การดึงมีดออกจำเป็นต้องใช้ทักษะที่ชำนาญมาก หากเกิดความผิดพลาดขึ้นมา อาจจะบาดเจ็บถึงอวัยวะภายในของคนที่กำลังเจ็บอยู่หรือไม่ก็ทำให้เลือดออกมากก็ได้“หว่านเยว่ ช่วยเขาด้วย”นัยน์ตาของซ่งเสวี่ยแดงก่ำ นางไม่เคยเสียสติเช่นนี้มาก่อน“ข้าดูหน่อย”กู้หว่านเยว่เปิดกล่องยา ใส่ถุงมือยาง และเริ่มดูสถานการณ์ของโจวเซิง“อาการบาดเจ็บสาหัสอยู่ ต้องรีบดึงมีดออก”นางหยิบผ้าพันแผล ยาแก้อักเสบและยาฆ่าเชื้อออกมาจากกล่องยา และกล่าวกับซูจิ่งสิงว่า“ท่านพี่ ท่านพาคนออกไปจากห้องหนังสือหน่อยเจ้าค่ะ ข้าต้องการความเงียบ”โจวเซิงหายใจรวยรินมาก ต้องพาเข้าไปช่วยเหลือในห้วงมิติสองสามีภรรยาต่างสบตากัน ซูจิ่งสิงรู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด จึงพยักหน้า“วางใจเถอะ ข้าจะจัดการให้เจ้าเดี๋ยวนี้”เขาเดินมาหารองผู้ว่าราชการสวี่ ให้เขาขับไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปข้างนอก“ฮูหยินน้อย” จู่ ๆ โจวเซิงก็ฟื้นขึ้นมา พยายามลืมตาความจริงแล้วเขาตระหนักรับรู้อยู่ตลอด เพียงแต่ปวดแผลเกินกว่าจะทนได้ ทั้งยังเสียเลือดมาก ทำให้ไม่มีเรี่ยวแรงพูดแต่เมื่อครู่เขาได้ยินน้ำเสียงจริงจังของกู้หว่านเยว่ พอจะเดาได้ว่าตัวเองอันตรายเพียงใด“ฮู
“ลากเขาออกไป”ซูจิ่งสิงโบกมือสั่งการ มองเจ้าสำนักฉินด้วยสายตาเย็นชา เพียงแต่ในเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ต้องจัดการเขาภายในห้องหนังสือถูกเก็บกวาดจนสะอาดเกลี้ยง ซูจิ่งสิงทำการใส่กลอนอย่างแน่นหนา“น้องหญิง เจ้าตั้งใจช่วยคนไป ส่วนข้าจะไปเฝ้าข้างนอกให้เจ้าเอง”ครั้นได้ยินเสียงของซูจิ่งสิง กู้หว่านเยว่ก็รู้สึกปลอดภัยมากแล้ว นางพาเจ้าตัวเข้าไปทำการรักษาในห้วงมิติ อาการของโจวเซิงสาหัสมาก เวลานี้หมดสติไปแล้วกู้หว่านเยว่ทำการถ่ายเลือดแบบฉุกเฉินให้เขาก่อน จากนั้นก็ใช้อุปกรณ์ตรวจดูบาดแผลของเขา“โชคดีนะ ที่ไม่ได้บาดเจ็บถึงภายใน”ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่ แม้ว่าปากแผลจะลึกมาก แต่ก็ไม่ได้อันตรายถึงชีวิตกู้หว่านเยว่ดึงมีดออกอย่างเป็นระบบระเบียบ จัดการปากแผล ฆ่าเชื้อ เย็บแผลและใส่ยากระทั่งพันแผลจนเสร็จ จากนั้นก็ฉีดยาแก้อักเสบเป็นจำนวนสองขวด ถึงค่อยพาเขาออกมาจากห้วงมิติเวลานี้บริเวณนอกห้องหนังสือได้มืดสนิทลงแล้วกู้หว่านเยว่มองดูเวลาในห้วงมิติแวบหนึ่ง นางอยู่ในห้วงมิติแบบไม่รู้เวลากว่าสามชั่วยาม“ท่านพี่ เสร็จแล้วเจ้าค่ะ”จากนั้นก็เดินมาเคาะประตู เมื่อซูจิ่งสิงได้ยินเสียง ก็รีบเปิด
“ดูท่าทางหลังจากที่เจ้าหนีออกมาจากสุ่ยโจวได้ ก็ตรงมายังเจดีย์หนิงกู่ทันที”กู้หว่านเยว่รู้ที่มาที่ไปของเรื่องราวเป็นอย่างดี นางกัดฟันกรอดอย่างเกลียดชังให้กับบุรุษผู้นี้“ที่แท้เจ้าก็ไม่ได้ทำร้ายผู้อื่นเป็นครั้งแรก!”สวรรค์รับรู้ ก่อนหน้าหน้าอารามเต๋าแห่งนี้ เขาทำร้ายคนไปแล้วเท่าไหร่ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วมุ่น “เดิมทีอารามแห่งนั้นเป็นอารามที่ศักดิ์สิทธิ์มาก เมื่อห้าปีก่อนเจ้าสำนักคนเก่าสิ้นลมหายใจโดยไม่ทราบสาเหตุ จนต้องเปลี่ยนเจ้าสำนักคนใหม่ ซึ่งก็คือบุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ นับตั้งแต่นั้นมา อารามเต๋าแห่งนั้นก็โด่งดังเรื่องของสือจีเหนียงเหนียง”แต่ระหว่างห้าปีมานี้ เจ้าสำนักฉินผู้นี้ได้ทำการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในอารามเต๋ามาโดยตลอด กระทั่งเข้ามาควบคุมอารามเต๋าแห่งนี้โดยสมบูรณ์ และทำตามอำเภอใจอยู่ด้านในพานักพรตที่อยู่ใต้คำสั่งมาทำเรื่องต่ำช้า“เจ้ากล้าทำเรื่องผิดศีลธรรมเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวฟ้าผ่าบ้างหรือไร?”เนี่ยชิงหลานด่าทออย่างโกรธเคือง จนเจ้าสำนักฉินต้องตอบโต้กลับ“เรื่องผิดศีลธรรมอะไรกัน? เห็น ๆ อยู่ว่าข้าทำความดี! สตรีเหล่านั้นไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ บุรุษที่อยู่ด้วยทำให้พวกนาง
“ท่านอ๋อง ยังมีบ่าวรับใช้อีกคนหนึ่งอยู่ในห้องหนังสือ ถูกเจ้าสำนักทำร้ายโดยไม่ได้ตั้งใจ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุขอรับ”รองผู้ว่าราชการสวี่ถอนหายใจแล้วเอ่ยเตือน ซูจิ่งสิงกล่าวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ไปเอาเงินยี่สิบตำลึง ไปให้คนในครอบครัวของเขาจัดการงานศพเถิด”ชีวิตความเป็นความตายขึ้นอยู่กับโชคชะตา ตอนที่พวกเขามาถึง บ่าวรับใช้คนนั้นก็เสียชีวิตไปแล้ว ไม่สามารถทำอะไรได้ดังนั้น เจ้าสำนักฉินผู้นั้นช่างโหดร้ายอย่างแท้จริง แม้แต่คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็ยังไม่ละเว้น ถูกสุนัขป่ากัดกินร่างกายจนแยกเป็นชิ้น ๆ ก็สมควรแล้ว ไม่น่าสงสารเลยแม้แต่น้อยขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น แม่นมฉินก็นำรถม้ามาถึง บ่าวรับใช้หลายคนช่วยกันยกโจวเซิงขึ้นวางบนแคร่หามอย่างระมัดระวังกู้หว่านเยว่เอ่ยขึ้น “พี่หญิงซ่ง ท่านตั้งใจจะพาเขาไปที่ไหนหรือ?”“กลับจวนโจว” ซ่งเสวี่ยขมวดคิ้วพลางกล่าวขึ้น “เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ท่านพ่อและท่านแม่ต้องรู้แน่ ๆ ข้าก็ไม่อยากปิดบังพวกท่าน หลังจากกลับไป ข้าจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้พวกท่านฟังทั้งหมด”“ก็ดี เช่นนั้นหากมีเรื่องอะไร ท่านก็รีบมาบอกข้านะ”“ขอบใจเจ้ามาก”ซ่งเสวี
“ก็ได้ ตกลง”โจวเซิงตอบรับอย่างอ่อนแรง ส่วนใหญ่เป็นเพราะตกตะลึงกับซ่งเสวี่ยที่ท่าทางแข็งกร้าวเช่นนี้เมื่อเห็นเขารับปาก น้ำเสียงของซ่งเสวี่ยก็อ่อนลง“ท่านไม่ต้องกังวล ถึงแม้ท่านจะอาศัยอยู่ในจวนของพวกเรา แต่เรือนของท่านก็อยู่ห่างไกลมาก ปกติแล้วก็ไม่มีใครมาที่นี่ และอยู่ไกลจากเรือนที่ท่านพ่อ ท่านแม่ และนานนานอาศัยอยู่มาก ต่อให้ขื่อคานเรือนของท่านพังลงมา ก็คงทับแค่บนตัวท่านเท่านั้น ไม่มีทางส่งผลกระทบถึงพวกเขาหรอก”นางกล่าวต่อ“ข้าได้บอกเรื่องของท่านกับท่านพ่อและท่านแม่แล้ว พวกท่านทั้งสองเป็นคนมีเหตุผล จะไม่มีทางไล่ท่านออกจากจวนเพราะเรื่องนี้แน่นอน และจะไม่รังเกียจท่านด้วย”อันที่จริงโจวเหล่าชอบโจวเซิงมาก เพราะถึงอย่างไรก็เป็นลูกหลานสกุลเดียวกัน แถมยังโดดเด่นเช่นนี้ก่อนหน้านี้ โจวเซิงก็เคยเป็นลูกศิษย์ของโจวเหล่า ในบรรดาลูกศิษย์ทั้งหมดของเขา โจวเซิงถือว่าเป็นอันดับต้น ๆ เพียงแต่เขาโชคร้ายเกินไป ทำให้เรียนต่อจนจบไม่ได้ จึงต้องหยุดเรียนกลางคันด้วยเหตุนี้ โจวเหล่าจึงรู้สึกเสียดายอยู่พักหนึ่ง คิดว่าคนที่มีความสามารถเช่นนี้ต้องเสียโอกาสไปแล้วก่อนหน้านี้ ตอนที่โจวเซิงเพิ่งมาถึงเจดีย
ผู้อาวุโสทั้งสองกังวลใจอย่างมาก แต่ทางซ่งเสวี่ยกลับไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเลยไม่ใช่ว่านางไม่ใส่ใจเรื่องนี้ แต่ในเมื่อนางเลือกที่จะยอมรับมันแล้ว นางก็จะไม่เก็บมาใส่ใจอีกในทางกลับกัน โจวเซิงกลับรู้สึกหนักใจขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเห็นว่าบาดแผลของตัวเองดีขึ้นในทุก ๆ วัน เขาคิดว่าควรจะรีบออกจากจวนโจวดีหรือไม่ เพื่อจะได้ไม่นำความเดือดร้อนมาให้พวกเขายิ่งไปกว่านั้น เขากังวลว่าหากตัวเองยังคงพักอยู่ที่นี่ต่อไป และอยู่กับซ่งเสวี่ยต่อไปเรื่อย ๆ ตัวเขาเองก็จะรู้สึกไม่อยากจากไปมากขึ้น“ฮูหยินน้อย ข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษาท่าน...”โจวเซิงตัดสินใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะของกู้หว่านเยว่ดังมาจากหน้าประตู“พวกเจ้ากำลังจะปรึกษาเรื่องอะไรกัน ข้ามีเรื่องสำคัญกว่านี้ ไม่เช่นนั้นฟังเรื่องของข้าก่อน แล้วพวกเจ้าค่อยปรึกษากัน?”“หว่านเยว่ เจ้ามาแล้ว”ซ่งเสวี่ยเห็นนางก็ดีใจมาก รีบลุกขึ้นรินน้ำชาให้นางกู้หว่านเยว่รับถ้วยชาอย่างว่าง่าย ซ่งเสวี่ยก็รินน้ำชาอีกถ้วยให้ซูจิ่งสิง แล้วเชิญสองสามีภรรยานั่งลง“พวกเจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ?”เท่าที่นางรู้ ช่วงนี้สองสามีภรรยายุ่งมาก ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไร ก็คงไม่มาหา
“ดังนั้นเจ้าจึงช่วยเขาทำคุณไสยใส่ข้า ข้าไม่เคยทำอะไรให้พวกเจ้าเลย สิบกว่าปีมานี้ข้าต้องใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง!”โจวเซิงโกรธจนเลือดขึ้นหน้า กระอักเลือดออกมาคำหนึ่งทำให้ซ่งเสวี่ยตกใจ รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดให้เขา“หว่านเยว่ เจ้ารีบมาดูเขาหน่อย”“มาแล้ว”กู้หว่านเยว่ก้าวไปข้างหน้า ใช้เข็มเงินแทงลงบนจุดฝังเข็มของโจวเซิง แล้วหยิบยาสงบสติอารมณ์ออกมาเม็ดหนึ่ง“กินยาเม็ดนี้ก่อนเรื่องแก้แค้นก็ต้องแก้แค้น แต่อย่าได้ใจร้อนเกินไป”“ขอบคุณ”โจวเซิงกลืนยาเม็ดลงไป เขาเพียงแค่รู้สึกโกรธไปชั่วขณะ แต่ก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว ตัวเองไม่ควรทำตัวให้คนที่รักต้องเสียใจ และทำให้ศัตรูสะใจเขาดื่มน้ำชาอีกหนึ่งอึก ในที่สุดก็สงบสติอารมณ์ลงได้ เขาหันไปมองนักพรตเต๋า“เจ้าบอกว่าโจวเซ่อเป็นคนสั่งให้เจ้าทำแบบนี้ มีหลักฐานหรือไม่?”“หลักฐานถูกพวกเขาเอาไปหมดแล้ว”นักพรตเต๋าหันไปมองกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงด้วยความหวาดกลัว สามีภรรยาคู่นี้ช่างโหดเหี้ยมราวกับปีศาจซูจิ่งสิงเก็บหลักฐานเอาไว้แล้ว โบกมือให้ฉู่เฟิงยกเข้ามาในกล่องใบเล็กมีวันเดือนปีเกิด ตั๋วเงินหลายสิบฉบับ และยังมีตุ๊กตาดินปั้นที่แตกหักอยู่หนึ่ง
นักพรตเต๋าพยายามจะคว้าชายเสื้อของซูจิ่งสิง แต่ถูกฉู่เฟิงลากตัวไป“ไสหัวไป”ซูจิ่งสิงเตะนักพรตเต๋าด้วยความรังเกียจ คนแบบนี้อยากจะติดตามเขา ก็ต้องดูด้วยว่าคู่ควรหรือไม่“ท่านอ๋อง ข้าน้อยมีความสามารถมากมายจริง ๆ นะขอรับ”นักพรตเต๋ายังคงพยายามเกลี้ยกล่อมซูจิ่งสิง เพราะนี่เป็นโอกาสเดียวที่เขาจะรอดชีวิตไปได้ตามกฎหมายของเจดีย์หนิงกู่ หากส่งตัวให้ทางการ เขาก็จบเห่แล้ว“ตามข้ามา”ฉู่เฟิงยกตัวเขาขึ้นมาทันที ก้าวเท้ายาว ๆ เดินออกไปข้างนอก นักพรตเต๋ายังอยากจะพูดอะไรอีก แต่เสียงของเขาก็ถูกปิดไว้ ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้อ้อนวอนใด ๆ อีก“ขอบคุณพวกเจ้า”หลังจากที่นักพรตเต๋าถูกพาตัวออกไปแล้ว โจวเซิงก็มองไปที่ทั้งสองคน “หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้า เกรงว่าข้าคงไม่มีทางรู้ความจริงไปตลอดชีวิต”เขารู้สึกสงสัยเล็กน้อย “จริงสิ พวกเจ้าสืบจนรู้ว่าเป็นโจวเซ่อได้อย่างไร?”กู้หว่านเยว่หันไปมองซ่งเสวี่ย จากนั้นกางมือยักไหล่ “ก็เพื่อพี่หญิงซ่งอย่างไรเล่า ตอนนี้เจ้าอาศัยอยู่ที่สกุลโจว จะปล่อยให้พี่หญิงซ่งของข้าเดือดร้อนไปพร้อมกับเจ้าได้อย่างไร?”“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”โจวเซิงเข้าใจในทันที คาดว่าคงเป็นเพราะครั้งที
ข้าเป็นคนไร้ชื่อเสียงย่อมไม่กลัว แต่ต่อไปจวนแม่ทัพของพวกเจ้ายังจะมีหน้าอยู่ในซุ่ยโจวอีกหรือ”ระหว่างที่พูด แม่นางตั่วเดินไปใต้ต้นไม้อีกครั้ง แล้วกอดเฉิงซินที่ถูกมัดแขวนไว้“คุณชายน้อย ท่านหลอกบ่าวให้หลงเชื่อสนิทใจ ท่านบอกว่าจะพาบ่าวไปอยู่อย่างสุขสบาย บ่าวจึงได้ทิ้งผัวที่บ้านตามท่านมา แต่สุดท้าย ทุกคนในบ้านท่านกลับรังแกบ่าว ฮือฮือฮือ...”อย่าเห็นว่าแม่นางตั่วแต่งงานแล้ว กลับหน้าตาเย้ายวน ทั่วทั้งตัวมีจริตจะก้านแผ่ซ่านออกมาสวมกระโปรงเกาะอกรัดเอวตัวยาว ภายนอกมีเสื้อคลุมสีชมพูสวมทับ หน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลง ทำให้เฉิงซินมองดูจนไม่อาจละสายตา“เฉิงเหลียน เจ้า เจ้าตะโกนโหวกเหวกใส่คนของข้า หากจะวางอำนาจก็กลับไปที่ค่ายทหารของเจ้า อย่ามาวางอำนาจให้ข้าดู”เฉินซินเห็นแม่นางตั่วถูกรังแกไม่ได้ จึงรีบตะโกนใส่เฉิงเหลียน“เจ้านี่มันกู่ไม่กลับแล้วจริงๆ ท่านแม่หมดสติเพราะโกรธเจ้าเรื่องหญิงคนนี้ แต่เจ้ากลับปกป้องนางหรือ”ทำไมถึงได้มีคนที่โง่ขนาดนี้?เฉิงเหลียนกำหมัดแน่นช่างเป็นลูกชายที่แน่จริง ทำให้พ่อแม่ลำเอียงรักแต่เขา“ก็เพราะท่านแม่โกรธข้าจนหมดสตินะสิ หากข้าไล่ให้นางไป ท่านแม่ไม่หมดสติเส
เมื่อหมอหลายคนได้ยินว่ากู้หว่านเยว่มาตรวจอาการของเฉิงฮูหยิน ทำให้โล่งอกทันทีรีบแจ้งข้อสรุปในการตรวจอาการให้กู้หว่านเยว่ส่วนข้อสรุปนั้นก็คือ...เอ่อ ไม่มีข้อสรุปกู้หว่านเยว่เองก็เป็นหมอเมื่อเห็นท่าทางเหงื่อแตกพลั่กของทุกคน นางก็เข้าใจทันทีพวกเขาไม่มีวิธีแต่ก็กลัวเฉิงทั่วลงโทษดูท่าอาการของเฉิงฮูหยินค่อนข้างอันตรายกู้หว่านเยว่มาถึงข้างเตียง แล้วเริ่มตรวจชีพจรให้เฉิงฮูหยิน ดูจากการเต้นของชีพจร นางวินิจฉัยว่าอาการหมดสติของเฉิงฮูหยินมีสาเหตุมาจากหัวใจแต่ความจริงจะใช่หรือไม่ คงต้องตรวจให้ลึกลงไปอีกขั้นกู้หว่านเยว่ลุกขึ้นแล้วให้เฉิงทั่วกับหมอหลายคนออกไป ส่วนนางอยู่ในห้องแล้วพาเฉิงฮูหยินเข้าไปตรวจในมิติหลังจากตรวจดู กู้หว่านเยว่แน่ใจว่าเฉิงฮูหยินมีปัญหาหัวใจแต่กำเนิดโชคดี ที่เรื่องนี้ยังไม่ถือว่าร้ายแรงมากนักหมอหลายคนสลับกันรักษา แม้จะไม่ทำให้เฉิงฮูหยินฟื้นขึ้นมา แต่อย่างไรก็ทำให้อาการของนางทรงตัวกู้หว่านเยว่พาเฉิงฮูหยินออกมาจากมิติ แล้วให้ซูจิ่งสิงปล่อยพวกเขาเข้ามา“พระชายา ฮูหยินของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”“แม่ข้าจะฟื้นขึ้นมาอีกหรือไม่?”เฉิงทั่วกับเฉิงเหลียนเข้ามาถึ
ไฟแห่งความอยากรู้อยากเห็นในใจของผู้ชมอย่างนาง ลุกโชนโชติช่วงตกลงเจ้าเฉิงซินพาสตรีแบบใดกลับมา ถึงได้ทำให้เฉิงฮูหยินโกรธจนหมดสติไป อีกทั้งแม่ทัพเฉิงยังด่าทอต่อว่าได้น่าเกลียดเช่นนี้หลังจากหันมองดูภายในเรือนหนึ่งรอบ เหมือนจะไม่เห็นสตรีผู้นั้น“ท่านพี่ พวกเขาเอาสตรีนางนั้นไปไว้ที่ใดหรือ?”กู้หว่านเยว่แอบกระซิบข้างหูซูจิ่งสิง อีกฝ่ายส่ายหน้าอย่างระอาเรื่องอย่างนี้ เขาจะสนใจได้อย่างไร?“ไปเถอะ เข้าไปดูข้างในก่อน”ช่วยคนสำคัญกว่า กู้หว่านเยว่ตามเฉิงทั่วเข้าไปในห้องขณะนี้ภายในห้องมีหมออีกสามคนกำลังรักษา หมอคนหนึ่งตรวจชีพจรให้เฉิงฮูหยินอยู่ข้างเตียง ส่วนหมออีกสองคนยืนสีหน้าร้อนใจอยู่ด้านหลัง“เป็นอย่างไร?”หมอคนหนึ่งแอบกระซิบถามหมอที่ตรวจชีพจรส่ายหน้าเบาๆ“นี่จะทำเช่นไรดี หากรักษาเฉิงฮูหยินไม่ได้ ด้วยนิสัยของท่านแม่ทัพ คงได้กุดหัวพวกเราจนหลุดแน่”หนึ่งในหมอเอ่ยถามด้วยสีหน้าร้อนรน ทุกคนรู้ถึงความสำคัญของเฉิงฮูหยินสำหรับเฉิงทั่ว“พวกเจ้าถามข้า ข้าเองก็ไม่รู้”“หมอโจว ที่นี่ทักษะวิชาแพทย์ของท่านสูงกว่าใคร ประสบการณ์โชกโชน ท่านลองดูสิว่าอาการของฮูหยินควรทำอย่างไร?”หมอสองคนมองด
เฉิงทั่วเป็นคนที่เย่อหยิ่งมากพอเจอหน้ากันก็ทำความเคารพอย่างเป็นทางการ พอเห็นได้ว่าเรื่องร้ายแรงเพียงใดกู้หว่านเยว่นึกถึงรองแม่ทัพที่เข้ามาอย่างเร่งรีบ แล้วเชิญเฉิงทั่วออกไปหรือว่าผ่านไปหนึ่งคืนแล้ว เฉิงฮูหยินยังไม่ฟื้นอีก?“เจ้าลุกขึ้นมาก่อน”“ข้าน้อยไม่ลุก นอกจากพระชายาจะรับปาก”เฉิงทั่วทำหน้าดื้อดึง เมื่อมองให้ละเอียดขอบตาของเขาแดง“เอาละ เจ้านำทางไปเถอะ แล้วบอกมาด้วยว่าตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่”กู้หว่านเยว่ไม่มีทางเลือก ดูท่าคงกลับไปนอนต่อไม่ได้แล้วเฉิงทั่วถึงได้เช็ดน้ำตา แล้วลุกขึ้นจากพื้น อย่าว่าไป ท่าทางเช่นนั้นน่าสงสารเหลือเกินตาเฒ่าผู้นี้คงเป็นห่วงภรรยาของเขาจริงๆ“เมื่อคืนตั้งแต่ฮูหยินหมดสติไป ก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย นอนอยู่บนเตียงไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่ว่าหมอจะใช้วิธีใด ก็ไม่ได้ผลทั้งสิ้น”เฉิงทั่วพูดไปด้วย ขอบตาพลันแดงไปด้วยเขากับเฉิงฮูหยินแต่งงานกันตั้งแต่หนุ่มสาว ประคับประคองกันมาตลอดในอดีตยามออกศึกที่ชายแดน เฉิงฮูหยินติดตามเขาไปด้วย ต่อมาย้ายมารักษาการที่ซุ่ยโจว เฉิงฮูหยินก็ตามมาอีกคลอดบุตธิดาให้เขาสองคน ทั้งสองคนรักใคร่กันมากถ้าเฉิงฮูหยินเกิดเรื่องอะไ
คาดว่าน่าจะเป็นศัตรูของสกุลอวิ๋น เห็นอวิ๋นมู่พ่อลูกไม่กลับมานานจึงสบจังหวะหาช่องว่าง เล่นงานสกุลอวิ๋นในเมื่อเป็นเช่นนี้ อวิ๋นมู่ไม่กลับไปคงไม่ได้แล้วซูจิ่งสิงได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ข้าส่งคนไปคุ้มกันเจ้า”ตอนนี้สกุลอวิ๋นกับพวกเขาเจดีย์หนิงกู่ถือว่าร่วมงานกัน แม้เรื่องนี้จะเป็นความลับ แต่ยากจะรับประกันว่าไม่แพร่งพรายออกไปเกิดคนในราชสำนักรู้เข้า ความปลอดภัยของอวิ๋นมู่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง“ขอบคุณท่านอ๋อง”อวิ๋นมู่มองซูจิ่งสิงอย่างแปลกใจ ทำให้อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเรียบ“อย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้เป็นห่วงเจ้า”เพราะกู้หว่านเยว่ บรรยากาศระหว่างทั้งสองมักจะแปลกประหลาด ตั้งแต่พบกันครั้งแรกก็ไม่ถูกกันแล้วอวิ๋นมู่ยิ้มเจื่อน “ท่านอ๋องวางใจได้ ข้าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองแต่ว่า ความหวังดีของท่านอ๋องข้าน้อยขอน้อมรับ และตื้นตันเหลือเกิน”การเดินทางไปเมืองหลวงในครั้งนี้มีอันตราย เขาจึงไม่ปฏิเสธ“เจ้าจะออกเดินทางเมื่อใด?”กู้หว่านเยว่รีบสอบถาม“คืนนี้มากล่าวลาท่านอ๋องและพระชายา พรุ่งนี้เมื่อฟ้าสางจะออกเดินทางทันที”“เวลาเร่งรีบขนาดนี้เชียว”กู้หว่านเยว่รีบถาม“พรุ่งนี้ท่านอย่าเพิ่งรีบไป
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน รองแม่ทัพวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน แล้วหันมองเฉิงทั่วแวบหนึ่ง“ท่านแม่ทัพ แย่แล้ว ฮูหยินหมดสติไปแล้วขอรับ”เฉิงทั่วหน้าถอดสี “อะไรนะ?”เขารีบลุกขึ้นยืนขึ้น ไม่มีเวลาสนใจกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงที่ยังอยู่ตรงนี้ แล้วรีบสอบถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”“คุณชายน้อยกลับมาแล้ว ไม่เพียงกลับมา ยังพาอีกคน...”รองแม่ทัพกระดากปากที่จะเอ่ย จึงได้แต่ส่งสายตาให้อีกฝ่าย“ท่านแม่ทัพ ท่านกลับไปดูเองเถอะขอรับ”เฉิงทั่วไม่มีแก่ใจจะกินอาหาร จึงลุกขึ้นขอตัว “ท่านอ๋อง พระชายา โปรดให้ข้าไปดูฮูหยินสักครู่ได้หรือไม่”“ไปเถอะ”ซูจิ่งสิงโบกมือ“ขอบคุณท่านอ๋อง” เฉิงทั่วรีบวิ่งออกไปทันทีหนานหยางอ๋องมองแผ่นหลังที่ร้อนใจของเขา แล้วรู้สึกเศร้าเล็กน้อยหากพระชายาของเขายังอยู่คงดีไม่น้อย เขากับเหล่าเฉิงแข่งกันมาค่อนชีวิต มีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว ที่เขาแพ้มาตลอด“เกิดอะไรขึ้น?” กู้หว่านเยว่กระซิบถามชิงเหลียนชิงเหลียนเอ่ยเสียงต่ำ “คุณชายใหญ่สกุลเฉิงพาสตรีคนหนึ่งกลับมาด้วย เหมือนจะเป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว”เจ้าหมอนี่กู้หว่านเยว่เกือบสำลักข้าวมิน่าเฉิงฮูหยินถึงได้เป็นลม เจ้าเฉิงซินเม
มิน่าท่านอ๋องถึงยอมสวามิภักดิ์ต่อพวกเขา ทั้งสองคนไม่ธรรมดาจริงๆ มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา“พวกเราเองก็มาถึงเมืองซุ่ยโจว และได้พบท่านอ๋องกับพระชายาแล้ว เดี๋ยวส่งจดหมายไปแจ้งท่านอ๋องหน่อยเถอะ ท่านจะได้วางใจ”จู้หวยกล่าวเตือนอย่างใส่ใจครั้งนี้ก่อนออกเดินทาง ท่านอ๋องกำชับเขาแล้วว่า ต้องดูแลเนี่ยชิงหลานให้ดีในเมื่อเนี่ยชิงหลานเป็นคู่หมั้นของเขา เขาย่อมดูแลเอาใจใส่มาก“รู้แล้ว รู้แล้ว เจ้าอย่าเอาแต่บ่นข้า อีกเดี๋ยวตอนเขียนจดหมายข้าจะเป็นคนพูดส่วนเจ้าเป็นคนเขียน ขี่ม้ามาทั้งวัน เมื่อยมือจะแย่แล้ว”จู้หวยยิ้มพร้อมพยักหน้า“เรื่องนี้ไม่ยาก ขอเพียงเจ้าไม่รังเกียจที่ตัวหนังสือข้าน่าเกลียดก็พอ”เนี่ยชิงหลานขบขันเขาจนหัวเราะเสียงดังทันที“ตัวหนังสือของเจ้าน่าเกลียดมาก แต่ไม่เป็นไร วรยุทธ์ของเจ้าสูงส่ง พวกเจ้าที่เป็นทหารแม้จะไม่ใช่คนเถื่อน แต่ต้องรู้จักเขียนอ่านไว้บ้าง ถึงจะรู้เขารู้เรารบอย่างไรก็ไม่แพ้ ทว่าเรื่องการเขียนหนังสือไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันมากนัก แค่ดูได้ก็พอ”นางพูดอย่างจริงจัง จนจู้หวยเองก็หัวเราะตามนางไปด้วย ในแววตามีแต่ความเอ็นดู“ท่านหญิงพูดถูก”แม้ทั้งสองค
หลังหนังสือยอมจำนนออกมาแล้ว เนี่ยชิงหลานก็นำกองทัพเหอตง มาเสริมทัพกู้หว่านเยว่“เขตเหอตงของข้าไม่มีสิ่งใดเลย มีเพียงถ่านหินและเงินทองมากมาย พี่ใหญ่จึงนำไปแลกเสบียงหนึ่งชุด ส่งข้ามาช่วยเหลือพวกท่าน”กู้หว่านเยว่ไม่ได้พบเนี่ยชิงหลานมาสักพักใหญ่ๆ แล้วตอนนี้เมื่อทั้งสองได้พบกัน นางดีใจมาก“เจ้าตัวสูงขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่ลูบหัวเนี่ยชิงหลาน ทำให้อีกฝ่ายยิ้มอย่างเขินอาย“ไม่เพียงตัวสูงขึ้น ข้ายังหมั้นหมายแล้วด้วย”นี่เป็นข่าวที่อยู่เหนือความคาดหมายเมื่อเห็นพวกเขาหลายคนเดินทางเหน็ดเหนื่อย กู้หว่านเยว่รีบเชิญพวกเขาเข้าจวน เมื่อถึงห้องรับแขกจึงจับมือเนี่ยชิงหลานไว้ แล้วสอบถามอย่างละเอียด“เหตุใดจึงรวดเร็วเช่นนี้ เจ้าหมั้นกับผู้ใดหรือ?”“หมั้นกับแม่ทัพในค่ายของท่านพี่ นามว่าจู้หวย”ไม่ใช่เฉิงเซวียนหรอกหรือ ข่าวนี้ทำให้พวกกู้หว่านเยว่ยิ่งแปลกใจแต่เมื่อนึกดูอย่างละเอียด เฉิงเซวียนกับเนี่ยชิงหลานใช่ว่าจะเหมาะสมกันแม้ทั้งสองจะสนิทสนมกันตั้งแต่เด็ก ทว่าทัศนคติไม่ตรงกันบวกกับก่อนหน้านี้เพราะหญิงอื่น เฉิงเซวียนเข้าใจเนี่ยชิงหลานผิดหลายครั้งเนี่ยชิงหลานรู้ว่ากู้หว่านเยว่คิดอะไร จึ
ตกลงปีนั้นรัชทายาทตายเยี่ยงไรกันแน่?เขารู้ดียิ่งกว่าผู้ใดหากไม่ใช่รัชทายาทและพระชายารัชทายาทตายไป ไฉนเลยเขาจะได้นั่งตำแหน่งฮ่องเต้?ทว่าบัดนี้ เขาคิดว่าตำแหน่งฮ่องเต้กำลังตกอยู่ในอันตราย“ไป จับคนสกุลหลี่เข้าคุกใหญ่!”มู่หรงถิงไม่ฟังคำชี้แนะจากนั้นยามทุกคนมายังสกุลหลี่ กลับพบว่าสกุลหลี่มีเพียงความว่างเปล่า เหลือบ่าวรับใช้ที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่สองสามคนกำลังใช้วิธีพรางตา“ภายในหอบรรพบุรุษสกุลหลี่ พบเส้นทางสายหนึ่ง...”องครักษ์ไปจับคนตัวสั่นเทานี่คือเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเดิมทีมู่หรงถิงก็โมโหอยู่แล้ว ต้องการใครสักคนเพื่อบันดาลโทสะ คิดไม่ถึงเลยว่าจะหาตัวคนรองรับอารมณ์ไม่พบ ยังถูกเขาจับได้ว่าคนของสกุลหลี่หนีไปแล้วเขาพลิกโต๊ะ กระทืบองครักษ์ไปจับตัวคนจนตาย“ฝ่าบาท” ตอนฮองเฮามา ภายในตำหนักวุ่นวายไปหมด แม้แต่นางกำลังก็ถูกมู่หรงถิงบีบคอตายไปสองคนฮองเฮาอดทนต่อความขยะแขยง สั่งให้คนลากศพไปจัดการ“เจ้ามาแล้ว”ตอนมู่หรงถิงอยู่เพียงลำพังจะบันดาลโทสะเยี่ยงไรก็ย่อมได้ แต่เขากลัวทำให้ฮองเฮาตกใจ“เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันได้ยินเรื่องของอัครมหาเสนาบดีหลี่แล้ว”ฮองเฮาก้าวเท้าเบาๆ มาหยุดต่อหน้ามู