“เจ้าช่างเป็นผู้หญิงที่โง่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าสร้างปัญหามากมายเพียงใดให้กับจวนอัครมหาเสนาบดี?”“วันนี้เป็นเพราะเจ้า การสวดอธิษฐานตกหยุดลงกลางคัน เจ้าคิดว่าจะเกิดผลลัพธ์ใดตามมา? ข้าจะบอกเจ้าเอง ทางที่ดีสุดเจ้าจงอธิษฐานขอให้ภายในสามปีนี้ แคว้นตงเยว่ราบรื่น ไร้ภัยพิบัติ”“มิเช่นนั้น หากเกิดภัยพิบัติขึ้น ทุกคนจะคิดว่าเป็นเพราะเจ้า เพราะหญิงโง่อย่างเจ้าทำผิดต่อเทพเซียน เจ้าเข้าใจหรือไม่”นางหลิ่วไม่คิดถึงข้อนี้จริงๆ นางตกใจจนตะลึงงัน ตกใจจนร้องไห้ไม่ออกเฟิ่งอวี้เทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “นับตั้งแต่วันนี้ เจ้าอยู่ในเรือนทำตัวดีๆ หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า หากออกนอกเรือนแม้แต่ครึ่งก้าว”นางหลิ่วดึงสติกลับมา มองอีกฝ่ายด้วยความตกใจจนหน้าถอดสี“ท่านพี่ ท่าน ท่านหมายความว่าอย่างไร?”“หึ ฮองเฮามีพระเสาวนีย์มาแล้ว ให้เจ้าคิดทบทวนความผิด เจ้าไม่เข้าใจอีกหรือ? เจ้าอยู่ในเรือนแต่โดยดี อย่าออกไปขายหน้าผู้อื่น”“อีกเรื่องหนึ่ง จงมอบเรื่องดูแลตระกูลออกมา ให้หวังซินเหอทำหน้าที่แทนชั่วคราว”“ไม่ได้นะ”เรื่องอื่นยังพอคุยกันได้ แต่เรื่องดูแลตระกูล นางหลิ่วปฏิเสธทันทีโดยไม่แม้แต่จะคิดนางเป็นฮูหยินใ
เสื้อผ้าที่เฟิ่งเชียนอวี่เปลี่ยนในทุกวัน ล้วนมีสาวใช้ที่ทำหน้าที่ซักและตากไปจัดการไม่ใช่ชุ่ยเตี๋ยบังเอิญเห็นบางอย่างบนเสื้อผ้าของนาง ก็คือได้ยินบางอย่างในเรือนกล่าวโดยสรุป สาวใช้คนนี้น่าสงสัยมากที่สุด“พระชายาเข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ บ่าวตั้งใจทำงานในเรือนหลังทุกวัน ไม่กล้าละเมิดกฎแม้แต่น้อย พระชายา ท่านไม่อาจครหาบ่าวโดยไร้เหตุผลนะเจ้าคะ”ชุ่ยเตี๋ยเรียกร้องความเป็นธรรมเสียงดังเฟิ่งเชียนอวี่กลอกตามองบน พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าร้องตะโกนอะไร? เจ้าเป็นคนของเรือนใหญ่ของจวนตระกูลเฟิ่ง ไม่ว่าเจ้าจะทำหรือไม่ ล้วนไม่ได้ถือว่าข้าใส่ความเจ้า”ชุ่ยเตี๋ยเงียบ“แต่ว่า ข้าเป็นคนมีเหตุผลมาโดยตลอด โดยทั่วไปนั้น ต้องมีหลักฐานจึงจะโน้มน้าวได้ ดังนั้น...เฟิ่งเชียนอวี่พูด เลิกคิ้วขึ้น หยิบพับไฟขึ้นมา เปิดและเป่าเบาๆ เปลวไฟสีส้มผุดขึ้นมา“ชุ่ยเตี๋ย มา มองที่นี่ จ้องมองเปลวไฟนี้ เจ้าเห็นสิ่งใด?”ชุ่ยเตี๋ยไม่เข้าใจ ส่ายหน้า “บ่าวไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเจ้าค่ะ”“เป็นไปได้อย่างไร เจ้ามองให้ถี่ถ้วน ต้องมีอะไรแน่นอน ขอเพียงเจ้ามองเห็น ข้าจะปล่อยเจ้าไป”ชุ่ยเตี๋ยได้ยินเช่นนั้น ตั้งใจมองทันที“ถูกต้อง เ
ฮูหยินหงพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เจ็บแล้ว ไม่เจ็บตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว”“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”เฟิ่งเชียนอวี่คิดถึงเรื่องบางอย่าง จึงพูดเตือน “ฮูหยินหง อาการรักแร้เหม็นของท่านหายดีแล้ว แต่เพราะผลของการรักษา ทำให้ท่านมีรอยแผลสองเส้นนูนขึ้นมา ท่านเองก็มองเห็นได้”“หากท่านให้ความสำคัญกับเรื่องนี้จริง...”ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวในยุคปัจจุบันหรืออดีต ล้วนไม่อยากมีรอยแผลเป็นเดิมทีนางอยากบอกว่า หากอีกฝ่ายรังเกียจ นางรักษารอยแผลเป็นให้ฮูหยินหงได้ ใช้เลเซอร์ยิงให้แผลนูนเรียบได้แต่ไม่รอเฟิ่งเชียนอวี่พูด ตัวฮูหยินหงยอมรับความจริงได้เป็นอย่างดี ยิ้มพร้อมกับส่ายมือ“ไม่เป็นไร ได้ผลลัพธ์เช่นทุกวันนี้ ข้าพอใจมากแล้ว”สำหรับสตรีทั่วไป ย่อมไม่อยากมีบาดแผลแต่สำหรับฮูหยินหง เทียบกับโรคเรื้อรังก่อนหน้านี้ แผลเป็นสองเส้นบางๆ เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นนางสามารถรักษาอาการที่คอยรบกวนมาโดยตลอดให้หายดีได้ ทำให้ฮูหยินหงรู้สึกซาบซึ้งใจมากแล้ว เรื่องอื่นนางไม่กล้าคิดเพ้อฝันเฟิ่งเชียนอวี่เห็นเช่นนี้ ทำได้เพียงเก็บความคิดเรื่องหาเงินนางพูดเตือน “แม้อาการป่วยของฮูหยินได้รักษาแล้ว แต่อนาคตยังคงต้องระวัง เพราะ
“ไม่ได้”“เพราะเหตุใด?” นางขมวดคิ้วเป็นปมตงฟางจิ่งชำเลืองมองนางครู่หนึ่ง “เพราะเหตุใดพระชายาไม่กระจ่างหรือ? หากไม่ใช่เพราะเจ้านอนขี้เกียจอยู่นาน ไม่ยอมตื่น นอนเหมือนหมู พวกเราก็ไม่ต้องรีบเช่นนี้”นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นผู้หญิงนอนขี้เซาเช่นนี้สีหน้าของตงฟางจิ่งเปี่ยมไปด้วยความรังเกียจ “เกรงว่าในเมืองหลวงไม่มีสตรีคนใดขี้เกียจเหมือนเจ้าแล้ว”เฟิ่งเชียนอวี่ “...”หลังจากเขาพูดจบ ตบหน้าต่างรถม้าด้วยสีหน้านิ่งสงบ “เร็วหน่อย”สารถีฉลาดหลักแหลม ฟาดแส้ลงบนบั้นท้ายของม้าอย่างแรง “เจี๊ยะ...”ชั่วขณะหนึ่งเฟิ่งเชียนอวี่ไม่ทันระวัง ถูกกระแทกทันที บั้นท้ายตกลงกับพื้นอย่างแรง สีหน้าของนางไม่สบอารมณ์อย่างมากให้ตายสิ!!!ชายชั่วคนนี้!เฟิ่งเชียนอวี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขณะกำลังเตรียมทะเลาะกับชายตรงหน้า รถม้ากลับหยุดลงกะทันหันตงฟางจิ่งขมวดคิ้วเป็นปม เปิดม่าน “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”สารถีรีบตอบ “ท่านอ๋อง องครักษ์เว่ยเซิงขอรับ”เว่ยเซิงขี่รถม้าตามมา สีหน้าเคร่งขรึม แววตาเปี่ยมไปด้วยความกังวล “อวี่...”“ท่านอ๋อง เกิดเรื่องแล้วขอรับ”เขาพูดแล้วยื่นกระบอกไม้ไผ่ขนาดเท่านิ้วโป้งให้ตงฟางจิ่งผ่าน
หลังจากเว่ยเซิงอธิบาย เฟิ่งเชียนอวี่เพิ่งรู้ว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตงฟางจิ่งที่แท้ ข่าวที่เว่ยเซิงเพิ่งได้รับเมื่อครู่คือ เรือมังกรที่จวนอ๋องหกทำเสร็จนั้นถูกคนเล่นตุกติกตามหลักแล้ว เรือมังกรทั้งหมดตั้งแต่แรกเริ่ม ลวดลายมังกรที่แกะสลักนั้น เป็นได้เพียงมังกรสี่เล็บตามบันทึกนิทานปรัมปรา สี่เล็บไม่อาจเรียกว่ามังกร แต่เรียกว่าเจียว ดังนั้นแกะสลักมังกรสี่เล็บ ไม่ถือว่าทำผิดแต่เรือมังกรของจวนอ๋องหกกลับมีคนทำบางอย่าง ด้านหลังเรือมังกร มีมังกรตัวหนึ่ง จากเดิมที่เป็นสี่เล็บ กลับกลายเป็นห้าเล็บนี่ถือเป็นปัญหาใหญ่มังกรห้าเล็บ คือมังกรที่แท้จริง ตามประวัติศาสตร์แล้วมีเพียงโอรสแห่งสวรรค์เท่านั้น ซึ่งก็คือมีเพียงฮ่องเต้เทียนหยวนเท่านั้น ที่มีสิทธิ์ใช้ภาพวาดมังกรนี้แกะสลักมังกรห้าเล็บบนเรือมังกร หากเกิดเรื่อง กล่าวรุนแรงเล็กน้อย ถือเป็นการก่อกบฏ แม้ตงฟางจิ่งจะเป็นอ๋อง ก็ไม่อาจเลี่ยงบทลงโทษสถานหนักได้หลังจากเฟิ่งเชียนอวี่ฟังจบ นางตกตะลึงเล็กน้อยสีหน้าเว่ยเซิงเปี่ยมไปด้วยความหงุดหงิด “ตั้งแต่เลือกวัสดุกระทั่งทำเรือมังกร ข้าน้อยเลือกผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไว้วางใจได้คอยดูตลอด แต่สุดท้ายก
ขอเพียงตนไม่พูด เขาคิดให้ตายอย่างไรก็ไม่มีทางคาดคิดถึงความลับเรื่องห้องทดลองของตนในเมื่อนางทำแล้ว นางไม่คิดจะทำลายความสงสัยนี้ ขอเพียงนางไม่ยอมรับ เขาจะทำอะไรได้เฟิ่งเชียนอวี่หาอย่ารวดเร็ว เวลามีจำกัด ทั้งยังไม่มีเวลาดูอะไรมากมาย นางหาเรือมังกรที่คล้ายกับของจวนอ๋องหก ขนาดและสีใกล้เคียงกัน แล้วสับเปลี่ยนแม้วิธีนี้ไร้คุณธรรม แต่ตามคำที่กล่าวว่า จะตายเจ้าก็ตายข้าไม่ตายด้วย นางเองก็อับจนหนทาง เฮ้อ ขอโทษด้วยๆหลังจากเฟิ่งเชียนอวี่สลับเรือมังกรแล้ว นางก็เปลี่ยนธงของทั้งสองฝ่ายด้วย นางเพิ่งเห็นว่า ธงที่นางเปลี่ยนนั้น เขียนคำว่าหล่างเอาไว้นางเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใครเฟิ่งเชียนอวี่ไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว นางก็แอบหนีออกไปด้วยความระมัดระวัง ยังคงซ่อนตัวอยู่ในมุมเดิมก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว ทหารรักษาพระองค์ไม่เจอตัวคนน่าสงสัย จึงกลับมาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ตงฟางจิ่งปรากฏตัวอีกครั้ง พาเฟิ่งเชียนอวี่ออกไปสำเร็จนอกที่ประทับ ทั้งสามคนกลับขึ้นรถม้าอีกครั้ง มองไปทางทะเลสาบอวี้หูเว่ยเซิงอดไม่ได้ที่จะถาม “พระชายา สำเร็จแล้วหรือขอรับ”เฟิ่งเชียนอวี่ทำมือโอเคเว่ยเซิงแ
“เสด็จพ่อ งานวันนี้ยิ่งใหญ่อลังการ เช่นนั้น เชิญนักพรตเฟิงมาร่วมงานด้วยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เมื่อฮ่องเต้เทียนหยวนได้ฟังก็เห็นด้วย ทอดสายพระเนตรมองไปทางตงฟางจิ่งตงฟางจิ่งก็ไม่ปฏิเสธ“หม่อมฉันให้คนไปเชิญนักพรตเฟิงพ่ะย่ะค่ะ”เวลานี้เฟิ่งเชียนอวี่เห็นที่นั่งฝั่งตรงข้าม คือฮูหยินหง นางค่อยเข้าใจทุกอย่างโรคเรื้อรังของฮูหยินหง เป็นที่รู้กันทั่วทั้งเมืองหลวง แม้นางจะเป็นภรรยาของขุนนาง อีกทั้งยศถาบรรดาศักดิ์ของสามีก็ไม่ธรรมดา ล้วนมีสิทธิ์มาร่วมงานเลี้ยงมากมายแต่ที่ผ่านมา เพราะอาการรักแร้เหม็นของฮูหยินเป็นเหตุ นางจึงไม่ออกจากเรือน จึงยิ่งอย่ากล่าวถึงเรื่องร่วมงาน รังแต่จะทำให้ผู้อื่นรังเกียจแต่ตอนนี้ อาการป่วยของนางดีแล้ว ย่อมออกมาได้ประจวบเหมาะถึงเทศกาลบ๊ะจ่างพอดี นี่เป็นครั้งแรกที่ฮูหยินหง ยืนอยู่ตรงหน้าผู้คนอย่างสง่าผ่าเผยอดีตที่ผ่านมา สามีล้วนพาอนุภรรยาคนอื่นๆ มาร่วมงาน ฮูหยินหงไม่มีแม้กระทั่งสิทธิ์ในการห้าม ต่อไปนี้ จะไม่เกิดเรื่องที่ทำให้ฮูหยินหงอับอายอีกแล้วเพราะจวนเจิ้นกว๋อกง บวกกับอาการป่วยของฮูหยินหง ทำให้นางถือเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเวลานี้นางปรากฏตัว ทุกคนต่างตกใจอย
ตงฟางจิ่งเอ่ยเสียงเรียบ “อย่าตื่นตระหนก เจ้าจัดการแล้วไม่ใช่หรือ”เฟิ่งเชียนอวี่เลิกคิ้ว ก็ใช่“แต่ว่า...”ตงฟางจิ่งมองดูธงผ้าสีแดงก่ำที่แขวนอยู่บนเรือมังกรของจวนตัวเอง ในดวงตามีความแปลกใจแวบผ่าน จากนั้นค่อยๆ ก้มหน้าลง แล้วโน้มไปข้างหูเฟิ่งเชียนอวี่“เจ้าแน่ใจหรือ ว่านี่คือเรือมังกรของข้า?”เมื่อครู่เขามองปราดเดียว ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เรือมังกรจากจวนของเขาดังนั้น วิธีแก้ปัญหาที่เฟิ่งเชียนอวี่กล่าวเมื่อครู่ ไม่ใช่อย่างที่เขาคิด แต่กลับเป็นการ...สลับเรือมังกรอย่างนั้นหรือ?ตกลงหญิงผู้นี้ทำได้อย่างไรตงฟางจิ่งใคร่รู้เหลือเกิน อีกทั้งรู้สึกน่าทึ่งอย่างที่สุด แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถกเถียงกันในเรื่องนี้ร่างเฟิ่งเชียนอวี่แข็งทื่อสักครู่ แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว แล้วกระแอมเสียงค่อย ทำเป็นไม่ได้ยินตงฟางจิ่งหันมองรัชทายาท “องค์รัชทายาทชมแล้วเป็นอย่างไรบ้าง?”สีหน้าของรัชทายาทไม่ดีนัก จึงเม้มปาก แล้วฝืนยิ้ม “เรือมังกรของจวนน้องหกไม่เลว”ขณะเดียวกัน ในใจเขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างในที่สุดคณะของฮ่องเต้เทียนหยวนก็เดินมาถึงตรงหน้าเรือมังกรลำสุดท้าย ซึ่งก็คือเร