“มิทำชั่วขจัดภัยพิบัติ ทำความดีสร้างวาสนา สืบทอดลำดับแห่งสวรรค์ ใช้สิ่งนี้ในการบูชา มีเพียงเทพเซียนเป็นแสงสว่าง น้อมสักการะ ทุกคน คุกเข่า...”สิ้นเสียง ฮองเฮาคุกเข่าช้าๆ แน่นอนว่าทุกคนที่อยู่ด้านหลังก็คุกเข่าเช่นเดียวกันเฟิ่งเชียนอวี่ครุ่นคิด พระสงฆ์รูปนี้เสียงไพเราะ เสียงดังก้องกังวานตามธรรมชาติ ใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะดึงสติกลับมาจากความฟุ้งซ่านแบบความรู้สึกช้าแล้วค่อยทำตามทุกคนโชคดีที่เวลานี้ไม่มีใครสนใจนางหลังจากทุกคนคุกเข่า ผู้ทำพิธีหยิบบทสวดแล้วคลี่ออก จากนั้นเริ่มท่องบทสวดใช้เวลาสวดนานหนึ่งก้านธูปกว่าจะจบลง เฟิ่งเชียนอวี่ถอนหายใจ หัวเข่าที่น่าสงสารของตน บาปกรรมจริงๆเวลานี้ เสียงร้องดังขึ้นจากไกลใกล้เข้ามาเรื่อยๆเห็นเพียงอินทรีย์ดำทั้งตัวบินโฉบมา สยายปีกบินวนเวียนอยู่บนท้องฟ้าเฟิ่งเชียนอวี่เคยได้ยินหลิวซูบอกว่านี่คืออินทรีย์ของวัดหลงถาน รู้ภาษามนุษย์ยิ่ง การปรากฏตัวของอินทรีย์ แสดงให้เห็นว่าการอวยพรลำดับสุดท้ายกำลังจะมาแล้วฮองเฮาจุดธูปหอมด้วยตนเอง แล้วยื่นให้ผู้ทำพิธี อินทรีย์โฉบบินลงมา ใช้ปากคาบธูปหอมที่จุดเสร็จแล้ว จากนั้นปักลงในกระถางธูป นี่จึงถือเป็นการจบพิธีสำ
นางหลิ่วผู้เป็นถึงฮูหยินอัครมหาเสนาบดี วันนี้เรียกได้ว่าอับอายขายหน้าอย่างมากสตรีบรรดาศักดิ์คนอื่นๆ แรกเริ่มพากันตกใจ เวลานี้มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นทั้งยังเปิดเผยและแอบสะใจ สายตาแปลกๆ มากมายมองไปที่นางหลิ่วแต่นางหลิ่วไม่อาจรู้สึกอะไรแล้ว ถูกอินทรีย์ทำให้ตกใจจนจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว“อ๊า พวกท่านดูใต้กระโปรงฮูหยินเฟิ่งสิ”อย่างกะทันหัน สตรีชั้นสูงสายตาเฉียบแหลมชี้ไปยังจุดหนึ่งแล้วร้องด้วยความตกใจทุกคนรีบหันไปมอง เห็นเพียงชายกระโปรงหรูสีเขียวเข้มของนางหลิ่วเปียกเป็นวง ชายกระโปรงเกยบนขั้นบันได ทิ้งรอยแดงเอาไว้บรรดาสตรีบรรดาศักดิ์เบิกตากว้างนี่คือเลือดหรือ?พวกนางล้วนเป็นสตรี ชั่วขณะหนึ่ง ต่างเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ของนางหลิ่วผู้ทำพิธีหลับตา กล่าวคำสวด “อมิตาพุทธ”เวลานี้ฮองเฮาจวนจะเป็นลมหมดสติ พระนางในฐานะฮองเฮา เป็นตัวแทนพาบรรดาสตรีทั้งหลายสวดอธิษฐาน เดิมเป็นพรอันประเสริฐแต่ในทางเดียวกันก็มีความกดดันระดับหนึ่งซึ่งก็คือทางที่ดีที่สุดอย่าเกิดข้อผิดพลาด หากเกิดเรื่องไม่คาดคิด แม้ฮองเฮาไม่ได้เป็นผู้กระทำ แต่นางซึ่งเป็นฮองเฮา สตรีผู้เป็นมารดาของแผ่นดินต้องรับผิดชอบส
โชคดีที่ในที่สุดสวรรค์ก็มีตาสีหน้าของนางหลิ่วซีดขาว แววตาเลื่อนลอย ตายแล้ว จบเห่แล้วหายใจไม่ทันชั่วขณะ ดวงตากลอกขึ้นแล้วหมดสติไป“ท่านแม่...”เฟิ่งหลิงหลงตกใจ รีบพุ่งตัวไป นางเงยหน้าขึ้นอยากมองหาคนช่วย แต่เวลานี้ ผู้ใดจะสนใจนางสำหรับเฟิ่งเชียนอวี่ นางหนีไปนานแล้วบนรถม้า เฟิ่งเชียนอวี่คลอเพลงอย่างอารมณ์ดี เพียงนึกถึงสีหน้าของนางหลิ่วก็ตลกแล้วตอนกลางวัน ในลานวัดหลงถาน เหลิ่งหนิงบอกแผนการชั่วของสองแม่ลูกให้นางฟังแล้วแท้จริงแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นแผนชั่วอะไร เป็นเพียงความคิดชั่วร้ายเท่านั้นเดิมที ไม่รู้ว่าสองแม่ลูกทราบเรื่องจากที่ใด รู้เรื่องระดูรอบเดือนก่อนของนางประจวบเหมาะวันสวดอธิษฐานในเดือนนี้ ตรงกับระดูรอบเดือนก่อนของนาง จึงอยากให้นางขายหน้าต่อหน้าผู้คนอินทรีย์วัดหลงถาน ไวกับกลิ่นคาวเลือดอย่างมาก นี่เป็นเรื่องที่นางหลิ่วบังเอิญรู้มาจากอัครมหาเสนาบดีสามีของนางหากไม่ใช่เพราะจวนอ๋องหกความปลอดภัยแน่นหนา ไม่อาจส่งคนเข้าไป พวกนางลงมือไปนานแล้ว ครั้งนี้ถือเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆนางหลิ่วและเฟิ่งหลิงหลงอยู่ในเรือนของตนเองด่าทอเฟิ่งเชียนอวี่ สาปแช่งอีกฝ่ายด้วยคำพูดสุดแสนจะร้า
“เจ้าช่างเป็นผู้หญิงที่โง่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าสร้างปัญหามากมายเพียงใดให้กับจวนอัครมหาเสนาบดี?”“วันนี้เป็นเพราะเจ้า การสวดอธิษฐานตกหยุดลงกลางคัน เจ้าคิดว่าจะเกิดผลลัพธ์ใดตามมา? ข้าจะบอกเจ้าเอง ทางที่ดีสุดเจ้าจงอธิษฐานขอให้ภายในสามปีนี้ แคว้นตงเยว่ราบรื่น ไร้ภัยพิบัติ”“มิเช่นนั้น หากเกิดภัยพิบัติขึ้น ทุกคนจะคิดว่าเป็นเพราะเจ้า เพราะหญิงโง่อย่างเจ้าทำผิดต่อเทพเซียน เจ้าเข้าใจหรือไม่”นางหลิ่วไม่คิดถึงข้อนี้จริงๆ นางตกใจจนตะลึงงัน ตกใจจนร้องไห้ไม่ออกเฟิ่งอวี้เทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “นับตั้งแต่วันนี้ เจ้าอยู่ในเรือนทำตัวดีๆ หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า หากออกนอกเรือนแม้แต่ครึ่งก้าว”นางหลิ่วดึงสติกลับมา มองอีกฝ่ายด้วยความตกใจจนหน้าถอดสี“ท่านพี่ ท่าน ท่านหมายความว่าอย่างไร?”“หึ ฮองเฮามีพระเสาวนีย์มาแล้ว ให้เจ้าคิดทบทวนความผิด เจ้าไม่เข้าใจอีกหรือ? เจ้าอยู่ในเรือนแต่โดยดี อย่าออกไปขายหน้าผู้อื่น”“อีกเรื่องหนึ่ง จงมอบเรื่องดูแลตระกูลออกมา ให้หวังซินเหอทำหน้าที่แทนชั่วคราว”“ไม่ได้นะ”เรื่องอื่นยังพอคุยกันได้ แต่เรื่องดูแลตระกูล นางหลิ่วปฏิเสธทันทีโดยไม่แม้แต่จะคิดนางเป็นฮูหยินใ
เสื้อผ้าที่เฟิ่งเชียนอวี่เปลี่ยนในทุกวัน ล้วนมีสาวใช้ที่ทำหน้าที่ซักและตากไปจัดการไม่ใช่ชุ่ยเตี๋ยบังเอิญเห็นบางอย่างบนเสื้อผ้าของนาง ก็คือได้ยินบางอย่างในเรือนกล่าวโดยสรุป สาวใช้คนนี้น่าสงสัยมากที่สุด“พระชายาเข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ บ่าวตั้งใจทำงานในเรือนหลังทุกวัน ไม่กล้าละเมิดกฎแม้แต่น้อย พระชายา ท่านไม่อาจครหาบ่าวโดยไร้เหตุผลนะเจ้าคะ”ชุ่ยเตี๋ยเรียกร้องความเป็นธรรมเสียงดังเฟิ่งเชียนอวี่กลอกตามองบน พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าร้องตะโกนอะไร? เจ้าเป็นคนของเรือนใหญ่ของจวนตระกูลเฟิ่ง ไม่ว่าเจ้าจะทำหรือไม่ ล้วนไม่ได้ถือว่าข้าใส่ความเจ้า”ชุ่ยเตี๋ยเงียบ“แต่ว่า ข้าเป็นคนมีเหตุผลมาโดยตลอด โดยทั่วไปนั้น ต้องมีหลักฐานจึงจะโน้มน้าวได้ ดังนั้น...เฟิ่งเชียนอวี่พูด เลิกคิ้วขึ้น หยิบพับไฟขึ้นมา เปิดและเป่าเบาๆ เปลวไฟสีส้มผุดขึ้นมา“ชุ่ยเตี๋ย มา มองที่นี่ จ้องมองเปลวไฟนี้ เจ้าเห็นสิ่งใด?”ชุ่ยเตี๋ยไม่เข้าใจ ส่ายหน้า “บ่าวไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเจ้าค่ะ”“เป็นไปได้อย่างไร เจ้ามองให้ถี่ถ้วน ต้องมีอะไรแน่นอน ขอเพียงเจ้ามองเห็น ข้าจะปล่อยเจ้าไป”ชุ่ยเตี๋ยได้ยินเช่นนั้น ตั้งใจมองทันที“ถูกต้อง เ
ฮูหยินหงพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เจ็บแล้ว ไม่เจ็บตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว”“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”เฟิ่งเชียนอวี่คิดถึงเรื่องบางอย่าง จึงพูดเตือน “ฮูหยินหง อาการรักแร้เหม็นของท่านหายดีแล้ว แต่เพราะผลของการรักษา ทำให้ท่านมีรอยแผลสองเส้นนูนขึ้นมา ท่านเองก็มองเห็นได้”“หากท่านให้ความสำคัญกับเรื่องนี้จริง...”ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวในยุคปัจจุบันหรืออดีต ล้วนไม่อยากมีรอยแผลเป็นเดิมทีนางอยากบอกว่า หากอีกฝ่ายรังเกียจ นางรักษารอยแผลเป็นให้ฮูหยินหงได้ ใช้เลเซอร์ยิงให้แผลนูนเรียบได้แต่ไม่รอเฟิ่งเชียนอวี่พูด ตัวฮูหยินหงยอมรับความจริงได้เป็นอย่างดี ยิ้มพร้อมกับส่ายมือ“ไม่เป็นไร ได้ผลลัพธ์เช่นทุกวันนี้ ข้าพอใจมากแล้ว”สำหรับสตรีทั่วไป ย่อมไม่อยากมีบาดแผลแต่สำหรับฮูหยินหง เทียบกับโรคเรื้อรังก่อนหน้านี้ แผลเป็นสองเส้นบางๆ เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นนางสามารถรักษาอาการที่คอยรบกวนมาโดยตลอดให้หายดีได้ ทำให้ฮูหยินหงรู้สึกซาบซึ้งใจมากแล้ว เรื่องอื่นนางไม่กล้าคิดเพ้อฝันเฟิ่งเชียนอวี่เห็นเช่นนี้ ทำได้เพียงเก็บความคิดเรื่องหาเงินนางพูดเตือน “แม้อาการป่วยของฮูหยินได้รักษาแล้ว แต่อนาคตยังคงต้องระวัง เพราะ
“ไม่ได้”“เพราะเหตุใด?” นางขมวดคิ้วเป็นปมตงฟางจิ่งชำเลืองมองนางครู่หนึ่ง “เพราะเหตุใดพระชายาไม่กระจ่างหรือ? หากไม่ใช่เพราะเจ้านอนขี้เกียจอยู่นาน ไม่ยอมตื่น นอนเหมือนหมู พวกเราก็ไม่ต้องรีบเช่นนี้”นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นผู้หญิงนอนขี้เซาเช่นนี้สีหน้าของตงฟางจิ่งเปี่ยมไปด้วยความรังเกียจ “เกรงว่าในเมืองหลวงไม่มีสตรีคนใดขี้เกียจเหมือนเจ้าแล้ว”เฟิ่งเชียนอวี่ “...”หลังจากเขาพูดจบ ตบหน้าต่างรถม้าด้วยสีหน้านิ่งสงบ “เร็วหน่อย”สารถีฉลาดหลักแหลม ฟาดแส้ลงบนบั้นท้ายของม้าอย่างแรง “เจี๊ยะ...”ชั่วขณะหนึ่งเฟิ่งเชียนอวี่ไม่ทันระวัง ถูกกระแทกทันที บั้นท้ายตกลงกับพื้นอย่างแรง สีหน้าของนางไม่สบอารมณ์อย่างมากให้ตายสิ!!!ชายชั่วคนนี้!เฟิ่งเชียนอวี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขณะกำลังเตรียมทะเลาะกับชายตรงหน้า รถม้ากลับหยุดลงกะทันหันตงฟางจิ่งขมวดคิ้วเป็นปม เปิดม่าน “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”สารถีรีบตอบ “ท่านอ๋อง องครักษ์เว่ยเซิงขอรับ”เว่ยเซิงขี่รถม้าตามมา สีหน้าเคร่งขรึม แววตาเปี่ยมไปด้วยความกังวล “อวี่...”“ท่านอ๋อง เกิดเรื่องแล้วขอรับ”เขาพูดแล้วยื่นกระบอกไม้ไผ่ขนาดเท่านิ้วโป้งให้ตงฟางจิ่งผ่าน
หลังจากเว่ยเซิงอธิบาย เฟิ่งเชียนอวี่เพิ่งรู้ว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตงฟางจิ่งที่แท้ ข่าวที่เว่ยเซิงเพิ่งได้รับเมื่อครู่คือ เรือมังกรที่จวนอ๋องหกทำเสร็จนั้นถูกคนเล่นตุกติกตามหลักแล้ว เรือมังกรทั้งหมดตั้งแต่แรกเริ่ม ลวดลายมังกรที่แกะสลักนั้น เป็นได้เพียงมังกรสี่เล็บตามบันทึกนิทานปรัมปรา สี่เล็บไม่อาจเรียกว่ามังกร แต่เรียกว่าเจียว ดังนั้นแกะสลักมังกรสี่เล็บ ไม่ถือว่าทำผิดแต่เรือมังกรของจวนอ๋องหกกลับมีคนทำบางอย่าง ด้านหลังเรือมังกร มีมังกรตัวหนึ่ง จากเดิมที่เป็นสี่เล็บ กลับกลายเป็นห้าเล็บนี่ถือเป็นปัญหาใหญ่มังกรห้าเล็บ คือมังกรที่แท้จริง ตามประวัติศาสตร์แล้วมีเพียงโอรสแห่งสวรรค์เท่านั้น ซึ่งก็คือมีเพียงฮ่องเต้เทียนหยวนเท่านั้น ที่มีสิทธิ์ใช้ภาพวาดมังกรนี้แกะสลักมังกรห้าเล็บบนเรือมังกร หากเกิดเรื่อง กล่าวรุนแรงเล็กน้อย ถือเป็นการก่อกบฏ แม้ตงฟางจิ่งจะเป็นอ๋อง ก็ไม่อาจเลี่ยงบทลงโทษสถานหนักได้หลังจากเฟิ่งเชียนอวี่ฟังจบ นางตกตะลึงเล็กน้อยสีหน้าเว่ยเซิงเปี่ยมไปด้วยความหงุดหงิด “ตั้งแต่เลือกวัสดุกระทั่งทำเรือมังกร ข้าน้อยเลือกผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไว้วางใจได้คอยดูตลอด แต่สุดท้ายก