นักพรตเต๋าพยายามจะคว้าชายเสื้อของซูจิ่งสิง แต่ถูกฉู่เฟิงลากตัวไป“ไสหัวไป”ซูจิ่งสิงเตะนักพรตเต๋าด้วยความรังเกียจ คนแบบนี้อยากจะติดตามเขา ก็ต้องดูด้วยว่าคู่ควรหรือไม่“ท่านอ๋อง ข้าน้อยมีความสามารถมากมายจริง ๆ นะขอรับ”นักพรตเต๋ายังคงพยายามเกลี้ยกล่อมซูจิ่งสิง เพราะนี่เป็นโอกาสเดียวที่เขาจะรอดชีวิตไปได้ตามกฎหมายของเจดีย์หนิงกู่ หากส่งตัวให้ทางการ เขาก็จบเห่แล้ว“ตามข้ามา”ฉู่เฟิงยกตัวเขาขึ้นมาทันที ก้าวเท้ายาว ๆ เดินออกไปข้างนอก นักพรตเต๋ายังอยากจะพูดอะไรอีก แต่เสียงของเขาก็ถูกปิดไว้ ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้อ้อนวอนใด ๆ อีก“ขอบคุณพวกเจ้า”หลังจากที่นักพรตเต๋าถูกพาตัวออกไปแล้ว โจวเซิงก็มองไปที่ทั้งสองคน “หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้า เกรงว่าข้าคงไม่มีทางรู้ความจริงไปตลอดชีวิต”เขารู้สึกสงสัยเล็กน้อย “จริงสิ พวกเจ้าสืบจนรู้ว่าเป็นโจวเซ่อได้อย่างไร?”กู้หว่านเยว่หันไปมองซ่งเสวี่ย จากนั้นกางมือยักไหล่ “ก็เพื่อพี่หญิงซ่งอย่างไรเล่า ตอนนี้เจ้าอาศัยอยู่ที่สกุลโจว จะปล่อยให้พี่หญิงซ่งของข้าเดือดร้อนไปพร้อมกับเจ้าได้อย่างไร?”“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”โจวเซิงเข้าใจในทันที คาดว่าคงเป็นเพราะครั้งที
กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงมาถึงห้องโถงด้านหน้า ก็เล่าเรื่องนี้ให้ผู้อาวุโสสกุลโจวทั้งสองฟังเมื่อทั้งสองได้ยินว่าโจวเซิงโชคร้ายมาหลายปี เพียงเพราะโจวเซ่อซื้อตัวนักพรตเต๋ามาทำคุณไสยใส่เขา ต่างก็ตกตะลึง“สวรรค์เมตตา โชคดีที่ก่อนหน้านี้ได้เห็นธาตุแท้ของโจวเซ่อ”ฮูหยินผู้เฒ่าโจวนึกถึงโจวเซ่อคนชั่วผู้นี้ เกือบจะได้แต่งงานกับซ่งเสวี่ยเข้ามาอยู่ในบ้านของพวกเขา ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ“ถ้าเขาได้เข้ามาอยู่ในบ้านเราจริง ๆ บ้านของเราคงจะถูกทำให้ปั่นป่วนวุ่นวายเป็นแน่”โจวเหล่าลูบเครา พยักหน้าเห็นด้วย “ก่อนหน้านี้สืบจนรู้ว่าเขาจงใจเข้าใกล้เสวี่ยเอ๋อร์ ก็เพื่อหวังทรัพย์สมบัติของพวกเราสกุลซ่ง เห็นได้ว่าคนผู้นี้มีเจตนาร้าย”เพียงแต่ไม่คิดว่าเขาจะลงมือทำร้ายพี่น้องร่วมสายเลือดได้อย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ ช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว“นายท่านโจวรู้เรื่องนี้หรือยัง?”โจวเหล่าเอ่ยถาม ที่จริงแล้วเขากับนายท่านโจวมีศักดิ์เป็นญาติกัน ทั้งสองคนนับว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันได้“ให้คนส่งข่าวกลับไปแล้ว เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น คาดว่านายท่านโจวคงไม่ปล่อยโจวเซ่อไปง่าย ๆ ”อย่างไรเสีย ซูจิ่งสิงก็จะไม่ยอมปล่อยให้งูพิษแบบนี้อย
เพียงแต่ไม่คิดว่าจะได้ยินข่าวนี้จากปากของนางจิน “พวกท่านรู้ได้อย่างไร?”นางจินก็ไม่ได้ปิดบัง รวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยขึ้น “วันนี้ข้าไปซื้อผักที่ตลาด แล้วเห็นคนมุงกันอยู่ที่มุมกองขยะริมถนน บอกว่ามีคนตายอยู่ตรงนั้น ข้าก็เลยเดินเข้าไปดู ตอนแรกก็แค่มองผ่าน ๆ แต่พอสังเกตดี ๆ กลับพบว่าเป็นน้องสะใภ้สี่...”นางรู้สึกสงสารเล็กน้อย“น้องสะใภ้สี่ตายอย่างอนาถมาก ไม่รู้ว่าป่วยเป็นโรคอะไร ทั่วทั้งร่างกายไม่มีส่วนไหนดี ๆ เลย ตอนที่ข้าไปถึง ยังมีแมลงวันตอมอยู่รอบตัวนาง...”ต่างเป็นลูกสะใภ้ของสกุลซูเหมือนกัน แม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะไม่ถูกกัน แต่ตอนนี้เห็นนางหลิวต้องมาพบจุดจบเช่นนี้ นางจินก็รู้สึกเศร้าใจซูเช่อตบบ่าปลอบใจนางจิน “หลังจากที่แม่ของข้ารู้ว่าคนคนนั้นคืออาสะใภ้สี่ ก็รีบกลับมาหาข้า พวกเราสองคนไปซื้อเสื่อฟางม้วนหนึ่ง ซื้อที่ดินฝังศพอีกที่หนึ่ง แล้วพานางไปฝังเรียบร้อยแล้ว ถือว่าได้ให้นางได้ตายอย่างสงบสุข”กู้หว่านเยว่พยักหน้า มองซูเช่อด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อก่อนคนผู้นี้ขี้ขลาดตาขาว ท่านพ่อบอกให้เขาทำอย่างไร เขาก็ทำตามนั้น ไม่กล้าขัดคำสั่งคิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่เขาจากท่านพ่อ
“พวกท่านอยากรับเลี้ยงตัวตัวจริง ๆ หรือ?”กู้หว่านเยว่รับปากนางหลิวไว้ว่าจะดูแลเด็กคนนี้ ย่อมต้องถามให้แน่ชัดว่านางจะไปอยู่ที่ไหน“ข้าและท่านแม่ของข้าคำนวณดูแล้ว ตอนนี้ข้าทำงานเป็นผู้ดูแลของศูนย์พักพิง เดือนหนึ่งก็ได้เงินหนึ่งตำลึง ท่านแม่ของข้าก็พอมีรายได้บ้าง พวกเราสองคนเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งย่อมไม่มีปัญหา”ซูเช่อถอนหายใจ“คนของสกุลซูที่เหลืออยู่มีไม่มากแล้ว อย่างไรเสียนี่ก็เป็นสายเลือดของพวกเราสกุลซู”เขามองทั้งสองคนด้วยความลำบากใจ “ข้ารู้ว่าบ้านสี่เคยทำเรื่องที่ไม่ดีกับพวกเจ้ามากมาย การมารบกวนพวกเจ้า จริง ๆ แล้วเป็นความผิดของข้าและท่านแม่ของข้า...เพียงแต่เราสองคนก็ไม่มีทางเลือก”ดูก็รู้ว่าพวกเขาแม่ลูกสองคนปรึกษากันอยู่นาน จนกระทั่งจนตรอกจริง ๆ ถึงได้มาหาพวกเขานางจินพูดตะกุกตะกัก “ชะ ใช่แล้ว เด็กคนนี้อายุแค่ห้าขวบ อยู่ข้างนอกนานเท่าไร ก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น หากสามารถหาตัวนางเจอได้เร็วก็ยิ่งดี”“เด็กคนนี้อยู่ที่จวนของข้า”ในตอนนี้กู้หว่านเยว่มั่นใจแล้วว่า แม่ลูกสองคนนี้อยากรับเลี้ยงตัวตัวจริง ๆ นางคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว หากตัวตัวสามารถไปอยู่กับพวกเขาสองคนได้ อันที่จริงก็ดีกว่า
นางจินรีบโน้มตัว แล้วกอดตัวตัวเอาไว้ในอ้อมแขน“เด็กดี ไม่ได้เจอกันนานขนาดนี้ เจ้ายังจำป้าได้ด้วยหรือ? ดูสิ นี่คืออะไร ลูกกวาดน้ำตาลที่เจ้าชอบกินที่สุด”นางจินพกลูกกวาดน้ำตาลติดตัวมาด้วย จึงยื่นให้ตัวตัวหนึ่งเม็ด ดวงตาของตัวตัวเป็นประกายทันที รีบรับลูกกวาดน้ำตาลมา แล้วใส่เข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย“หวานหรือไม่?”“หวาน หวานมาก” ตัวตัวเอ่ยถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “ท่านป้า ท่านแม่ของข้าเล่า?”“แม่ของเจ้า...” นางจินไม่รู้จะพูดอะไรดี นางไม่อาจเล่าสภาพอันน่าเวทนาก่อนตายของนางหลิวออกมาได้ จึงได้แต่ลูบศีรษะตัวตัวเบา ๆ “ท่านแม่ของเจ้าไปอยู่ที่ไกลแสนไกล แต่เจ้าไม่ต้องห่วง สักวันนางต้องกลับมาแน่ ๆ ก่อนหน้านั้น เจ้าต้องรีบโตไว ๆ นะ ดีหรือไม่?”“เจ้าค่ะ”ขอบตาของตัวตัวแดงก่ำ จริง ๆ แล้วนางเข้าใจทุกอย่างดีนางจินจับมือของตัวตัวไว้ ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวกับกู้หว่านเยว่ “พระชายา ขอบคุณท่านมาก”นางถอนหายใจ “เลี้ยงดูเด็กคนนี้ให้เติบใหญ่ ความบาดหมางของคนรุ่นก่อนก็ควรจะจบลงเสียที”นี่ก็เป็นเหตุผลที่กู้หว่านเยว่มอบตัวตัวให้พวกเขาเลี้ยงดู“ต่อไปถ้ามีเรื่องลำบากอะไรก็มาหาข้าได้”แน่นอนว่าตราบใดที่อยู่ในขอ
“จริงสิ แดดดีขนาดนี้ อุ้มจ้านจ้านออกมาเล่นข้างนอกกันเถิด” นางหยางคิดจะกลับไปอุ้มหลานชายออกมาอาบแดด“ท่านแม่ ข้าไปกับท่านด้วย”กู้หว่านเยว่ก็คิดถึงลูกเช่นกัน ช่วงนี้ค่อนข้างยุ่ง มีเพียงตอนกลางคืนเข้านอนเท่านั้นถึงจะได้นอนกับลูก โชคดีที่จ้านจ้านเป็นเด็กดี ไม่ร้องไห้งอแงเลยแม่สามีและลูกสะใภ้ทั้งสองเดินไปยังสวนหลังเรือน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของแม่นม“ใครก็ได้ คุณชายน้อยถูกคนลักพาตัวไปแล้ว!”“เจ้าบอกว่าจ้านจ้านถูกลักพาตัวไปแล้วหรือ?”กู้หว่านเยว่สีหน้าเปลี่ยนทันที ซูจิ่งสิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็พุ่งตัวออกไป“ท่านอ๋อง พระชายา พวกท่านมาพอดี เมื่อครู่นี้มีคนชุดดำสองคนบุกเข้ามา แล้วลักพาตัวคุณชายน้อยไปเจ้าค่ะ”แม่นมร้องไห้วิ่งออกมาเห็นคนทั้งสอง ราวกับเห็นผู้ช่วยชีวิตกู้หว่านเยว่รีบวิ่งเข้าไปในห้อง เห็นเพียงเปลเด็กที่ว่างเปล่านางหยางเกือบจะเป็นลม ร้องไห้ออกมาทันที“หลานชายผู้น่าสงสารของข้า ใครกันที่ใจร้ายลงมือกับเด็กตัวเล็ก ๆ เช่นนี้?”นางดึงซูจิ่งสิงไว้“จิ่งสิง ตอนนี้จะทำอย่างไรดี จะไปตามหาลูกที่ไหน ลูกจะเป็นอะไรหรือไม่?”คนที่สามารถบุกมาลักพาตัวเด็กไปได้ ต้องเป็นศัตรูอย่าง
ก็ไม่น่าแปลกใจนัก หากพวกเขาไม่มีวิชาตัวเบาที่สูงส่ง ก็คงไม่สามารถลักพาตัวคนออกไปจากสายตาขององครักษ์จันทราได้“ตกลง”ซูจิ่งสิงแทบจะใช้ความเร็วสูงสุดของตัวเอง พุ่งตัวไล่ตามไป“จุดแดงหยุดแล้ว”กู้หว่านเยว่รู้สึกสงสัยเล็กน้อย ตามหลักแล้ว พวกเขาน่าจะเร่งเดินทางให้เร็วที่สุด ไม่น่าจะหยุดพักในเวลานี้แต่แผนที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า พวกเขาหยุดอยู่ข้างหน้าไม่ไกลจริง ๆ ทั้งสองคนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ก็เห็นชาวนาสองคนวิ่งมาจากฝั่งตรงข้าม“คุณชาย พวกท่านทั้งสองอย่าเพิ่งเข้าไปเลย ในป่าข้างหน้านั่นอันตรายนะ”ชาวนาทั้งสองคนตกใจจนหน้าซีดเผือด เห็นได้ชัดว่าเจอเรื่องที่น่ากลัวมา“เกิดอะไรขึ้น?”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากัน ทั้งสองรู้สึกกังวลเล็กน้อย กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับลูก“ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หมูป่าที่อยู่ในป่าเกิดคลั่งขึ้นมา จู่ ๆ ก็วิ่งออกมาหมดเลย แล้วก็รุมล้อมคนชุดดำสองคนนั้นไว้”ชาวนาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก“คนชุดดำสองคนนั้นไปขุดสุสานบรรพบุรุษของหมูป่าหรือไร? ข้ามีชีวิตอยู่มานานขนาดนี้ ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลยจริง ๆ ”“ใช่แล้ว หมูป่าหลายสิบตัววิ่งออกมาหมด ภาพนั้นน่ากลัวมากจร
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”“อาว้าว!” ดวงตาของเสี่ยวจ้านจ้านเป็นประกาย ไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย“สมควรตาย ทั้งหมดเป็นเพราะหมูป่าพวกนี้ ไม่เช่นนั้นเราคงไปกันตั้งนานแล้ว”คนชุดดำด่าทอ ในวินาทีที่สบตากับซูจิ่งสิง เขามีลางสังหรณ์ว่าตัวเองจบสิ้นแล้ว“เหตุใดที่นี่ถึงมีหมูป่าเยอะขนาดนี้?”กู้หว่านเยว่พูดจบ หมูป่าเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำร้ายพวกเขา พวกมันหันหลังกลับ แล้ววิ่งพรวดพราดเข้าไปในป่า พื้นดินสะเทือน หลังจากนั้นก็หายไปจนหมดหมูป่าเหล่านี้คงไม่ได้มาปกป้องเสี่ยวจ้านจ้านหรอกนะ?กู้หว่านเยว่เกิดความคิดหนึ่งขึ้นในใจ เงยหน้ามองไปยังคนชุดดำสองคนนั้น แววตาเย็นชาจนน่ากลัว“จับพวกเขาสองคนเอาไว้”กล้ามาลักพาตัวลูกชายของนาง นางไม่มีทางปล่อยไปง่าย ๆ แน่“ไม่ต้องห่วง”ซูจิ่งสิงพูดขึ้นประโยคหนึ่ง พลางชักกระบี่อาทิตย์คำรามออกมา จากนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปต่อสู้กับทั้งสองคนทันทีคนชุดดำสองคนนี้ก็มีพรรคพวกเช่นกัน พวกเขาผิวปากส่งสัญญาณ ไม่นานนัก ก็มีคนชุดดำอีกสิบกว่าคนมาจากทุกสารทิศน่าเสียดายที่พวกเขาต่างประเมินซูจิ่งสิงต่ำไป โดยเฉพาะในตอนนี้ที่เขาโกรธมาก“รนหาที่ตาย!”เขาโมโหอย่างยิ่ง ทุกท่วงท่าล้วนหมายเ
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก