ฮ่องเต้เทียนหยวนครุ่นคิด แล้วเอ่ยถาม “อีกสักระยะ ก็จะถึงเทศกาลฉีเฉี่ยวแล้วสินะ?”เว่ยจงเสียนชะงัก แล้วรีบพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”“เจ้าไปแจ้งกรมพิธีการ เทศกาลฉีเฉี่ยวปีนี้ ให้จัดงานชมบุปผาในวังหลวง”“ให้กรมพิธีการส่งเทียบเชิญไปให้เหล่าขุนชายตระกูลขุนนาง แล้วก็ไปแจ้งทางฮองเฮา ให้นางส่งเทียบเชิญไปให้สตรีในตระกูลขุนนาง ในบรรดาหญิงสูงศักดิ์ ขอเพียงมีอายุสิบปีขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นบุตรสายตรงหรือลูกอนุภรรยา จำเป็นต้องเข้าร่วม”“รวมถึงต้องแจ้งไปที่องค์ชายทั้งหลายด้วย พร้อมกับส่งราชโองการไปที่จวนอ๋องหก ให้เจ้าหกพานักพรตเฟิงมาร่วมงานด้วย”เว่ยจงเสียนเข้าใจความคิดของฮ่องเต้ทันที ไม่ว่าจะเป็นนักพรตเฟิงที่มีวิชาแพทย์ล้ำเลิศ หรือว่าลูกอนุภรรยาตระกูลเฟิ่งหลายคนนั้น พระองค์ล้วนอยากพบสักครั้ง“กระหม่อมรับบัญชา”……เฟิ่งเชียนอวี่ไม่ได้ไปที่เรือนหมีเซิ่งสักระยะแล้ว วันนี้จึงจะแวะไปดูการเจริญเติบโตของต้นกล้าดอกไม้และสมุนไพรเมื่อตงฟางจิ่งรับทราบอยากจะไปด้วย หนำซ้ำนางไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธชื่อเรือนหมีเซิ่งก่อนหน้านี้ ถูกนางเปลี่ยนเป็นสวนฟางเฟยไม่หยาบและไม่ดาษดื่น ไพเราะและจำง่ายหลังขึ้นเขา ตงฟา
นางแค่ตัวคนเดียว และมีเพียงห้องทดลองแค่ห้องเดียว สามารถผลิตได้แค่ปริมาณที่นางต้องการเท่านั้นทั้งสองคนมาถึงหลังบ้านสวน ที่ดินหนึ่งพันกว่าหมู่ มีส่วนหนึ่งปลูกดอกไม้ บนกิ่งก้านของดอกไม้ เต็มไปด้วยดอกตูมนานาสีสันในแปลงสมุนไพร ส่วนมากจะโผล่ขึ้นมาแค่ครึ่งข้อนิ้วเท่านั้น เมื่อทอดมองจะเห็นเป็นผืนสีเขียวขจีส่วนที่ดินที่เหลือ เฟิ่งเชียนอวี่คิดว่าคงปล่อยว่างให้สูญเปล่าไม่ได้ จึงให้คนเอาข้าวมาปลูกดังคำกล่าวที่ว่าปากท้องชาวบ้านเป็นเรื่องใหญ่ คำโบราณก็มีกล่าวไว้ในมือมีเสบียง ในใจไม่ร้อนรน ข้าวสารคือสิ่งที่สำคัญที่สุดต้นกล้าที่หลังเขาก็ปลูกแล้ว หากอยากเห็นผลของมันคงต้องรอฤดูเก็บเกี่ยวเฟิ่งเชียนอวี่ดูแล้วพอใจมากจู่ ๆ ตงฟางจิ่งชี้ไปที่บ้านมุงกระเบื้องที่เรียงรายตรงเชิงเขา“ข้าจำได้ว่าที่ตรงนั้น เดิมทีไม่มีบ้านเรือนไม่ใช่หรือ”เฟิ่งเชียนอวี่พยักหน้า “ถูกต้อง ตอนหลังข้าให้คนสร้างขึ้น”จากนั้นนางไปที่ตลาดค้าทาส เพื่อไปซื้อช่างที่มีฝีมือในการทำเครื่องปั้นดินเผาและเครื่องกระเบื้องเฟิ่งเชียนอวี่คิดว่าต่อไปนางจำเป็นต้องใช้ขวดกระเบื้องขวดหยกเป็นจำนวนมาก นอกจากภาชนะที่ต้องใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ในก
เฟิ่งเชียนอวี่ได้ยินดังนั้นดีใจมาก “ท่านอ๋อง ท่านสอนข้าเถอะ ข้าจะตั้งใจฝึกฝน”“เจ้าอยากฝึกอะไร?” ตงฟางจิ่งเลิกคิ้วเฟิ่งเชียนอวี่ตอบโดยไม่ลังเล “วิชาตัวเบา”ถูกต้อง หากฝึกวรยุทธ์ในสมัยโบราณได้ เฟิ่งเชียนอวี่อยากฝึกแค่วิชาตัวเบา ในฐานะคนจากยุคปัจจุบัน การสามารถบินได้เป็นสิ่งที่ยั่วยวนใจมาก“ได้สิ หากมีเวลาว่างจะสอนเจ้า”เฟิ่งเชียนอวี่ตบไหล่เขาอย่างดีใจ แล้วทำท่าเหมือนเป็นเพื่อนรักกัน “ได้ใจมาก”“ท่านอ๋องวางใจได้ ขอเพียงมีข้าอยู่ ไม่ว่าภายหน้าท่านจะป่วยเป็นโรคใดหรือถูกพิษใด ขอเพียงยังมีลมหายใจ ข้าต้องช่วยให้ท่านรอดกลับมาจนได้”ตงฟางจิ่งหัวเราะพร้อมส่ายหน้า “เช่นนั้นข้าขอบคุณเจ้าล่วงหน้า”“เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น”ช่างหลายคนที่กำลังเผาเครื่องกระเบื้องอยู่ไม่กล้ารบกวนพวกเขา เมื่อเห็นพวกเขาพูดจบแล้วจึงเดินมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “คารวะท่านอ๋อง พระชายา”เฟิ่งเชียนอวี่โบกมือ “ไม่ต้องประหม่า สิ่งที่ข้าให้พวกเจ้าทำ เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”“เรียนพระชายา ตอนนี้ผลงานที่ทำสำเร็จมีเพียงไม่กี่ชิ้นขอรับ”หนึ่งในช่างเอ่ยอย่างละอายใจและหวาดกลัว เขารีบนำกล่องไม้ใบเล็กมาทันทีเมื่อเ
เฟิ่งเชียนอวี่เพิ่งจะรู้สึกตัว ใช่สินะ เทศกาลฉีเฉี่ยวในสมัยโบราณเหมือนกับเทศกาลชีซีในยุคปัจจุบัน เพียงแต่สมัยโบราณค่อนข้างสำรวมเท่านั้นในวันเทศกาลฉีเฉี่ยว ชายหญิงสามารถนัดหมายกันได้ หรือมอบสิ่งของแทนใจ อีกทั้งสามารถไปไหว้ขอพรที่ศาลเทพเจ้าจันทรา เพื่อขอให้มีความรักที่ดีเป็นต้นตัวนางเป็นหญิงที่ออกเรือนแล้ว เทศกาลเช่นนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนางเลยแต่แล้วจะทำไมล่ะ ต่อให้พระชายาอ๋องหกไม่ไป นักพรตเฟิงก็ต้องไปอยู่ดี พูดไปพูดมาคนที่ต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงก็คือนาง เฮ้อ ช่างน่าปวดหัวเฟิ่งเชียนอวี่กลุ้มใจอยู่สักครู่ก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว จากนั้นหันมองตงฟางจิ่ง“ท่านอ๋อง ในเมื่อท่านรับปากว่าจะสอนวรยุทธ์ข้า ฤกษ์ดีมิสู้ฤกษ์สะดวก เริ่มวันนี้เถอะนะ”ตงฟางจิ่งครุ่นคิด “ได้”เรือนชิงหลานเฟิ่งเชียนอวี่เปลี่ยนเสื้อเป็นชุดทะมัดทะแมงสีแดง จากนั้นยืนอยู่ในศาลาเพื่อ...ยืน ย่อ ขานางยืนงอขา ยื่นสองแขนออกไป สีหน้าถมึงทึง“ท่านอ๋อง ข้าต้องยืนอยู่นานเท่าใด?”“เจ้าเพิ่งยืนครั้งแรก ยืนให้ได้หนึ่งก้านธูปค่อยว่ากัน”“แล้วข้าต้องยืนกี่วัน?”“ยืนสักหนึ่งปีค่อยว่ากัน”“...” มุมปากเฟิ่งเชียนอวี่กระตุกอย่างแรง
นอกประตูเสินอู่รถม้าของแต่ละตระกูลทยอยมารวมตัวกัน คุณหนูแต่ละตระกูลเดินลงจากรถม้าเมื่อทอดมองออกไป สีสันสดสวย แต่ละนางใช้พัดกลมบังหน้า เสียงหัวเราะกังวาน ดั่งนกขมิ้น มองดูแล้วช่างเป็นทิวทัศน์ที่งดงามทว่าเมื่อรถม้าของจวนอัครเสนาบดีมาถึง ทุกคนต่างหยุดหัวเราะโดยมิได้นัดหมาย สีหน้าของแต่ละคนแตกต่างกันผู้ที่ลงมาคนแรกคือนางหลิ่ว จากนั้นคือเฟิ่งหลิงหลงต่อมาคือเฟิ่งชิงอวี่ เฟิ่งชิงหย่า อีกทั้งยังมีเฟิ่งอวี่เสวียน ซึ่งยังไม่ผ่านพิธีปักปิ่นมีอายุแค่สิบสองปีเท่านั้น ถือเป็นเด็กหญิงที่มีอายุน้อยที่สุดในจวนตระกูลเฟิ่ง “นี่ก็คือวังหลวงหรือ วังหลวงช่างใหญ่โตนัก” เฟิ่งชิงอวี่ดวงตาลุกวาว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจตื่นเต้นนางหลิ่วกลับทำหน้าตึง แล้วมองค้อนนางอย่างเอาเรื่อง“หุบปาก ทำอย่างกับไม่เคยเห็นโลกภายนอก ถึงเวลาอย่าทำให้ตระกูลเฟิ่งเสียหน้าเชียว”เฟิ่งชิงอวี่รีบเก็บสีหน้าดีใจทันที จากนั้นตัวสั่นเล็กน้อย ทว่าในส่วนลึกของแววตากลับไม่พอใจอย่างมาก จึงหันมองเฟิ่งหลิงหลงแวบหนึ่ง แล้วไม่ยี่หระอยู่ในใจไม่รู้ว่าตอนนี้ผู้ที่ทำให้ตระกูลเฟิ่งเสียหน้ามากที่สุดคือใคร ฮึเมื่อนางหลิ่วเห็นพวกเฟิ่ง
ในไม่ช้า ฮ่องเต้เทียนหยวนออกมาพร้อมฮองเฮาทุกคนลุกขึ้นยืน “ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์จงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”“ถวายพระพรฮองเฮา ขอพระองค์จงทรงพระเจริญพันปี พันพันปี”“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ”ฮ่องเต้เทียนหยวนหัวเราะพร้อมโบกมือ จากนั้นนั่งลงก่อน ต่อมาฮองเฮาถึงได้นั่งลง สุดท้ายทุกคนที่อยู่ด้านล่างจึงนั่งลงฮองเฮาได้รับคำสั่งทางสายตาของฮ่องเต้เทียนหยวน จึงยิ้มพร้อมเอ่ยขึ้น “วันนี้เป็นเทศกาลฉีเฉี่ยว ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ล้วนเป็นผู้มีความสามารถของแคว้นตงเยว่ ทุกคนไม่ต้องเกรงใจ”“ขอบพระทัยองค์ฮองเฮา”จากนั้น นักดนตรีและนางรำขึ้นมาบนเวที เสียงเครื่องดีดเครื่องสายดังขึ้น เหล่านางรำร่ายรำอยู่หน้าฉากกั้นบรรยากาศในงานเลี้ยงจึงเริ่มครึกครื้นขึ้นฮ่องเต้เทียนหยวนและฮองเฮาดื่มสุราด้วยกัน พร้อมทั้งหัวเราะและพูดคุยเรื่องบางอย่าง ระหว่างนั้นหันมองที่นั่งของตระกูลเฟิ่งโดยไม่ตั้งใจเป็นระยะนอกเหนือจากนั้น ฮ่องเต้เทียนหยวนเหมือนฉุกคิดถึงบางอย่าง จึงหันมองไปทางที่นั่งของจวนอ๋องหก แล้วลอบสำรวจเฟิ่งเชียนอวี่เพียงไม่นาน เหล่านางรำร่ายรำเสร็จสิ้น จึงทยอยออกไปในเมื่อเป็นเทศกาลฉีเฉี่ยว ภายในงาน
ฮ่องเต้เทียนหยวนโยนภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ให้เฟิ่งเชียนอวี่ จากนั้นเปลี่ยนคำพูด “เราอยากจะมอบตำแหน่งในสำนักหมอหลวงให้ท่านนักพรต ไม่รู้ว่าท่านคิดเห็นอย่างไร?”คิดเห็นอย่างไร? ก็ย่อมต้องปฏิเสธนะสิเฟิ่งเชียนอวี่คิดในใจ แต่ในหน้ายังคงเรียบเฉย น้ำเสียงราบเรียบแต่มีความยำเกรง“กระหม่อมขอบพระทัยในความหวังดีของพระองค์ แต่กระหม่อมเป็นผู้บำเพ็ญเพียร เข้ามาข้องเกี่ยวทางโลกเพื่อทดแทนบุญคุณของท่านอ๋องหกเท่านั้น”“เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม กระหม่อมต้องจากไป เพื่อท่องไปทั่ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คงต้องทำให้พระองค์ผิดหวังแล้ว”ทดแทนบุญคุณ? เวลาที่เหมาะสม?ฮ่องเต้เทียนหยวนครุ่นคิด “วิชาแพทย์ของท่านนักพรตล้ำเลิศขนาดนี้ มีวิธีรักษาโรคของอ๋องจิ่งหรือไม่?”ย่อมมีแน่นอน อีกอย่างเจ้านั่นถูกนางรักษาหายนานแล้วเฟิ่งเชียนอวี่บ่นอยู่ในใจ แต่ภายนอกกลับเอ่ยอย่างเสียดาย “กระหม่อมเคยตรวจชีพจรให้ท่านอ๋องหกแล้ว ชีพจรท่านอ๋องบางเบา เดินช้าไร้เรี่ยวแรง กระดูกบอบบาง”“แม้สีหน้าจะเป็นปกติ แต่ความจริงร่างกายอ่อนแอหนาวเย็น อาการป่วยของท่านอ๋องหกปล่อยไว้นานเกินไป แม้แต่กระหม่อมเองยังไร้หนทางรักษา ต้องค่อย ๆ บำรุง ต้องดูอา
จากนั้น เฟิ่งเชียนอวี่เห็นขันทีที่ยืนอยู่ข้างที่นั่งฮ่องเต้เทียนหยวนเดินเข้าไป แล้วนำเข็มเงินออกมาหนึ่งเล่ม ต่อมาเริ่มจิ้มเข็มลงไปแต่ละจานบ่าวผู้ติดตามขององค์ชายหลายคนก็ทำเช่นเดียวกัน หลังจากมาอยู่ในยุคโบราณ ภาพนี้ เฟิ่งเชียนอวี่เห็นจนชินตาไปแล้วดวงตาเฟิ่งเชียนอวี่สั่นไหว จากนั้นลุกขึ้นยืน ทำความเคารพฮ่องเต้เทียนหยวน“กระหม่อมมีเรื่องหนึ่ง อยากจะเอ่ยเตือนฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”“เอ๊ะ?”ฮ่องเต้เทียนหยวนชะงัก รู้สึกฉงนไม่น้อย “เรื่องใดหรือ?”ตงฟางจิ่งก็ไม่รู้ว่าหญิงผู้นี้ต้องการทำสิ่งใดเฟิ่งเชียนอวี่เอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า “กระหม่อมอยากจะทูลว่า วิธีทดสอบพิษด้วยเข็มเงิน ความจริงไร้ประโยชน์สิ้นดี”เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริดเพราะวิธีทดสอบพิษด้วยเข็มเงินสืบทอดกันมายาวนาน ไม่เคยมีผู้ใดคลางแคลงมาก่อน แม้แต่เด็กน้อยก็ยังรู้จักวิธีนี้ ทว่าตอนนี้ เฟิ่งเชียนอวี่กลับเอ่ยปากล้มล้างทฤษฎีนี้เรื่องนี้เหมือนกับทุกคนรู้ว่ามนุษย์ต้องกินอาหาร แต่ทันใดนั้นมีคนบอกว่า ความจริงมนุษย์ไม่จำเป็นต้องกินอาหาร ซึ่งตีความได้สั้น ๆ เหลวไหลสิ้นดีไม่จำเป็นให้ฮ่องเต้เทียนหยวนเอ่ยปาก องค์ชายทั้งหล