ในไม่ช้า ฮ่องเต้เทียนหยวนออกมาพร้อมฮองเฮาทุกคนลุกขึ้นยืน “ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์จงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”“ถวายพระพรฮองเฮา ขอพระองค์จงทรงพระเจริญพันปี พันพันปี”“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ”ฮ่องเต้เทียนหยวนหัวเราะพร้อมโบกมือ จากนั้นนั่งลงก่อน ต่อมาฮองเฮาถึงได้นั่งลง สุดท้ายทุกคนที่อยู่ด้านล่างจึงนั่งลงฮองเฮาได้รับคำสั่งทางสายตาของฮ่องเต้เทียนหยวน จึงยิ้มพร้อมเอ่ยขึ้น “วันนี้เป็นเทศกาลฉีเฉี่ยว ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ล้วนเป็นผู้มีความสามารถของแคว้นตงเยว่ ทุกคนไม่ต้องเกรงใจ”“ขอบพระทัยองค์ฮองเฮา”จากนั้น นักดนตรีและนางรำขึ้นมาบนเวที เสียงเครื่องดีดเครื่องสายดังขึ้น เหล่านางรำร่ายรำอยู่หน้าฉากกั้นบรรยากาศในงานเลี้ยงจึงเริ่มครึกครื้นขึ้นฮ่องเต้เทียนหยวนและฮองเฮาดื่มสุราด้วยกัน พร้อมทั้งหัวเราะและพูดคุยเรื่องบางอย่าง ระหว่างนั้นหันมองที่นั่งของตระกูลเฟิ่งโดยไม่ตั้งใจเป็นระยะนอกเหนือจากนั้น ฮ่องเต้เทียนหยวนเหมือนฉุกคิดถึงบางอย่าง จึงหันมองไปทางที่นั่งของจวนอ๋องหก แล้วลอบสำรวจเฟิ่งเชียนอวี่เพียงไม่นาน เหล่านางรำร่ายรำเสร็จสิ้น จึงทยอยออกไปในเมื่อเป็นเทศกาลฉีเฉี่ยว ภายในงาน
ฮ่องเต้เทียนหยวนโยนภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ให้เฟิ่งเชียนอวี่ จากนั้นเปลี่ยนคำพูด “เราอยากจะมอบตำแหน่งในสำนักหมอหลวงให้ท่านนักพรต ไม่รู้ว่าท่านคิดเห็นอย่างไร?”คิดเห็นอย่างไร? ก็ย่อมต้องปฏิเสธนะสิเฟิ่งเชียนอวี่คิดในใจ แต่ในหน้ายังคงเรียบเฉย น้ำเสียงราบเรียบแต่มีความยำเกรง“กระหม่อมขอบพระทัยในความหวังดีของพระองค์ แต่กระหม่อมเป็นผู้บำเพ็ญเพียร เข้ามาข้องเกี่ยวทางโลกเพื่อทดแทนบุญคุณของท่านอ๋องหกเท่านั้น”“เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม กระหม่อมต้องจากไป เพื่อท่องไปทั่ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คงต้องทำให้พระองค์ผิดหวังแล้ว”ทดแทนบุญคุณ? เวลาที่เหมาะสม?ฮ่องเต้เทียนหยวนครุ่นคิด “วิชาแพทย์ของท่านนักพรตล้ำเลิศขนาดนี้ มีวิธีรักษาโรคของอ๋องจิ่งหรือไม่?”ย่อมมีแน่นอน อีกอย่างเจ้านั่นถูกนางรักษาหายนานแล้วเฟิ่งเชียนอวี่บ่นอยู่ในใจ แต่ภายนอกกลับเอ่ยอย่างเสียดาย “กระหม่อมเคยตรวจชีพจรให้ท่านอ๋องหกแล้ว ชีพจรท่านอ๋องบางเบา เดินช้าไร้เรี่ยวแรง กระดูกบอบบาง”“แม้สีหน้าจะเป็นปกติ แต่ความจริงร่างกายอ่อนแอหนาวเย็น อาการป่วยของท่านอ๋องหกปล่อยไว้นานเกินไป แม้แต่กระหม่อมเองยังไร้หนทางรักษา ต้องค่อย ๆ บำรุง ต้องดูอา
จากนั้น เฟิ่งเชียนอวี่เห็นขันทีที่ยืนอยู่ข้างที่นั่งฮ่องเต้เทียนหยวนเดินเข้าไป แล้วนำเข็มเงินออกมาหนึ่งเล่ม ต่อมาเริ่มจิ้มเข็มลงไปแต่ละจานบ่าวผู้ติดตามขององค์ชายหลายคนก็ทำเช่นเดียวกัน หลังจากมาอยู่ในยุคโบราณ ภาพนี้ เฟิ่งเชียนอวี่เห็นจนชินตาไปแล้วดวงตาเฟิ่งเชียนอวี่สั่นไหว จากนั้นลุกขึ้นยืน ทำความเคารพฮ่องเต้เทียนหยวน“กระหม่อมมีเรื่องหนึ่ง อยากจะเอ่ยเตือนฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”“เอ๊ะ?”ฮ่องเต้เทียนหยวนชะงัก รู้สึกฉงนไม่น้อย “เรื่องใดหรือ?”ตงฟางจิ่งก็ไม่รู้ว่าหญิงผู้นี้ต้องการทำสิ่งใดเฟิ่งเชียนอวี่เอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า “กระหม่อมอยากจะทูลว่า วิธีทดสอบพิษด้วยเข็มเงิน ความจริงไร้ประโยชน์สิ้นดี”เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริดเพราะวิธีทดสอบพิษด้วยเข็มเงินสืบทอดกันมายาวนาน ไม่เคยมีผู้ใดคลางแคลงมาก่อน แม้แต่เด็กน้อยก็ยังรู้จักวิธีนี้ ทว่าตอนนี้ เฟิ่งเชียนอวี่กลับเอ่ยปากล้มล้างทฤษฎีนี้เรื่องนี้เหมือนกับทุกคนรู้ว่ามนุษย์ต้องกินอาหาร แต่ทันใดนั้นมีคนบอกว่า ความจริงมนุษย์ไม่จำเป็นต้องกินอาหาร ซึ่งตีความได้สั้น ๆ เหลวไหลสิ้นดีไม่จำเป็นให้ฮ่องเต้เทียนหยวนเอ่ยปาก องค์ชายทั้งหล
เฟิ่งเชียนอวี่ยกถ้วยที่มีนมแพะขึ้นมา แล้วหยิบเข็มเงินออกมาจากกล่องผ้าแพรหนึ่งเล่ม จากนั้นจิ้มลงไปต่อมานางนำถ้วยเปล่าหลายใบมาวางเรียงแนวนอน จากนั้นนำกะหล่ำปลี กุยช่าย กระเทียม ไข่ไก่และสิ่งต่าง ๆ แยกใส่ลงไปในถ้วย นอกจากไข่ไก่ นางได้ตำสิ่งอื่นให้เละจนมีน้ำถึงได้หยุดต่อมา ได้หยิบเข็มเงินออกมาหลายเล่ม แล้วใส่เข้าไปในถ้วยเหล่านี้ทีละถ้วยเฟิ่งเชียนอวี่บดเมล็ดซิ่นเหรินจนแหลก จากนั้นผสมน้ำเล็กน้อย แล้วจิ้มเข็มเงินลงไปนางหยิบหลูซุ่นขึ้น จากนั้นจิ้มเข็มเงินลงไปตรงยอดหลูซุ่น แล้ววางไว้สุดท้าย เฟิ่งเชียนอวี่ถึงได้นำขวดที่บรรจุสารหนูและพิษหงอนกระเรียนแดง เทลงไปในถ้วยที่มีน้ำเปล่าสองใบ แล้วใส่เข็มเงินลงไปการกระทำตั้งแต่ต้นจนจบของเฟิ่งเชียนอวี่ ทำให้ทุกคนจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ก็ดูเหมือนจะรู้ว่านางกำลังทำสิ่งใดยามนี้นางถึงได้หันมองฮ่องเต้เทียนหยวน “ฝ่าบาท กระหม่อมเตรียมเสร็จแล้ว ต่อจากนี้ จะขอให้กงกงที่ยืนอยู่ข้างฝ่าบาท ช่วยกระหม่อมสักครู่”ฮ่องเต้เทียนหยวนโบกมือ เว่ยจงเสียนโค้งตัวแล้วเดินเข้าไปเฟิ่งเชียนอวี่เอ่ยเสียงเรียบ “เชิญเว่ยกงกง หยิบเข็มเงินที่อยู่ในถ้วยสารหนูและถ้วยพิษหงอนกระ
เฟิ่งเชียนอวี่หันมองฮ่องเต้เทียนหยวน“ฝ่าบาท เข็มเงินทดสอบพิษได้ก็จริง แต่ทดสอบได้แค่พิษสองชนิดเท่านั้น คือสารหนูและพิษหงอนกระเรียนแดง”“ที่เข็มเงินเกิดปฏิกิริยากับพิษร้ายแรงทั้งสองชนิดนี้ เป็นเพราะภายในพิษสองชนิดนี้ มีส่วนผสมพิเศษตัวหนึ่งที่เรียกว่ากำมะถัน เมื่อเข็มเงินสัมผัสกำมะถัน จึงเกิดปฏิกิริยาพ่ะย่ะค่ะ”“ดังที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นในผักพวกนี้ กับถั่วแห้งและไข่ ในสิ่งของเหล่านี้ ล้วนมีกำมะถัน ดังนั้นเข็มเงินจึงเกิดปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน”วิธีทดสอบพิษด้วยเข็มเงิน ถูกการทดลองทางวิทยาศาสตร์ในยุคนี้ล้มล้างไปนานแล้ว ไม่มีเรื่องเช่นนี้อยู่จริงสารหนูและพิษหงอนกระเรียนแดงคือพิษร้ายแรงในยุคโบราณ ในพิษทั้งสองชนิดนี้มีกำมะถันเป็นส่วนประกอบ จึงเป็นสาเหตุให้เข็มเงินกลายเป็นสีดำในชีวิตประจำวัน มีอาหารที่มีส่วนประกอบของกำมะถันเยอะมากเมื่อเทียบกันแล้ว มีเพียงกำมะถันที่อยู่ในไข่มีปริมาณมากที่สุด ดังนั้น เข็มเงินสัมผัสเพียงครู่เดียวก็กลายเป็นสีดำแล้วส่วนอาหารอื่นมีปริมาณของกำมะถันไม่มาก จึงต้องใช้เวลาสักครู่ เพื่อให้เข็มเงินเกิดปฏิกิริยากลายเป็นสีดำฮ่องเต้เทียนหยวนขมวดคิ้ว “กำมะถันที่
ไม่มีวิธีหรือ?ทุกคนล้วนผิดหวังฮ่องเต้เทียนหยวนเองก็ไม่มีแก่ใจจะอยู่ต่อ จึงให้ฮองเฮาจัดการเรื่องงานเลี้ยงต่อ แล้วจากไปฮองเฮาเห็นคนอื่น ๆ ล้วนหมดความสนุก จึงประกาศว่างานเลี้ยงจบลงเพียงเท่านี้ขณะนี้ องค์ชายใหญ่ตงฟางซวี่เอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ “เจ้าสาม ทำไมดูเหมือนเจ้าจะอ้วนขึ้นนะ?”โดยเฉพาะท้องเมื่อครู่ตอนนั่งดูไม่ออก แต่ตอนนี้พอได้ยืนขึ้น หากดูให้ดีจะสามารถมองเห็นชัดเจนตงฟางเย่าสีหน้าชะงัก จากนั้นรีบแขม่วท้อง แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าจะอ้วนได้อย่างไร? เสด็จพี่ใหญ่คงตาฝาดแล้วละ”เขาพูดจบก็หันหลังจากไปทันที ไม่ไว้หน้าองค์ชายใหญ่แม้แต่น้อยดวงตาตงฟางซวี่มีความโกรธแวบผ่านรัชทายาทตงฟางหล่างกลับหัวเรา “เสด็จพี่อย่าถือสาเลย เจ้าสามเป็นคนหุนหันไปบ้าง คิดว่าไม่น่าจะไม่เคารพเสด็จพี่หรอก”ตงฟางซวี่เหลือบมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าไม่ถือสาหาความกับเจ้าสามหรอก เจ้ารองเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ไม่ง่ายกว่าเสด็จพ่อจะมีคำสั่งยกเลิกกักบริเวณเจ้า ต่อไปทำสิ่งใดต้องระวังให้มาก อย่าบุ่มบ่ามผลีผลาม”ตงฟางหล่างสีหน้าเยือกเย็น เขามองดูแผ่นหลังที่จากไปของตงฟางซวี่ ในแววตามีความเหี้ยมเกรียม
“ท่านอ๋อง ท่านคงไม่คิดใช้วิธีนี้หลอกให้พวกรัชทายาทหลงกลหรอกนะ ให้คนพวกนั้นคิดว่าท่านป่วยหนัก จนไม่มีปัญญาแย่งชิงราชบัลลังก์กับพวกเขา”หรือพูดให้เข้าใจง่ายคือแสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือแววตาตงฟางจิ่งสั่นไหวเล็กน้อย มองดูนางแล้วยิ้มจาง ๆ “พระชายาคิดว่าเป็นเช่นนั้นหรือ?”เฟิ่งเชียนอวี่ยักไหล่ “ข้าก็แค่ลองเดาดูเท่านั้น”นางเอ่ยถามอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ “ท่านอ๋อง ท่านอยากชิงราชบัลลังก์หรือไม่?”ตงฟางจิ่งไม่ตอบเว่ยเซิงเว่ยชิวที่อยู่นอกรถม้า ได้ยินเฟิ่งเชียนอวี่เอ่ยถามอย่างเถรตรง ทำให้ทั้งใจหายวาบจนเหงื่อแทบแตกพระชายาช่างใจกล้ายิ่งนักเฟิ่งเชียนอวี่ถูกเขาจ้องมอง จนรู้สึกอึดอัด จึงกระแอมเสียงค่อย “คือว่า ข้าก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง ท่านไม่ต้องใส่ใจหรอก หึหึ”ตงฟางจิ่งเอ่ยขึ้นเชื่องช้า “พระชายาอยากให้ข้าครอบครองตำแหน่งนั้นหรือ?”นางทำหน้าหมดคำพูด “เรื่องนี้ต้องดูความประสงค์ของท่านอ๋องเอง เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?”“หากข้าขึ้นไปอยู่ตำแหน่งนั้นจริง พระชายาย่อมต้องกลายเป็นฮองเฮา จะไม่เกี่ยวได้อย่างไร?” ตงฟางจิ่งเอ่ยเสียงเรียบ เฟิ่งเชียนอวี่ “...” คิดไกลเกินไปหรือเปล่าเนี่ย?ขณะนี้ รถม้าเกิดกา
“องค์หญิงหรือ? มีนามว่าอะไร หน้าตางดงามหรือไม่?” เฟิ่งเชียนอวี่ถามอย่างสนใจ“องค์หญิงมีนามว่าเม่ยจี ข้าน้อยไม่เคยพบมาก่อน แต่ได้ยินองครักษ์ที่เฝ้าเวรตำหนักฉินเจิ้งบอกว่า ฝ่าบาททรงพอพระทัยมาก ชื่นชอบองค์หญิงเม่ยจียิ่งนัก จึงจัดงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตจากแคว้นโปหลาน คาดว่ารูปโฉมองค์หญิงคงงดงามไม่น้อย” เว่ยเซิงกล่าวเฟิ่งเชียนอวี่ปรบมือ “ไม่ต้องพูดแล้ว ต้องเป็นหญิงงามแน่นอน”“ยังมีเรื่องอื่นหรือไม่?” ตงฟางจิ่งเอ่ยขึ้น“ท่านอ๋อง อีกสิบวันจะถึงพิธีล่าสัตว์ประจำราชสำนักแล้ว กรมพิธีการในวังกำลังร่างรายชื่ออยู่ขอรับ”ตงฟางจิ่งไม่พูดไม่จา แต่เฟิ่งเชียนอวี่กลับสนใจอีกครั้ง“พิธีล่าสัตว์หรือ? เป็นอย่างไร?”เว่ยเซิงอธิบาย “พิธีล่าสัตว์ประจำราชสำนักเป็นงานพิธีใหญ่ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยองค์ปฐมกษัตริย์ ทุกสามปีจะจัดหนึ่งครั้งขอรับ”“นอกจากลูกหลานในราชวงศ์ ขุนนางตั้งแต่ระดับห้าและลูกหลานสามารถเข้าร่วมได้ พิธีล่าสัตว์จัดขึ้นสองชั่วยาม การนับคะแนนจะนับจากจำนวนและคุณภาพของเหยื่อที่ล่าได้ ผู้ชนะจะได้รับพระราชทานรางวัลจากฮ่องเต้” เฟิ่งเชียนอวี่เข้าใจ “มีเพียงบุรุษที่เข้าร่วมได้หรือ?”“ย่อมไม่ใช