แปล๊บๆๆๆ!!!!!!!
〝จ๊ากกกกกก!!!!!!!!!!〞
หลังจากที่กรได้หลั่งน้ำตาออกมาเพราะความรู้สึกหลายๆอย่างที่สั่งสมมานาน จากทั้งแรงกดดันและความเครียดทั้งหลายที่สะสมมามากเสียจนทะลุปรอทได้จบลง จู่ๆกรก็สัมผัสได้ถึงกระแสไฟฟ้าแรงสูงไหลผ่านไปทั่วร่างตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างกระทันหันจนถึงกับล้มลงไปนอนกับพื้นในท่าหงายท้องมองดูดาวเลยทีเดียว ทั้งยังเกิดควันสีดำคลุ้งออกมาจากร่างจนทั่วเลยทีเดียว รวมทั้งผมยาวๆของตัวกรเองก็ยังตั้งฟูเป็นผมทรงแอ็ฟโฟร่ฟูฟ่องอย่างหนาเพราะกระแสไฟฟ้าที่ว่าไปพร้อมๆกันจนดูน่าขบขันไม่ใช่น้อย นั่นเลยทำให้ตัวของกรชาไปหมดแล้วก็ล้มลงไปกองกับพื้นตามระเบียบ
อึ๊ก! อะไรกันเนี่ย.... หลังจากที่ต้องรับภาระทางจิตใจที่มากเสียยิ่งกว่ามากจนล้นออกมาแล้ว ยังต้องมาเจอเรื่องแบบนี้อีกงั้นเหรอ!? นี่มันจะเกินไปแล้วนะเฮ้ย!!!
ยะ...อย่าบอกนะว่านี่เป็นผลข้างเคียงของสกิล หรือไม่ก็เป็นบทลงโทษของคนที่ใช้โปรแกรมโกง———
เดี๋ยวๆๆๆ....ฉันไม่ได้ใช้โปรแกรมโกงหรือชีตทูล(Cheat Tool) หรืออะไรเทือกๆนั้นซักกะนิดเดียว...ถ้าจะโทษก็ไปโทษไอ้คนที่จัดสกิลมาให้ฉันซะสิ....แต่เดี๋ยวดิ แล้วคนที่จัดมันเป็นใครหว่า!?
แล้วนี่ฉันกำลังบ่นให้ใครฟังอยู่กันละเนี่ย!!!
กริ๊ง!!!
〝!!!!!!!!!!〞
ในขณะที่กรกำลังคิดหาสาเหตุของเรื่องบ้าๆที่เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างกะทันหันตามปกติอยู่นั่น จนเวลาผ่านไปพอสมควรพอรู้สึกตัวอีกทีก็ขยับตัวได้อีกครั้งแล้ว จากนั้นเสียงกระดิ่งที่คุ้นหูก็ดังขึ้นมาในหัวของกรอีกครั้งแทบจะในทันที แล้วหน้าต่างเล็กๆที่คุ้นเคยซึ่งเป็นหน้าต่างย่อยแสดงรายละเอียดสกิลก็ถูกแสดงขึ้นมาในระดับสายตาของกรทั้งที่ตัวกรกำลังนอนหงายท้องอยู่อย่างนั้น
『Ogre Arm(ต้นฉบับ)』
《 คำอธิบาย : เป็นสกิลจากการได้รับฉายา〘แขนยักษาแห่งการทำลายล้าง〙สามารถเพิ่มสเตตัสทั้งหมดได้ 50 เท่า ตามแต่พลังเวทย์ที่จ่ายเข้าไปในวงเวทย์ซึ่งสลักอยู่บนแขนขวา และจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อเวลาผ่านไปทุกๆ 30 วินาที *ตัวอย่างเช่น จ่ายพลังเวทย์ลงไป 1,000 จุด ก็จะทำให้สเตตัสทั้งหมดเพิ่มขึ้น 50,000 จุด และหากเวลาผ่านไปตั้งแต่เริ่มใช้ 90 วินาที ก็จะทำให้สเตตัสทั้งหมดเพิ่มขึ้น 200,000 จุดนั่นเอง **สกิลนี้จะคงอยู่ตลอดจนกระทั่งผู้ใช้ปลดการใช้งานลงด้วยตัวเองหรือการตอบสนองแบบอัตโนวัติภายใต้อำนาจจิตใจ ***หากใช้สกิลนี้ไปแล้วครั้งหนึ่งร่างกายจะอยู่ในสถานะขยับตัวไม่ได้ 10 วินาทีและต้องรออีก 6 ชั่วโมงเพื่อใช้งานในครั้งต่อไป 》
หะ.....ห่ะห๊ะ!!! เอาหล่ะสิ....มีสกิลที่โกงซะยิ่งกว่าโกงโผล่ออกมาอีกแล้ว
....ฮึก เปล่านะ ฉันไม่ได้ร้องไห้ซักหน่อย
และแน่นอนว่าผลลัพธ์ของคำอธิบายนั่น ก็ทำให้กรต้องหนักใจอย่างหนักเช่นเคย จนน้ำตาที่หมดไปแล้วในครั้งก่อน แทบจะไหลออกมาอีกเป็นครั้งที่ 2 เพราะความรู้สึกที่หนักอึ้งกว่าเดิมถาโถมเข้ามาพร้อมกันมากมายเลยทีเดียว
แล้วถ้างั้น จะให้ฉันทำไงกับมันกันเล่า ห๊ะ!!!!
จะบ้าเรอะ!!!! มีที่ไหนกัน เพิ่มสเตตัสทั้งหมดได้ 50 เท่าเนี่ย นี่มันจะมากเกินไปแล้ว!!!
แถมยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทุกครึ่งวินาทีอีก งั้นเมื่อกี้ที่ฉันจ่ายพลังเวทย์ลงไปเฉลี่ยแล้วก็ประมาณ 8 หมื่น ส่วนเวลาที่ผ่านไปตั้งแต่เริ่มใช้ก็ประมาณ 3-4 นาทีได้….
....นี่แสดงว่าสเตตัสของฉันตอนที่ใช้สกิลเมื่อกี้นี้ก็คือ เอิ่ม... 8 คูณ 5 คูณ 3 คูณ 2.......... 24 ล้านจุดงั้นเหรอ!!!!!
โกง!!! โกงเกินไปแล้ว!!! นี่มันมากกว่าสเตตัสของเคลเบรอสตั้ง 2 เท่าเลยนะเฮ้ย...ตัวฉันนี่มันจะโกงไปถึงไหนกันเนี่ย!!! หะ...ให้ตายสิ เริ่มกลัวตัวเองขึ้นมาอีกแล้วแฮะ
ตะ...แต่ว่า เห็นบอกว่ามีคูลดาวน์ 6 ชั่วโมงด้วยสิ เพราะงั้นก็เลยใช้ต่อเนื่องไม่ได้ แถมหลังใช้ก็ขยับตัวไม่ได้อีกตั้ง 10 วิเลยแหน่ะ...อีแบบนี้ถ้าเกิดยังจัดการศัตรูไม่ได้ด้วยสกิลนี้ในการโจมตีสุดท้าย ตัวเราก็จะกลายเป็นกระสอบทรายไปเลยหน่ะสิ!!!
โอ้ว!!! งั้นเหรอ สกิลโกงโคตรนี่ก็มีความเสี่ยงอยู่สินะ แบบนี้คงต้องเก็บไว้เป็นไม้ตายก้นหีบแล้วหล่ะ แบบนี้ก็ค่อยพอรับได้หน่อย...
....ฟู่!!! ทั้งที่สกิลมีข้อจำกัดผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดแท้ๆ แต่เราดันดีใจกับมันซะงั้น ไอ้เรานี่ก็แปลกดี...ไม่สิ คิดว่าเราก็ปกตินั่นแหล่ะ...มั้งนะ ก็แค่สกิลมันเกินธรรมดามากเกินจนทำใจยอมรับไม่ได้ต่างหาก
〝เห้อ!!!〞
แล้วกรก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนักราวกับจะรีบปัดเป่าความอัดอั้นที่อยู่ในใจให้มลายหายไปเพื่อปรับจิตใจและความคิดให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้งหลังจากที่เจอความกดดันอย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกับที่กรกำลังพูดบ่นกับตัวเองพร้อมกับหัวเราะแห้งอย่างไร้อารมณ์อยู่นั่นเอง ก็มีเสียงของบุคคล?ปริศนาดังขึ้นมาแทรกความคิดของกร
〝ฮะ.. ฮ่ะ!!! ให้ตายสิ! ตัวเรานี่มันโกงซะจริง.... เอาซะจนตัวเองยังกลัวเลยนะเนี่ย....... 〞
แกร็กๆ!!
〖อะไรกันเจ้าหนู! การแข็งแกร่งขึ้นก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่รึ.... จะยินดีกับมันมากกว่านี้ก็ได้หล่ะมั้ง!!!〗
〝หนวกหูน่า เจ้าหมา! อย่างแกจะมาเข้าใจความทุกข์ของฉันที่ต้องคอยรับแรงกดดันจากตัวเองได้ยังไ———〞
.
.
.
〝หา!!!!!!!〞
แล้วพอกรตอบกลับเสียงปริศนาที่ฟังดูเหมือนเพิ่งเคยได้ยินเมื่อไม่นานมานี้นั่นไปอย่างไม่ใส่ใจจึงไม่ได้รู้เลยแม้แต่น้อยเลยว่าเป็นต้นเสียงนั้นมาจากใครแต่ก็ยังตอบกลับในทันทีราวกับคุ้นเคยกับคู่สนทนาที่ว่าอยู่ก่อนแล้ว แต่พอดึงสติขึ้นมาได้ก็รู้ในทันทีว่าเสียงนั้นเป็นของใคร จึงได้ตะโกนออกมาจนลั่นเพราะความตกใจนั่นเอง...
〝คะ...เคลเบรอสงั้นเหรอ!?〞
〖หืม! ก็ใช่หน่ะสิ.... มีอะไรงั้นรึเจ้าหนู!?〗
〝ยะ...ยังจะมาถามว่ามีอะไรอีก! แกหน่ะไม่ใช่ว่าตายไปแล้ว!? ….มะ ไม่สิ...ที่ฉันอยากจะถามหน่ะ คือตอนนี้แกอยู่ที่ไหนต่างหากหล่ะ!!!!!!!〞
ใช่แล้ว คนที่พูดขัดจังหวะความคิดของกรอยู่นี้ก็คือเคลเบรอสนั่นเอง แต่ถึงแม้กรจะได้ยินเสียงของมันแต่ก็ไม่ได้ตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้แต่อย่างใด นั่นเพราะเขามั่นใจ 100% ว่าเคลเบรอสตายไปแล้วแน่ๆ ไม่เช่นนั้นไอเทมดรอปทั้งหลายจะออกมาได้ยังไง พอคิดแบบนั้นได้ก็เลยใช้ตาเหยี่ยวกับสุดยอดการประมวลผลหาที่อยู่ของมันอย่างรวดเร็ว ...แต่ก็ยังไม่เจอ แล้วพอกรคิดดูอีกที เพราะหากว่าเคลเบรอสซึ่งเป็นบอสมอนสเตอร์ปรากฏขึ้นมาอีก『หน้าต่างตั้งค่า』ต้องร้องเตือนตนอีกแน่อยู่แล้ว นั่นเลยทำให้ตัวเขาสับสนมากไปกันใหญ่
แกร็กๆ!!
〝ยะ...อยู่นั่นงั้นเหรอ!?〞
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
แล้วพอกรได้ยินเสียงที่คล้ายกับโลหะเสียดสีกันเล็กน้อยอีกครั้ง ซึ่งหากนึกย้อนไปก่อนหน้าก่อนที่เคลเบรอสจะเริ่มทักกรก็ได้ยินเสียงแบบเดียวกัน มาจากกลุ่มสมบัติที่กองเป็นพะเนินซึ่งเป็นไอเทมดรอปของเคลเบรอสนั่น นั่นเลยทำให้กรที่พอมีประสบการณ์จากอนิเมะและเกมจากโลกเดิมพอคาดเดาได้บ้างแล้วว่าสภาพของเคลเบรอสในตอนนี้นั้นจะเป็นอย่างไร จึงได้รีบวิ่งเข้าไปยังกองสมบัตินั่นอย่างรวดเร็ว แล้วก็ทำการใช้มือทั้งสองข้างทั้งขุดและปัดเหรียญทอง และไอเทมต่างๆที่ขวางทางอยู่อย่างรีบร้อนในขณะเดียวกัน
〝เห้ยเคลเบรอส! อยู่ตรงไหนกันแน่ฟ่ะ!!!〞
〖ข้าอยู่ตรงนี้เจ้าหนู! จะแทงตาอยู่แล้วเนี่ย!!!〗
〝!!!!!!!!!!〞
แล้วพอกรควานหาตามเสียงของเคลเบรอสที่กำลังบอกตำแหน่งของตัวเองอยู่ จนกระทั่งพบแหล่งกำเนิดเสียงเข้าจนได้ ก็ทำให้เขาตกใจกับภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ามากจนถึงกับจ้องมันเขม็งเลยทีเดียว
วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง!
สิ่งที่กรกำลังจับจ้องอย่างไม่วางตาอยู่นี้ก็คือ ดาบสองคมสีดำสนิทไม่ว่าจะเป็นใบดาบหรือด้ามดาบความยาวทั้งหมดประมาณ 80 เซนติเมตร กำลังถูกวางอยู่บนกองสมบัติในแนวขนานกับพื้น ตรงโคนดาบซึ่งเป็นที่กั้นระหว่างใบดาบและด้ามดาบ ถูกประดับด้วยรูปสลักโลหะมันวาวเป็นรูปศีรษะของเคลเบรอสหัวหนึ่งและมีสีดำสนิทเช่นเดียวกับตัวดาบ ลวดลายบนใบดาบแบบยุโรปเองก็มีความวิจิตรงดงามและซับซ้อนราวกับภาพวาดแนวแอฟแตค แต่ก็สมมาตรกันทั้งซ้ายขวาหากแบ่งครึ่งดาบเป็นสองซีก ส่วนด้ามดาบแม้จะไม่มีการตกแต่งเป็นพิเศษ แต่ลวดลายดั้งเดิมเองก็ดูดีอยู่แล้ว นั่นเลยทำให้โดยรวมแล้ว ดาบสีดำทมิฬเล่มนี้คือผลงานระดับสุดยอดอย่างไม่ต้องสงสัย
〝กะ...โกหกน่า!!!〞
แกร็กๆ!!
〖จะตกใจอะไรกันเจ้าหนู!!!〗
〝ยังจะมาถามอีก ไอ้เจ้าหมานี่! ละ…แล้วทำไมแกถึงกลายเป็นดาบไปได้หล่ะเนี่ย!〞
〖หืม! ข้าไม่ได้บอกหรอกเหรอ...ว่าหากผ่านบททดสอบได้ และข้ายอมรับความแข็งแกร่งของเจ้า เจ้าก็จะกลายเป็นนายของข้าหน่ะ... 〗
〝ไม่ได้บอกซักนิดเลยเฟ้ย!!! 〞
〖อ้าว...งั้นหรอกเหรอ! ห๊ะห่ะห่ะ....สงสัยจะเป็นเพราะการต่อสู้ของเรามันดุเดือดมากกระมั้ง เลยทำให้ข้าลืมบอกไปซะสนิทหน่ะ〗
〝คะ....คนอย่างแกนี่มัน !!! 〞
แล้วหลังจากที่กรเกิดความสงสัยในตัวเคลเบรอส ก็เลยรัวคำถามใส่เป็นชุด แต่เคลเบรอสที่ตอบออกมาแบบทีเล่นทีจริงทั้งที่กรถามอย่างจริงจัง บวกกับสีหน้าและการเคลื่อนไหวของใบหน้าที่อยู่บนโคนดาบซึ่งตอนนี้เป็นโลหะทั้งหมดก็ถูกแสดงออกมาราวกับกำลังพูดกับเคลเบรอสในตอนที่เป็นบอสมอนสเตอร์ยังไงอย่างงั้น นั่นเลยทำให้เขาหงุดหงิดเล็กน้อย แต่กรก็ปรับอารมณ์ตัวเองใหม่ เพื่อให้กลับมาสุขุมอีกครั้งในทันที แล้วจากนั้นก็ถามคำถามเคลเบรอสต่อไปเรื่อยๆ
〝ระ..เรื่องนั้นช่างมันก่อน! แต่ไม่เห็นสัมผัสได้เลยซักนิดว่าแกเป็นมอนสเตอร์... แล้วแกในตอนนี้จะอยู่ในสถานะอะไรกันหล่ะ.....〞
〖ถ้านั่นหมายถึงว่าข้าเป็นศัตรูรึเปล่าละก็...ข้าก็บอกไปแล้วนะ ว่าเจ้าในตอนนี้เป็นนายของข้า ....ส่วนถ้าถามว่าตอนนี้ข้าเป็นมอนสเตอร์รึเปล่า แค่ใช้สกิลตรวจสอบดูก็รู้แล้วไม่ใช่รึ!?〗
พอกรถามออกไปแบบนั้น เคลเบรอสก็ตอบกลับมาเป็นเชิงเชิญชวนให้กรตรวจสอบตัวเอง ที่เคลเบรอสทำแบบนั้นเอง นั่นก็เพื่อทุ่นเวลาอธิบายกับเพื่อให้กรพิสูจน์ด้วยตัวเองเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือก็ด้วย กรเองก็ไม่คิดว่าเคลเบรอสโกหก แต่ก็ยังไม่เชื่อเต็มร้อย ก็เลยรีบใช้สกิล『ตรวจสอบขั้นสูง』กับเคลเบรอสที่ตอนนี้เป็นดาบไปแล้วในทันที แล้วผลลัพธ์ที่เกินคาดก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้ากรอีกครั้ง.....
『เคลเบรอสซอร์ด』【SSS】
《 คำอธิบาย : ดาบสีดำทมิฬอันน่าเกรงขามซึ่งเป็นที่สิงสถิตของจิตวิญญาณเคลเบรอส โดยเงื่อนไขการได้รับก็คือ การผ่านบททดสอบและการยอมรับจากเคลเบรอสซึ่งเป็นบอสมอนสเตอร์เท่านั้น ทำให้ผู้ที่ครอบครองได้รับพลังมหาศาล *ความสามารถและความทนทานของดาบเล่มนี้จะเติบโตตามความสามารถของผู้ใช้ ทั้งยังสามารถใช้สกิลของเคลเบรอสได้ทั้งหมด ความรุนแรงขึ้นอยู่กับพลังเวทย์และเลเวลของผู้ใช้ **เนื่องจากดาบเล่มนี้มีจิตวิญญานของตัวเอง จึงจัดเป็นอินเทเลเจนท์ซอร์ด ซึ่งมีความคิดและสติปัญญาเป็นของตัวเองและมีอิสระในการกระทำโดยไม่ขึ้นกับคำสั่งของผู้ใช้ 》
〝อึก!!〞
เดี๋ยวก่อนสิ...จะบอกว่าไอ้ดาบเนี่ยเป็นไอเทมดรอปงั้นเหรอ อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะ『หน้าต่างตั้งค่าอัตราการดรอปไอเทม』นั่นหน่ะ... แต่เคลเบรอสก็บอกเองนี่นาว่าจะกลายเป็นดาบในตอนที่ตัวเองยอมรับคู่ต่อสู้..... ว้าก!!! งงไปหมดแล้วโว้ยยย!!!!!!!!
ตะ.....แต่คิดเรื่องนั้นไปก็ไม่มีข้อพิสูจน์ที่แน่ชัดซะด้วยสิ เพราะงั้นคิดไปก็คงเหนื่อยเปล่าละมั้งเนี่ย.....
แล้วไอ้ที่กลายเป็นดาบเนี่ยก็น่าตกใจพอแล้วนะ....แต่ว่าที่น่าตกใจกว่าคือ ระดับความหายากของมันกับความสามารถของมันต่างหากหล่ะ....
ในตอนที่ฉันสร้าง『เอ็กซ์คาลิเบอร์』กับ『ดูแรนดัล』จากพื้นห้องโถง เจ้าหมานี่ยังบอกเลยว่า ระดับ 【SSS】เป็นไอเทมระดับสูงสุดๆ
เหลือเชื่อ...เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!!!! นี่แค่สกิลยังไม่พอ แต่ยังได้อาวุธระดับตำนานมาอีกงั้นเหรอ นี่เราจะโกงไปถึงไหนกันเนี่ย....
แล้วยังมีความสามารถที่โคตรโกงติดมาด้วยอีก....เติบโตตามผู้ใช้งั้นเหรอ จริงๆมันก็ฟังดูดีอะน่ะ....ถ้าไม่ติดว่าคนใช้เป็นฉันหล่ะก็ อีแบบนี้ก็หมายความว่าสเตตัสของดาบนี่ก็เป็นแสนเหมือนกันสินะ ....งั้นมันก็เป็นดาบที่โกงไม่แพ้คนใช้อย่างฉันเลยหน่ะสิ…
...แต่ที่น่าตกใจกว่าก็คือ มันดันสามารถใช้สกิลของเคลเบรอสได้ด้วยนั่นแหล่ะที่โกงยิ่งกว่า ทั้ง『ตัดสายลม』ที่ติดตามเป้าหมายได้ 『กรดเดือดหลอมละลาย』ที่รุนแรงถึงขนาดย่อยพื้นห้องโถงที่แข็งโคตรๆนั่นได้ก็ด้วย แล้วยังมี『เพลิงทมิฬ』ที่ร้อนโคตรๆ แถมยังสามารถทำให้เป้าหมายติดสถานะผิดปกติอะไรก็ได้ตามใจอีก...
...ก็ใช่สิ ฉันโดนมากับตัวเองนี่หว่า ทำไมจะไม่รู้ว่าไอ้สกิลพวกนี้มันน่ากลัวขนาดไหน ละ....แล้วไอ้สกิลบ้าๆพวกนั้นก็จะมาอยู่ในมือฉันอีกแล้วงั้นเหรอ!!!
〖จะตกใจมากเกินไปแล้วมั้งเจ้าหนู!?〗
〝หนะ..หนวกหูน่า เจ้าหมาบ้า! ขอเวลาให้ฉันได้พักบ้างเหอะ!!!〞
〖จะเศร้าไปทำไมกันเจ้าหนู ทั้งที่ได้พลังอันมหาศาลมาไว้ในมือแท้ๆ.....〗
〝ฮึก! ขอร้องหล่ะ อย่าตอกย้ำกันเลยนะ... ขอร้อง....〞
พอเคลเบรอสถามออกไปแบบนั้น น้ำตาของกรก็ปริ่มขึ้นมาเล็กน้อยอีกครั้งหลังจากตอบกลับเคลเบรอสด้วยสีหน้าที่อ้างว้างเสียเหลือเกิน แล้วพอเคลเบรอสถามออกมาอีกครั้ง กรก็น้ำตาไหลพรากออกมาในทันที แล้วก็ตอบเคลเบรอสด้วยเสียงสะอึกสะอื้นราวกับเด็กน้อย ทั้งยังพูดคำว่า〝ขอร้อง〞ขึ้นมาถึงสองครั้งในประโยคเดียวอีกต่างหาก....
〖น่าแปลกใจจริงๆ...ข้าไม่เคยเห็นคนที่ได้รับพลังอำนาจมาแล้วมานั่งกอดเข่าร้องไห้เช่นเจ้ามาก่อนเลย....เจ้าหนู แกนี่แปลกคนชะมัดเลย...〗
〝ฮึก! กะ...ก็มัน กะ...กดดันนี่หว่า ฮึก! แล้วจะให้ฉัน ทำยังไงเล่า...〞
〖โอ๋ๆ ไม่ร้องนะเจ้าหนู ....มีอะไรก็ค่อยๆคุยกันได้น่า...〗
แล้วกรก็ยังร้องไห้ออกมาเบาๆไม่หยุด เคลเบรอสก็เลยปลอบกรแทบจะทันที หากมองทั้งคู่ในตอนนี้แล้วหล่ะก็ มันเหมือนกับจะเห็นภาพของพ่อแม่ที่กำลังให้กำลังใจลูกโดยการลูบหัวในขณะที่ปลอบโยนไปด้วยทับซ้อนอยู่ยังไงอย่างงั้นเลย สาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะตัวเขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูสุดโหดในดันเจี้ยนเพียงลำพังมาตลอด นั่นเลยทำให้ตัวเขาต้องรับแรงกดดันแบบนั้นอยู่คนเดียว เพราะเหลือตัวคนเดียวกรจึงต้องทำจิตใจของตัวเองให้แข็งแกร่งมากพอที่จะรับสภาพทุกอย่างรอบตัวได้ด้วยตัวเองให้ได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถเอาตัวรอดในดันเจี้ยนนี้ได้ แต่ถึงจะทำทุกอย่างที่ว่ามาได้ กรก็ยังไม่สามารถเอาชนะความกลัวและแรงกดดันต่อความแข็งแกร่งของตัวเองได้อยู่ดี
แล้วพอกรมาเจอกับศัตรูสุดแกร่งอย่างเคลเบรอสเข้า ทั้งกรและเคลเบรอสที่ทุ่มเททั้งจิตวิญญาณเข้าปะทะกันอย่างเปิดเผย ทั้งสองที่เอาทุกสิ่งที่ตนมีเข้าห้ำหั่นกันและเดิมพันด้วยชีวิตอย่างซื่อตรง เลยทำให้ใจจริงของทั้งคู่ส่งไปถึงอีกฝ่ายจนหมด เหมือนกับคำพูดที่ว่า 〝นักสู้ที่แท้จริง แค่แลกหมัดกันก็สามารถสื่อใจถึงกันได้โดยที่ไม่ต้องใช้คำพูด〞นั่นแหล่ะ นั่นเลยทำให้ทั้งคู่รู้สึกเคารพอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก ราวกับการต่อสู้นั่นทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า『มิตรภาพของลูกผู้ชาย』ขึ้นมาต่อทั้งสองฝ่ายยังไงอย่างงั้นเลย กรก็เลยแทบจะปลดปล่อยอารมณ์ทั้งหมดที่สั่งสมมาตลอดออกมาต่อหน้าเคลเบรอส อย่างไม่มีอาการอายเลยซักนิด นั่นเลยเป็นตัวพิสูจน์ว่าทั้งคู่ไว้ใจกันมากพอสมควรแม้จะเพิ่งปะทะกันอย่างดุเดือดมาก็ตาม แล้วพอกรปลดปล่อยความรู้สึกออกมาเป็นสายธารซักพักหนึ่ง เขาก็ตั้งสติใหม่อีกครั้ง ด้วยการตบหน้าตัวเองแรงๆด้วยมือทั้งสองข้างแล้วเริ่มการตรวจสอบต่อในทันที
.
.
.
〝เห้อ! เอาหล่ะ แค่นี้ก็พอแล้วมั้ง....โทษทีนะเจ้าหมา ดันให้แกเห็นด้านที่อ่อนแอของฉันซะได้ !〞
〖ห่ะห่ะห๊ะ! อย่าใส่ใจเลยน่าเจ้าหนู กลับกันข้าตกใจมากกว่าที่เจ้าทนรับภาระจากการลงดันเจี้ยนเพียงลำพังมาได้นานขนาดนี้เนี่ย ....นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเจ้าก็ยังปกติดีอยู่.....ข้าคิดว่างั้นนะ〗
〝ประโยคหลังนี่ไม่ต้องพูดก็ได้เฟ้ย!!! อะ....เอาเถอะ เสียเวลามามากพอแล้ว! งั้นฉันจะเริ่มการตรวจสอบไอเทมให้ว่องเลยก็แล้วกัน.... แกมีอะไรแนะนำฉันรึเปล่าหล่ะเจ้าหมา...〞
〖หืม...ข้าเพิ่งเป็นคนที่ทำให้เจ้าปางตายมาหยกๆเลยนะเจ้าหนู...เจ้านี่ก็แปลกดีนี่ เชื่อใจข้าง่ายไปแล้วมั้ง....〗
〝อะไรกัน....เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปสิ ฉันไม่ใช่คนที่จะมาคิดเรื่องเล็กน้อยพรรค์นั้นหรอกนะ…. 〞
〖งั้นเหรอ แต่เอาเถอะ....แบบนี้ก็ดีแล้ว ข้าเองก็ไม่อยากเสียแรงอธิบายให้มากความซะด้วย เจ้าเข้าใจง่ายๆก็ดีแล้วหล่ะนะ.....〗
〖หึ...ห่ะห่ะห๊ะ!〗
〝หึ...ห่ะห่ะห๊ะ!〞
แล้วทั้งคู่ก็ยิ้มให้กันอย่างร่าเริงจนเห็นฟันแทบจะทุกซี่และหัวเราะให้กันเบาๆราวกับเด็กๆที่เพิ่งคืนดีกัน อันเป็นสัญญาณทางอ้อมว่าทั้งคู่ได้ร่วมมือกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง แล้วจากนั้นกรก็ทำการตรวจสอบดรอปไอเทมรวมถึงเงินทั้งหมดที่ดรอปออกมาตามคำแนะนำของเคลเบรอสไปเรื่อยๆ....
....จากคำบอกเล่าคร่าวๆของเคลเบรอส ดูเหมือนว่าไอเทมในโลกนี้ทั้งหมดจะถูกแบ่งระดับความหายากตั้งแต่น้อยไปหามากเป็น E, D, C, B, A, S, SS, SSS แน่นอนว่ายิ่งระดับความหายากสูงโอกาสดรอปก็ยิ่งต่ำ แต่ความสามารถพิเศษและสเตตัสที่ได้รับก็จะมากตามไปด้วย ในระดับ E ถึง C นั้นคือไอเทมระดับพื้นฐานซึ่งคนทั่วไปใช้กัน ส่วนตั้งแต่ระดับ B ขึ้นไปนั้นก็นับเป็นของชั้นเยี่ยม
หากถึงระดับ S ก็ยิ่งเป็นไอเทมที่หายากมากขึ้นไปอีก ส่วนในระดับ SS และ SSS นั้นได้ชื่อว่าเป็นไอเทมที่หายาก ซึ่งปรากฏในเรื่องเล่าปรัมปราหรือเทพนิยายเท่านั้น ทั้งยังมีเพียงชิ้นเดียวในโลกอีกต่างหากแน่นอนว่า『เคลเบรอสซอร์ด』ที่เป็นระดับ SSS เองก็เช่นเดียวกัน แล้วเคลเบรอสยังบอกอีกว่า ระดับ SSS ที่ถูกเผ่าพันธุ์มนุษย์ค้นพบแล้วมีเพียง 5 ชิ้นเท่านั้นเอง
แล้วหลังจากที่กรใช้เวลาตรวจสอบไอเทมทั้งหมดร่วม 1 ชั่วโมงเศษ กรก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าเหลือเชื่อมากมาย โดยไอเทมทั้งหมดรวมถึงอาวุธ ชุดเกราะและวัสดุต่างๆ ที่ดรอปออกมานั้นมีอยู่มากมายก็จริง แต่ที่มีความสามารถและความหายากโดดเด่น และกรคิดจะนำมาใช้งานจริงในตอนนี้นั้นมีแค่ 2 ชิ้น ดังนี้....
『ดาร์คเนสเซ็ทโค้ท』【SSS】
《 คำอธิบาย : ชุดเซ็ทเสื้อคลุมที่มีตั้งแต่เสื้อซับในไปจนถึงรองเท้าบูท ซึ่งเมื่อสวมทั้งหมดแล้วจะเพิ่มความต้านทานทางกายภาพและเวทย์มนต์ รวมถึงสเตตัสทั้งหมดขึ้นอีก 50% จากสเตตัสในปัจจุบัน แล้วยังเพิ่มความเสียหายจากการใช้เวทย์มนต์ของผู้สวมใส่ได้อีก 50% เช่นกัน 》
『ดูอัลไดเมนชั่นริง』【SS】
《 คำอธิบาย : ชุดเซ็ทแหวนทั้ง 2 วง ซึ่งหากใส่ครบทั้งสองวงจะทำให้เกิดผลดังนี้ *สามารถเปิดมิติเฉพาะของตัวเองขึ้นมาได้ โดยพื้นที่นั้นไร้ขีดจำกัด ซึ่งสามารถใช้เป็นคลังเก็บไอเทมทุกอย่างได้เช่นกัน ทั้งยังสามารถคงสภาพไอเทมทั้งหมดให้อยู่ในสภาพเดิมได้เหมือนกับก่อนที่จะนำเข้ามิติได้ **หากใส่เพียงข้างเดียวจะต้องร่ายเวทย์ในการใช้งาน แต่หากใส่ทั้งสองข้างจะสามารถเรียกไอเทมในมิติเฉพาะออกมาได้ในทันทีดังใจนึก 》
เนื่องจากผ่านการต่อสู้อันดุเดือดมาตลอดเลยทำให้ชุดเกราะเบาที่ได้รับมาจากกองอัศวินในตอนแรกของกรนั้นเละเทะจนไม่มีชิ้นดี แม้ในการปะทะกับกลุ่มมอนสเตอร์ที่กรจุติครั้งแรกนั้นจะมีเพียงชุดเกราะส่วนแขนและส่วนขาเท่านั้นที่ถูกทำลาย สาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะเกราะเบาที่ว่ามันไม่ครอบคลุมบริเวณหน้าอกไปจนถึงหน้าท้องก็ด้วย แล้วพอผ่านการปะทะกับเคลเบรอสเข้าไปอีก ความทนทานของเกราะเบาจึงหมดลงแล้วแหลกสลายไปในที่สุด นั่นเลยทำให้กรต้องหาชุดเกราะใหม่ แต่สเตตัสด้านป้องกันของกรก็มากอยู่แล้ว
ในตอนแรกกรนั้นคิดจะสวมใส่เกราะโลหะที่ถึงจะมีระดับความหายากอยู่ที่ระดับ【S】และเพิ่มสเตตัสเป็นค่าตัวเลขที่แน่นอน ซึ่งจะเพิ่มสเตตัสอยู่ที่ประมาณ 10,000 จุด รวมถึงเพราะใส่แล้วสบายใจและคิดว่ามันมีความทนทานมากกว่าก็ด้วย แต่ก็ถูกเคลเบรอสท้วงติง นั่นเพราะสเตตัสของกรในตอนนี้นั้นสูงจนอยู่ในระดับที่ไม่จะเป็นต้องพึ่งพาพวกชุดเกราะที่มีการเพิ่มสเตตัสเป็นเลขที่คงที่ กลับกันหากใส่ชุดระดับสูงที่เพิ่มพลังขึ้นโดยคำนวณเป็นร้อยละจะมีประสิทธิภาพกว่า รวมถึงร่างกายอันแข็งแกร่งของกรในตอนนี้ไม่จะเป็นต้องพึ่งเกราะโลหะเลยด้วยซ้ำ นั่นเลยทำให้กรเปลี่ยนใจตามในทันทีเพราะความเห็นที่สมเหตุสมผลของเคลเบรอส
แล้วหากลองดูเครื่องประดับที่เหลือแล้วละก็ แม้จะเป็นไอเทมระดับ【A】หรือใกล้เคียงก็ตาม แต่กรก็ยังไม่คิดจะสวมใส่มันในตอนนี้ นั่นเพราะเคลเบรอสบอกว่า หากใส่ไอเทมที่มีความสามารถตรงข้ามกัน จะทำให้ผลพิเศษต่อต้านกันเองจนแสดงผลได้ไม่เต็มที่ กรจึงใส่ไอเทมที่คิดว่าจำเป็นไปก่อน แล้วจึงจะปรับแก้เครื่องแต่งกายให้มีประสิทธิภาพที่สุดอีกครั้ง
แล้วจากนั้นกรก็ลองดูหนังสือเล่มที่หนากว่า 100 หน้านั่นทั้งหมด แล้วก็พบว่ามันเป็น『หนังสือสกิล』นั่นเอง แล้วกรก็ไม่รอช้าที่จะเรียนรู้มันทั้งหมด แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรมาก นั่นเพราะทั้งหมดมันเป็นสกิลติดตัวที่มีผลคล้ายกับที่กรมีอยู่ก่อนแล้ว ซ้ำยังมีผลน้อยกว่าที่เป็นอยู่เสียอีก แต่ในหนังสือสกิลที่ว่าก็ยังมีสกิล 『ตัดสายลม』『กรดเดือดหลอมละลาย』และ『เพลิงทมิฬ』อยู่เช่นกัน แต่พอกรคิดจะเรียนรู้สกิลพวกนี้ เคลเบรอสก็แสดงอาการงอนราวกับเด็กออกมา นั่นเพราะหากกรใช้『เคลเบรอสซอร์ด』ก็จะมีผลออกมาคล้ายกัน เคลเบรอสจึงไม่อยากรู้สึกเหมือนถูกทิ้งไปก้าวนึง แม้ตอนแรกกรจะคิดว่าไม่เห็นต้องทำแบบนั้นก็ตาม แต่พอเคลเบรอสบอกว่าหากใช้สกิลพวกนั้นจากตัวดาบเคลเบรอสแล้ว จะให้ผลที่รุนแรงกว่าที่กรใช้เองเพราะมีพลังเวทย์ของเคลแบรอสอยู่ด้วย ก็เลยทำให้กรยอมทำตามที่เคลเบรอสบอก
ส่วนไอเทมที่เหลือทั้งหมด ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกวัสดุไว้ทำอาวุธและเครื่องป้องกันต่างๆ จากที่เคลเบรอสแนะนำ ดูเหมือนว่าหากไม่มีสกิลและความชำนาญเฉพาะด้าน ก็จะไม่สามารถสร้างของดีๆขึ้นมาได้ กลับกันของที่ดรอปจากดันเจี้ยนยังจะมีผลพิเศษและเพิ่มสเตตัสได้มากกว่าเสียอีก แต่กรก็คิดว่าบางทีตนอาจจะทำแบบนั้นได้เพราะมี『ตั้งค่าอาชีพ』อยู่ แต่กรก็ยังไม่มีโอกาสเหมาะๆบอกเรื่องนี้กับเคลเบรอส ส่วนเหรียญเงินและเหรียญทอง เพชรนิลจินดาและของมีค่าอื่นๆอีกมากมายซึ่งเป็นของที่มีค่ามากมายมหาศาลนั้น รวมถึงไอเทมทั้งหมดที่กรยังไม่ได้ใช้งานทั้งหมดก็ได้ถูกกรเก็บลงไปใน『ดูอัลไดเมนชั่นริง』เรียบร้อย แล้วพอการตรวจสอบจบลง กรจึงเริ่มเตรียมตัวในการเดินทางลงไปยังชั้นที่ 26 ในทันที
.
.
〖โอ้ว!....ใส่โค้ทแล้วเหมาะดีนี่นาเจ้าหนู!〗
〝เหอะ....โดนตัวผู้เหมือนกันชมแล้วมันรู้สึกแปลกๆชะมัดเลยฟ่ะ เจ้าหมา....〞
หลังจากที่กรถอดชุดเกราะทั้งหมดออก จึงเปลี่ยนเสื้อปกติเป็นเสื้อยืดเนื้อผ้าสีแดงสดมีคุณสมบัติต้านทานเวทย์มนต์ แล้วสวมทับด้วย『ดาร์คเนสเซ็ทโค้ท』ซึ่งมีลักษณะเป็นโค้ทหางยาวจนถึงน่อง ส่วนด้านหน้านั้นไม่มีซิบ แต่ถูกกลัดไว้ด้วยเชือกแบบเบาๆ แต่ก็ไม่ง่ายนักที่จะทำให้หลุด การดีไซน์เองก็มีความสวยงามคล้ายๆกับดาบเคลเบรอสเช่นกัน รวมกับชุดที่มีสีดำทมิฬตลอดทั้งเนื้อผ้า ซึ่งสีเข้ากับผมของกรที่เป็นคนเอเชียพอดี ตัดกับเสื้อสีแดงที่สวมอยู่ภายในนั่นเลยทำให้พอใส่แล้วมันเข้ากันแบบสุดๆ
〝ทางลงเนี่ย ทางนี้สินะ....〞
แกร็กๆ!!
〖โอ้ว...ใช่แล้วหล่ะ เจ้าหนู! แค่เดินลงบันไดนั่นไปเดี๋ยวก็จะไปโผล่ที่ชั้น 26 เองแหล่ะ〗
〝อา...ถ้างั้นละก็ เริ่มออกเดินทางกันได้แล้วหล่ะ.....〞
แล้วไม่รอช้า กรก็นำเคลเบรอสที่ตอนนี้เป็นดาบเข้าฝักแล้วสะพายไว้ที่หลังโดยให้ด้ามดาบโผล่ออกมาทางด้านไหล่ขวา แต่พอกรถามคำถามกับเคลเบรอสไป มันก็โผล่ขึ้นมาจากฝักเล็กน้อยทั้งอย่างงั้นด้วยตัวเอง เพื่อให้ส่วนที่เป็นใบหน้าโผล่ออกมา แล้วก็ตอบกลับกรไปแทบจะทันทีด้วยน้ำเสียงที่ดูร่าเริง แล้วในระหว่างทางลงไปชั้นที่ 26 กรก็พูดคุยกันเล็กน้อยกับเคลเบรอส
〝เห้ย เจ้าหมา! แกเพิ่งจะจากที่อยู่ของแกมาไม่ใช่เหรอ ไม่รู้สึกเหงาซักนิดรึไงกัน!!!〞
〖โห้! ยังเร็วไปแสนปีนะเจ้าหนู ถ้าจะมาห่วงข้าคนนี้ แต่ก็เอาเถอะ... ข้าเองก็เบื่อกับที่พรรค์นั้นแล้วหล่ะนะ...การได้ติดตามเจ้าไปเนี่ยคงจะสนุกไม่ใช่น้อย...เพราะงั้นก็อย่าทำให้ข้าผิดหวังซะหล่ะ..〗
〝อย่าคาดหวังกับฉันมากจะดีกว่านะ...〞
〖อย่าดูแคลนตัวเองไปเลยเจ้าหนู เจ้าหน่ะเป็นเพียงไม่กี่คนเลยนะที่ทำให้ข้าสนุกได้ถึงขนาดนั้นหน่ะ....เพราะงั้นก็... ขอฝากตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งทั้งในฐานะข้ารับใช้และในฐานะ『เพื่อนพ้อง』ก็แล้วกันหล่ะ เจ้าหนู!!!〗
〝....................〞
พวกพ้อง.....งั้นเหรอ.......
〖หืม!?....เป็นอะไรไปเจ้าหนู รึว่ารู้สึกไม่ค่อยดีกับคำพูดของข้า!?〗
แล้วพอเคลเบรอสฝากตัวกับกรอีกครั้ง ทั้งยังบอกกับกรอีกว่าตัวเองเป็นพวกพ้อง ก็เลยทำให้กรนึกถึงความหมายของมันวนเวียนอยู่ในหัวครู่หนึ่ง แล้วพอเคลเบรอสสังเกตเห็นกรเงียบไปพักใหญ่ก็เลยถามออกมาด้วยความเป็นห่วง แต่รูปประโยคกลับคล้ายกับจะประชดประชันกรเล็กน้อย แต่กรที่กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ก็ไม่ได้คิดมากแต่อย่างใด
〝เปล่าหรอก......ก็แค่ .....ตั้งแต่เกิดมา ฉันมีคนที่สามารถเรียกแบบนั้นได้อย่างเต็มปากแค่ 6 คนเท่านั้นเอง….〞
〖...................〗
กรที่ตอบเคลเบรอสออกไปแบบนั้นเบาๆด้วยเสียงที่หนักแน่น แต่กลับก้มหน้าลงต่ำจนเหมือนกับกำลังเศร้าใจ ทั้งยังแผ่บรรยากาศน่าสลดออกมาเล็กน้อยโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ นั่นเลยทำให้เคลเบรอสครุ่นคิดเรื่องของกรขึ้นมาเล็กน้อย และแม้ก่อนหน้านี้กรจะบอกว่าไม่ได้คิดมากเรื่องนั้นเพราะตัวเขาต้องการมีชีวิตอยู่ด้วยตัวคนเดียวเพื่อตัวเขาคนเดียวก็ตาม แต่เพราะเคลเบรอสสังเกตเห็นว่า ในประโยคที่กรพูดออกมานั้น มันมีคำว่า〝แค่〞อยู่ เพราะนั่นมันหมายความว่า กรไม่ได้ต้องการแค่นี้นั่นเอง แม้ตัวกรจะไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย แต่เคลเบรอสที่สังเกตเห็นจุดนั้น จึงได้คิดว่ากรก็เป็นแค่เด็กขี้เหงาที่พยายามทำตัวแข็งแกร่งเพื่อมีชีวิตรอดในนรกสุดโหดที่เรียกว่าดันเจี้ยนแห่งนี้ ก็สัญญากับตัวเองอยู่ในใจว่าจะเป็นเพื่อนพ้องกับเด็กคนนี้และจะปกป้องเขาอย่างสุดชีวิตให้ได้
〖งั้นเหรอ...เจ้าเองก็คงลำบากมาเยอะสินะ〗
เคลเบรอสพูดแบบนั้นออกไปเป็นเชิงปลอบใจกรเล็กน้อย แต่กรก็ไม่ได้ตอบกลับเคลเบรอสแต่อย่างใด แล้วกรก็ยังคงมุ่งหน้าลงไปยังชั้นที่ 26 ต่อไป โดยที่ระหว่าทางหลังจากนั้นทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกเลย แล้วหลังจากนั้นไม่นานกรก็ลงมาจนถึงปากทางเข้าชั้นที่ 26 ในที่สุด.....
〝สะ....สุดยอด! นี่มันสวยกว่าที่คิดไว้ซะอีกนะเนี่ย!〞 หลังจากที่กรใช้เวลาพอสมควรในการลงบันไดมายังชั้นที่ 26 ตามคำแนะนำของเคลเบรอส ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของกรที่ยืนอยู่ตรงปากทางออกก็คือ บริเวณทางเดินที่ถูกเชื่อมต่อไปยังบริเวณที่คล้ายกับถ้ำใต้ดินซึ่งมีส่วนประกอบทั้งหมดเป็นหินสีน้ำตาลเข้ม ผิวขรุขระตลอดแนวไปจนสุดสายตาดังที่เห็นได้บ่อยๆในสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ในภูเขา แต่ที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือ บริเวณพื้นผิวของถ้ำทั้งหมดนั้นมีจุดสีฟ้าเล็กๆเป็นจำนวนมากเกาะอยู่ทั่วบริเวณถ้ำเสียไปทั่วบริเวณที่กรมองไปถึง และแม้จะไม่มีแสงอาทิตย์ลอดเข้ามาในพื้นที่ปิดตายนี้แต่อย่างใด แต่จุดเล็กๆทั้งหลายนั้นกลับยังสะท้อนแสงและกระพริบไปมาเป็นจังหวะอย่างสวยงาม และด้วยความที่เพดานของถ้ำนั้นสูงกว่าพื้นดิน 5 เมตร นั่นเลยทำให้จุดสีฟ้าจำนวนมหาศาลที่กำลังส่องประกายระยิบระยับบนเพดานถ้ำเหล่านี้คล้ายกับท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ปราศจากการบดบังของก้อนเมฆจนเห็นดวงดาวส่องประกายเต็มท้องฟ้าอย่างงดงามหาใดเปรียบยังไงอย่างงั้นเลย กรเองที่กำลังคิดแบบนั้นอยู่เช่นกันเพราะถูกความงดงามนั่นตราตรึงและดึงดูดสายตาเสียจนเบนหน้าหนี
———1 สัปดาห์ต่อมา.....แคร็กๆๆๆๆ!ตึก!——— ตึก!——— ตึก!——— ท่ามกลางจุดสีน้ำเงินส่องประกายสวยงามซึ่งประดับอยู่บนเพดานถ้ำนับล้านจุดจนคล้ายกับหมู่ดาวมากมายบนกาแล็คซี่ทางช้างเผือกยามค่ำคืน กลับได้ยินเสียงรบกวนโสตประสาทที่ไม่เข้ากับพื้นที่และบรรยากาศอันแสนงดงามนี้ดังขึ้นเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันเองก็มีเสียงฝีเท้าเดินเข้าไปใกล้เสียงที่ว่านั้นอย่างช้าๆและเป็นจังหวะด้วยเสียงที่เบาบางราวกับตีนแมวยังไงอย่างงั้นชึบ!———แกร็ก!แคร็กๆๆๆๆๆ!!!!!!! ในจังหวะเดียวกันก็เกิดเสียงคล้ายกับโลหะสองชิ้นเสียดสีกันและเสียงที่คล้ายกับอะไรซักอย่างลงล็อกกันได้พอดีนั่น เลยดูเหมือนจะสร้างความสนใจให้กับแหล่งกำเนิดเสียงที่ไม่น่าอภิรมณ์ในตอนแรกนั่นไม่น้อย เสียงที่น่ารำคาญนั่นดังขึ้นเรื่อยๆ และเข้ามาใกล้เสียงของฝีเท้าในตอนแรกที่กำลังเดินเข้าไปหาแทนอย่างรวดเร็วราวกับกำลังหิวกระหายต่ออะไรซักอย่าง แต่ทว่า....เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! ก๊าซซซซซ!!!!!!!!!! ในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่เสียงโลหะลงล็อกกันในตอนแรกได้จบลง ก็เกิดเสียงดังที่คล้ายกับมีคนจุดป
———ย้อนกลับไปเล็กน้อย ณ แคมป์พักผ่อนของเหล่านักเรียนผู้กล้าทั้งหลาย…〝นี่ๆ ทางนั้นล่าอะไรไปบ้างล่ะ!〞〝ฮะฮ่ะ!!!...ไม่อยากจะโม้ พวกเราล่า『หมีเนตรเพลิงป่า』ได้ตั้ง 10 ตัวเลยนะ!!!〞〝อะไรกัน...ทางฉันจัดการได้ตั้ง 15 ตัวยังไม่โม้เลยนะเฟ้ย!〞〝โกหกน่า! สุดยอดไปเลยนี่หว่า〞 ณ บริเวณพื้นที่โล่งกว้างห่างจากตัวป่าประมาณ 100 เมตร พื้นที่ทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยต้นหญ้าเล็กๆ คล้ายกับสนามฟุตบอลไปทั่วทั้งบริเวณที่มองเห็นได้แม้จะอยู่ห่างจากตัวป่ามาขนาดนี้ก็ตาม ได้มีกลุ่มคนจำนวนมาก สวมชุดเกราะเบาและถืออาวุธนานาประเภท ทั้งไม้เท้า ดาบหรือแม้แต่หอกเองก็ด้วย ดูจากใบหน้าและน้ำเสียงแล้ว พวกเขาเหล่านั้นยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มและเด็กสาวอายุ 15-17 เท่านั้นเอง กำลังพูดคุยเป็นเชิงโอ้อวดกันด้วยเสียงดังเซ็งแซ่ ถึงสิ่งที่ตัวเองได้ไปล่ามากับเหล่าพวกพ้องในปาร์ตี้ก่อนหน้า แล้วหากสังเกตบริเวณโดยรอบดีๆ จะมีเต็นท์ขนาดใหญ่ประมาณ 1 ห้องแถวถูกคลุมด้วยผ้าสีน้ำตาลอยู่ 3 หลังในพื้นที่ดังกล่าวอยู่ด้วย แล้วยังมีซุ้มทรงสูงที่ประกอบขึ้นจากไม้และมุงหลังคาง่ายๆด้วยฟาง อยู่อีก 2 หลังติดกัน แล้วตรงเคาท์เตอร์ด้านหน้ายังมีหม
ท่ามกลางความเงียบสงบของดันเจี้ยนอันแสนมืดมิด ที่มีสภาพพื้นที่โดยรอบเป็นถ้ำปิดตายไร้ซึ่งความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ แต่ก็ยังคงมองเห็นพื้นที่ใกล้เคียงได้อยู่ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะเพดานของถ้ำที่ว่า มีจุดสีฟ้าเข้มและอ่อนตัดกันไปมา จุดสีเหล่านั้นเรียงรายกันไปทั่วอยู่บนนั้นอย่างไร้รูปแบบ แต่ก็ยังคงความงดงามจนยากจะละสายตาได้ กำลังส่องประกายไปทั่วจนคล้ายกับท้องฟ้าจำลองยังไงอย่างงั้นตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! แล้วท่ามกลางความสงัดที่ว่า กลับมีเสียงฝีเท้าของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่เด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่ได้วิ่งแต่อย่างใด แต่ระยะห่างระหว่างก้าวหนึ่งครั้งที่ได้ยินนั้นกลับกระชั้นชิดเสียเหลือเกิน ราวกับเขาคนนี้กำลังเดินหนีไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อหลบเลี่ยงอะไรบางอย่างอยู่ยังไงอย่างงั้น บนใบหน้าของเด็กหนุ่มนั้นไม่ได้มีความหวาดกลัวเลยซักนิดเดียว จะมีก็แต่สีหน้าลำบากใจกับเหงื่อไหลลงมาจากใบหน้าเพียงสองสามหยดเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ตามเขามาไม่ใช่สิ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของเขาตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
〝——สรุปแล้วก็คือ ...ไม่มีทางออกดันเจี้ยนได้ นอกจากจะใช้เวทย์มิติ ประเภทเซฟพิกัดเท่านั้นสินะ〞〝อื้ม… ใช่แล้วหล่ะ!〞〝แล้วเวทย์มิติที่ว่าเนี่ย หายากรึเปล่า?〞〝อืม..... อย่าว่าแต่เวทย์มิติเลย ปกติแล้ว มนุษย์ที่มีคุณสมบัติในการเป็นจอมเวทย์หน่ะ หายากสุดๆไปเลยด้วยซ้ำ ถึงจะไม่น้อยขนาดนั้นก็เถอะ แต่ใน 1,000 คน ก็มีแค่ประมาณ 150 คนเท่านั้นแหล่ะ เพราะงั้นเวทย์มิติก็เลยหายากกว่านั้นซะอีก.... แต่เพราะงั้นก็เลยมีคนทดลองลงตราเวทย์จุดเซฟที่ว่า ลงไปในหินเวทย์มนต์ ผลก็คือ ทำให้เกิดไอเทมเวทย์มนต์ชนิดใหม่ที่สามารถใช้แทนเวทย์มิติได้ ชื่อของมันก็คือ 『ศิลาเวทย์เคลื่อนย้าย』 แล้วนอกจากจะใช้วาร์ปเข้า-ออกดันเจี้ยนในชั้นต่างๆ ได้ตามใจแล้ว ถ้าเป็นคณะเดินทางที่มีใบอนุญาตก็จะสามารถใช้เดินทางข้ามเมืองได้ด้วยนะ....〞.. หลังจากที่กรยอมรับ『มีอา』เด็กสาวที่เขาช่วยเหลือไว้ได้ด้วยความบังเอิญในครั้งก่อน ให้เดินทางไปด้วยกันได้ โดยแลกกับข้อมูลของมอนสเตอร์และดันเจี้ยนแห่งนี้ ก็ผ่านมาได้ประมาณ 1 ชั่วโมงแล้ว ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา กรได้ถามข้อมูลจากมีอามาโดยตลอด แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ไม่ได้แสดงท่า
〝ทาส... งั้นเหรอ?〞เดี๋ยวก่อนสิเฮ้ย!!ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดหล่ะก็....ความเข้าใจของฉันตามที่เรียนมาในวิชาประวัติศาสตร์... ความหมายของคำๆนี้ก็คงประมาณว่า เป็นพวกคนที่ถูกผู้เป็นนายกดขี่ ข่มเหงอย่างไร้ความเป็นธรรม.... ถูกใช้งานอย่างหนักโดยไม่ให้พักผ่อน แบบเดียวกับสัตว์แรงงาน ทั้งยังไม่ได้รับผลตอบแทน แล้วยังถูกเลือกปฏิบัติราวกับไม่ใช่มนุษย์ เป็นเพียงแค่สิ่งของเพื่อใช้งานจนตายเท่านั้น....ที่โลกนี้ ก็มีของแบบนี้ด้วยงั้นเหรอ?...แต่จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่มาที่โลกนี้ เราก็อยู่แต่ในที่ปลอดภัยกับในปราสาทมาตลอดเลยนี่นา ยกเว้นในดันเจี้ยนบ้าๆนี่หล่ะนะ...แถวเขตชายแดนหรือห่างจากตัวเมืองหลวงก็คงจะมีสินะ ไอ้พวกประมาณว่า พวกเขตสลัม... การค้ามนุษย์หรือการค้าของเถื่อน...แต่เอาเถอะ... ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนหรือที่โลกไหน ก็ต้องมีเรื่องแบบนั้นอยู่แล้ว... ก็ความต้องการของมนุษย์มันไม่มีที่สิ้นสุดนี่นา ความสงบสุขไม่มีทางอยู่คู่กับกิเลสของมนุษย์... ไม่สิ...กับสิ่งมีชีวิตที่มีจิตใจอยู่แล้ว...〝ฮึก...〞〝........〞 หลังจากที่กรรู้ความจริงของ『ตราทาส』จากปากของเคลเบรอส ทำให้เขาครุ่นคิดเล็กน้อย แต่เพราะเสี
——— 1 สัปดาห์ต่อมา ณ ดันเจี้ยนชั้นที่ 49…เจี้ยกๆๆๆ!!!!!!! ท่ามกลางดันเจี้ยนใต้ดินดินอันแสนมืดมิด ไร้ซึ่งแสงสว่างหรือความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์สภาพแวดล้อมโดยทั่วไป มีลักษณะคล้ายถ้ำใต้ดิน มีผิวขรุขระสีน้ำตาลตลอดแนว แต่ที่แตกต่างก็คือ บนเพดานมีจุดแสงมากมายนับไม่ถ้วนกำลังส่องประกายอยู่เป็นจำนวนมาก จนคล้ายกับทางช้างเผือกที่ถูกสลักเสลาอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนยังไงอย่างงั้น กลับมีเสียงร้องแหลมๆเสียจนระคายหูดังขึ้นมาขัดจังหวะความสงัดของสถานที่อันแสนงดงามนี้ จนไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่า เสียงนี้มันช่างขัดกับบรรยากาศซะจริง แน่นอน〝มีอา... จัดการตัวซ้ายก่อน〞〝รับทราบ〞 และในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงของเด็กหนุ่มกระซิบแบบนั้นออกมาด้วยเสียงเรียบๆคล้ายกับจะออกคำสั่งกับใครบางคน แล้วเด็กสาวที่มีชื่อว่า มีอา ที่อยู่ข้างๆเด็กหนุ่มก็เป็นคนรับคำสั่งนั้นเอง ก็ตอบสนองคำพูดนั้นของเด็กหนุ่มในทันทีด้วยการถีบพื้นไปข้างหน้า เพื่อไปยังจุดกำเนิดเสียงที่คล้ายกับเสียงคำรามของสัตว์ร้ายนั่น… ....และไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งคู่เป็นใคร เด็กหนุ่มคนที่ออกคำสั่งเมื่อครู่ก็คือกรนั่นเอง ส่วนเด็กผู้หญิงที่
〝กร.... นะ...นั่นคือ... บอส... งั้นเหรอ?〞 หลังจากที่กรและมีอาเดินลงมาจนถึงชั้นที่ 50 แล้ว สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าของพวกเขาก็คือ บอสมอนสเตอร์รูปแบบมังกรห้าหัว สีดำสนิท กรงเล็บที่อยู่ตรงเท้าทั้ง 4 ก็ยาวกว่า 10 เมตรแลดูแหลมคมเป็นอย่างมาก แม้จะไร้ซึ่งปีกไว้โบยบินแต่ขนาดนั้นกลับสูงใหญ่มากกว่า 10 เมตรทั้งที่ยังไม่โผล่พ้นน้ำออกมาทั้งหมด ต่อหน้าความจริงที่ยากจะเชื่อและน่าหวาดหวั่นตรงหน้า มีอาจึงทำได้แค่ถามกรออกมาด้วยเสียงสั่นๆทั้งที่เธอก็รู้คำตอบอยู่แล้ว〝ถูกต้อง... เตรียมพร้อมซะ! ห้ามประมาทเด็ดขาด... แม้เสี้ยวของเสี้ยววินาทีก็ห้ามผ่อนคลายสภาวะต่อสู้เป็นอันขาด... เข้าใจไหม!〞〝อึ้ก! เข้าใจแล้ว!!!〞 แล้วกรก็ตอบคำถามของเธอในทันที และออกคำสั่งแก่มีอาในทันใดเพื่อให้เธอรีบตั้งรับและห้ามประมาทด้วยเสียงเรียบๆที่แสนเย็นชามากที่สุด แววตาก็ดูดุดันแต่ตาดำกลับมืดสนิทไร้ซึ่งแสงสว่างหรือประกายใดๆ มีอาเองก็เคยเห็นกรอยู่ในสภาวะ『ตัดความรู้สึก』ในตอนสู้มาแล้ว แต่ความเยือกเย็นและแรงกดดันจากตัวกรในตอนนี้แตกต่างกันมาก หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คงเหมือนกับปริมาณน้ำ ที่อยู่ในหนึ่งแก้วก
———— 1 สัปดาห์ต่อมา ชั้นที่ 2 ของมหาดันเจี้ยน『หอคอยแห่งปัญญา』 ณ ดันเจี้ยนชั้นพิเศษ ซึ่งถูกสร้างโดยอาเธนต่อจากชั้นที่ 1 อันเป็นชั้นที่เอาไว้หลอกคนทั่วไป ถูกสร้างขึ้นเพื่อการฝึกฝนและเก็บเลเวลโดยเฉพาะ หากแต่ผู้ที่จะใช้มันได้นั้น มีเพียงแค่กลุ่มของผู้ที่ผ่านการทดสอบที่แท้จริงแล้วเท่านั้นถึงจะเข้ามาในนี้ได้ ที่แห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามเขต อันได้แก่ เขตที่พักอาศัย เขตใช้ฝึก『บัญญัติพันประการ』 และสุดท้ายคือเขตที่ใช้สำหรับเก็บเลเวล... หรือก็คือ เขตมอนสเตอร์ทรงภูมิปัญญานั่นเอง ในพื้นที่ของเขตที่สามถูกสร้างให้เป็นพื้นกระเบื้องและเพดานหน้าตัดเรียบส่องแสงสีเขียว (Lime) พื้นที่โดยรอบมีวัตถุโปร่งแสงรูปทรงเรขาคณิต ทั้งสามเลี่ยม สี่เหลี่ยมไปจนถึงรูปทรงหลายเหลี่ยมกระจัดกระจายเต็มไปหมดทำให้ยากแก่การเคลื่อนไหว แต่กลับกันแล้ว มันทำให้ง่ายต่อการดำเนินแผนที่ซับซ้อนและแยบยล และเขตที่สามนี้เอง ที่มีหญิงสาวทั้ง 4 คน อันได้แก่ มีอา ซาช่า เรเชลและริต้า กำลังต่อสู้กับมอนสเตอร์จำนวนเท่ากันอยู่ มอนสเตอร์ทั้งสี่ตัวที่เป็นศัตรู มีหนึ่งตัวที่สวมผ้าคลุมสีดำ มีส่วนหัวเป็น
〝 คุณโรนี่กับราชา... นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย 〞 กรถามออกไปแบบนั้น ในเวลาเดียวกับที่ใช้『รีดดิ้งอายส์』ตรวจสอบบุคคลทั้งสองตรงหน้า แล้วก็ยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่เมื่อพบว่าทั้งคู่เป็นตัวจริง...〝 ทำหน้าแบบนั้นคงจะรู้แล้วสินะว่าพวกข้าเป็นตัวจริง... 〞ราชาพูดแทงใจดำพลางยิ้มออกมา ทำให้กรคิ้วกระตุกเพราะคาดการณ์เรื่องตรงหน้าไม่ทัน ในขณะที่กรคิดแบบนั้น ราชาก็เดินเข้ามาทางกร แล้วก็ใช้เวทย์บางอย่างเปลี่ยนใบหน้าตัวเองเป็นคนอื่น ไม่สิ... เปลี่ยนจากคนอื่นกลับมาเป็นตนเองคนเดิมต่างหาก ซึ่งที่เปลี่ยนไปนั้นมีเพียงโครงหน้าเท่านั้น แต่ความสูงอายุและริ้วรอยนั้นแทบไม่ต่างจากเดิมเลย แล้วก็หันไปสบตากับเมอร์ลินเข้า นั่นทำให้เธอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ...〝 นายมัน อาเธนงั้นเหรอ!!!? 〞เมอร์ลินที่เห็นใบหน้าจริงของชายชราตรงหน้าก็จำได้ทันทีพร้อมทั้งเรียกชื่อจริงของเขาออกมาอย่างสนิทสนม โดยมีสายตางงงวยจากสาวๆคนอื่น แต่พอรู้ว่าคนน่าสงสัยตรงหน้าเป็นคนรู้จักของเมอร์ลิน การ์ดของพวกเธอก็คลายลงพอสมควร〝 แหมๆ ในที่สุดก็จำได้ซักทีนะแม่คุณ... ข้าหล่ะเจ็บช้ำไม่น้อยเลยนะ ตรงที่เจ้าบ
หลังจากเรื่องเมื่อวานเคลียร์กันจบในตอนเย็น กรได้ทำการเพิ่มฟังก์ชั่นหลบหนีฉุกเฉินใส่บัตรนักผจญภัยของเจนนี่ไว้ก่อนด้วย เผื่อในกรณีที่เกิดอันตรายกับเธอ เธอสามารถใช้มันวาร์ปมาหากรได้ทุกเมื่อ รวมถึงพาคนรู้จักอย่างไมน์กับรีเบคก้ามาด้วยก็ยังได้ จากนั้นพวกกรกับพวกไมน์จึงได้แยกกันกลับที่พักของตัวเอง อนึ่ง เจนนี่ตอนนี้นั้นอยู่สถานะของคนชื่อ『เบลนด้า อัลบา』 รูปลักษณ์ภายนอกที่คนอื่นเห็น เป็นคนผิวสีแทน ใบหน้าปานกลางค่อนไปทางแย่(จากความเห็นส่วนใหญ่ในกลุ่มของกร) แต่นั่นก็เพื่อไม่ให้เธอเป็นจุดเด่น เพราะหากจะว่าไปแล้วเจนนี่ในร่างธรรมดานั้นจัดว่าเป็นคนสวยมากเลยทีเดียว และด้วยการใช้บัตรนักผจญภัยอ้างถึงตัวตน ก็สามารถเข้าพักที่เดียวกับพวกไมน์ได้ แต่เธอเลือกที่จะพักคนละห้องแทนเพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัย (แต่สุดท้ายตอนนอนก็ย้ายมานอนห้องเดียวกันอยู่ดี) ส่วนทางด้านของกร พอกลับไปพวกกรก็รีบทำธุระส่วนตัว แล้วเข้านอนในทันที เพื่อสะสมพลังงานให้เต็มอิ่มก่อนที่จะออกรบในดันเจี้ยน『หอคอยแห่งปัญญา』 และเพื่อความไม่ประมาทช่วงเช้าทั้งหมด กรและพรรคพวกจะใช้เวลาไปกับการตร
〝 ไง ทั้งสองคน 〞 ในขณะที่ทุกคนแสดงสีหน้าตกตะลึงยังกับเห็นผีออกมา เจนนี่ก็เริ่มเป็นฝ่ายทักไมน์และรีเบคก้าก่อนด้วยรอยยิ้มในทันที〝 เจนนี่!!! 〞〝 อุ๊ยตาย!? 〞 ไมน์ที่เห็นแบบนั้นไม่รอช้าที่จะพุ่งเข้าไปสวมกอดเจนนี่อย่างเร็ว นั่นเองก็ทำเจ้าตัวอย่างเจนนี่ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน〝 เจนนี่! เจนนี่จริงๆใช่ไหมเนี่ย? ไม่ใช่ผีหรือตัวปลอมใช่ไหม!? 〞ไมน์พูดแล้วก็ลูบๆคลำๆเจนนี่ไปทั่ว ทำเอาร่างเธอสั่นนิดหน่อยเพราะจักกะจี๊เลยทีเดียว〝 ยัยบ๊อง! ก็จับตัวกันได้อยู่ไม่ใช่รึไง? แล้วฉันก็ยังจำได้อยู่เลยนะว่าตรงก้นของรีเบคก้ามีไฝอยู่ด้วยหน่ะ 〞 เจนนี่พูดแบบนั้นออกมา ทำให้รีเบคก้าออกอาการหน้าแดง แล้วก็พุ่งเข้ามาสับกะโหลกเจนนี่เหมือนกับที่ผ่านมา〝 ฮึ่ย! ไอ้นิสัยพูดไม่คิดนี่ตัวจริงชัวร์ 〞รีเบคก้าพูดแล้วก็ใช้กำปั้นหมุนๆใส่ศีรษะของเจนนี่〝 โอ้ยๆ! เจ็บอ่ะรีเบคก้า ออมมือให้หน่อยเซ่! 〞 ทั้งสามคนหยอกล้อกันไปมาแบบนั้น ราวกับต้องการจะซึมซับและฟื้นคืนบรรยากาศที่ถูกทำลายไปให้กลับมาเหมือนเดิม แม้จะยังเคลือบแคลงสงสัย แต่ความอบอุ่นของภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้ทุกคนลืมหลายเรื่องที่คิดอ
หลังจากที่งีบหลับไปประมาณ 3 ชั่วโมง ความเหนื่อยล้าทางจิตใจก็ดูจะลดลงไปบ้างเอาจริงๆ ต่อให้ลุยต่อทั้งอย่างงี้ก็ไหวอยู่หรอก แต่แค่นี้ทุกคนก็เป็นห่วงมากพออยู่แล้ว เพราะงั้นทำตามที่ทุกคนแนะนำเป็นการดีที่สุดทางริต้าเองยังคงหลับอยู่เลยปล่อยให้หลับต่อไปก่อนโดยให้เรเชลดูแลอยู่ข้างๆส่วนทุกคนเองดูเหมือนว่าจะไม่ได้หลับเลยในระหว่างที่ฉันพักแต่ก็ต้องขอบคุณในจุดนั้น เพราะในช่วงที่ฉันไปเจรจากับราชา ฉันต้องการที่จะไปคนเดียว...ก็แหม... ฉันไม่อยากให้ทุกคนเห็นท่าทางแย่ๆเท่าไหร่นี่นา〝 เพราะทุกคนเฝ้าฉันมาตลอดคงจะเหนื่อยแย่ ฉันเลยอยากให้พวกเธอพักรอฉันอยู่ที่นี่หน่ะ 〞พูดแบบนั้นออกไปทุกคนก็ทำหน้าถมึงทึงใส่ และแน่นอนว่าทุกคนทำท่าอยากจะไปด้วยกันหมดเลยใช้เวลาเกลี้ยกล่อมตั้งนานกว่าจะยอม แต่ก็เพราะทุกคนเป็นห่วงเรานั่นแหล่ะนะ น่าดีใจแท้ๆแต่ทุกคนก็ไม่อยากตื้อให้เราจนกังวลเกินไปเหมือนกันเพราะงั้นแค่รับปากว่าจะไม่ฝืนฉันก็ขอตัวมาได้แล้วหล่ะนะแล้วจากนั้นก็วาร์ปมาที่เมืองหลวง ในซอกตึกที่นึงใกล้ๆกับทางเข้าพระราชวังโห... มองดูจากตรงนี้ยังเห็นรูที่เจ้าชายมันทำพังไว้อยู่เลย...เดี๋ยวไม่สิ... เราเป็นคนทำนี่หว่า คง
หลังจากที่การแสดงของฉันดำเนินมาได้ซักพัก จุดจบก็มาถึงโดยที่ฉันเป็นคนจัดการปิดคดีได้อย่างดงามถึงช่วงกลางๆจะโดนคุณโรนี่แย่งซีนก็เถอะ แต่ตอนจบก็กู้หน้าคืนมาได้อ่ะนะ...จากนั้นริออนที่ถูกฉันต่อยจนสลบก็ถูกพวกฟรอนกับคาลอสคุมตัวไปส่วนไอ้ปีศาจนั่นฉันปล่อยให้มันหนีไปเองด้วยเหตุผลทางด้านผลประโยชน์ในอนาคตแต่ทางฝั่งนั้นอาจจะกำลังคิดว่าหนีฉันพ้นอยู่ก็ได้หล่ะนะ... แต่ปล่อยให้คิดแบบนั้นก็ดีเหมือนกันแล้วหลังจากเรื่องจบ ฉันก็ไม่อยู่รอดูสถานการณ์หรอกนะเพราะว่าเป็นห่วงทุกคน ฉันเลยรีบผละตัวออกมาในทันทีที่มีโอกาสก่อนหน้าที่จะออกมาก็มีถูกพระราชานัดพบเป็นการส่วนตัวด้วยอยู่ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ แล้วก็คงคิดจะคุยถึงเรื่องต่อจากนั้นนั่นแหล่ะเป็นไปตามแผนเลย ฉันคิดจะใช้โอกาสนี้ต่อรองกับราชาอยู่แล้ว…แล้วพอวิ่งออกมาถึงจุดนัดพบในซอกตึกรามบ้านช่อง ก็เจอกับทุกคนโชคดีไป... ดูเหมือนทั้งมีอา เมอร์ลิน ชาลอต ซาช่า จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย โล่งอกไปที...กลับกันแล้วพวกเธอเป็นห่วงฉันสุดๆเลยชาลอตก็เอาแต่บอกว่า〝 นายท่านอย่าเสี่ยงไปคนเดียวแบบนั้นอีกเลยนะคะ! 〞ส่วนซาช่าก็〝 ตอนที่นายท่านกระโดดเข้าไปหาลูกบอลแปลกๆนั่น...
〝 อั๊ก!!! 〞 เจ้าชายออริออน... ริออนกุมมือขวาของตัวเองด้วยความเจ็บปวด เพราะได้รับผลกระทบจากการถูกยิง ต้องบอกว่าโชคดีเท่าไหร่แล้วที่อัญมณีรับความเสียหายแทนไปเกือบหมด ไม่งั้นมือของเขาคงขาดไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็เพราะความเจ็บปวดที่แล่นจากมือขวาไปสู่ทั่วทั้งร่างนี่แหล่ะ ทำให้ริออนดึงสติของตัวเองกลับมาได้อีกครั้งวูม!!!!!!———〝 อะ อา.... 〞 ริออนรำพึงอยู่ในลำคออย่างน่าเวทนา ในตอนที่แสงสีแดงจากวงเวทย์สว่างน้อยลงพร้อมๆกับวงเวทย์ขนาดใหญ่ที่ค่อยๆจางหายไปจากท้องฟ้ายามค่ำคืน จนในที่สุดแสงสว่างสีแดงฉานก็อันตรธานหายไปจากท้องฟ้า เช่นเดียวกับวงเวทย์ขนาดมหึมา ทำให้แสงจันทร์ส่องลงมาถึงพื้นดินอีกครั้ง แต่ยังคงมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวเนื่องด้วยความสับสนของชาวเมืองอยู่บ้าง แต่แน่นอนว่าทุกคนปลอดภัยดีแล้ว และไม่มีใครได้รับผลกระทบจนถึงขั้นเสียชีวิตเลยซักคน ความสิ้นหวังเข้าคลุมสติของริออนในพริบตา อย่างที่เขาว่าไว้… เมื่อพริบตาที่ความหวังใกล้จะสัมฤทธิ์ผลถูกทำลายลง นั่นคือความสิ้นหวังอย่างที่สุด... และนั่นก็ทำให้สีหน้าของริออนเปลี่ยนจากสิ้นหวังไปเป็นอาฆาตแค้นแทน แ
〝 น่าตกใจจริงๆ… นี่รู้อยู่แล้วหรอกเหรอว่าข้าเป็นคนร้าย? 〞 เจ้าชายลำดับที่หนึ่ง... เจ้าชายออริออนถามกรออกมาด้วยแววตาและท่าทางหยิ่งยโส พร้อมกับเป็นการยอมรับข้อกล่าวหาไปในตัว ว่าตัวเองคือคนร้ายตัวจริง ในขณะที่มองกรลงมาจากเบื้องบน〝 ก็นะ... เพิ่งจะรู้ตัวเมื่อไม่นานมานี้เองแหล่ะ แสบจริงนะให้ตายสิ... 〞กรพูดออกมาพร้อมกับยิ้มแห้งๆ แล้วก็เดินเข้ามาทางเจ้าชายออริออนมากกว่าเดิม เหล่าสมุนเล็บโลหิตตั้งท่าเตรียมพร้อมโจมตีกันเต็มที่ แต่ยังไม่มีใครกล้าเริ่มโจมตีกรก่อน ทั้งด้วยความกลัวพลังที่ต่อกรกับพวกของตนระหว่างทางได้อย่างง่ายดาย แถมผ่านมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วนก็ด้วย แต่ประเด็นสำคัญคือจิตสังหารอันหนักอึ้ง ราวกับถูกน้ำตกซัดสาดนั่นของกรต่างหาก ที่ทำให้พวกเขาไม่กล้าขยับตัว〝 งั้นขอเข้าเรื่องเลยละกัน... 『อุปกรณ์ตัวหลัก』 อยู่ที่ไหน? 〞 กรเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับน้ำเสียงเย็นยะเยือกจนน่ากลัว นั่นทำให้เหล่าเล็บโลหิตจำนวนเกินครึ่งยืนตัวสั่นได้ ไม่สิ... แม้แต่ชายเผ่าปีศาจที่ยืนอยู่ข้างๆเจ้าชายออริออนยังแอบสั่นเลยด้วยซ้ำ มีเพียงโรนี่ที่ใจเย็
หลังจากที่แอบย่องขึ้นมาบนชั้นสอง แล้วมองลอดเข้าไปในห้องที่จับสัมผัสวิญญาณได้พวกเราก็เจอกับเด็กผู้หญิงกำลังนั่งอยู่บนขอบระเบียงเป็นภาพที่น่าแปลก... เพราะเธอคนนั้นโปร่งแสงจนมองทะลุไปถึงท้องฟ้าที่เป็นฉากหลังเลยเนี่ยสิถ้างั้นก็ไม่ต้องสงสัย... เด็กคนนั้นคือวิญญาณที่กำลังตามหาอยู่แน่นอน กรคิดแบบนั้นพลางมองไปยังเด็กสาว ส่วนทางเด็กสาวนั้นกลับหันมามองทางกรในเวลาเดียวกัน〝 เอ่อ... ไม่ต้องหลบหรอกนะคะ คือหนูเห็นตั้งแต่เข้ามาในคฤหาสน์แล้วหล่ะค่ะ 〞เสียงกังวานของเด็กสาวพูดขึ้นมา โดยในน้ำเสียงมีความเอียงอายเล็กน้อย แล้วพอเด็กสาวพูดแบบนั้น กรก็ให้สัญญาณทุกคนเดินตามหลังเขาเข้ามาในห้องทันที〝 เข้าใจหล่ะ โทษทีนะที่บุกรุกเข้ามา 〞เมื่ออีกฝ่ายพูดอย่างสุภาพ ก็เป็นมารยาทเช่นกันที่กรจะตอบกลับไปแบบเดียวกัน〝 ไม่หรอกค่ะ... เอาจริงๆในรอบ 10 ปีมานี้มีคนเข้ามาในคฤหาสน์นับคนได้เลยหล่ะค่ะ มีคนบ้างแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน 〞เด็กสาวยิ้มตอบกรอย่างเป็นมิตร พร้อมกับลอยตัวจากขอบระเบียงมายืนอยู่ด้านหน้าของพวกกร สภาพแบบนั้นทำเอาพวกกรประหลาดใจไม่น้อย เว้นเสียแต่ซาช่าที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่〝 นี่เธอเป