———— เช้าวันต่อมา หลังจากที่พวกกรบุกโบสถ์ และทำลายห้องโถงไปส่วนนึงเมื่อคืน รวมถึงการทรมานอนาลีนุสเสร็จสิ้น พวกกรก็กลับมาพักที่หอเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น (แต่คนที่นอนหลับลงเห็นทีจะมีแค่กร มีอา เมอร์ลินและลิลิธเท่านั้น) และในช่วงเช้าตรู่ ได้มีข่าวใหญ่แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งอาณาจักรยูทาร์น่าว่า “อนาลีนุสไปยุ่งเกี่ยวกับสารเสพติดบางอย่างจนกลายเป็นพวกวิกลจริตและเสียสติไป” ข่าวใหญ่ดังกล่าวกระจายไปทั่วทั้งทวีปในเวลาเพียงแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ทว่าความจริงแล้วหาได้เป็นแบบนั้นไม่ ความจริงก็คือ กรได้ทรมานอนาลีนุสจนถึงขั้นเกิดอาการทางจิตหรือก็คือเสียสติไป เรียกได้ว่ากลายเป็นคนไร้สติสตังพูดไม่รู้เรื่องไปเลยทีเดียว หลังจากนั้นกรก็หาสารเสพติดจากในห้องของอนาลีนุสเองนั่นแหล่ะมาสร้างหลักฐานให้ดูเหมือนเขาเสพยาเกินขนาด และก็คงต้องขอบคุณเรื่องที่อนาลีนุสใช้สารเสพติดจริงๆแม้จะในปริมาณน้อยก็ตาม แต่นั่นก็ทำให้เหตุการณ์ที่กรสร้างขึ้นสมจริงเข้าไปอีก พร้อมๆกับการฟื้นฟูอาคารที่พังทลายไปให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม และจัดการมัดเหล่านักฆ่าของเล็บโลหิตบางส่วนด้วยเวทย์พันธนาการมัด
———— เช้าตรู่ของวันต่อมา หลังจากที่เมื่อวานเกิดการโต้เถียงกันค่อนข้างรุนแรงระหว่างกรและเมอร์ลิน แม้จะเกิดจากการที่เป็นห่วงอีกฝ่ายแต่ออกไปในคนละทิศทางก็ตาม แต่ด้วยเหตุนั้นเลยทำให้ทั้งสองคนเข้าหน้ากันไม่ติดแม้แต่ตอนนอน และแน่นอนว่าทำให้สาวๆคนอื่นมองหน้ากรไม่ติดเพราะเป็นส่วนนึงในการตัดสินใจด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนั้น คืนอันแสนยาวนานที่ไม่อาจมีใครหลับไหลได้ซักคนจึงผ่านไปอย่างยาวนาน จนกระทั่งดวงอาทิตย์เริ่มปรากฏบนขอบฟ้า กรก็กลับพูดขึ้นมาว่าตัวเองตัดสินใจที่จะออกเดินทางไปฝึกตัวเองคนเดียวซักพัก นั่นทำเอาทุกคนตกใจกันไม่น้อยและอดไม่ได้ที่อยากจะแบ่งคนไปช่วยดูแล แต่แน่นอนว่าถูกกรปฏิเสธ เพราะการทำแบบนั้นมันยิ่งตอกย้ำความเป็นตัวถ่วงของเขาเข้าไปกันใหญ่ สาวๆจึงไม่ได้พูดอะไรอีก และได้แต่พยักหน้ายอมรับ เพราะหากมองในแง่ดี มันหมายถึงกรได้ออกไปจากสถานที่อันตรายที่เรียกว่า “สมรภูมิมหาดันเจี้ยน” แถมยังมีเคลเบรอสที่เมอร์ลินกำชับให้ดูแลกรด้วยชีวิตอยู่ด้วยอีก จึงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่นัก พวกเธอคิดปลอบใจตัวเองแบบนั้นเพราะแม้จะอยากจะไปด้วยก็ไม่อาจไปด้วยได้ ด้วยเหตุนั้นในตอนเ
———— 1 สัปดาห์ต่อมา, มุมมองของมีอาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้วที่กรออกเดินทางไปฝึกอยู่คนเดียว แล้วปล่อยให้พวกเราฝึกและใช้ชีวิตโดยไม่มีเขาทุกคนรวมถึงฉันเหงาเอามากๆ คงได้แต่คิดว่าอยากจะให้กลับมาไวๆ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าไม่ควรกวนเขาจะมีก็แต่ข้อความจากคุณฟรังซ์ พี่ของเมอร์ลินส่งมาบอกข่าวของกรเป็นพักๆว่าเขายังสบายดีแต่บอกตามตรงว่าฉันไม่ค่อยเชื่อใจเขาเท่าไหร่ ไม่สิ... เอาตามตรงนอกจากกรและทุกคนแล้ว ฉันหน่ะไม่เชื่อใจใครทั้งนั้นแหล่ะแต่ยังไงก็ได้แค่รอเท่านั้น เพราะฉันและทุกคนเชื่อว่ากรจะต้องกลับมา แม้ว่าจะไม่ได้พลังกลับคืนมาหรือแข็งแกร่งขึ้นก็ตามทีโอ๊ะ! ไม่สิ พูดผิดไปหน่อย พวกเราไม่ได้รออยู่เฉยๆหรอกนะ!ในระหว่างที่กรออกเดินทาง พวกเราใช้เวลาอัพเลเวลตัวเองด้วยการสังหารบอสเต่าที่เคยเอาชนะได้แล้วซ้ำๆไม่รู้ว่าเป็นโชคช่วยหรือยังไง... แต่เรื่องนี้ต้องขอบคุณที่กรไม่อยู่จริงๆ เพราะไม่งั้น เค้าก็คงห่วงจนห้ามไม่ให้ทำแน่ ถึงจะรู้ว่าต้องโกรธทีหลังแน่ๆก็เถอะแต่ทำไม่ได้หรอก... ตอนนี้ฉันมีนายอยู่ข้างหลัง ถ้าไม่พยายามเต็มที่ต้องเสียนายกับแมรี่ แล้วก็เสียทุกคนไปแน่และแน่นอนว่าไม่มีใครบาดเจ็บเลย เพราะทำอย่างรอบค
———— ก่อนหน้านี้เล็กน้อย, ดันเจี้ยนของฟรังซ์ ออลเดลชั้นที่ 50〖 ไปซะแล้วนะครับเนี่ย 〗 ฟรังซ์ ออลเดลพูดขึ้นในขณะนั่งบนพื้นหญ้า โดยที่ข้างๆมีอาเธนนั่งอยู่ด้วย〝 ว่าแต่จู่ๆส่งไปเจอกับบอสเลยจะไม่เป็นไรเหรอเนี่ย? 〞อาเธนพูดพร้อมกับยิ้มแหยๆ〖 คิดว่าไม่เป็นไรหรอกนะครับ แต่ยังไงเค้าก็เป็นคนเลือกจุดลงเองอยู่แล้วนี่นา 〗〝 ก็จริงหล่ะนะ 〞 อาเธนพยักหน้ารับคำพูดของฟรังซ์ ออลเดล พร้อมกับนึกถึงเรื่องที่ตนส่งกรไปเมื่อครู่ โดยใช้『เจตจำนง』อีกอย่างที่เขามี ซึ่งมันถูกเรียกว่า『เคลื่อนย้ายไร้ระยะ』〝 แต่ว่าก็ว่าเถอะนะ... เอาจริงๆก็อาจจะไม่ต้องห่วงก็ได้มั้ง 〞อาเธนพูดพลางเกาศีรษะด้วยความเจ็บใจ〖 นั่นสินะครับ ก็ใครจะไปคิดหล่ะว่าคุณอุษณกร... จะเอาชนะพวกเราได้จริงๆซะงั้น 〗 ฟรังซ์ ออลเดลพูดออกมาพร้อมกับยิ้มแห้งๆออกมา เพราะเป็นเรื่องที่ตนเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน ทว่าอีกคนที่ยืนอยู่ห่างออกไปอย่างจิ๋นหลี่ที่เหมือมองท้องฟ้าจำลองกลับไม่ได้มีปฏิกิริยากับคำพูดของฟรังซ์มากนัก〝 ก็นะ ถึงเราจะยังไม่เอาจริงก็เถอะ แต่ไอ้ “ท่านั้น” มันก็โกงจริงๆนั่นแหล่ะ 〞อาเธนพูดออกมาด้วยความเจ็บใจนิดหน่อย เพราะแม้จะ
————แฮ่ก แฮ่ก เสียงหายใจหอบของหญิงสาวกว่า 10 คนดังสลับกันอย่างไม่เป็นจังหวะในขณะที่ล้มหมอนนอนเสื่อกันเป็นแถบ บ้างก็พยายามยืนขึ้นหรือนั่งหมอบไปกับพื้นอย่างเหนื่อยล้า แต่ที่เหมือนกันคือใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อและแสดงถึงความเจ็บใจออกมา โดยมีเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ได้ตรงกลางวงล้อมของพวกเธอ... นั่นคือ อุษณกร วัชรวิรุฬห์ที่ไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บ ไม่สิ... ตัวเขาที่ยืนอยู่ด้วยท่าทีเหมือนกับครั้งก่อนจะเริ่มศึกเมื่อ 1 ชั่วโมงก่อนโดยไร้ซึ่งอาการหอบต่างหาก〝 โกหก... ใช่ไหมเนี่ย... 〞 มีอาพูดในลำคอด้วยความตกตะลึง ในขณะที่ตัวเองก็ยังยืนแทบไม่ขึ้นจนต้องใช้ฝักดาบค้ำพื้น เช่นเดียวกับสาวๆคนอื่นที่อยู่ในสภาพไม่ต่างกันนักก็จริงที่พวกเราออมมือให้เพราะกลัวว่ากรจะเจ็บหนักแต่นี่ก็เป็นระดับเดียวกับที่เราใช้โค่นบอสมาแล้วเลยนะ มีอาคิดพร้อมกับมองภาพของกรในตอนนี้ที่ทั้งองอาจและหาญกล้า ต่างจากชายที่อ่อนแอเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนราวกับเป็นคนละคน กรในตอนนี้คล้ายกับตัวเขาเมื่อครั้งที่เธอพบครั้งแรก เพียงแต่กรในตอนนี้อ่อนโยนยิ่งกว่า เพราะไม่ว่าพวกเธอจะเข้าโจมตีกรรุนแรงแค่ไหน
【 ในที่สุดก็โผล่มา เจ้าพวกขี้จุ๊ทั้งหลาย! 】【 อืม... พวกขี้โกหก 】 ในระหว่างที่การเตรียมพร้อมก่อนจะสู้เสร็จสิ้น ในระดับที่ทุกคนเตรียมพร้อมเข้าปะทะได้ทุกเมื่อ เสียงของหญิงสาวสองคน ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่เคยประกาศผลลัพธ์การต่อสู้ครั้งแรกแก่พวกกร อนึ่ง พอสังเกตดูดีๆจากเสียง ดูเหมือนทั้งสองคนจะยังอายุน้อยอยู่ นั่นคือข้อสังเกตที่กรและทุกคนๆได้รับ【 แต่จะยังไงก็ตาม ไหนๆก็มาแล้วจะบอกกฎให้ฟังอีกรอบแล้วกันน้า! 】【 จะเริ่มแล้วนะ... 】ยัยสองคนนี้ยังคงน้ำเสียงกวนโอ้ยได้คงเส้นคงวาดีจริงๆแฮะแต่เอาเถอะ นี่เป็นโอกาสปรับอารมณ์ก่อนสู้จริงไปด้วย หวังว่าทุกคนจะไม่ประหม่าเกินไปนะแล้วเจ้าบอสสิงโตนี่เองก็นิ่งไปตามคำพูดของทั้งสองคนนั้นด้วยแฮะดูเหมือนต่อให้กระหายการต่อสู้แค่ไหน แต่คำสั่งเจ้านาย?ก็ยังเป็นที่สุดอยู่ดีสินะ กรคิดแบบนั้นในขณะที่มองบอสสิงโตที่ห่างออกไปกว่า 100 เมตร ซึ่งกำลังยืนกอดอกอย่างองอาจ แต่เท่าที่กรเห็นสายตาของมัน ดูเหมือนมันร้อนแรงเสียจนไม่อาจทนรอที่จะเข้าปะทะได้แล้วยังไงอย่างงั้น【 เงื่อนไขแรกที่ทุกคนต้องผ่านก็คือ การกำจัดบอสทั้ง 5 ตัวในเวลาที่ห่างกันไม่เกิน 10
ก่อนหน้านี้เล็กน้อย ณ แคมป์หลักของแนวหน้าเหล่าทหารแห่งราชอาณาจักรฟอเรสเตอร์ กองกำลังขนาดใหญ่ที่มีทหารเผ่ามนุษย์สัตว์หลากเชื้อสายร่วมพันคนถูกจัดทัพขึ้นอย่างเป็นระเบียบเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องไม่คาดฝันตามคำสั่งของราชินีอย่างฟีโอน่า เหล่าทหารทั้งหลายต่างก็ทำหน้าเคร่งเครียดกังวลจนเหงื่อไหลไคลย้อย เมื่อคิดว่าหากพวกกรทำพลาด ตัวเองก็จะต้องเจอกับบอสของมหาดันเจี้ยนสุดน่ากลัว แต่ทว่าความกังวลนั้นก็อันตรธานหายไปในทันทีเมื่อคำประกาศถึงชัยชนะของกรดังก้องไปทั่ว ซึ่งเหมือนกับเป็นการจงใจของทางดันเจี้ยนมาสเตอร์ เหล่าทหารพากันดีใจยกใหญ่ไม่แม้แต่ระดับผู้บัญชาการสูงสุดที่เคยสบประมาทกร〝 แหมๆ ถึงจะเป็นกังวล แต่สุดท้ายก็เอาชนะได้จริงๆซะด้วย สุดยอดไปเลยนะครับเนี่ยว่าไหมครับท่านราชินี————เอ๊ะ!!!? 〞 ทว่าพริบตาที่หันไปมารอบๆตัว เพราะคิดว่าฟีโอน่ากำลังอยู่ใกล้ๆเพื่อแสดงความยินดี ก็ได้รู้ในเวลาเดียวกันว่าเธอไม่ได้อยู่แถวนี้มาตั้งนานแล้ว...❖❖❖❖❖ และอีกด้านหนึ่ง... พวกกรที่พิชิตชั้นที่สองของมหาดันเจี้ยนซึ่งไม่เคยถูกโค่นมาตลอดระยะเวลา 500 ปี
———— ในขณะเดียวกัน , ทางฝั่งของเหล่าแฟนสาวของกร〝 นี่เธอ... เป็นใครกันเนี่ย? 〞〝 เอ๋!? 〞 เสียงแปลกใจของสาวน้อยที่อยู่ท่ามกลางครอบครัวเล็กๆดังขึ้นด้วยความที่คนรู้จักของเธอ กลับทำสีหน้าประหลาดใจเมื่อพบหน้าเธอในยามเช้า... สาวน้อย... มีอาเบิกตาโพลงพร้อมกับกรอกลูกตามองไปรอบๆอย่างกังวล ทั้งที่รอบๆตัวเป็นเหล่าครอบครัวแสนสำคัญอย่าง ริน อลิซ เมอร์ลิน ชาลอต ซาช่า ริต้า เรเชล ลิลิธ คาเรน รวมถึงลูกสาวสุดที่รักที่อยู่กลางวงล้อมอย่างแมรี่กำลังนอนเกลือกกลิ้งในห้วงภวังค์แท้ๆ แต่ชายหนุ่มตรงหน้าที่ซึ่งเป็นคู่ครองของเธอ... กรกลับทำเป็นเหมือนว่าไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อนเสียอย่างงั้น〝 กะ กร พูดอะไรหน่ะ? ฉันไง มีอาไง! 〞มีอาส่งเสียงอีกครั้งด้วยความกังวลและหวาดกลัวขึ้นมา นั่นทำให้คนอื่นนอกจากกรเริ่มตื่นจากภวังค์บ้าง〝 ...ฉันจำไม่เห็นได้เลยนะว่ารู้จักคนชื่อนี้มาก่อน 〞แต่ท่าทางที่ตอบกลับมาของกรช่างแสนเย็นชา สายตาของกรที่มองมายังมีอานั้นเย็นยะเยือก แถมยังส่งออร่าแห่งความเป็นศัตรูออกมา นั่นราวกับเป็นสายตาที่มีอาพบกับกรครั้งแรกยังไงอย่างงั้น ในขณะเดียวกัน... เหล่าแฟนสาวของกร
“ ทุกคนคะ... ความรัก คืออะไรเหรอคะ? ”“ “ “ เอ๋!? ” ” ” สิ่งที่เฮเลน่าถามออกมากลางห้องรับรองเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้หญิงสาวผู้ไร้อารมณ์คนนี้ตื่นตระหนก แม้จะมีคนมากถึง 18 คนจ้องเธออยู่ ในมือที่ถือทั้งดินสอและสมุดบันทึกเล่มเล็กเองก็ไม่มีแต่การสั่นไหว อนึ่ง... เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ฟลอร่ากับยูมิน่าลากตัวกรออกไปประมาณ 2 ชม. เห็นจะได้“ เห... ทำไมจู่ ๆ ถึงสนใจเรื่องนั้นกันล่ะ ” คนที่แสดงความสนใจเป็นคนแรกอย่างออกนอกหน้าคือเมอร์ลินเจ้าเดิม เธอที่อ่านหนังสือมาตลอดถึงกับปิดหนังสือในมือแล้วหันมาถามเฮเลน่าอย่างจริงจัง“ ฉันแค่ทำตามคำสั่งของมาสเตอร์เท่านั้นค่ะ ” เฮเลน่าตอบกลับในทันทีอย่างที่ทุกคนคาด แน่นอนว่าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนกับที่เป็นมาตลอด “จงตามหาความหมายในการใช้ชีวิตของตัวเอง” คำพูดของกรที่เป็นคำสั่งเพียงหนึ่งเดียวซึ่งมอบให้กับเฮเลน่า ในวันที่เฮเลน่าถูกปลดปล่อยจากพันธะทั้งปวงและเป็นอิสระ ทุกคนเองก็อยู่ที่นั่นจึงเข้าใจแม้ไม่ต้องเอ่ยปาก“ แล้ว? ” เมอร์ลินถามย้ำคล้ายกับกำลังสอบปากคำ แต่ในอี
หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นมาตลอดสองวัน(เรื่องที่เจนนี่ ไมน์และรีเบคก้าสุดท้ายก็ตอบตกลงคบกับกรในที่สุด) จนทำให้สถานการณ์ความปั่นป่วนของสาว ๆ รอบตัวกรลดน้อยลงไปครึ่งนึง ...ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ“ “ “ ยินดีด้วย!!! ” ” ” เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีดังก้องไปทั่วทั้งบาร์ของโรงแรมอิกดราซิล มาจากเสียงของเหล่านักผจญภัยรวมถึงเพื่อนพ้องของกร ...ส่งไปยังเด็กสาว 3 คนที่กำลังยืนเด่นเป็นสง่ากลางร้าน ประกอบด้วยเจนนี่(ในร่างของเบลนด้า อัลบา) ไมน์และรีเบคก้า ที่กำลังน่าแดงก่ำเพราะความอาย“ พอเถอะน่า มันน่าอายนะ ”“ แหม ๆ เรื่องน่ายินดีแบบนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอายซักหน่อยนะฮ้า! ” คาลอสเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งเสียง วี๊ดวิ้ว! คล้ายกับจะกลั่นแกล้งสาว ๆ ที่กำลังบิดตัวไปมาด้วยความเขินอาย กรเห็นแบบนั้นก็เริ่มจะทนไม่ไหวจนต้องก้าวเข้ามาขัดจังหวะ“ เอาล่ะ ๆ แค่พอหอมปากหอมคอก็พอแล้ว... งานเลี้ยงจบแล้ว แยกย้าย ๆ ” กรพูดตัดบทพร้อมกับเดินเข้าไปกลางวงทั้งสามคนก่อนจะดันหลังทั้งสามให้ออกมาจากจุดรวมสายตา กระนั้นก็ไม่วายถูกทุกคนล้อในเชิงประมาณว่า “หึงด้วยเว้ย” ไ
“ แม้นโกรธาราวสิขานล แต่สิ่งที่ผู้อื่นยลต้องเป็นเหมันต์ ”นั่นคือคติประจำตระกูลของฉัน... มีความหมายว่า ต่อให้รู้สึกอย่างไรก็จงแสดงออกมาเสมือนว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นอย่าให้ใครรู้ว่าโกรธ... อย่าให้ใครรู้ว่ากำลังเศร้า... อย่าให้ใครรู้ว่ากำลังดีใจ...นั่นแหล่ะคือความหมายของมัน และยังเป็น... คุณสมบัติสำคัญขององครักษ์ที่ควรมีสำหรับฉันที่เกิดมาก็ได้รับหน้าที่นั้นเป็นเหมือนชนักติดตัว ถึงจะคิดว่าลำบากก็เถอะแต่ตอนนี้ก็ชินไปแล้วและสิ่งที่ทำให้ฉันสามารถทำมันได้ ก็เพราะรอยยิ้มของคนที่ฉันต้องปกป้อง... รอยยิ้มของไมน์เด็กคนนี้เหมือนกับทุ่งดอกไม้หลากสี ร่าเริงสดใส เริงระบำไปตามเสียงบรรเลงเพลงตามแต่สายลมจะพัดพา เป็นเด็กที่ชอบเรื่องสนุกสนาน ฉันถึงอยู่ด้วยไม่มีเบื่อ ถึงจะไม่แสดงออกก็เถอะเพราะยังไงการเก็บความรู้สึกสุขไว้ในใจไม่ให้แสดงออกมา มันง่ายกว่าการกักเก็บความทุกข์ไว้ในอกคนระดับเลยแต่ถึงคิดแบบนั้น เดิมทีตัวฉันก็ไม่ได้เป็นคนคิดอะไรมากอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์แบบไหนก็พร้อมรับมือได้หมด และต่อให้ต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องไมน์ก็ไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อยเพราะงั้นความรู้สึกทุกข์ใจจึงไม่ค่อยมี หรือไม่ก
ตั้งแต่ตอนเด็ก ตัวฉันที่เป็นเจ้าหญิงก็ได้แต่อยู่ในปราสาทตามคำบอกกล่าวของคุณพ่อแต่มันก็ไม่ได้แย่นักหรอก เพราะอย่างน้อยฉันก็มีเพื่อนเล่นอยู่ คน ๆ นั้นก็คือรีเบคก้าที่เป็นเพื่อนอายุเท่ากันของฉัน คอยดูแลและเล่นด้วยกันมาตลอดตั้งแต่ที่จำได้แล้วและสิ่งที่ใช้ฆ่าเวลาอีกอย่างคือ หนังสือนิทานในห้องสมุดสำหรับเด็กผู้หญิงอย่างฉัน นิทานทั้งหมดเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ไม่เคยพบเคยเห็น โดยเฉพาะฉันที่ไม่เคยออกไปนอกตัวปราสาท เพราะแม้แต่การเดินทางฉันยังต้องปิดบังใบหน้าเอาไว้เลย แต่ตอนนั้นฉันยังเด็กถึงไม่รู้สึกว่าแปลกอะไรน่าตลกดี ที่สิ่งที่สอนให้ฉันรู้จักโลกภายนอกคือหนังสือเหล่านั้นที่อยู่ข้างกายมาตลอดความลึกลับอันน่าพิศวง มอนสเตอร์น่ากลัว ความงดงามของธรรมชาติ วิถีชีวิตของผู้คน เรื่องราวทั้งหมดที่ร้อยเรียงทำให้ฉันจินตนาการภาพฝันของโลกภายนอกไว้อย่างสวยงาม และหวังว่าซักวันจะได้ออกไปและในวันหนึ่ง ฉันก็ได้รู้จักอาชีพที่เรียกว่า ‘นักผจญภัย’อาชีพที่สามารถไปได้ทุกที่ที่อยากไป ทำได้ทุกสิ่งที่ต้องการ แสวงหาทุกสิ่งด้วยตัวเองกับพวกพ้องที่ไว้ใจได้แต่ถ้าจะว่ากันตามตรง เนื้อหาของมันก็ไม่ต่างจากนิทานทั่วไปที่มีพระเอ
ตั้งแต่ที่จำความได้ ตัวฉันก็ตระหนักได้แต่คุณค่าของตัวเอง ว่าเป็นแค่เครื่องมือฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคนที่คลอดฉันออกมาเป็นใครสิ่งเดียวที่จำได้ มีแต่ใบหน้าโกรธเกรี้ยวที่ใช้ฝึกหัดเฆี่ยนตี แปรเปลี่ยนเด็กสาวบริสุทธิ์ให้เป็นมือสังหารถูกกระทำเหมือนเป็นของเล่น... นอกจากจะช่วงชิงความบริสุทธิ์ในฐานะผู้หญิงของฉันไป ทั้งยังมอบคำสั่งมากมายที่ทำให้มือของฉันต้องเปื้อนเลือดตัวฉันในตอนนั้นไม่ได้ตระหนักว่ามันเป็นเรื่องแปลกแม้แต่น้อย ก็เครื่องมือมันคิดเองไม่ได้นี่นาก่อนที่จะได้เจอกับไมน์และรีเบคก้า...การได้ใช้ชีวิตแฝงตัวกับพวกเธอในฐานะผู้สังเกตการณ์จากภายในทำให้เราเริ่มซึมซับความคิดและความรู้สึกของพวกเธอเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆรอยยิ้มจอมปลอมเริ่มที่จะแปรเปลี่ยนเป็นของจริง สีหน้าที่ปั้นยิ้มกลายเป็นฉีกออกกว้างอย่างจริงใจ คนที่ทำให้ฉันตระหนักว่าตัวเองไม่ใช่เครื่องมือก็คือเพื่อนรักของฉันทั้งสองคนแต่ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ฉันคิดว่า... มันสายไปแล้วถึงจะรู้ไปแล้วว่าทางที่ตัวเองเดินมาจนถึงตอนนี้เป็นทางที่ผิด แต่ในเมื่อมันเดินมาแล้วก็มีแต่ต้องทำใจ แต่เพราะทำใจไม่ได้ถึงได้ทรมานจนอยากหนีไปให้พ้น ๆฟางเส้นสุดท้าย
หลังจากที่คอร์ดิเรียเปิดเผยอดีตที่แสนทุกข์ทรมานของเธอให้พวกเราฟัง ทุกคนก็เข้าหาคอร์ดิเรียแบบเป็นกันเองมากขึ้นเยอะเลยทั้งนี้ก็คงเพราะว่าก่อนหน้านี้ทุกคนคงติดใจบุคลิกแปลก ๆ และทัศนคติของคอร์ดิเรียที่มีต่อฉันไม่ค่อยดีนั่นแหล่ะ แต่พอได้รู้สาเหตุก็เหมือนเคลียร์ปัญหาทางใจกันไปแล้วในตัวก็นะ ถ้าถามว่าสนิทกันมากขึ้นถึงขนาดไหนล่ะ... ตอนนี้คอร์ดิเรียเข้ามาเล่นไพ่ด้วยกันกับทุกคนแล้วล่ะหืม? เป็นพัฒนาการที่ช้าเกินไปงั้นเหรอ? ไม่ใช่แบบนั้นหรอก... ในมุมมองของฉัน นี่แหล่ะก้าวสำคัญของคอร์ดิเรีย แถมมีรอยยิ้มแบบที่ไม่เคยเห็นจากคอร์ดิเรียมาก่อนเป็นผลสะท้อน ดูยังไงคอร์ดิเรียก็ดีขึ้นแล้วแน่ ๆ (โล่งอกไปที)นั่นคือในส่วนของปัญหาส่วนตัวของพวกเรา... แต่หลังจากที่ผ่อนคลายกันทั้งกลุ่มก็ต้องมานั่งเลคเชอร์กัน เพราะวันพรุ่งนี้พวกเรา ‘ภาคีโต๊ะจัตุรัส’ ตั้งใจจะเปิดเผยข้อมูลที่มีในมือทั้งหมดร่วมกันในตอนแรกทุกคนก็กังวลอยู่หรอก เพราะนอกจากพี่มารีแล้วทุกคนระวังท่าทีของคนอื่นพอสมควร ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติแหล่ะนะแต่ถึงอย่างงั้นฉันก็ต้องการจะบอกความจริงให้ทุกคนรู้อยู่ดี อย่างที่เคยย้ำไปหลายรอบ ปัญหาที่มีผลกระทบกับทุกคนแบบ
ณ โถงทางเดินอันเงียบสงัดสร้างบรรยากาศขัดตา ด้วยความที่มีชายหญิง 21 คนกระจุกอยู่ในบริเวณเดียวกัน และสาเหตุของสถานการณ์ดังกล่าว คือหญิงสาวในชุดเดรสสีขาวลายลูกไม้ให้บรรยากาศคล้ายกับชุดของเจ้าหญิงในงานเต้นรำ เธอผู้ซึ่งมีเรือนผมสีฟ้าคราม จดจ้องนัยน์ตาสีแดงมายังชายหนุ่มที่เดินนำหน้าสุดถัดจากสาวรับใช้ในวัง ...คือคอร์ดิเรียที่กำลังกอดอกพิงกำแพง รอจังหวะที่กรและพรรคพวกจะเดินผ่าน ซึ่งแน่นอนว่านี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญ〝 มีเรื่องจะคุยด้วยน่ะ มาด้วยกันหน่อยได้ไหม 〞 คอร์ดิเรียพูดแบบนั้นในขณะที่ส่งสายตาประหนึ่งอ้อนวอน นั่นเป็นสิ่งที่เธอยังไม่เคยแสดงออกมาต่อหน้าพวกกรเลยแม้แต่ครั้งเดียว นั่นจึงทำให้กรและสาว ๆ ขมวดคิ้วเข้าด้วยกันอย่างจริงจังกลับไป ส่วนสาวใช้ที่ยืนคั่นกลางระหว่างทั้งสองคนก็ได้แต่ยืนงงเป็นไก่ตาแตก ก่อนที่จะตั้งสติแล้วโค้งคำนับให้คอร์ดิเรียหนึ่งหนแล้วย่ำเท้าออกจากที่เกิดเหตุโดยพลัน ทำให้คนที่ยืนประจันหน้าอยู่กับคอร์ดิเรียมีเพียงพวกกรเท่านั้นถึงจะไม่รู้ว่าเรื่องอะไรก็เถอะ แต่แน่นอนอยู่แล้วว่าคำตอบก็คือ〝 ได้สิ... แน่นอนอยู่แล้ว 〞
ไข่ในหิน... ความหมายของมันคือ ของมีค่าที่ต้องทะนุถนอมแต่เคยสงสัยกันรึเปล่า ว่าถ้าเกิดไข่มันรู้ว่าตัวเองอยู่ในหินมันจะรู้สึกอึดอัด?ก็ไม่รู้หรอกนะว่าไข่จริง ๆ มันจะคิดยังไง แต่ถ้าเป็นความรู้สึกที่ถูกถนอมไว้ในหินล่ะก็ บอกเลยว่าตอนนี้ไม่มีใครเข้าใจไปมากกว่าฉันแล้วล่ะ เสียงในจิตใจของเด็กหนุ่มรำพึงขึ้นด้วยความสุขเพราะถูกโอบล้อมด้วยความอบอุ่น กระนั้นก็ไม่อาจเมินเฉยต่อสายตาที่ทิ่มแทงเข้ามาได้ สัมผัสในตอนนี้หากจะให้เปรียบก็คงคล้ายกับรสหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าทว่ากลับมีรสอมขมติดลิ้นเล็ก ๆ นั่นคือเด็กหนุ่มผู้กำลังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ในปราสาทของอาณาจักรซีทนัลทา โดยห้องดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับเป็นห้องประชุมเล็ก ๆ ที่มีโซฟาขนาดใหญ่หลายตัวล้อมเป็นวงกลม พร้อมกับมีโต๊ะเล็กไว้สำหรับวางเครื่องดื่มตั้งอยู่ด้านหน้าของแต่ละตัว แต่แม้จะบอกว่ามีโซฟาและโต๊ะหลายตัว กระนั้นการจัดเรียงก็ถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่หันหน้าเข้าหากันในลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่า เป็นการแบ่งชัดเจนว่าจะมีฝ่ายสนทนาอยู่ถึง 4 ฝ่ายด้วยกัน และแน่นอนว่าประเด็นสำคัญก็คือภายในห้อ
เอาล่ะ หลังจากนี้จะเอายังไงดี หลังจากที่เผยเจตนาของตัวเองที่มีต่อเสือ กรก็เบนสติของตัวเองมาเฝ้าระวังบอสมอนสเตอร์อันมีความแข็งแกร่งในระดับเดียวกับหรือมากกว่าบอสมหาดันเจี้ยนที่เคยเจอมา ดวงตาสีแดงที่จดจ้องลงมา พร้อมด้วยรูปร่างสูงใหญ่คล้ายกับสัตว์อสูรทะเลหลายอย่างรวมกันเป็นที่สุดแห่งความน่าพรั่นพรึงของท้องทะเล และนามของราชาแห่งท้องทะเลตัวนี้ที่แสดงเมื่อกรใช้ออร่าสีเหลืองตรวจสอบคือ ‘อัลติเมท คราเคน’ (Ultimate Kraken) เป็นนามอันย้ำเตือนถึงความเด็ดขาดในความแข็งแกร่งจากในตำนานก๊าซซซซซซ!!!!!!! สัตว์ประหลาดร่างสูงใหญ่ราว 50 เมตรนามคราเคนคำรามก้องท้องฟ้าส่งแรงสะเทือนที่ทำเอาทั้งร่างสั่นสะท้าน เสียงนั้นดังกึกก้องไปถึงอีกฟากของโพ้นทะเล พร้อมกับเปรยตามองลงด้านล่างราวกับเย้ยหยันกรกับเสือที่ตั้งท่าตั้งรับด้วยแขนที่สั่นเล็กน้อย ทั้งเพราะแรงสะเทือนของเสียงคำรามและความหวาดกลัวพลังไม่เหลือพอจะใช้ท่าที่รุนแรงอย่าง Armageddon Spectrum ได้แถมจะให้เปิดใช้ Endless Spectrum Throne ก็ไม่รู้อีกว่ามันจะมีผลกระทบกับทุกคนไปด้วยรึเปล่าตอนนี้ที่ทำได้คงต้องใช้ออร่าที่เหลือยื