สายตาลุ่มลึกนั้น ทำให้กู้หว่านเยว่หน้าแดงเรื่อซวนลู่มองสองคนใกล้ชิดกัน เพลิงโทสะแทบพ่นออกจากดวงตา พูดสอดปากอย่างไม่ถูกเวลา“แม้ว่าหอสมุดนี้ดีมากแต่ตำราเพียงสองสามเล่มก็พอหรือ? เทียบกับสำนักศึกษาไป๋ลู่ยังห่างชั้นกันมากนัก”“สำนักศึกษาไป๋ลู่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับหลายร้อยปีแล้ว ส่วนสำนักศึกษาถงซันเพิ่งสร้างขึ้น ก็ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าจะมีมากกว่าสำนักศึกษาไป๋ลู่หรือไม่” สีหน้าซูจิ่งสิงเย็นชาอยู่บ้างสีหน้าซวนลู่กระด้างไป “จิ่งสิง เหตุใดต้องดุข้าถึงเพียงนี้ ข้าเพียงปากไวพูดตามที่ใจคิดเท่านั้น”กู้หว่านเยว่ปรายตามองซวนลู่สายตาเย็นชา “ใครพูดว่าหอสมุดจะมีเพียงตำราเหล่านี้กัน เหล่านี้เป็นเพียงหนังสือที่ข้านำมาจากจวนเท่านั้น หนังสือทั้งหมดอยู่ในคลังเก็บของทางด้านหลังนั่น”บังเอิญตอนนี้อวิ๋นมู่เดินออกมาพอดี “หว่านเยว่ท่านมาพอดี ข้ากำลังจะให้คนไปเชิญท่านมาดูอยู่เชียวว่าตำราเหล่านี้ภายในหอสมุดพอหรือไม่?”“ไป พวกเราเข้าไปดู”กู้หว่านเยว่ตั้งใจทำให้ซวนลู่หุบปาก พาทุกคนเข้าไปดูภายในห้องปรากฏว่าเพียงผ่านเข้าคลังเก็บของ ก็มองเห็นหนังสือถูกเรียงแน่นเอียดอยู่ที่ผนังหอตำรา“สวรรค์ ตำรามากถึงเพี
ท่าทางนั้น ดูรีบร้อนยิ่งนัก รีบร้อนจนหนวดเคราพลิ้วไปตามแรงลมกู้หว่านเยว่คลี่ยิ้ม “ข้าไม่คืนคำ เพียงแต่เป็นกังวลว่าร่างกายของผู้เฒ่าอย่างท่านจะรับไม่ไหวเจ้าค่ะ”“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”โจวเหล่ารีบโบกมือไปมา“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ต่อให้สอนอีกแปดปีสิบปีก็ไม่มีปัญหา”กู้หว่านเยว่ไม่กล่าวสิ่งใดอีก นางรู้ว่าตระกูลของเขามีความปรารถนาอยากสอนเสี่ยวจ้านจ้าน แทบจะกลายเป็นความมกหมุ่นของเขาไปโดนปริยายการที่โจวเหล่าเดินทางมายังสำนักศึกษาถงซัน ได้สร้างความปั่นป่วนให้สำนักไม่น้อยในฐานะที่เฉินจื่อหวังเป็นผู้อำนวยการของสำนักศึกษา ต้องเจียดเวลาจากงานที่ยุ่งเหยิงมารายงานกู้หว่านเยว่“พระชายา จากเงื่อนไขที่ท่านกล่าวมา ข้าได้บอกกับทุกคนไปแล้ว รวมถึงเรื่องที่เด็กสาวสามารถเข้าเรียนในสำนักศึกษาได้ และอีกหลายครอบครัวที่อยากส่งบุตรสาวเข้าเรียนด้วยขอรับ”แม้ว่าเฉินจื่อหวังจะยุ่งจนตัวเป็นเกลียว แต่ก็อดดีใจไม่ได้ ครั้นเห็นสำนักศึกษาแห่งนี้ค่อย ๆ ก่อร่างสร้างตัวขึ้น ต่อไปเขาจะพัฒนาให้สำนักศึกษาแห่งนี้กลายเป็นสำนักที่ดียิ่งขึ้นไปตอนนี้เขาถือว่าสำนักศึกษาแห่งนี้เป็นของบุตรตัวเองไปแล้ว“ขอแค่ตรงตามเงื่อ
“ข้า!”สีหน้าขอ’ซวนลู่ซีดเผือดลง ซูจิ่นเอ๋อร์อดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ “พี่หญิงซวนลู่ ทำไมท่านถึงกล่าวเช่นนี้? จากที่ท่านกล่าวมา คือสตรีไม่ควรออกนอกบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็ออกศึกลงสนามรบ อีกทั้งบัดนี้ข้าเองก็เปิดอาหาร พี่สะใภ้ใหญ่ทำเช่นนี้ก็เพื่อให้โอกาสสตรีในใต้หล้า เหตุใดท่านถึงต้องตำหนิพี่สะใภ้ใหญ่เช่นนี้ด้วย?”“ซวนลู่....”ซูจื่อชิงอยากกล่าวบางอย่าง แต่ถูกเมี่ยชิงหว่านดึงแขนเสื้อไว้ ส่งสายตาตักเตือนไปทางเขาซวนลู่เองก็คาดไม่ถึงว่าซูจิ่นเอ๋อร์จะไม่ช่วยนาง ดวงตาของนางแดงก่ำเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็เป็นแม่ทัพหญิง ยังต้องรักษาหน้า จึงกัดฟันแล้ววิ่งหนีไป“ไปได้เสียที”กู้หว่านเยว่ยืดมือขจัดความเกียจคร้าน นางมิใช่พระแม่มารี ที่เจอคนไม่ชอบหน้าทำตัวน่ารำคาญอยู่ตรงหน้า ก็ยังต้องรักษาหน้าไว้พี่สะใภ้ใหญ่ ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ”ซูจิ่นเอ๋อร์แลบลิ้นเล็กน้อย “ข้าไม่รู้ว่าพี่หญิงซวนลู่จะกล่าวเช่นนี้ออกมา หากรู้ละก็ ข้าไม่มีทางพานางมาที่นี่อย่างแน่นอน”อีกอย่างนางเองก็ดูออกว่าซวนลู่นั้นพยายามหาเรื่องทะเลาะมาตลอดทาง ใจแคบกับพี่สะใภ้ใหญ่“เจ้านะเจ้า ถูกผู้อื่นหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก”กู้หว่านเยว่ไ
“วางใจเถอะ อยู่ในสำนักศึกษาจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ เจ้าได้ดูแลเด็กเหล่านั้นให้ดีเถอะ”กู้หว่านเยว่ผลักซูจิ่งสิงออก แล้วคว้ามือซ่งเสวี่ยเดินไปด้านหลัง“เรากำลังจะไปไหน?”“ไปห้องด้านหลัง เมื่อครู่เฉินจื่อหวังบอกไม่ใช่หรือว่าโจวเซิงได้รับบาดเจ็บ เราไปดูเขาสักหน่อยเถอะ”กู้หว่านเยว่ตั้งใจกล่าวเช่นนี้ นางจึงเห็นว่านัยน์ตาของซ่งเสวี่ยวูบไหว แสดงท่าทีกังวลใจ“เราไปเช่นนี้ ไม่เป็นการเสียมารยาทหรอกหรือ?”“คนกันเองทั้งนั้น มีอะไรต้องเสียหรือไม่เสียมารยาทกันเล่า อีกอย่างสำนักศึกษาถงซันแห่งนี้ก็เป็นของข้า ต่อไปโจวเซิงก็ต้องมาเรียนตำราที่นี่ ถือว่าเป็นคนภายใต้การปกครองของข้า ข้าไปปลอบขวัญเขาก็สมควรแล้วนี่”เหตุผลของกู้หว่านเยว่นั้นไร้ข้อกังขา ประกอบกับที่ซ่งเสวี่ยนั้นมีความเป็นกังวล จึงพยักหน้าเห็นด้วยทั้งสองคนเดินมาถึงบริเวณด้านนอกของหอพักในสำนักศึกษา ครั้นเดินเข้ามาใกล้ก็ได้ยินเสียงอ่านตำราระลอกหนึ่งดังมาจากด้านในครั้นได้ยินว่าเป็นเสียงของโจวเซิง ซ่งเสวี่ยก็ยิ่งหักนิ้วเสียงดังเป๊าะอย่างเป็นกังวลกู้หว่านเยว่ยิ้มพลางมองนาง ก่อนหน้านั้นตอนที่พี่หญิงซ่งเสวี่ยและโจวเซ่ออยู่ด้วยกันก็ไม่เคย
“คุณชายโจวอย่าเข้าใจผิด ข้าเป็นแม่คนแล้ว ปากอาจจะไวไปเสียหน่อย ยิ่งเห็นจมูกเจ้าบาดเจ็บ ก็มักจะนึกถึงเด็ก ๆ ในบ้านที่ชอบชนโน้นชนนี้อยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงอดกล่าวบ้างไม่ได้”ไหนเลยโจวเซิงจะเข้าใจผิด เขาดีใจแทบไม่ทันต่างหาก ซ่งเสวี่ยเป็นห่วงเขาเช่นนี้ เขาคาดไม่ถึงจริง ๆน้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็มองไปทางซ่งเสวี่ยอย่างระมัดระวัง “ขอบคุณฮูหยินน้อยที่เป็นห่วง เพียงแต่ในห้องของข้าไม่มียา แต่ข้าจำมันได้ขึ้นใจ ข้าจึงให้ผู้ติดตามออกไปซื้อให้แล้ว ประเดี๋ยวก็ค่อย ๆ ทำแผลที่จมูกไป”ครั้นซ่งเสวี่ยเห็นเขากล่าวกับตนจริงจังเช่นนี้ จึงคลี่ยิ้มพริ้มตั้งแต่สูญเสียสามีไป น้อยนักที่นางจะยิ้มต่อหน้าผู้อื่น อย่างมากก็แค่ยิ้มอย่างเบิกบานใจเมื่อตอนอยู่พูดคุยกับกู้หว่านเยว่เท่านั้น ส่วนใหญ่จะทำสีหน้าเย็นชา สีหน้าวิตกกังวลตลอดเวลายิ้มครั้งนี้คล้ายกับน้ำแข็งที่ละลายในสายน้ำฤดูใบไม้ผลิ โจวเซิงนิ่งงันเป็นไก่ไม้ไปเลยทีเดียวเขาจ้องเขม็งไปทางซ่งเสวี่ยครู่หนึ่ง ด้วยสติที่เหม่อลอยซ่งเสวี่ยคลี่ยิ้ม กระทั่งพบถึงความผิดปกติโจวเซิงยังคงจ้องมองนางตลอดใบหน้าของนางร้อนผ่าวคล้ายไฟที่ลุกโชน จา
ในทะเลสาบที่เต็มไปด้วยใบบัวสีเขียวจำนวนมากลอยอยู่บนผิวน้ำ มีปลาคาร์พสีแดงสดใสแหวกว่ายอยู่ในน้ำ ทันทีที่กู้หว่านเยว่ขึ้นเรือมา ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างนางยังคิดอยู่เลยว่าเป็นเพราะตนคิดมากเกินไป ครั้นเห็นซ่งเสวี่ยยกยิ้มบาง ๆ ก็เลยเดินไปนั่งกับนาง“บนเรือมีอาหารปลาด้วยนะ พวกท่านให้อาหารปลาได้”โจวเซิงกล่าวอย่างใส่ใจ แล้วคลี่ยิ้มพลางพายเรือซ่งเสวี่ยหยิบอาหารปลาแล้วโปรยลงในน้ำ พริบตาเดียวก็ดึงดูดฝูงปลาคาร์พสีแดงเข้ามาหาเป็นจำนวนมาก“ฤดูกาลนี้ หากมีดอกบัวก็คงจะดี” สายตาของซ่งเสวี่ยทอดมองไปด้านหน้า โจวเซิงจึงกล่าวต่อ “ดอกบัวในแม่น้ำจินงดงามที่สุด เป็นดอกบัวสิบลี้”“เจ้าเคยไปหรือ?” นัยน์ตาซ่งเสวี่ยเปล่งประกายเล็กน้อย ทั้งสองคนราวกับเจอคู่ขา“ใบบัวสีเขียวมรกตทอดยาวถึงปลายขอบฟ้า นี่คือทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดที่ข้าเคยเห็นมาในโลกหล้า”ทั้งสองคนรู้สึกว่าพวกเขาเจอกันช้าไป ยิ่งคุยก็ยิ่งถูกคอ บรรยากาศค่อย ๆ ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายความรักที่หอมหวาน กู้หว่านเยว่กลับสัมผัสได้ถึงอันตรายฉับพลัน ไม่นานก็เกิดเสียง ‘แกรก ๆ’ ดังขยายออกมาจากใต้เท้าของโจวเซิง เรือลำนี้กำลังรั่ว“ช่วยด้วย!”
จากสำนักศึกษาถงซันมาถึงบ้านสกุลโจวยังต้องใช้เวลาเดินทางอีกหนึ่งชั่วยาม หากปล่อยไว้เช่นนี้ มีหวังเจ้าตัวคงได้ป่วยระหว่างแน่นอนหาเสื้อผ้าสะอาด ๆ ให้สักชุด เปลี่ยนให้นางก่อนแล้วค่อยว่ากัน“มี ๆ”เฉินจื่อหวังรีบกล่าว “อวิ๋นจิ่นอาศัยอยู่ในสำนักศึกษา ข้าจะให้คนพาพวกเจ้าไปขอเสื้อผ้าจากนาง”กู้หว่านเยว่เคยเตือนก่อนหน้านั้น หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็น เวลานี้เจียงอวิ๋นจิ่นพยายามจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนเจียงอวิ๋นจิ่นเองก็เชื่อฟังมาก ย้ายเข้ามาอยู่ในสำนักศึกษา แทบจะไม่เคยปรากฏตัวเลยคนเหล่านั้นพากันไปหาเจียงอวิ๋นจิ่น เจียงอวิ๋นจิ่นเห็นกู้หว่านเยว่พาคนเดินเข้ามา ก็รีบให้สาวใช้ไปชงชาให้พวกเขาทันทีเฉินจื่อหวังชี้ไปทางซ่งเสวี่ยและอธิบาย “อวิ๋นจิ่น สตรีผู้นี้คือฮูหยินน้อยโจว นางจมน้ำ เจ้ามีเสื้อผ้าให้นางเปลี่ยนบ้างหรือไม่?”“มี ข้าจะไปเตรียมให้เดี๋ยวนี้”เจียงอวิ๋นจิ่นรีบเดินไปหยิบเสื้อผ้าหนึ่งชุดออกมา “รูปร่างของข้าไม่ได้สูงเท่าฮูหยินน้อยโจว เกรงว่าเสื้อผ้าของข้าอาจจะเล็กไปเล็กน้อย”“เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา ข้าใส่ได้” ซ่งเสวี่ยรับเสื้อผ้าไป จากนั้นก็เข้าไปเปลี่ยนในห้องกับแม่นมฉ
เจียงอวิ๋นจิ่นอยากไป แต่นางกลัวว่าตัวเองจะทำได้ไม่ดี ทำให้กู้หว่านเยว่ต้องผิดหวัง“ได้สิ เจ้าคิดดีแล้วก็ค่อยมาหาข้าที่จวนกู้”กู้หว่านเยว่ช่างพูดช่างจายิ่งนัก เจียงอวิ๋นจิ่นอดยิ้มอย่างเขินอายไม่ได้ นางชอบกู้หว่านเยว่มาก การได้ทำงานภายใต้การปกครองของกู้หว่านเยว่ นางดีใจมากในตอนนี้เอง ซ่งเสวี่ยเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเดินออกมา“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”โจวเซิงรุดหน้าเข้าไปด้วยความเป็นห่วงที่ไม่อาจปิดบังได้ซ่งเสวี่ยส่ายหน้า สีหน้ายังดูอ่อนแออยู่เล็กน้อย “ไม่เป็นไร ดื่มน้ำขิงสักชามก็ดีขึ้นแล้ว”“ขอโทษนะ....”“ไม่มีอะไรต้องขอโทษ คุณชายโจวก็จมน้ำเหมือนกับข้ามิใช่หรือ?”ซ่งเสวี่ยคลี่ยิ้มพริ้ม ไม่ได้จะโทษเขาเลยสักนิด“คุณชายโจว ท่านรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ”ซ่งเสวี่ยเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขายังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ยังคงยืนรออยู่ในลานกว้างตลอด เพื่อดูว่านางปลอดภัยดีหรือไม่คนผู้นี้ช่างโง่เขลายิ่งนัก“ข้าจะไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้” โจวเซิงเห็นว่านางไม่เป็นไร จึงกล้าจากไปอย่างวางใจหวังจื่อหนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เมื่อครู่ข้าให้คนไปตรวจสอบเรือลำนั้นแล้ว เรือไม่มีปัญหา ไม่รู้ว่าทำไ
“ผ่อนคลายไปทั้งตัว”เยียนอวิ๋นชูยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า แม้ว่าตอนนี้เขายังเดินเหมือนคนปกติไม่ได้ แต่ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายรู้สึกสบายตัวขึ้นมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนที่ถูกพิษ ไม่รู้สึกกระสับกระส่ายและกดดันอีกต่อไป แม้แต่จิตใจก็ยังเบิกบานขึ้นมาก“ดี เดี๋ยวข้าจะเขียนใบสั่งยาเพื่อบำรุงร่างกายให้ท่าน”หลังจากตื่นแล้ว กู้หว่านเยว่ก็เป็นห่วงความปลอดภัยของซูจิ่งสิงเขามุ่งหน้าไปส่งจดหมายที่เมืองอูถ่านตามลำพัง และไม่รู้ว่าได้พบกับเยียนสือซานหรือไม่เช่นเดียวกับกู้หว่านเยว่ เยียนอวิ๋นชูก็เป็นห่วงความปลอดภัยของพี่ชายของตัวเองเช่นกัน กลัวว่าเขาจะตกหลุมพรางของเหยลวี่เจิงทั้งสองตัดสินใจทันทีว่าจะรับประทานอาหารกลางวันบนรถม้า ตอนนี้พวกเขาจะไปเก็บสัมภาระ มุ่งหน้าไปยังเมืองอูถ่านทันที“ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่ใหญ่จะเป็นอย่างไรบ้าง”สีหน้าของเยียนอวิ๋นชูเป็นกังวล เสี่ยวถ่านจับจ้องไปที่ใบหน้าที่หล่อเหลาจนทั่วหล้าต้องขุ่นเคืองของเขา พลางถามอย่างอ่อนแรง“พี่รอง ควรอำพรางตัวให้พี่รองเยียนด้วยหรือไม่?ท่านดูสิเขาหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ ออกไปเดินบนท้องถนนต้องดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายเป็นแน่ ทัน
เยียนอวิ๋นชูน่าสงสารนัก กู้หว่านเยว่ก็ใจอ่อนในชั่วพริบตา“เชื่อข้าเถอะ พิษในร่างกายของท่านจะถูกขับออกมาแน่นอน ต่อไปท่านจะไม่สูญเสียการควบคุมอีกแล้วแต่ขาของท่าน เนื่องจากไม่ได้เดินมานานเกินไป อาจต้องใช้เวลาถึงครึ่งปี จึงจะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ”“นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ”เยียนอวิ๋นชูก็ไม่ได้คาดหวังว่าขาของเขาจะหายดีได้ในชั่วข้ามคืนพิการมานานสิบกว่าปี ได้มีความหวังที่จะยืนขึ้นได้อีกครั้ง สำหรับเขาก็เป็นพรอันยิ่งใหญ่แล้วเขาดื่มยาหม้อหมดในคราเดียวในไม่ช้า ความไม่สบายก็เข้ามาภายในร่างกาย“ยาหม้อนี้มีสรรพคุณในการล้างพิษ ต่อไปท่านอาจจะรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย อาจถึงขั้นมีไข้สูง แต่ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะอยู่เคียงข้างท่าน”กู้หว่านเยว่หยิบเข็มเงินออกมาอย่างเป็นระเบียบขั้นตอน ราวกับว่ามองเห็นเหตุการณ์นี้ไว้ล่วงหน้าแล้วน้ำเสียงสุขุมของนาง ทำให้จิตใจที่ไม่เป็นสุขของเยียนอวิ๋นชูสงบลงมากร่างกายเจ็บปวดมากเกินไป เขาจึงพยายามหลับตาทั้งสอง ข่มความเจ็บปวดนี้เอาไว้เหงื่อเย็นเยียบพรั่งพรูออกมาจากร่างกายของเขาดั่งสายฝนกู้หว่านเยว่ถือผ้าขนหนูไว้ คอยเช็ดเหงื่อให้เขาอย่างอดทน เมื่อพบว่าเขาทนไม่ไ
ความคิดของเยียนอวิ๋นชูเปลี่ยนไปโดยพลัน เขาไม่คิดว่ากู้หว่านเยว่ จะหลอกลวงเขาในเรื่องแบบนี้ แสดงว่าร่างกายของเขาถูกวางยาพิษจริง ๆ และพิษนี้เริ่มตั้งแต่ขาทั้งสองของเขายืนไม่ได้ อย่างน้อยก็สิบกว่าปีแล้วเยียนอวิ๋นชูนึกย้อนกลับไปในหัวใครกันที่สามารถวางยาพิษเขาได้ในช่วงเวลานั้น แต่กลับไม่ได้อะไรเลย เวลามันเนิ่นนานเกินไปแล้วเขารู้ว่า ในขณะนี้สิ่งที่สำคัญไม่ใช่การตามหาคนที่วางยาพิษ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการล้างพิษในร่างกายของเขา“เจ้า เจ้าล้างพิษในร่างกายของข้าได้ไหม?”“ตอนนี้รู้จักขอร้องข้าแล้วหรือ เมื่อครู่ยังหน้าซีดรีบร้อนขับไล่ข้าออกไปมิใช่หรือ?”กู้หว่านเยว่กะพริบตายั่วเย้า ใช้น้ำเสียงหยอกล้อ ทำให้เยียนอวิ๋นชูหน้าแดง แทบจะพาลโกรธเอาดื้อ ๆ อีกครั้ง“เจ้า...”เมื่อเห็นเขากัดริมฝีปาก กู้หว่านเยว่ก็หัวเราะคิกคัก“เอาล่ะ ข้าแค่หยอกล้อท่านเฉย ๆ ข้าสามารถล้างพิษได้ วางใจเถิด”นางปลอมตัวเป็นผู้ชาย ใบหน้าหล่อเหลาอยู่แล้ว ในเวลานี้ได้เผยรอยยิ้มที่น่าหลงใหลออกมาอย่างฉับพลันเยียนอวิ๋นชูตกตะลึงไปชั่วขณะ มองดูใบหน้าที่เปล่งประกายของนาง รู้สึกว่าหัวใจนั้นเต้นแรงเขารีบกุมหัวใจเอาไว้ แล
เซียวหลิ่นหลีกทางให้โดยจิตใต้สำนึก กู้หว่านเยว่กำลังจะจับมือของเยียนอวิ๋นชู แต่ฝ่ายหลังกลับดันรถเข็นถอยหลังอย่างไม่คาดคิดปากก็ยังด่าทอเสียงดัง“ไปให้พ้น ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาสงสารข้า เจ้าเป็นอะไรกับข้าหรือ ปล่อยข้าไว้คนเดียวให้สงบสติอารมณ์สักพัก รีบออกไปให้พ้นเดี๋ยวนี้!”เยียนอวิ๋นชูคำรามลั่น ใบหน้าหล่อเหยเกเล็กน้อย คำพูดที่เอ่ยออกมาแย่มากจนทำให้มุมปากของเซียวหลิ่นกระตุก“คุณชายรอง!”คุณชายรองเกิดลมบ้าหมูอะไรขึ้นมา จอมยุทธหนุ่มท่านนี้เมื่อครู่สามารถใช้เข็มเงินนั่นฆ่าใครก็ได้ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่านี่คือบุคคลที่มีทักษะทางการแพทย์สูงมาก หวังดีจะช่วยชีวิตเขา เหตุใดเขาถึงยังด่าทออย่างรุนแรง?“จอมยุทธหนุ่ม ขอโทษด้วยจริง ๆ”เซียวหลิ่นรีบขอโทษกู้หว่านเยว่ หวังว่านางจะใจกว้างไม่ถือสาคนต่ำทรามและกู้หว่านเยว่ก็มองดูท่าทางต่อต้านของเยียนอวิ๋นชู ครุ่นคิดเล็กน้อยก็รู้ว่าเขากำลังกังวลเรื่องอะไร“ท่านผู้นี้ ช่างดื้อรั้นเสียจริง!”เขาคงกลัวว่าจะสูญเสียการควบคุมและทำร้ายนาง ดังนั้นเขาจึงพูดจาดุดันเพราะต้องการขับไล่นางออกไป ทั้ง ๆ ที่นัยน์ตานั้นเต็มไปด้วยความกังวล แต่ก็ยังดึงดันที่จะแสร้ง
“เจ้าจะช่วยส่งจดหมายให้พวกข้าหรือ?”เยียนอวิ๋นชูมองไปที่กู้หว่านเยว่อย่างคาดไม่ถึง ดวงตาแจ่มใสทั้งคู่ที่มองไปที่กู้หว่านเยว่ เขาเชื่อมั่นในตัวนางมากจริง ๆ“ไม่ได้ มันจะทำให้เจ้ายุ่งยากเกินไป”เยียนอวิ๋นชูใจเต้นอยู่ชั่วขณะ หันหน้าไปอย่างรวดเร็วอาจเป็นเพราะหลายทศวรรษที่ผ่านมา เขาเคยชินกับการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยท่าทีเฉยชา ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาอันสั้นการเอาตัวออกห่าง เป็นวิธีการปกป้องตัวเอง และปกป้องมิตรสหายของเขาด้วยกู้หว่านเยว่ถือโอกาสรับจดหมายของเขามา “เฮ้อ ท่านอย่ามัวชักช้าเลย ฟังจากคำพูดของท่าน พี่ชายของท่านไปที่เมืองอูถ่านแล้ว หากช้ากว่านี้ก็คงไม่ทันกาล เอาจดหมายมาให้ข้า พวกข้าจะไปส่งให้ท่านเอง”เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่โผงผางเช่นนี้ เยียนอวิ๋นชูก็เบิกตาทั้งสองกว้างอย่างตกตะลึง“เจ้า เจ้า...” เขาคงไม่สามารถแย่งจดหมายกลับมาได้อีกแล้วกระมัง?“คุณชายรอง ในเมื่อวีรบุรุษหนุ่มทั้งสองท่านนี้ต้องการช่วยเหลือเรา สู้เราเอาจดหมายให้พวกเขาดีกว่า สถานการณ์เร่งด่วน เราไม่อาจมัวลังเลได้”เซียวหลิ่นที่อยู่ข้าง ๆ รีบเอ่ยขึ้น ความจริงเขาก็กำลังคิดจะขอความช่วยเหลือจากกู้หว่านเยว่ เพีย
จากระดับความรักที่พี่ชายมีต่อเขา ต้องตามราวีซูจิ่งสิงอย่างไม่เลิกราแน่นอนลองคิดดูอีกที ช่วงนี้ใครอีกที่ต้องการยืมมือของพี่ชายเพื่อฆ่าซูจิ่งสิง“เหยลวี่เจิง”ดวงตาของเยียนอวิ๋นชูขรึมลงเล็กน้อย พูดอย่างโกรธเกรี้ยว “เขาต้องการฆ่าข้า จากนั้นค่อยยืมมือพี่ชายของข้าฆ่าซูจิ่งสิง”กู้หว่านเยว่ตกตะลึงเล็กน้อย เยียนสือซานรับปากเหยลวี่เจิงว่าจะไปฆ่าซูจิ่งสิงตั้งแต่แรกแล้วมิใช่หรือ?หรือว่าเขาจะยังไม่ตอบตกลง!เหยลวี่เจิงจึงเสี่ยงเพราะเข้าตาจน วางแผนที่จะใช้เยียนอวิ๋นชูมายั่วยุความโกรธแค้นระหว่างเขากับซูจิ่งสิง?อย่างนี้เยียนอวิ๋นชูจึงไม่รู้เรื่องอะไรเลยและเยียนสือซานก็ไม่ถือเป็นศัตรูของพวกเขาในขณะนี้“รีบนำปากกาและพู่กันมาให้ข้า ข้าต้องเรียบเรียงจดหมายส่งให้พี่ใหญ่ ไม่ให้เขาตกหลุมพรางของคนอื่นอย่างเด็ดขาด”เยียนอวิ๋นชูรีบขอกระดาษและพู่กันจากองครักษ์ กู้หว่านเยว่ถามด้วยความใคร่รู้“พี่ใหญ่ของท่านอยู่แถวนี้หรือ?”เยียนอวิ๋นชูมองไปที่กู้หว่านเยว่ แม้ว่าสายตาของเขายังคงเย็นชาเหมือนในตอนแรก แต่ที่จริงแล้วในใจของเขามีความเชื่อถือต่อกู้หว่านเยว่ตั้งนานแล้ว“ไม่ใช่ พี่ใหญ่อยู่ในเมืองอูถ่าน”
“โอ๊ย!” ชายที่ลอบโจมตีร้องโหยหวน ก่อนจะล้มลงกับพื้นกู้หว่านเยว่มองไปที่เยียนอวิ๋นชูอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะใช้อาวุธลับและเมื่อพิจารณาจากความแข็งแกร่งของอาวุธลับนี้แล้ว ก็ไม่ได้เป็นรองธนูในมิติของนางดูเหมือนว่าเยียนอวิ๋นชูก็ไม่ใช่คนพิการที่ไร้ประโยชน์เช่นกันชายผู้นั้นล้มลงกับพื้น เมื่อเห็นสหายถูกฆ่าตายหมด ก็โกรธจนกระอักเลือดออกมาเต็มปากเขารู้อยู่แก่ใจว่าสถานการณ์เลวร้ายลงจนไม่อาจแก้ไขได้แล้ว ก่อนจะตะโกนลั่นด้วยสายตาที่ชั่วร้าย“พวกเจ้าสองคนสมควรตาย มาทำลายแผนการของเจิ้นเป่ยอ๋อง ท่านอ๋องจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”หลังจากพูดจบ หน้าอกของเขาก็ถูกลูกศรของซูจิ่งสิงเจาะทะลุ หลังจากกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ก็ขาดใจตายในทันใดมองดูร่างของชายผู้นั้น กู้หว่านเยว่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็โกรธจัดนี่มันอะไรกัน? ก่อนตายยังไม่หยุด ยังโยนความผิดมาใส่ตัวพวกเขาอีก!“เจิ้นเป่ยอ๋อง?”สีหน้าของเยียนอวิ๋นชูเปลี่ยนไปตามคาดได้ยินมาว่าที่ครั้งนี้พี่ใหญ่ได้รับเชิญให้ไปทูเจวี๋ย ก็เพื่อช่วยเหลือแม่ทัพเหยลวี่เจิ้งแห่งทูเจวี๋ยในการสังหารเจิ้นเป่ยอ๋องเพียงแต่ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุอันใด พี่ใหญ่ถึงไม่ตอบตกลง
“พี่ใหญ่เกิดเรื่อง ข้าจะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร?”คำพูดขององครักษ์เยียนอวิ๋นชูฟังไม่เข้าหูเลย เขาขมวดคิ้วอย่างหนัก แล้วหมุนวงล้อด้านล่างวนรอบห้องเหมือนเดิมนี่คือสีหน้าของเขาเวลาตึงเครียดและในเวลานี้เอง ก็มีคนสองคนวิ่งเข้ามาจากด้านนอกประตู ทั้งคู่สวมเสื้อผ้าสีดำ ถือมีดเล่มใหญ่ไว้ในมือ จ้องมองเยียนอวิ๋นชูตาเป็นมัน“พวกเจ้าเป็นใคร บุกรุกเข้ามาทำไม?”“แหะ ๆ คุณชายรองสกุลเยียนยังมัวกังวลว่าพวกข้าคือใคร สนใจชีวิตของตัวท่านเองก่อนเถอะ” หนึ่งในนั้นยิ้มเยาะเยียนอวิ๋นชูก็ไม่ใช่คนโง่เขลาเช่นกัน เมื่อพิจารณาจากท่าทางของคนทั้งสอง แล้วนึกถึงจดหมายลับที่เขาเพิ่งได้รับมาอย่างไร้ที่มาที่ไป ก็เข้าใจในทันทีว่ามีคนจงใจวางกับดักไว้ต้องการโยกย้ายองครักษ์ที่อยู่ข้างกายเขาไปที่อื่น แล้วค่อยปลิดชีวิตเขา“พวกเจ้าไม่รู้จักตัวตนของข้าหรือ หากพี่ชายของข้ารู้เรื่องนี้ เขาจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปเด็ดขาด”เยียนอวิ๋นชูเกลี้ยกล่อมให้พูดความจริง คนที่บุกเข้ามาอีกคนก็หัวเราะหึหึ “พี่ชายของท่านไม่ใช่มือสังหารอันดับหนึ่งในรายชื่อหรอกหรือ นายของพวกข้าไม่เห็นพี่ชายของท่านอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ”เยียนอวิ๋นชูจับคำสำคัญได้
กู้หว่านเยว่แจ้งรายชื่ออาหารห้าหกรายการติดต่อกัน บริกรดีใจจนยิ้มไม่หุบ“ได้ขอรับ นายท่านกรุณารอสักครู่ อีกครึ่งชั่วยาม ข้าน้อยจะนำอาหารไปส่งที่ห้องพักของนายท่าน”“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”กู้หว่านเยว่ยื่นเงินให้ แล้วหันหลังเดินขึ้นบันไดไปแต่ในขณะที่เดินผ่านห้องพัก กลับได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากข้างใน“...จำไว้นะ ลงมือทันทีที่ฟ้ามืด สังหารเยียนอวิ๋นชูได้เลย”ชื่อที่คุ้นเคยทำให้กู้หว่านเยว่ชะงักฝีเท้า รีบหลบไปแอบฟังอยู่ข้าง ๆ“เจ้าจัดเตรียมข้าวของทุกอย่างพร้อมแล้วหรือยัง?”“จัดเตรียมพร้อมแล้ว ไม่เห็นหรือ นี่คือหนังสือที่เขียนด้วยเลือด ข้าให้คนเขียนเลียนแบบลายมือของเยียนอวิ๋นชู”ชายคนหนึ่งในนั้นกล่าวอย่างภาคภูมิใจแค่เพียงเยียนสือซานได้เห็นหนังสือเลือดเล่มนี้ ก็จะระบุตัวฆาตกรว่าเป็นซูจิ่งสิง แล้วก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเราอีกในใจของกู้หว่านเยว่เริ่มเกิดคลื่นถาโถม ชายสองคนที่วางแผนลับอยู่ในห้องคือใครกัน พวกเขาต้องการฆ่าเยียนอวิ๋นชู ซ้ำยังจะโยนบาปนี้มาให้ซูจิ่งสิงอีก?เพื่อความปลอดภัย กู้หว่านเยว่ไม่ได้บุกเข้าไปในห้อง แล้วจับกุมพวกเขาในทันทีแต่เจาะหน้าต่างอย่างระ