เฟิ่งเชียนอวี่ได้ยินดังนั้นดีใจมาก “ท่านอ๋อง ท่านสอนข้าเถอะ ข้าจะตั้งใจฝึกฝน”“เจ้าอยากฝึกอะไร?” ตงฟางจิ่งเลิกคิ้วเฟิ่งเชียนอวี่ตอบโดยไม่ลังเล “วิชาตัวเบา”ถูกต้อง หากฝึกวรยุทธ์ในสมัยโบราณได้ เฟิ่งเชียนอวี่อยากฝึกแค่วิชาตัวเบา ในฐานะคนจากยุคปัจจุบัน การสามารถบินได้เป็นสิ่งที่ยั่วยวนใจมาก“ได้สิ หากมีเวลาว่างจะสอนเจ้า”เฟิ่งเชียนอวี่ตบไหล่เขาอย่างดีใจ แล้วทำท่าเหมือนเป็นเพื่อนรักกัน “ได้ใจมาก”“ท่านอ๋องวางใจได้ ขอเพียงมีข้าอยู่ ไม่ว่าภายหน้าท่านจะป่วยเป็นโรคใดหรือถูกพิษใด ขอเพียงยังมีลมหายใจ ข้าต้องช่วยให้ท่านรอดกลับมาจนได้”ตงฟางจิ่งหัวเราะพร้อมส่ายหน้า “เช่นนั้นข้าขอบคุณเจ้าล่วงหน้า”“เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น”ช่างหลายคนที่กำลังเผาเครื่องกระเบื้องอยู่ไม่กล้ารบกวนพวกเขา เมื่อเห็นพวกเขาพูดจบแล้วจึงเดินมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “คารวะท่านอ๋อง พระชายา”เฟิ่งเชียนอวี่โบกมือ “ไม่ต้องประหม่า สิ่งที่ข้าให้พวกเจ้าทำ เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”“เรียนพระชายา ตอนนี้ผลงานที่ทำสำเร็จมีเพียงไม่กี่ชิ้นขอรับ”หนึ่งในช่างเอ่ยอย่างละอายใจและหวาดกลัว เขารีบนำกล่องไม้ใบเล็กมาทันทีเมื่อเ
เฟิ่งเชียนอวี่เพิ่งจะรู้สึกตัว ใช่สินะ เทศกาลฉีเฉี่ยวในสมัยโบราณเหมือนกับเทศกาลชีซีในยุคปัจจุบัน เพียงแต่สมัยโบราณค่อนข้างสำรวมเท่านั้นในวันเทศกาลฉีเฉี่ยว ชายหญิงสามารถนัดหมายกันได้ หรือมอบสิ่งของแทนใจ อีกทั้งสามารถไปไหว้ขอพรที่ศาลเทพเจ้าจันทรา เพื่อขอให้มีความรักที่ดีเป็นต้นตัวนางเป็นหญิงที่ออกเรือนแล้ว เทศกาลเช่นนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนางเลยแต่แล้วจะทำไมล่ะ ต่อให้พระชายาอ๋องหกไม่ไป นักพรตเฟิงก็ต้องไปอยู่ดี พูดไปพูดมาคนที่ต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงก็คือนาง เฮ้อ ช่างน่าปวดหัวเฟิ่งเชียนอวี่กลุ้มใจอยู่สักครู่ก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว จากนั้นหันมองตงฟางจิ่ง“ท่านอ๋อง ในเมื่อท่านรับปากว่าจะสอนวรยุทธ์ข้า ฤกษ์ดีมิสู้ฤกษ์สะดวก เริ่มวันนี้เถอะนะ”ตงฟางจิ่งครุ่นคิด “ได้”เรือนชิงหลานเฟิ่งเชียนอวี่เปลี่ยนเสื้อเป็นชุดทะมัดทะแมงสีแดง จากนั้นยืนอยู่ในศาลาเพื่อ...ยืน ย่อ ขานางยืนงอขา ยื่นสองแขนออกไป สีหน้าถมึงทึง“ท่านอ๋อง ข้าต้องยืนอยู่นานเท่าใด?”“เจ้าเพิ่งยืนครั้งแรก ยืนให้ได้หนึ่งก้านธูปค่อยว่ากัน”“แล้วข้าต้องยืนกี่วัน?”“ยืนสักหนึ่งปีค่อยว่ากัน”“...” มุมปากเฟิ่งเชียนอวี่กระตุกอย่างแรง
นอกประตูเสินอู่รถม้าของแต่ละตระกูลทยอยมารวมตัวกัน คุณหนูแต่ละตระกูลเดินลงจากรถม้าเมื่อทอดมองออกไป สีสันสดสวย แต่ละนางใช้พัดกลมบังหน้า เสียงหัวเราะกังวาน ดั่งนกขมิ้น มองดูแล้วช่างเป็นทิวทัศน์ที่งดงามทว่าเมื่อรถม้าของจวนอัครเสนาบดีมาถึง ทุกคนต่างหยุดหัวเราะโดยมิได้นัดหมาย สีหน้าของแต่ละคนแตกต่างกันผู้ที่ลงมาคนแรกคือนางหลิ่ว จากนั้นคือเฟิ่งหลิงหลงต่อมาคือเฟิ่งชิงอวี่ เฟิ่งชิงหย่า อีกทั้งยังมีเฟิ่งอวี่เสวียน ซึ่งยังไม่ผ่านพิธีปักปิ่นมีอายุแค่สิบสองปีเท่านั้น ถือเป็นเด็กหญิงที่มีอายุน้อยที่สุดในจวนตระกูลเฟิ่ง “นี่ก็คือวังหลวงหรือ วังหลวงช่างใหญ่โตนัก” เฟิ่งชิงอวี่ดวงตาลุกวาว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจตื่นเต้นนางหลิ่วกลับทำหน้าตึง แล้วมองค้อนนางอย่างเอาเรื่อง“หุบปาก ทำอย่างกับไม่เคยเห็นโลกภายนอก ถึงเวลาอย่าทำให้ตระกูลเฟิ่งเสียหน้าเชียว”เฟิ่งชิงอวี่รีบเก็บสีหน้าดีใจทันที จากนั้นตัวสั่นเล็กน้อย ทว่าในส่วนลึกของแววตากลับไม่พอใจอย่างมาก จึงหันมองเฟิ่งหลิงหลงแวบหนึ่ง แล้วไม่ยี่หระอยู่ในใจไม่รู้ว่าตอนนี้ผู้ที่ทำให้ตระกูลเฟิ่งเสียหน้ามากที่สุดคือใคร ฮึเมื่อนางหลิ่วเห็นพวกเฟิ่ง
ในไม่ช้า ฮ่องเต้เทียนหยวนออกมาพร้อมฮองเฮาทุกคนลุกขึ้นยืน “ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์จงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”“ถวายพระพรฮองเฮา ขอพระองค์จงทรงพระเจริญพันปี พันพันปี”“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ”ฮ่องเต้เทียนหยวนหัวเราะพร้อมโบกมือ จากนั้นนั่งลงก่อน ต่อมาฮองเฮาถึงได้นั่งลง สุดท้ายทุกคนที่อยู่ด้านล่างจึงนั่งลงฮองเฮาได้รับคำสั่งทางสายตาของฮ่องเต้เทียนหยวน จึงยิ้มพร้อมเอ่ยขึ้น “วันนี้เป็นเทศกาลฉีเฉี่ยว ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ล้วนเป็นผู้มีความสามารถของแคว้นตงเยว่ ทุกคนไม่ต้องเกรงใจ”“ขอบพระทัยองค์ฮองเฮา”จากนั้น นักดนตรีและนางรำขึ้นมาบนเวที เสียงเครื่องดีดเครื่องสายดังขึ้น เหล่านางรำร่ายรำอยู่หน้าฉากกั้นบรรยากาศในงานเลี้ยงจึงเริ่มครึกครื้นขึ้นฮ่องเต้เทียนหยวนและฮองเฮาดื่มสุราด้วยกัน พร้อมทั้งหัวเราะและพูดคุยเรื่องบางอย่าง ระหว่างนั้นหันมองที่นั่งของตระกูลเฟิ่งโดยไม่ตั้งใจเป็นระยะนอกเหนือจากนั้น ฮ่องเต้เทียนหยวนเหมือนฉุกคิดถึงบางอย่าง จึงหันมองไปทางที่นั่งของจวนอ๋องหก แล้วลอบสำรวจเฟิ่งเชียนอวี่เพียงไม่นาน เหล่านางรำร่ายรำเสร็จสิ้น จึงทยอยออกไปในเมื่อเป็นเทศกาลฉีเฉี่ยว ภายในงาน
ฮ่องเต้เทียนหยวนโยนภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ให้เฟิ่งเชียนอวี่ จากนั้นเปลี่ยนคำพูด “เราอยากจะมอบตำแหน่งในสำนักหมอหลวงให้ท่านนักพรต ไม่รู้ว่าท่านคิดเห็นอย่างไร?”คิดเห็นอย่างไร? ก็ย่อมต้องปฏิเสธนะสิเฟิ่งเชียนอวี่คิดในใจ แต่ในหน้ายังคงเรียบเฉย น้ำเสียงราบเรียบแต่มีความยำเกรง“กระหม่อมขอบพระทัยในความหวังดีของพระองค์ แต่กระหม่อมเป็นผู้บำเพ็ญเพียร เข้ามาข้องเกี่ยวทางโลกเพื่อทดแทนบุญคุณของท่านอ๋องหกเท่านั้น”“เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม กระหม่อมต้องจากไป เพื่อท่องไปทั่ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คงต้องทำให้พระองค์ผิดหวังแล้ว”ทดแทนบุญคุณ? เวลาที่เหมาะสม?ฮ่องเต้เทียนหยวนครุ่นคิด “วิชาแพทย์ของท่านนักพรตล้ำเลิศขนาดนี้ มีวิธีรักษาโรคของอ๋องจิ่งหรือไม่?”ย่อมมีแน่นอน อีกอย่างเจ้านั่นถูกนางรักษาหายนานแล้วเฟิ่งเชียนอวี่บ่นอยู่ในใจ แต่ภายนอกกลับเอ่ยอย่างเสียดาย “กระหม่อมเคยตรวจชีพจรให้ท่านอ๋องหกแล้ว ชีพจรท่านอ๋องบางเบา เดินช้าไร้เรี่ยวแรง กระดูกบอบบาง”“แม้สีหน้าจะเป็นปกติ แต่ความจริงร่างกายอ่อนแอหนาวเย็น อาการป่วยของท่านอ๋องหกปล่อยไว้นานเกินไป แม้แต่กระหม่อมเองยังไร้หนทางรักษา ต้องค่อย ๆ บำรุง ต้องดูอา
จากนั้น เฟิ่งเชียนอวี่เห็นขันทีที่ยืนอยู่ข้างที่นั่งฮ่องเต้เทียนหยวนเดินเข้าไป แล้วนำเข็มเงินออกมาหนึ่งเล่ม ต่อมาเริ่มจิ้มเข็มลงไปแต่ละจานบ่าวผู้ติดตามขององค์ชายหลายคนก็ทำเช่นเดียวกัน หลังจากมาอยู่ในยุคโบราณ ภาพนี้ เฟิ่งเชียนอวี่เห็นจนชินตาไปแล้วดวงตาเฟิ่งเชียนอวี่สั่นไหว จากนั้นลุกขึ้นยืน ทำความเคารพฮ่องเต้เทียนหยวน“กระหม่อมมีเรื่องหนึ่ง อยากจะเอ่ยเตือนฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”“เอ๊ะ?”ฮ่องเต้เทียนหยวนชะงัก รู้สึกฉงนไม่น้อย “เรื่องใดหรือ?”ตงฟางจิ่งก็ไม่รู้ว่าหญิงผู้นี้ต้องการทำสิ่งใดเฟิ่งเชียนอวี่เอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า “กระหม่อมอยากจะทูลว่า วิธีทดสอบพิษด้วยเข็มเงิน ความจริงไร้ประโยชน์สิ้นดี”เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริดเพราะวิธีทดสอบพิษด้วยเข็มเงินสืบทอดกันมายาวนาน ไม่เคยมีผู้ใดคลางแคลงมาก่อน แม้แต่เด็กน้อยก็ยังรู้จักวิธีนี้ ทว่าตอนนี้ เฟิ่งเชียนอวี่กลับเอ่ยปากล้มล้างทฤษฎีนี้เรื่องนี้เหมือนกับทุกคนรู้ว่ามนุษย์ต้องกินอาหาร แต่ทันใดนั้นมีคนบอกว่า ความจริงมนุษย์ไม่จำเป็นต้องกินอาหาร ซึ่งตีความได้สั้น ๆ เหลวไหลสิ้นดีไม่จำเป็นให้ฮ่องเต้เทียนหยวนเอ่ยปาก องค์ชายทั้งหล
เฟิ่งเชียนอวี่ยกถ้วยที่มีนมแพะขึ้นมา แล้วหยิบเข็มเงินออกมาจากกล่องผ้าแพรหนึ่งเล่ม จากนั้นจิ้มลงไปต่อมานางนำถ้วยเปล่าหลายใบมาวางเรียงแนวนอน จากนั้นนำกะหล่ำปลี กุยช่าย กระเทียม ไข่ไก่และสิ่งต่าง ๆ แยกใส่ลงไปในถ้วย นอกจากไข่ไก่ นางได้ตำสิ่งอื่นให้เละจนมีน้ำถึงได้หยุดต่อมา ได้หยิบเข็มเงินออกมาหลายเล่ม แล้วใส่เข้าไปในถ้วยเหล่านี้ทีละถ้วยเฟิ่งเชียนอวี่บดเมล็ดซิ่นเหรินจนแหลก จากนั้นผสมน้ำเล็กน้อย แล้วจิ้มเข็มเงินลงไปนางหยิบหลูซุ่นขึ้น จากนั้นจิ้มเข็มเงินลงไปตรงยอดหลูซุ่น แล้ววางไว้สุดท้าย เฟิ่งเชียนอวี่ถึงได้นำขวดที่บรรจุสารหนูและพิษหงอนกระเรียนแดง เทลงไปในถ้วยที่มีน้ำเปล่าสองใบ แล้วใส่เข็มเงินลงไปการกระทำตั้งแต่ต้นจนจบของเฟิ่งเชียนอวี่ ทำให้ทุกคนจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ก็ดูเหมือนจะรู้ว่านางกำลังทำสิ่งใดยามนี้นางถึงได้หันมองฮ่องเต้เทียนหยวน “ฝ่าบาท กระหม่อมเตรียมเสร็จแล้ว ต่อจากนี้ จะขอให้กงกงที่ยืนอยู่ข้างฝ่าบาท ช่วยกระหม่อมสักครู่”ฮ่องเต้เทียนหยวนโบกมือ เว่ยจงเสียนโค้งตัวแล้วเดินเข้าไปเฟิ่งเชียนอวี่เอ่ยเสียงเรียบ “เชิญเว่ยกงกง หยิบเข็มเงินที่อยู่ในถ้วยสารหนูและถ้วยพิษหงอนกระ
เฟิ่งเชียนอวี่หันมองฮ่องเต้เทียนหยวน“ฝ่าบาท เข็มเงินทดสอบพิษได้ก็จริง แต่ทดสอบได้แค่พิษสองชนิดเท่านั้น คือสารหนูและพิษหงอนกระเรียนแดง”“ที่เข็มเงินเกิดปฏิกิริยากับพิษร้ายแรงทั้งสองชนิดนี้ เป็นเพราะภายในพิษสองชนิดนี้ มีส่วนผสมพิเศษตัวหนึ่งที่เรียกว่ากำมะถัน เมื่อเข็มเงินสัมผัสกำมะถัน จึงเกิดปฏิกิริยาพ่ะย่ะค่ะ”“ดังที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นในผักพวกนี้ กับถั่วแห้งและไข่ ในสิ่งของเหล่านี้ ล้วนมีกำมะถัน ดังนั้นเข็มเงินจึงเกิดปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน”วิธีทดสอบพิษด้วยเข็มเงิน ถูกการทดลองทางวิทยาศาสตร์ในยุคนี้ล้มล้างไปนานแล้ว ไม่มีเรื่องเช่นนี้อยู่จริงสารหนูและพิษหงอนกระเรียนแดงคือพิษร้ายแรงในยุคโบราณ ในพิษทั้งสองชนิดนี้มีกำมะถันเป็นส่วนประกอบ จึงเป็นสาเหตุให้เข็มเงินกลายเป็นสีดำในชีวิตประจำวัน มีอาหารที่มีส่วนประกอบของกำมะถันเยอะมากเมื่อเทียบกันแล้ว มีเพียงกำมะถันที่อยู่ในไข่มีปริมาณมากที่สุด ดังนั้น เข็มเงินสัมผัสเพียงครู่เดียวก็กลายเป็นสีดำแล้วส่วนอาหารอื่นมีปริมาณของกำมะถันไม่มาก จึงต้องใช้เวลาสักครู่ เพื่อให้เข็มเงินเกิดปฏิกิริยากลายเป็นสีดำฮ่องเต้เทียนหยวนขมวดคิ้ว “กำมะถันที่