เฟิ่งเชียนอวี่ยกถ้วยที่มีนมแพะขึ้นมา แล้วหยิบเข็มเงินออกมาจากกล่องผ้าแพรหนึ่งเล่ม จากนั้นจิ้มลงไปต่อมานางนำถ้วยเปล่าหลายใบมาวางเรียงแนวนอน จากนั้นนำกะหล่ำปลี กุยช่าย กระเทียม ไข่ไก่และสิ่งต่าง ๆ แยกใส่ลงไปในถ้วย นอกจากไข่ไก่ นางได้ตำสิ่งอื่นให้เละจนมีน้ำถึงได้หยุดต่อมา ได้หยิบเข็มเงินออกมาหลายเล่ม แล้วใส่เข้าไปในถ้วยเหล่านี้ทีละถ้วยเฟิ่งเชียนอวี่บดเมล็ดซิ่นเหรินจนแหลก จากนั้นผสมน้ำเล็กน้อย แล้วจิ้มเข็มเงินลงไปนางหยิบหลูซุ่นขึ้น จากนั้นจิ้มเข็มเงินลงไปตรงยอดหลูซุ่น แล้ววางไว้สุดท้าย เฟิ่งเชียนอวี่ถึงได้นำขวดที่บรรจุสารหนูและพิษหงอนกระเรียนแดง เทลงไปในถ้วยที่มีน้ำเปล่าสองใบ แล้วใส่เข็มเงินลงไปการกระทำตั้งแต่ต้นจนจบของเฟิ่งเชียนอวี่ ทำให้ทุกคนจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ก็ดูเหมือนจะรู้ว่านางกำลังทำสิ่งใดยามนี้นางถึงได้หันมองฮ่องเต้เทียนหยวน “ฝ่าบาท กระหม่อมเตรียมเสร็จแล้ว ต่อจากนี้ จะขอให้กงกงที่ยืนอยู่ข้างฝ่าบาท ช่วยกระหม่อมสักครู่”ฮ่องเต้เทียนหยวนโบกมือ เว่ยจงเสียนโค้งตัวแล้วเดินเข้าไปเฟิ่งเชียนอวี่เอ่ยเสียงเรียบ “เชิญเว่ยกงกง หยิบเข็มเงินที่อยู่ในถ้วยสารหนูและถ้วยพิษหงอนกระ
เฟิ่งเชียนอวี่หันมองฮ่องเต้เทียนหยวน“ฝ่าบาท เข็มเงินทดสอบพิษได้ก็จริง แต่ทดสอบได้แค่พิษสองชนิดเท่านั้น คือสารหนูและพิษหงอนกระเรียนแดง”“ที่เข็มเงินเกิดปฏิกิริยากับพิษร้ายแรงทั้งสองชนิดนี้ เป็นเพราะภายในพิษสองชนิดนี้ มีส่วนผสมพิเศษตัวหนึ่งที่เรียกว่ากำมะถัน เมื่อเข็มเงินสัมผัสกำมะถัน จึงเกิดปฏิกิริยาพ่ะย่ะค่ะ”“ดังที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นในผักพวกนี้ กับถั่วแห้งและไข่ ในสิ่งของเหล่านี้ ล้วนมีกำมะถัน ดังนั้นเข็มเงินจึงเกิดปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน”วิธีทดสอบพิษด้วยเข็มเงิน ถูกการทดลองทางวิทยาศาสตร์ในยุคนี้ล้มล้างไปนานแล้ว ไม่มีเรื่องเช่นนี้อยู่จริงสารหนูและพิษหงอนกระเรียนแดงคือพิษร้ายแรงในยุคโบราณ ในพิษทั้งสองชนิดนี้มีกำมะถันเป็นส่วนประกอบ จึงเป็นสาเหตุให้เข็มเงินกลายเป็นสีดำในชีวิตประจำวัน มีอาหารที่มีส่วนประกอบของกำมะถันเยอะมากเมื่อเทียบกันแล้ว มีเพียงกำมะถันที่อยู่ในไข่มีปริมาณมากที่สุด ดังนั้น เข็มเงินสัมผัสเพียงครู่เดียวก็กลายเป็นสีดำแล้วส่วนอาหารอื่นมีปริมาณของกำมะถันไม่มาก จึงต้องใช้เวลาสักครู่ เพื่อให้เข็มเงินเกิดปฏิกิริยากลายเป็นสีดำฮ่องเต้เทียนหยวนขมวดคิ้ว “กำมะถันที่
ไม่มีวิธีหรือ?ทุกคนล้วนผิดหวังฮ่องเต้เทียนหยวนเองก็ไม่มีแก่ใจจะอยู่ต่อ จึงให้ฮองเฮาจัดการเรื่องงานเลี้ยงต่อ แล้วจากไปฮองเฮาเห็นคนอื่น ๆ ล้วนหมดความสนุก จึงประกาศว่างานเลี้ยงจบลงเพียงเท่านี้ขณะนี้ องค์ชายใหญ่ตงฟางซวี่เอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ “เจ้าสาม ทำไมดูเหมือนเจ้าจะอ้วนขึ้นนะ?”โดยเฉพาะท้องเมื่อครู่ตอนนั่งดูไม่ออก แต่ตอนนี้พอได้ยืนขึ้น หากดูให้ดีจะสามารถมองเห็นชัดเจนตงฟางเย่าสีหน้าชะงัก จากนั้นรีบแขม่วท้อง แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าจะอ้วนได้อย่างไร? เสด็จพี่ใหญ่คงตาฝาดแล้วละ”เขาพูดจบก็หันหลังจากไปทันที ไม่ไว้หน้าองค์ชายใหญ่แม้แต่น้อยดวงตาตงฟางซวี่มีความโกรธแวบผ่านรัชทายาทตงฟางหล่างกลับหัวเรา “เสด็จพี่อย่าถือสาเลย เจ้าสามเป็นคนหุนหันไปบ้าง คิดว่าไม่น่าจะไม่เคารพเสด็จพี่หรอก”ตงฟางซวี่เหลือบมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าไม่ถือสาหาความกับเจ้าสามหรอก เจ้ารองเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ไม่ง่ายกว่าเสด็จพ่อจะมีคำสั่งยกเลิกกักบริเวณเจ้า ต่อไปทำสิ่งใดต้องระวังให้มาก อย่าบุ่มบ่ามผลีผลาม”ตงฟางหล่างสีหน้าเยือกเย็น เขามองดูแผ่นหลังที่จากไปของตงฟางซวี่ ในแววตามีความเหี้ยมเกรียม
“ท่านอ๋อง ท่านคงไม่คิดใช้วิธีนี้หลอกให้พวกรัชทายาทหลงกลหรอกนะ ให้คนพวกนั้นคิดว่าท่านป่วยหนัก จนไม่มีปัญญาแย่งชิงราชบัลลังก์กับพวกเขา”หรือพูดให้เข้าใจง่ายคือแสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือแววตาตงฟางจิ่งสั่นไหวเล็กน้อย มองดูนางแล้วยิ้มจาง ๆ “พระชายาคิดว่าเป็นเช่นนั้นหรือ?”เฟิ่งเชียนอวี่ยักไหล่ “ข้าก็แค่ลองเดาดูเท่านั้น”นางเอ่ยถามอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ “ท่านอ๋อง ท่านอยากชิงราชบัลลังก์หรือไม่?”ตงฟางจิ่งไม่ตอบเว่ยเซิงเว่ยชิวที่อยู่นอกรถม้า ได้ยินเฟิ่งเชียนอวี่เอ่ยถามอย่างเถรตรง ทำให้ทั้งใจหายวาบจนเหงื่อแทบแตกพระชายาช่างใจกล้ายิ่งนักเฟิ่งเชียนอวี่ถูกเขาจ้องมอง จนรู้สึกอึดอัด จึงกระแอมเสียงค่อย “คือว่า ข้าก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง ท่านไม่ต้องใส่ใจหรอก หึหึ”ตงฟางจิ่งเอ่ยขึ้นเชื่องช้า “พระชายาอยากให้ข้าครอบครองตำแหน่งนั้นหรือ?”นางทำหน้าหมดคำพูด “เรื่องนี้ต้องดูความประสงค์ของท่านอ๋องเอง เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?”“หากข้าขึ้นไปอยู่ตำแหน่งนั้นจริง พระชายาย่อมต้องกลายเป็นฮองเฮา จะไม่เกี่ยวได้อย่างไร?” ตงฟางจิ่งเอ่ยเสียงเรียบ เฟิ่งเชียนอวี่ “...” คิดไกลเกินไปหรือเปล่าเนี่ย?ขณะนี้ รถม้าเกิดกา
“องค์หญิงหรือ? มีนามว่าอะไร หน้าตางดงามหรือไม่?” เฟิ่งเชียนอวี่ถามอย่างสนใจ“องค์หญิงมีนามว่าเม่ยจี ข้าน้อยไม่เคยพบมาก่อน แต่ได้ยินองครักษ์ที่เฝ้าเวรตำหนักฉินเจิ้งบอกว่า ฝ่าบาททรงพอพระทัยมาก ชื่นชอบองค์หญิงเม่ยจียิ่งนัก จึงจัดงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตจากแคว้นโปหลาน คาดว่ารูปโฉมองค์หญิงคงงดงามไม่น้อย” เว่ยเซิงกล่าวเฟิ่งเชียนอวี่ปรบมือ “ไม่ต้องพูดแล้ว ต้องเป็นหญิงงามแน่นอน”“ยังมีเรื่องอื่นหรือไม่?” ตงฟางจิ่งเอ่ยขึ้น“ท่านอ๋อง อีกสิบวันจะถึงพิธีล่าสัตว์ประจำราชสำนักแล้ว กรมพิธีการในวังกำลังร่างรายชื่ออยู่ขอรับ”ตงฟางจิ่งไม่พูดไม่จา แต่เฟิ่งเชียนอวี่กลับสนใจอีกครั้ง“พิธีล่าสัตว์หรือ? เป็นอย่างไร?”เว่ยเซิงอธิบาย “พิธีล่าสัตว์ประจำราชสำนักเป็นงานพิธีใหญ่ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยองค์ปฐมกษัตริย์ ทุกสามปีจะจัดหนึ่งครั้งขอรับ”“นอกจากลูกหลานในราชวงศ์ ขุนนางตั้งแต่ระดับห้าและลูกหลานสามารถเข้าร่วมได้ พิธีล่าสัตว์จัดขึ้นสองชั่วยาม การนับคะแนนจะนับจากจำนวนและคุณภาพของเหยื่อที่ล่าได้ ผู้ชนะจะได้รับพระราชทานรางวัลจากฮ่องเต้” เฟิ่งเชียนอวี่เข้าใจ “มีเพียงบุรุษที่เข้าร่วมได้หรือ?”“ย่อมไม่ใช
ทางเข้าอุทยานหลังมีที่โล่งกว้างให้พักผ่อน ราชสำนักจึงสร้างตำหนักรับรองไว้ที่นี่ และจัดคนไว้ดูแลทำความสะอาด เพื่อใช้ในช่วงเวลาที่มีการล่าสัตว์ สำหรับเป็นที่พักของเหล่าเชื้อพระวงศ์และลูกท่านหลานเธอ รอบตำหนักรับรองได้สร้างกระโจมขึ้นหลายสิบหลัง ล้วนเป็นที่พักของทหารลาดตระเวนหลังจากตงฟางจิ่งและเฟิ่งเชียนอวี่มาถึง ทั้งสองเข้าไปจัดการที่พักในตำหนักรับรองก่อน จากนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้า ต่อมาจึงไปที่ตำหนักใหญ่เพื่อถวายพระพรฮ่องเต้เทียนหยวนภายในตำหนักใหญ่ องค์ชายหลายท่านและคุณชายตระกูลต่าง ๆ มาถึงแล้ว นั่งซ้ายขวาเรียงรายเป็นสองแถว“ถวายพระพรเสด็จพ่อ ขอเสด็จพ่อจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”“ลุกขึ้นเถอะ”หลังจากทั้งสองคนลุกขึ้น เมื่อเฟิ่งเชียนอวี่เงยหน้าถึงกับตะลึงไปทันทีเพราะข้างกายฮ่องเต้เทียนหยวนมีหญิงสาวเพิ่มขึ้นหนึ่งคน หญิงผู้นี้หน้าตา...ช่างเย้ายวนยิ่งนักร่างกายท่อนบนสวมเสื้อกล้ามรัดรูปตัวเล็กสีแดง เผยให้เห็นช่วงแขน สะดือและเอวกิ่วเล็กคอด ใต้เสื้อตัวเล็กมีใบไม้สีทองใบเล็กบางเย็บติดหนึ่งรอบ ดั่งตุ้งติ่งที่ห้อยระย้าท่อนล่างสวมกางเกงขาพองสีแดง เปลือยเท้า ตรงข้อเท้าสวมสายสร้อยสีท
“เจ้ายังมีหน้ามาว่าข้าอีก ใครเป็นคนบอกว่าคอแข็ง แล้วสุดท้ายเป็นไง เจ้าไม่เมาหรือ?” อวิ๋นจิ่นเซ่อกลอกตา“ข้าย่อมไม่เมาอยู่แล้ว เหล้าแค่นั้นสำหรับข้าก็เหมือนกินน้ำ” เฟิ่งเชียนอวี่เอ่ยขึ้นอย่างหน้าด้าน ๆตงฟางจิ่ง “...”“ใช่สิ หญิงสาวที่นั่งข้างฮ่องเต้คือผู้ใดหรือ? ก่อนหน้านี้ตอนงานเลี้ยงในวังไม่เคยเห็นเลย” เฟิ่งเชียนอวี่ถามอย่างใคร่รู้“ไม่หรอกมั้ง เจ้ายังไม่รู้หรือ? ช่วงก่อนมีคณะทูตจากแคว้นโปหลานมาเยือน หญิงผู้นั้นก็คือองค์หญิงโปหลานที่ถูกนำมาถวายตัวอย่างไรละ”เฟิ่งเชียนอวี่เข้าใจทันที ความจริงเมื่อครู่นางก็พอเดาได้ที่แท้หญิงผู้นี้ก็คือองค์หญิงเม่ยจี ตัวจริงงามสมคำร่ำลือ“ข้าจะบอกเจ้านะ ฮ่องเต้โปรดปรานองค์หญิงท่านนี้มาก เพียงวันแรกที่ถวายตัวก็แต่งตั้งเป็นพระสนมทันที เป็นเม่ยเฟย”“ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิบกว่าวันที่ผ่านมา ทรงประทับอยู่กับเม่ยเฟยตลอด ทรงโปรดปรานอย่างมาก” อวิ๋นจิ่งเซ่อเอ่ยเสียงค่อยหลังจากเฟิ่งเชียนอวี่ได้ยิน หันมองฮองเฮาทันที เป็นไปตามคาด ใบหน้าฮองเฮาเรียบเฉย มุมปากมีรอยยิ้มแต่เมื่อดูให้ถี่ถ้วน จะพบว่ารอยยิ้มนั้นแข็งกระด้างสมควรเป็นเช่นนั้น นางเป็นถึงฮองเฮาที่สูง
“ถูกต้อง ข้าต้องได้ครองมีดสั้นเล่มนั้น”“จิ่นเซ่อ แค่มีดสั้นเล่มหนึ่งเท่านั้น เจ้าดีใจมากเกินไปหรือเปล่า?” เฟิ่งเชียนอวี่สงสัยอวิ๋นจิ่นเซ่อมองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เมื่อครู่เจ้าไม่ได้ยินที่ฮ่องเต้บอกหรือ นั่นไม่ใช่มีดสั้นทั่วไป แต่เป็นอาวุธวิเศษที่แคว้นซีเหลียงในตอนนั้นหลอมขึ้นโดยทักษะการหลอมเหล็ก”เฟิ่งเชียนอวี่ชะงักไปทันที เหมือนฉุกคิดบางอย่างได้ในชั่วพริบตา จากนั้นเอ่ยขึ้นยากเย็น “มีดสั้นที่ทำจากเหล็กกล้า...ล้ำค่ามากหรือ?”“ดูท่าเจ้าคงไม่รู้จริง ๆ สินะ ก็ต้องล้ำค่ามากนะสิ”อวิ๋นจิ่นเซ่อเล่าเรื่องราวศึกใหญ่ระหว่างแคว้นซีเหลียงและแคว้นตงเยว่ให้นางฟัง จุดสำคัญยังเกี่ยวพันถึงทักษะหลอมเหล็ก“ดาบเหล็กของแคว้นซีเหลียงร้ายกาจมาก เรียกว่าเป็นอาวุธวิเศษก็ไม่เกินจริงสักนิด อาวุธเช่นนี้ ขอเพียงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ใครบ้างจะไม่อยากได้”เฟิ่งเชียนอวี่ “...”มุมปากของนางกระตุกอย่างแรง ขณะนี้อยากให้เวลาย้อนกลับแล้วตบหน้าตัวเองสักฉาดก่อนหน้านี้ตอนไปรักษาเฟิ่งหลิงหลง ตั้งแต่ออกมาจากจวนตระกูลเฟิ่ง ตงฟางจิ่งขอดูกล่องยาของนาง นางควรปฏิเสธเสียงแข็งต่อมาหลังจากตงฟางจิ่งเห็นชุดมีดผ่าตัดของนาง นาง