำให้เราเริ่มซึมซับความคิดและความรู้สึกของพวกเธอเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆรอยยิ้มจอมปลอมเริ่มที่จะแปรเปลี่ยนเป็นของจริง สีหน้าที่ปั้นยิ้มกลายเป็นฉีกออกกว้างอย่างจริงใจ คนที่ทำให้ฉันตระหนักว่าตัวเองไม่ใช่เครื่องมือก็คือเพื่อนรักของฉันทั้งสองคนแต่ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ฉันคิดว่า... มันสายไปแล้วถึงจะรู้ไปแล้วว่าทางที่ตัวเองเดินมาจนถึงตอนนี้เป็นทางที่ผิด แต่ในเมื่อมันเดินมาแล้วก็มีแต่ต้องทำใจ แต่เพราะทำใจไม่ได้ถึงได้ทรมานจนอยากหนีไปให้พ้น ๆฟางเส้นสุดท้าย
ตั้งแต่ตอนเด็ก ตัวฉันที่เป็นเจ้าหญิงก็ได้แต่อยู่ในปราสาทตามคำบอกกล่าวของคุณพ่อแต่มันก็ไม่ได้แย่นักหรอก เพราะอย่างน้อยฉันก็มีเพื่อนเล่นอยู่ คน ๆ นั้นก็คือรีเบคก้าที่เป็นเพื่อนอายุเท่ากันของฉัน คอยดูแลและเล่นด้วยกันมาตลอดตั้งแต่ที่จำได้แล้วและสิ่งที่ใช้ฆ่าเวลาอีกอย่างคือ หนังสือนิทานในห้องสมุดสำหรับเด็กผู้หญิงอย่างฉัน นิทานทั้งหมดเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ไม่เคยพบเคยเห็น โดยเฉพาะฉันที่ไม่เคยออกไปนอกตัวปราสาท เพราะแม้แต่การเดินทางฉันยังต้องปิดบังใบหน้าเอาไว้เลย แต่ตอนนั้นฉันยังเด็กถึงไม่รู้สึกว่าแปลกอะไรน่าตลกดี ที่สิ่งที่สอนให้ฉันรู้จักโลกภายนอกคือหนังสือเหล่านั้นที่อยู่ข้างกายมาตลอดความลึกลับอันน่าพิศวง มอนสเตอร์น่ากลัว ความงดงามของธรรมชาติ วิถีชีวิตของผู้คน เรื่องราวทั้งหมดที่ร้อยเรียงทำให้ฉันจินตนาการภาพฝันของโลกภายนอกไว้อย่างสวยงาม และหวังว่าซักวันจะได้ออกไปและในวันหนึ่ง ฉันก็ได้รู้จักอาชีพที่เรียกว่า ‘นักผจญภัย’อาชีพที่สามารถไปได้ทุกที่ที่อยากไป ทำได้ทุกสิ่งที่ต้องการ แสวงหาทุกสิ่งด้วยตัวเองกับพวกพ้องที่ไว้ใจได้แต่ถ้าจะว่ากันตามตรง เนื้อหาของมันก็ไม่ต่างจากนิทานทั่วไปที่มีพระเอ
“ แม้นโกรธาราวสิขานล แต่สิ่งที่ผู้อื่นยลต้องเป็นเหมันต์ ”นั่นคือคติประจำตระกูลของฉัน... มีความหมายว่า ต่อให้รู้สึกอย่างไรก็จงแสดงออกมาเสมือนว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นอย่าให้ใครรู้ว่าโกรธ... อย่าให้ใครรู้ว่ากำลังเศร้า... อย่าให้ใครรู้ว่ากำลังดีใจ...นั่นแหล่ะคือความหมายของมัน และยังเป็น... คุณสมบัติสำคัญขององครักษ์ที่ควรมีสำหรับฉันที่เกิดมาก็ได้รับหน้าที่นั้นเป็นเหมือนชนักติดตัว ถึงจะคิดว่าลำบากก็เถอะแต่ตอนนี้ก็ชินไปแล้วและสิ่งที่ทำให้ฉันสามารถทำมันได้ ก็เพราะรอยยิ้มของคนที่ฉันต้องปกป้อง... รอยยิ้มของไมน์เด็กคนนี้เหมือนกับทุ่งดอกไม้หลากสี ร่าเริงสดใส เริงระบำไปตามเสียงบรรเลงเพลงตามแต่สายลมจะพัดพา เป็นเด็กที่ชอบเรื่องสนุกสนาน ฉันถึงอยู่ด้วยไม่มีเบื่อ ถึงจะไม่แสดงออกก็เถอะเพราะยังไงการเก็บความรู้สึกสุขไว้ในใจไม่ให้แสดงออกมา มันง่ายกว่าการกักเก็บความทุกข์ไว้ในอกคนระดับเลยแต่ถึงคิดแบบนั้น เดิมทีตัวฉันก็ไม่ได้เป็นคนคิดอะไรมากอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์แบบไหนก็พร้อมรับมือได้หมด และต่อให้ต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องไมน์ก็ไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อยเพราะงั้นความรู้สึกทุกข์ใจจึงไม่ค่อยมี หรือไม่ก
หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นมาตลอดสองวัน(เรื่องที่เจนนี่ ไมน์และรีเบคก้าสุดท้ายก็ตอบตกลงคบกับกรในที่สุด) จนทำให้สถานการณ์ความปั่นป่วนของสาว ๆ รอบตัวกรลดน้อยลงไปครึ่งนึง ...ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ“ “ “ ยินดีด้วย!!! ” ” ” เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีดังก้องไปทั่วทั้งบาร์ของโรงแรมอิกดราซิล มาจากเสียงของเหล่านักผจญภัยรวมถึงเพื่อนพ้องของกร ...ส่งไปยังเด็กสาว 3 คนที่กำลังยืนเด่นเป็นสง่ากลางร้าน ประกอบด้วยเจนนี่(ในร่างของเบลนด้า อัลบา) ไมน์และรีเบคก้า ที่กำลังน่าแดงก่ำเพราะความอาย“ พอเถอะน่า มันน่าอายนะ ”“ แหม ๆ เรื่องน่ายินดีแบบนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอายซักหน่อยนะฮ้า! ” คาลอสเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งเสียง วี๊ดวิ้ว! คล้ายกับจะกลั่นแกล้งสาว ๆ ที่กำลังบิดตัวไปมาด้วยความเขินอาย กรเห็นแบบนั้นก็เริ่มจะทนไม่ไหวจนต้องก้าวเข้ามาขัดจังหวะ“ เอาล่ะ ๆ แค่พอหอมปากหอมคอก็พอแล้ว... งานเลี้ยงจบแล้ว แยกย้าย ๆ ” กรพูดตัดบทพร้อมกับเดินเข้าไปกลางวงทั้งสามคนก่อนจะดันหลังทั้งสามให้ออกมาจากจุดรวมสายตา กระนั้นก็ไม่วายถูกทุกคนล้อในเชิงประมาณว่า “หึงด้วยเว้ย” ไ
“ ทุกคนคะ... ความรัก คืออะไรเหรอคะ? ”“ “ “ เอ๋!? ” ” ” สิ่งที่เฮเลน่าถามออกมากลางห้องรับรองเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้หญิงสาวผู้ไร้อารมณ์คนนี้ตื่นตระหนก แม้จะมีคนมากถึง 18 คนจ้องเธออยู่ ในมือที่ถือทั้งดินสอและสมุดบันทึกเล่มเล็กเองก็ไม่มีแต่การสั่นไหว อนึ่ง... เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ฟลอร่ากับยูมิน่าลากตัวกรออกไปประมาณ 2 ชม. เห็นจะได้“ เห... ทำไมจู่ ๆ ถึงสนใจเรื่องนั้นกันล่ะ ” คนที่แสดงความสนใจเป็นคนแรกอย่างออกนอกหน้าคือเมอร์ลินเจ้าเดิม เธอที่อ่านหนังสือมาตลอดถึงกับปิดหนังสือในมือแล้วหันมาถามเฮเลน่าอย่างจริงจัง“ ฉันแค่ทำตามคำสั่งของมาสเตอร์เท่านั้นค่ะ ” เฮเลน่าตอบกลับในทันทีอย่างที่ทุกคนคาด แน่นอนว่าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนกับที่เป็นมาตลอด “จงตามหาความหมายในการใช้ชีวิตของตัวเอง” คำพูดของกรที่เป็นคำสั่งเพียงหนึ่งเดียวซึ่งมอบให้กับเฮเลน่า ในวันที่เฮเลน่าถูกปลดปล่อยจากพันธะทั้งปวงและเป็นอิสระ ทุกคนเองก็อยู่ที่นั่นจึงเข้าใจแม้ไม่ต้องเอ่ยปาก“ แล้ว? ” เมอร์ลินถามย้ำคล้ายกับกำลังสอบปากคำ แต่ในอี
ไร้เหตุผลชะมัด ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว...... อุษณกร เด็กหนุ่มไทยอายุ 17 ปี ที่ปกติแล้วช่วงวัยและเวลานี้น่าจะต้องนั่งเรียนหนังสืออยู่ใน ห้องเรียนกับเหล่าเพื่อนร่วมชั้น ในประเทศ....ไม่สิโลกที่สงบสุข ตอนนี้กลับกำลังอยู่ในสภาพร่อแร่ใกล้ตายเต็มทีจากการปะทะกับกลุ่มมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนของต่างโลก กำลังนั่งเอาหลังพึงกำแพง แล้วบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงที่แหบแห้งและแผ่วเบาอย่างที่สุดอยู่เพียงลำพังตึก ตัก............ตึก ตัก.......................ตึก............ตัก.............................ตึก...................ตัก ชีพจรของเด็กหนุ่มกำลังอ่อนลงเรื่อยๆ แต่สัมผัสทางกายที่น่าจะหายไปจากการเสียเลือดของเด็กหนุ่มยังไม่ได้จางลงแม้แต่น้อย ความร้อนจากของเหลวสีแดงที่ไหลออกมาทั่วร่างไม่หยุดก็ยังคงชัดเจน ความเจ็บปวดที่ปากแผลจากการสูญเสียแขนซ้ายไปเองก็ยังชัดเจน สัมผัสความเย็นจากโลหะของมีดสั้นที่เสียบอยู่ที่หน้าอกค่อนไปทางซ้าย และใบมีดของดาบยาวสองคมมือเดียวอีก 2 เล่มที่ท้องน้อยทะลุผ่านลำตัวและทะลุต้นขาขวาไปก็ยังชัดเจนทรมาน......ให้ตายสิ ถ้าจะตายทั้งทีขอตายแบบไม่ทรมานไม่ได้รึไง......
พอรู้สึกตัวอีกที ฉันก็อยู่ในห้องสีขาว ...ไม่สิเหมือนกับว่าโลกใบนี้ ทั้งพื้นดินและท้องฟ้า ทั้งหมดมันเปลี่ยนเป็นสีขาวหมดเลย ไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากฉัน เครื่องเกมที่น่าจะอยู่ติดตัวฉันเองก็ไม่มีด้วย ขณะที่กำลังคิดแบบนั้น รอบๆตัวของกรก็มี เหล่าผู้คนในวัยหนุ่มสาวปรากฏขึ้นมามากมาย มีกระทั่งที่สีผิวและเครื่องแบบแตกต่างจากเขา ทั้งที่ใส่ชุดนักเรียนอยู่ ชุดลำลองและชุดแปลกๆที่ไม่รู้จักเองก็มีโอ๊ะ!!! ทางนั้นมีพี่สาวใส่ชุดมิโกะด้วยหล่ะ! ไม่นะ! เดี๋ยวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!!!!!อย่าปล่อยให้กิเลสเข้าครอบงำสิตัวฉัน ก่อนอื่นเรียบเรียงสถานการณ์ก่อน ใจเย็น〜เข้าไว้〜ฟู่-ฮ่า... ฟู่-ฮ่า... ฟู่-ฮ่า... หลังจากกรหายใจเข้า-ออกยาวๆ 3 ครั้ง กรก็ตั้งสติแล้วกลับสู่ความเป็นจริงได้ในที่สุดทุกคนที่อยู่ที่นี่ เท่าที่สังเกตมีแต่พวกหนุ่มสาวอายุประมาณเราหมดเลยแฮะ แต่ก็มีเด็ก ม.ต้น หรือวัยทำงานขึ้นไปอยู่บ้างเหมือนกัน จะว่าไปแล้ว... ยังไม่เห็นเพื่อนของเราซักคนเลยแฮะวูม〜 หลังสิ้นเสียงที่เหมือนกับ Special Effect ในหนังอวกาศ เหล่าเพื่อนร่วมชั้นและนักเรียนในห้องอื่นๆ ทั้งพวกรุ่นพี่และรุ่นน้อ
หลังตื่นขึ้นมาตอนเช้า ฉันรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษเลยหล่ะ สงสัยเป็นเพราะเมื่อวานเหนื่อยจัดละมั้ง เมื่อคืนเลยหลับซะลึกเลย ให้ตายสิ! ทั้งเรื่องไอ้แก่พระเจ้า การมาต่างโลก(แถมเป็นโลกแฟนตาซีอีกต่างหาก) สภาวะสงครามของอาณาจักรที่ถูกวาร์ปมา ถูกขอร้องให้ช่วยโดยพระราชาของอาณาจักรที่ว่า แล้วสุดท้ายก็ต้องเข้าฝึกกับกองอัศวินทุกอย่างเป็นเหตุการณ์น่าเหลือเชื่อและกะทันหันเกินไป ไม่คิดว่าชั่วชีวิตจะได้เจอด้วยซ้ำ ทุกอย่างถาโถมเข้ามาในวันเดียวจนฉันยังล้าเลยหล่ะ จิตใจหน่ะนะ คิดว่าคนอื่นก็คงไม่ต่างกันก็อง!!!! ก็อง!!!! ก็อง!!!! เสียงระฆังหนักๆ ดังขึ้นเป็นจังหวะ 3 ครั้ง เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเช้าวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว หลังจากระฆังดังขึ้น ทุกคนก็ตื่นขึ้นมาจากความฝันอันแสนหวานแล้วมาเผชิญกับความจริงอันโหดร้ายอีกครั้ง อาจมีบางคนคิดว่าเรื่องทั้งหมดคงเป็นแค่ฝันร้ายที่น่ากลัว แต่พอตื่นขึ้นมาพบว่ามันเป็นความจริงเช่นนี้คงใจเสียไม่น้อย กรเองก็มีความรู้สึกนั้นอยู่บ้างเช่นกัน แต่เพราะนิสัยง่ายๆ เลยทำให้ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาจึงรีบลุกจากเตียงที่ทางอาณาจักรเตรียมไว้ให้ แม้เตียงในห้องท
“ ทุกคนคะ... ความรัก คืออะไรเหรอคะ? ”“ “ “ เอ๋!? ” ” ” สิ่งที่เฮเลน่าถามออกมากลางห้องรับรองเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้หญิงสาวผู้ไร้อารมณ์คนนี้ตื่นตระหนก แม้จะมีคนมากถึง 18 คนจ้องเธออยู่ ในมือที่ถือทั้งดินสอและสมุดบันทึกเล่มเล็กเองก็ไม่มีแต่การสั่นไหว อนึ่ง... เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ฟลอร่ากับยูมิน่าลากตัวกรออกไปประมาณ 2 ชม. เห็นจะได้“ เห... ทำไมจู่ ๆ ถึงสนใจเรื่องนั้นกันล่ะ ” คนที่แสดงความสนใจเป็นคนแรกอย่างออกนอกหน้าคือเมอร์ลินเจ้าเดิม เธอที่อ่านหนังสือมาตลอดถึงกับปิดหนังสือในมือแล้วหันมาถามเฮเลน่าอย่างจริงจัง“ ฉันแค่ทำตามคำสั่งของมาสเตอร์เท่านั้นค่ะ ” เฮเลน่าตอบกลับในทันทีอย่างที่ทุกคนคาด แน่นอนว่าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนกับที่เป็นมาตลอด “จงตามหาความหมายในการใช้ชีวิตของตัวเอง” คำพูดของกรที่เป็นคำสั่งเพียงหนึ่งเดียวซึ่งมอบให้กับเฮเลน่า ในวันที่เฮเลน่าถูกปลดปล่อยจากพันธะทั้งปวงและเป็นอิสระ ทุกคนเองก็อยู่ที่นั่นจึงเข้าใจแม้ไม่ต้องเอ่ยปาก“ แล้ว? ” เมอร์ลินถามย้ำคล้ายกับกำลังสอบปากคำ แต่ในอี
หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นมาตลอดสองวัน(เรื่องที่เจนนี่ ไมน์และรีเบคก้าสุดท้ายก็ตอบตกลงคบกับกรในที่สุด) จนทำให้สถานการณ์ความปั่นป่วนของสาว ๆ รอบตัวกรลดน้อยลงไปครึ่งนึง ...ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ“ “ “ ยินดีด้วย!!! ” ” ” เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีดังก้องไปทั่วทั้งบาร์ของโรงแรมอิกดราซิล มาจากเสียงของเหล่านักผจญภัยรวมถึงเพื่อนพ้องของกร ...ส่งไปยังเด็กสาว 3 คนที่กำลังยืนเด่นเป็นสง่ากลางร้าน ประกอบด้วยเจนนี่(ในร่างของเบลนด้า อัลบา) ไมน์และรีเบคก้า ที่กำลังน่าแดงก่ำเพราะความอาย“ พอเถอะน่า มันน่าอายนะ ”“ แหม ๆ เรื่องน่ายินดีแบบนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอายซักหน่อยนะฮ้า! ” คาลอสเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งเสียง วี๊ดวิ้ว! คล้ายกับจะกลั่นแกล้งสาว ๆ ที่กำลังบิดตัวไปมาด้วยความเขินอาย กรเห็นแบบนั้นก็เริ่มจะทนไม่ไหวจนต้องก้าวเข้ามาขัดจังหวะ“ เอาล่ะ ๆ แค่พอหอมปากหอมคอก็พอแล้ว... งานเลี้ยงจบแล้ว แยกย้าย ๆ ” กรพูดตัดบทพร้อมกับเดินเข้าไปกลางวงทั้งสามคนก่อนจะดันหลังทั้งสามให้ออกมาจากจุดรวมสายตา กระนั้นก็ไม่วายถูกทุกคนล้อในเชิงประมาณว่า “หึงด้วยเว้ย” ไ
“ แม้นโกรธาราวสิขานล แต่สิ่งที่ผู้อื่นยลต้องเป็นเหมันต์ ”นั่นคือคติประจำตระกูลของฉัน... มีความหมายว่า ต่อให้รู้สึกอย่างไรก็จงแสดงออกมาเสมือนว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นอย่าให้ใครรู้ว่าโกรธ... อย่าให้ใครรู้ว่ากำลังเศร้า... อย่าให้ใครรู้ว่ากำลังดีใจ...นั่นแหล่ะคือความหมายของมัน และยังเป็น... คุณสมบัติสำคัญขององครักษ์ที่ควรมีสำหรับฉันที่เกิดมาก็ได้รับหน้าที่นั้นเป็นเหมือนชนักติดตัว ถึงจะคิดว่าลำบากก็เถอะแต่ตอนนี้ก็ชินไปแล้วและสิ่งที่ทำให้ฉันสามารถทำมันได้ ก็เพราะรอยยิ้มของคนที่ฉันต้องปกป้อง... รอยยิ้มของไมน์เด็กคนนี้เหมือนกับทุ่งดอกไม้หลากสี ร่าเริงสดใส เริงระบำไปตามเสียงบรรเลงเพลงตามแต่สายลมจะพัดพา เป็นเด็กที่ชอบเรื่องสนุกสนาน ฉันถึงอยู่ด้วยไม่มีเบื่อ ถึงจะไม่แสดงออกก็เถอะเพราะยังไงการเก็บความรู้สึกสุขไว้ในใจไม่ให้แสดงออกมา มันง่ายกว่าการกักเก็บความทุกข์ไว้ในอกคนระดับเลยแต่ถึงคิดแบบนั้น เดิมทีตัวฉันก็ไม่ได้เป็นคนคิดอะไรมากอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์แบบไหนก็พร้อมรับมือได้หมด และต่อให้ต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องไมน์ก็ไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อยเพราะงั้นความรู้สึกทุกข์ใจจึงไม่ค่อยมี หรือไม่ก
ตั้งแต่ตอนเด็ก ตัวฉันที่เป็นเจ้าหญิงก็ได้แต่อยู่ในปราสาทตามคำบอกกล่าวของคุณพ่อแต่มันก็ไม่ได้แย่นักหรอก เพราะอย่างน้อยฉันก็มีเพื่อนเล่นอยู่ คน ๆ นั้นก็คือรีเบคก้าที่เป็นเพื่อนอายุเท่ากันของฉัน คอยดูแลและเล่นด้วยกันมาตลอดตั้งแต่ที่จำได้แล้วและสิ่งที่ใช้ฆ่าเวลาอีกอย่างคือ หนังสือนิทานในห้องสมุดสำหรับเด็กผู้หญิงอย่างฉัน นิทานทั้งหมดเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ไม่เคยพบเคยเห็น โดยเฉพาะฉันที่ไม่เคยออกไปนอกตัวปราสาท เพราะแม้แต่การเดินทางฉันยังต้องปิดบังใบหน้าเอาไว้เลย แต่ตอนนั้นฉันยังเด็กถึงไม่รู้สึกว่าแปลกอะไรน่าตลกดี ที่สิ่งที่สอนให้ฉันรู้จักโลกภายนอกคือหนังสือเหล่านั้นที่อยู่ข้างกายมาตลอดความลึกลับอันน่าพิศวง มอนสเตอร์น่ากลัว ความงดงามของธรรมชาติ วิถีชีวิตของผู้คน เรื่องราวทั้งหมดที่ร้อยเรียงทำให้ฉันจินตนาการภาพฝันของโลกภายนอกไว้อย่างสวยงาม และหวังว่าซักวันจะได้ออกไปและในวันหนึ่ง ฉันก็ได้รู้จักอาชีพที่เรียกว่า ‘นักผจญภัย’อาชีพที่สามารถไปได้ทุกที่ที่อยากไป ทำได้ทุกสิ่งที่ต้องการ แสวงหาทุกสิ่งด้วยตัวเองกับพวกพ้องที่ไว้ใจได้แต่ถ้าจะว่ากันตามตรง เนื้อหาของมันก็ไม่ต่างจากนิทานทั่วไปที่มีพระเอ
ตั้งแต่ที่จำความได้ ตัวฉันก็ตระหนักได้แต่คุณค่าของตัวเอง ว่าเป็นแค่เครื่องมือฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคนที่คลอดฉันออกมาเป็นใครสิ่งเดียวที่จำได้ มีแต่ใบหน้าโกรธเกรี้ยวที่ใช้ฝึกหัดเฆี่ยนตี แปรเปลี่ยนเด็กสาวบริสุทธิ์ให้เป็นมือสังหารถูกกระทำเหมือนเป็นของเล่น... นอกจากจะช่วงชิงความบริสุทธิ์ในฐานะผู้หญิงของฉันไป ทั้งยังมอบคำสั่งมากมายที่ทำให้มือของฉันต้องเปื้อนเลือดตัวฉันในตอนนั้นไม่ได้ตระหนักว่ามันเป็นเรื่องแปลกแม้แต่น้อย ก็เครื่องมือมันคิดเองไม่ได้นี่นาก่อนที่จะได้เจอกับไมน์และรีเบคก้า...การได้ใช้ชีวิตแฝงตัวกับพวกเธอในฐานะผู้สังเกตการณ์จากภายในทำให้เราเริ่มซึมซับความคิดและความรู้สึกของพวกเธอเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆรอยยิ้มจอมปลอมเริ่มที่จะแปรเปลี่ยนเป็นของจริง สีหน้าที่ปั้นยิ้มกลายเป็นฉีกออกกว้างอย่างจริงใจ คนที่ทำให้ฉันตระหนักว่าตัวเองไม่ใช่เครื่องมือก็คือเพื่อนรักของฉันทั้งสองคนแต่ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ฉันคิดว่า... มันสายไปแล้วถึงจะรู้ไปแล้วว่าทางที่ตัวเองเดินมาจนถึงตอนนี้เป็นทางที่ผิด แต่ในเมื่อมันเดินมาแล้วก็มีแต่ต้องทำใจ แต่เพราะทำใจไม่ได้ถึงได้ทรมานจนอยากหนีไปให้พ้น ๆฟางเส้นสุดท้าย
หลังจากที่คอร์ดิเรียเปิดเผยอดีตที่แสนทุกข์ทรมานของเธอให้พวกเราฟัง ทุกคนก็เข้าหาคอร์ดิเรียแบบเป็นกันเองมากขึ้นเยอะเลยทั้งนี้ก็คงเพราะว่าก่อนหน้านี้ทุกคนคงติดใจบุคลิกแปลก ๆ และทัศนคติของคอร์ดิเรียที่มีต่อฉันไม่ค่อยดีนั่นแหล่ะ แต่พอได้รู้สาเหตุก็เหมือนเคลียร์ปัญหาทางใจกันไปแล้วในตัวก็นะ ถ้าถามว่าสนิทกันมากขึ้นถึงขนาดไหนล่ะ... ตอนนี้คอร์ดิเรียเข้ามาเล่นไพ่ด้วยกันกับทุกคนแล้วล่ะหืม? เป็นพัฒนาการที่ช้าเกินไปงั้นเหรอ? ไม่ใช่แบบนั้นหรอก... ในมุมมองของฉัน นี่แหล่ะก้าวสำคัญของคอร์ดิเรีย แถมมีรอยยิ้มแบบที่ไม่เคยเห็นจากคอร์ดิเรียมาก่อนเป็นผลสะท้อน ดูยังไงคอร์ดิเรียก็ดีขึ้นแล้วแน่ ๆ (โล่งอกไปที)นั่นคือในส่วนของปัญหาส่วนตัวของพวกเรา... แต่หลังจากที่ผ่อนคลายกันทั้งกลุ่มก็ต้องมานั่งเลคเชอร์กัน เพราะวันพรุ่งนี้พวกเรา ‘ภาคีโต๊ะจัตุรัส’ ตั้งใจจะเปิดเผยข้อมูลที่มีในมือทั้งหมดร่วมกันในตอนแรกทุกคนก็กังวลอยู่หรอก เพราะนอกจากพี่มารีแล้วทุกคนระวังท่าทีของคนอื่นพอสมควร ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติแหล่ะนะแต่ถึงอย่างงั้นฉันก็ต้องการจะบอกความจริงให้ทุกคนรู้อยู่ดี อย่างที่เคยย้ำไปหลายรอบ ปัญหาที่มีผลกระทบกับทุกคนแบบ
ณ โถงทางเดินอันเงียบสงัดสร้างบรรยากาศขัดตา ด้วยความที่มีชายหญิง 21 คนกระจุกอยู่ในบริเวณเดียวกัน และสาเหตุของสถานการณ์ดังกล่าว คือหญิงสาวในชุดเดรสสีขาวลายลูกไม้ให้บรรยากาศคล้ายกับชุดของเจ้าหญิงในงานเต้นรำ เธอผู้ซึ่งมีเรือนผมสีฟ้าคราม จดจ้องนัยน์ตาสีแดงมายังชายหนุ่มที่เดินนำหน้าสุดถัดจากสาวรับใช้ในวัง ...คือคอร์ดิเรียที่กำลังกอดอกพิงกำแพง รอจังหวะที่กรและพรรคพวกจะเดินผ่าน ซึ่งแน่นอนว่านี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญ〝 มีเรื่องจะคุยด้วยน่ะ มาด้วยกันหน่อยได้ไหม 〞 คอร์ดิเรียพูดแบบนั้นในขณะที่ส่งสายตาประหนึ่งอ้อนวอน นั่นเป็นสิ่งที่เธอยังไม่เคยแสดงออกมาต่อหน้าพวกกรเลยแม้แต่ครั้งเดียว นั่นจึงทำให้กรและสาว ๆ ขมวดคิ้วเข้าด้วยกันอย่างจริงจังกลับไป ส่วนสาวใช้ที่ยืนคั่นกลางระหว่างทั้งสองคนก็ได้แต่ยืนงงเป็นไก่ตาแตก ก่อนที่จะตั้งสติแล้วโค้งคำนับให้คอร์ดิเรียหนึ่งหนแล้วย่ำเท้าออกจากที่เกิดเหตุโดยพลัน ทำให้คนที่ยืนประจันหน้าอยู่กับคอร์ดิเรียมีเพียงพวกกรเท่านั้นถึงจะไม่รู้ว่าเรื่องอะไรก็เถอะ แต่แน่นอนอยู่แล้วว่าคำตอบก็คือ〝 ได้สิ... แน่นอนอยู่แล้ว 〞
ไข่ในหิน... ความหมายของมันคือ ของมีค่าที่ต้องทะนุถนอมแต่เคยสงสัยกันรึเปล่า ว่าถ้าเกิดไข่มันรู้ว่าตัวเองอยู่ในหินมันจะรู้สึกอึดอัด?ก็ไม่รู้หรอกนะว่าไข่จริง ๆ มันจะคิดยังไง แต่ถ้าเป็นความรู้สึกที่ถูกถนอมไว้ในหินล่ะก็ บอกเลยว่าตอนนี้ไม่มีใครเข้าใจไปมากกว่าฉันแล้วล่ะ เสียงในจิตใจของเด็กหนุ่มรำพึงขึ้นด้วยความสุขเพราะถูกโอบล้อมด้วยความอบอุ่น กระนั้นก็ไม่อาจเมินเฉยต่อสายตาที่ทิ่มแทงเข้ามาได้ สัมผัสในตอนนี้หากจะให้เปรียบก็คงคล้ายกับรสหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าทว่ากลับมีรสอมขมติดลิ้นเล็ก ๆ นั่นคือเด็กหนุ่มผู้กำลังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ในปราสาทของอาณาจักรซีทนัลทา โดยห้องดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับเป็นห้องประชุมเล็ก ๆ ที่มีโซฟาขนาดใหญ่หลายตัวล้อมเป็นวงกลม พร้อมกับมีโต๊ะเล็กไว้สำหรับวางเครื่องดื่มตั้งอยู่ด้านหน้าของแต่ละตัว แต่แม้จะบอกว่ามีโซฟาและโต๊ะหลายตัว กระนั้นการจัดเรียงก็ถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่หันหน้าเข้าหากันในลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่า เป็นการแบ่งชัดเจนว่าจะมีฝ่ายสนทนาอยู่ถึง 4 ฝ่ายด้วยกัน และแน่นอนว่าประเด็นสำคัญก็คือภายในห้อ
เอาล่ะ หลังจากนี้จะเอายังไงดี หลังจากที่เผยเจตนาของตัวเองที่มีต่อเสือ กรก็เบนสติของตัวเองมาเฝ้าระวังบอสมอนสเตอร์อันมีความแข็งแกร่งในระดับเดียวกับหรือมากกว่าบอสมหาดันเจี้ยนที่เคยเจอมา ดวงตาสีแดงที่จดจ้องลงมา พร้อมด้วยรูปร่างสูงใหญ่คล้ายกับสัตว์อสูรทะเลหลายอย่างรวมกันเป็นที่สุดแห่งความน่าพรั่นพรึงของท้องทะเล และนามของราชาแห่งท้องทะเลตัวนี้ที่แสดงเมื่อกรใช้ออร่าสีเหลืองตรวจสอบคือ ‘อัลติเมท คราเคน’ (Ultimate Kraken) เป็นนามอันย้ำเตือนถึงความเด็ดขาดในความแข็งแกร่งจากในตำนานก๊าซซซซซซ!!!!!!! สัตว์ประหลาดร่างสูงใหญ่ราว 50 เมตรนามคราเคนคำรามก้องท้องฟ้าส่งแรงสะเทือนที่ทำเอาทั้งร่างสั่นสะท้าน เสียงนั้นดังกึกก้องไปถึงอีกฟากของโพ้นทะเล พร้อมกับเปรยตามองลงด้านล่างราวกับเย้ยหยันกรกับเสือที่ตั้งท่าตั้งรับด้วยแขนที่สั่นเล็กน้อย ทั้งเพราะแรงสะเทือนของเสียงคำรามและความหวาดกลัวพลังไม่เหลือพอจะใช้ท่าที่รุนแรงอย่าง Armageddon Spectrum ได้แถมจะให้เปิดใช้ Endless Spectrum Throne ก็ไม่รู้อีกว่ามันจะมีผลกระทบกับทุกคนไปด้วยรึเปล่าตอนนี้ที่ทำได้คงต้องใช้ออร่าที่เหลือยื