หุบเขาราชาโอสถ ไม่ใช่พวกปลาซิวปลาสร้อยทั่ว ๆ ไปจะเข้ามาได้“เจ้าหนูสกุลซู เรื่องก่อตั้งหุบเขาราชาโอสถ ฝากเจ้าช่วยใส่ใจด้วยนะ”ในที่สุดสายตาของปรมาจารย์แพทย์ก็มองเห็นซูจิ่งสิง ซูจิ่งสิงจูงมือของกู้หว่านเยว่ จากนั้นหยักหน้า“น้องหญิงสนับสนุนท่านผู้อาวุโส ข้าก็สนับสนุนด้วยเช่นกัน”“บ้าเอ๊ย เริ่มอวดความหวานกันอีกแล้ว ข้าไปก่อนละ ไปแล้ว”ปรมาจารย์แพทย์วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วเขาจะรับลูกศิษย์ก่อน จากนั้นหาสถานที่ก่อตั้งหุบเขาราชาโอสถ!“ปรมาจารย์แพทย์เปลี่ยนไปมาก หากเทียบกับเมื่อก่อน”ซูจิ่งสิงจูงมือของกู้หว่านเยว่ แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนหน้านี้ปรมาจารย์แพทย์ไม่เคยสนใจชีวิตความเป็นความตายของใคร“นี่เป็นเรื่องที่ดี”ทั้งสองคนเข้าไปในจวน ไปดูจ้านจ้านที่หลังเรือน เช้าวันรุ่งขึ้น หวังปี้และซูหรานหร่านก็มาจากหมู่บ้านสือหานทั้งสองคนมาเพื่อแสดงความยินดี“ข้าตั้งครรภ์แล้ว”ซูหรานหร่านลูบท้องของนาง บนใบหน้ามีความอ่อนโยนของการที่จะได้เป็นแม่คน“หมอบอกว่าสองเดือนแล้ว”เพราะเป็นหลานสาวแท้ ๆ นางหยางและซูจิ้งก็ยินดีกับนางเช่นกันคิดดูแล้วหวังปี้ก็เป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อแม่ส่วนซูหรานหร่าน
“โชคดีที่ซูหรานหร่านกลับไปแล้ว”กู้หว่านเยว่รู้สึกละอายใจ มิฉะนั้นถ้าสกุลซูก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา ลูกในท้องของนางก็อาจจะอันตราย“ไม่ต้องห่วง ในเมื่อเขาอยากก่อเรื่อง ก็ปล่อยให้เขาก่อเรื่องให้เต็มที่ไปเลย”ซูจิ่งสิงแสดงสีหน้าเย็นชา การไม่ลงมือฆ่าพวกเขา ถือเป็นความเมตตาสุดท้ายของเขาแล้วแต่อีกฝ่ายบุกมาถึงที่ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะจัดการพวกเขาด้วยตัวเองทั้งสองคนไม่ได้ใส่ใจสกุลซู หลังจากจัดการธุระเสร็จแล้ว เซวียผิงก็มาที่จวนกู้โดยเฉพาะ เพื่อคุกเข่าคำนับซูจิ่งสิง“ขอบคุณนายท่านที่ให้โอกาสนี้แก่ข้า ทำให้ข้าสามารถล้างแค้นให้ภรรยาผู้ล่วงลับได้”นายท่านเซวียถูกตัดหัวประจานต่อหน้าธารกำนัลแล้วเซวียผิงรอมาเกือบสิบปี ในที่สุดก็ได้ล้างแค้นให้ภรรยาผู้ล่วงลับ เขาซื้อดอกไม้ช่อหนึ่งและถือเหล้ากาหนึ่ง ไปที่หลุมศพของภรรยาอย่างมีความสุขหลังจากไหว้หลุมศพแล้ว ก็มาหาซูจิ่งสิงเพื่อขอบคุณ“ลุกขึ้นเถิด นี่เป็นสิ่งที่เจ้าควรได้รับ”ซูจิ่งสิงก็ชื่นชมว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ“จากนี้ไป ข้าน้อยยินดีสวามิภักดิ์ต่อนายท่าน ทุ่มเททั้งกายและใจ จนกว่าชีวิตจะหาไม่”เซวียผิงแสดงความจงรักภักดีความแค้นได้รับการ
“หลี่มั่น เหตุใดถึงเป็นเจ้า เจ้า เจ้าถูกเนรเทศไปแล้วมิใช่หรือ?”เรื่องของสกุลเซวีย เป็นเรื่องที่โด่งดังไปทั่วเมืองอวี้แล้วช่วงนี้ตามตรอกซอกซอย หัวข้อสนทนาของชาวบ้านหลังมื้ออาหารก็คือเรื่องการล่มสลายของสกุลเซวียหลี่ชิวเตี๋ยก็รู้ความจริงของเรื่องราวทั้งหมดแล้วแท้จริงแล้ว เจ้าของร้านเพียวเซียงที่คอยสร้างความรำคาญใจให้นางตลอดหลายวันมานี้ กลับเป็นเพื่อนรักของนาง!เดิมทีนางอยากจะไปตบหน้าเซวียฮูหยินสักฉาดแต่บ่าวที่ส่งไปสืบข่าวบอกนางว่านายท่านเซวียถูกตัดหัวประจานแล้ว และทุกคนในสกุลเซวียจะถูกเนรเทศไปยังเมืองตะวันไม่ตกดินในวันนี้หลี่ชิวเตี๋ยเป็นคนใจอ่อน เมื่อเห็นว่าเซวียฮูหยินได้รับผลกรรมแล้ว นางก็ไม่คิดจะซ้ำเติมอีกคาดไม่ถึงเลยว่าเซวียฮูหยินจะหนีกลับมาได้และนางยังกล้ามาลอบสังหารกู้หว่านเยว่ ดูจากมีดเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าเล็งไปที่กู้หว่านเยว่“หลี่มั่น เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?”เซวียฮูหยินหลบสายตา ไม่กล้าสบตากับหลี่ชิวเตี๋ย“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ข้าจะฆ่ากู้หว่านเยว่!”หลี่มั่นตัวบวมแดงไปหมด จ้องมองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาอาฆาต“เจ้า เจ้าเป็นคนลงมือจัดการกับสกุลเซวียของข้า
“นั่นเป็นเพราะว่านายท่านเข้าใจข้าผิด เขาคิดว่าข้าและเจ้าของร้านเสิ่นมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว แต่ปกติเขาก็ดีกับข้ามาก”เซวียฮูหยินจ้องมองด้วยสายตาอาฆาต “เจ้าเป็นคนฆ่านายท่าน ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต”พูดประโยคนี้จบ นางก็พุ่งเข้าใส่กู้หว่านเยว่โดยตรงเซวียฮูหยินเป็นเพียงสตรีในเรือนหลัง ไม่มีวรยุทธ์เลยการกระทำของนางในสายตาของกู้หว่านเยว่ ดูตลกสิ้นดีกู้หว่านเยว่เพียงแค่ถอยหลังเบา ๆ อีกฝ่ายก็ล้มลงกับพื้นเซวียฮูหยินรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย ความสิ้นหวังนี้เกิดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ“กู้หว่านเยว่ เหตุใดเจ้าต้องฆ่านายท่านของข้าด้วย? พวกเราสองคนน่าจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขแท้ ๆ แต่เจ้ากลับทำลายทุกอย่าง”หลี่ชิวเตี๋ยอดไม่ได้ที่จะพูดจาเหน็บแนม “เลิกพูดเถอะ ถึงแม้นายท่านเซวียจะยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เจ้าก็ไม่มีทางมีความสุขหรอก”“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”“ง่ายมาก เขามีผู้หญิงมากมายอยู่ข้างนอกก่อนหน้านี้ ตอนที่เราสนิทกัน ข้าก็บอกเจ้าไปตั้งนานแล้วมิใช่หรือ?เขาไม่ใช่คู่ครองที่ดี”หลี่ชิวเตี๋ยเบ้ปากอย่างดูถูกเหยียดหยาม เมื่อก่อนนางกับเซวียฮูหยินก็เป็นเพื่อนสนิทกัน มีมิตรภาพที่ดีต่อ
“กู้หว่านเยว่ เจ้าทำลายข้า!”เซวียฮูหยินดึงปิ่นปักผมออกมา แล้วพุ่งเข้าหานางด้วยสายตาอาฆาต ชิงเหลียนรีบชักดาบยาวออกมา กลับเห็นเซวียฮูหยินพุ่งเข้ามาพุ่งเข้ามาชนดาบของนางด้วยลำคอ“อ๊า!”หลี่ชิวเตี๋ยตกใจกลัวจนต้องหลบเลือดที่กระเซ็นออกมา สีหน้าตื่นตระหนก“นาง นางอยากตาย...”ทุกคนต่างมองออกว่าเซวียฮูหยินจงใจหาเรื่องตายเองนางไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว“หลี่มั่น เพื่อผู้ชายคนเดียว มันคุ้มค่าหรือ?”หลี่ชิวเตี๋ยก้มลง พบว่าเซวียฮูหยินสิ้นใจตายคาที่แล้ว นางถอนหายใจเบา ๆ ครั้งหนึ่งนางก็เคยโง่เขลาเพื่อผู้ชายแบบนี้“เถ้าแก่เนี้ย ท่านพอจะมอบศพของหลี่มั่นให้ข้าได้หรือไม่”ในฐานะเพื่อนรักที่เคยผูกพันกันมา หลี่ชิวเตี๋ยอยากให้นางได้ไปสู่สุคติ“ตามใจเจ้า”กู้หว่านเยว่เตือนด้วยความหวังดี “นางมีผื่นแดงขึ้นเต็มตัว เจ้าอย่าไปแตะต้องจะดีกว่า”“เจ้าค่ะ”หลี่ชิวเตี๋ยเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีผื่นแดงขึ้นเต็มคอของเซวียฮูหยิน นางตกใจจนรีบชักมือกลับ คาดว่าคงติดโรคผิวหนังมาจากคุกใต้ดินที่สกปรกกู้หว่านเยว่ไม่ได้สนใจเซวียฮูหยิน หันหลังแล้วเดินจากไปนางไม่ได้ใจดีเหมือนหลี่ชิวเตี๋ย คนที่คิดจะฆ่านาง ไม่ลากไปให้สุนั
อวิ๋นมู่กลัวว่านางจะคิดว่าแพงมาก แล้วจะไม่รับไว้หลี่ชิวเตี๋ยเดินเข้ามา เห็นแก้วในมือของกู้หว่านเยว่ก็กล่าวด้วยความประหลาดใจ “นี่แก้วไม่ใช่หรือ ครั้งก่อนข้าอยากจะซื้อจากชาวต่างชาติ พอถามราคา ปรากฏว่าแพงกว่าทองเสียอีก ข้าตกใจจนต้องรีบเผ่น”“แพงขนาดนั้นเชียว?!”กู้หว่านเยว่ใจเต้นเล็กน้อย หรือว่านางจะสามารถทำแก้วออกมาขายได้“หว่านเยว่ นี่เป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากข้า เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องเงินหรอก”อวิ๋นมู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ที่ไม่บอกก็เพราะกลัวว่านางจะปฏิเสธ แต่ไม่นึกเลยว่านางจะรู้เข้าจนได้“แก้วนี้ คุณชายอวิ๋นมอบให้กับเถ้าแก่เนี้ยหรือ?”หลี่ชิวเตี๋ยรู้สึกเจ็บแปลบในใจ คุณชายอวิ๋นใจกว้างจริง ๆ นางรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย“อวิ๋นมู่ ของสิ่งนี้แพงเกินไปแล้ว”หลังจากที่กู้หว่านเยว่รู้ราคาของแก้วใบนั้น ก็ไม่ค่อยอยากจะรับไว้ แต่เมื่อเห็นแววตาเจ็บปวดของอวิ๋นมู่ นางจึงเปลี่ยนใจ“ข้าหมายความว่าวันหลังข้าจะเลี้ยงข้าวเจ้าเป็นการตอบแทน ส่วนของขวัญข้าขอรับไว้ก่อน”“อืม”อวิ๋นมู่ยิ้มจนตาหยี ดีใจเหมือนเด็ก ๆ ซูจิ่งสิงฉวยโอกาสกล่าวขึ้น “ข้าจะเป็นคนเลี้ยงข้าวเจ้าเอง เพื่อเป็นการขอบคุณที่เจ้ามอบของขว
“ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าของที่ไม่ควรซื้อก็อย่าไปซื้อ เจ้าช่วยประหยัดเพื่อครอบครัวนี้บ้างได้หรือไม่?”กู้อู่เต๋อยืนตะโกนอยู่ในลานบ้าน ทำเอาอนุน้อยอวี๋ตัวสั่นเทานางรู้สึกน้อยใจ “นายท่าน ข้าแค่อยากจะซื้อเสื้อผ้าสักสองชุด เพื่อไปเข้าร่วมงานชมดอกไม้”“เข้าร่วมงานอะไรกัน ซื้อเสื้อผ้าไม่ต้องใช้เงินหรือไร? ชุดที่เจ้าใส่อยู่นั่นก็สิบกว่าตำลึงแล้ว เก็บเงินไว้ก็พอเลี้ยงคนทั้งบ้านได้ตั้งเดือนหนึ่ง”กู้อู่เต๋อนั่งลงด้วยความโมโห ตั้งแต่บ้านถูกขโมย อย่าว่าแต่เสื้อผ้าเลย แม้แต่รองเท้าสักคู่เขาก็ไม่กล้าซื้อ ชุดขุนนางที่ใส่ขึ้นราชสำนักก็มีรูขาดหลายรูแล้วแต่เขาจะทำอย่างไรได้?คลังสมบัติถูกขโมยโฉนดที่ดินและเงินทั้งหมดก็ถูกขโมยไปแม้กระทั่งเสบียงในครัว กระดาษชำระในห้องน้ำ ก็ถูกขโมยไปจนหมดเกลี้ยงเวลานี้ คนทั้งบ้านต้องอาศัยเงินเดือนของเขาเลี้ยงชีพ บ่าวไพร่ในจวนถูกไล่ออกไปเกือบหมดแล้วกลับไปจนอีกครั้ง!“โจรชั่วช้า ฟ้าดินลงโทษ ถ้าข้าจับมันได้ ข้าจะไม่ปล่อยมันไปแน่”กู้อู่เต๋อสีหน้าเหนื่อยล้า“งานเลี้ยง เจ้าไม่ต้องไปแล้ว เสื้อผ้าสองชุดนี้ เอาไปคืนเสีย”อนุน้อยอวี๋ขอบตาแดงก่ำ “นายท่าน ท่านเคยบอกว
เมื่อเขาได้ยินเสียง จึงเงยหน้าขึ้นมอง ทำเอาหญิงสาวที่หลงใหลพากันกรีดร้อง“หล่อมาก ๆ นี่คุณชายบ้านไหนกัน หล่อเกินไปแล้ว”กู้หว่านเยว่กระตุกมุมปาก “ชีวิตในเมืองอวี้สุขสบายขึ้น ทุกคนก็ว่างงานกันแล้ว”มีเวลามามองชายหนุ่มรูปงามชิงเหลียนเฝ้าอยู่หน้าประตู เห็นหญิงสาวพวกนั้นพากันชมอวิ๋นมู่ และอวิ๋นมู่ก็เป็นคนขี้อาย หน้าแดงไปหมดแล้ว นางจึงปิดประตูเบา ๆ “ขอบคุณมาก”อวิ๋นมู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกหญิงสาวเหล่านี้คลั่งไคล้เกินไป เขาไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรจริง ๆ “ไม่เป็นไร”ชิงเหลียนตอบรับเบา ๆ รู้สึกดีใจเล็กน้อย แค่ได้คุยกับคุณชายอวิ๋นสักประโยค นางก็มีความสุขแล้ว“กุ้งเมามาแล้ว กุ้งเมามาแล้ว!”ซูจิ่นเอ๋อร์ยกกุ้งเมาขึ้นมาชั้นบนอย่างมีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส“กุ้งเมานี่ข้าลองทำมาหลายรอบแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ลองชิมดูสิว่าใช่รสชาติในความทรงจำของท่านหรือไม่”ซูจิ่นเอ๋อร์วางกุ้งเมาไว้ตรงหน้ากู้หว่านเยว่ก่อนอืม ดูออกเลยว่าใครสำคัญที่สุดในครอบครัว“ได้กลิ่นหอมแล้ว”ซูจิ่นเอ๋อร์ลงมือทำอาหารเอง กู้หว่านเยว่ก็ต้องให้เกียรติ คีบกุ้งเมาตัวหนึ่งมาใส่ไว้ในจานเวลานี้ ฉู่เฟิงก็รีบเข้ามา แล้วกระซิบบ
“ดูเจ้าสิ พูดเรื่องนี้กับหว่านเยว่เพื่ออะไร?”หลินรู่ไห่ดึงนางเก๋อไว้ ในใจเขาก็รู้สึกกังวลเช่นกัน แต่เขารู้ว่าการบอกเรื่องนี้กับกู้หว่านเยว่นั้นไม่มีประโยชน์เมืองเหยาอยู่ไกลจากที่นี่ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็กำลังยุ่งอยู่กับการต่อสู้กับฮ่องเต้ จะเอาเวลาที่ไหนไปตามหาคนที่เมืองเหยา?พวกเขาไม่อยากให้กู้หว่านเยว่ต้องลำบากใจ“ท่านน้า ต้องขอบคุณน้าสะใภ้ที่บอกข้า เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ทำไมพวกท่านไม่พูดทันทีที่เข้ามา?”กู้หว่านเยว่ยังจำหลินเพียวเพียวได้ สาวน้อยที่สงบเสงี่ยมมาก เวลาพูดขึ้นมาก็ดูคงแก่เรียนเมื่อคนสกุลหลินไปที่โรงเตี๊ยมเตียงนอนรวมเพื่อส่งเงินให้นาง หลินเพียวเพียวก็มาด้วย แล้วยังปลอบประโลมนางอย่างนุ่มนวล“หว่านเยว่ พวกเราไม่อยากให้เจ้าเป็นกังวล”ประเด็นคือพวกเขาไม่เคยคิดว่ากู้หว่านเยว่จะสามารถช่วยหลินเพียวเพียวกลับมาได้และพวกเขาก็เป็นห่วงว่าซูจิ่งสิงจะรู้สึกว่าสกุลหลินของพวกเขาเป็นปัญหา ถึงตอนนั้นจะทำให้กู้หว่านเยว่เดือดร้อนไปด้วยกู้หว่านเยว่จำพวกเขาได้ จึงขอให้ซูจิ่งสิงส่งคนไปรับพวกเขาที่ฉูโจว พวกเขาก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว จะเสนอเงื่อนไขอะไรได้อย่างไร?“พวกท่าน”กู้หว
“ท่านยาย พวกท่านปลอดภัยดีตลอดเส้นทางไหม?”กู้หว่านเยว่สอบถามพวกเขา แม้ว่าซูจิ่งสิงจะส่งคนไปรับพวกเขาเองก็ตามแต่เวลานี้ทั่วแคว้น ความอดอยากแห้งแล้งได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง โจรร่อนเร่ได้สร้างความปั่นป่วนไปทั่วทุกแห่งการเดินทางมาของสกุลหลินครั้งนี้ ก็คงไม่สงบสุขนัก“ระหว่างทาง ได้พบกับโจรสลัด”เมื่อนายท่านผู้เฒ่าหลินพูดถึงเรื่องนี้ ก็ยังรู้สึกสะเทือนใจ“โจรสลัดเหล่านั้นฆ่าทุกคนที่พบเจอ ไม่เว้นแม้แต่คนแก่ คนอ่อนแอ ผู้หญิง และเด็ก น่ากลัวจริง ๆ”สกุลหลินเป็นพลเมืองดีที่ทำการค้า การเข่นฆ่าใด ๆ พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนตกใจกลัวจนเหลือทน ตอนนี้เมื่อนึกย้อนกลับไปก็ยังคงรู้สึกกลัวอยู่“ท่านยาย พวกท่านลำบากแย่เลย”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าโจรเร่ร่อนข้างนอกนั้นเหิมเกริมเช่นนี้“ไม่เป็นไร ทุกอย่างผ่านไปแล้ว”นายท่านผู้เฒ่าหลินลูบเครา พลางโบกมือ“โชคดีที่แม่ทัพหนุ่มที่ท่านอ๋องส่งไปฉลาดเฉลียว รู้ว่าสถานการณ์ไม่ปกติ ก็พาพวกเราหนีไปทางเรือเล็กแต่น่าเสียดายนายท่านผู้เฒ่าหลินเผยแววตาทนไม่ได้ บนเรือใหญ่ยังมีประชาชนอยู่เป็นจำนวนมาก“พวกเราหนีออกไปได้ไม่ไกลนัก ก็เห็นเรือทั้งลำ
“ข้าไม่เป็นอะไร”ลั่วยางชักมือออกอย่างไม่เป็นธรรมชาติคนผู้นี้กำลังทำอะไรอยู่?เหล่าทหารทุกคนกำลังเฝ้าดู ตอนนี้ทั้งกองทัพรู้แล้วว่าเขาชอบนางนางไม่อยากกลายเป็นจุดสนใจ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”เกาเจี้ยนถอนหายใจ มองไปทางซูจิ่งสิง ขณะที่กำลังจะโต้แย้งก็เห็นคนที่เมื่อครู่ยังหัวเราะเยาะเขาอยู่ คว้ามือของกู้หว่านเยว่ไว้โดยไม่ละอาย น้ำเสียงอ่อนโยนจนแทบจะคั้นเป็นน้ำออกมาได้“น้องหญิงเหนื่อยหรือยัง หิวหรือเปล่า ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปกินข้าว”เกาเจี้ยนเบิกตากว้าง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”คนผู้นี้มีความรู้มากกว่าเขาเสียอีก!“ท่านมาที่นี่ทำไม?”กู้หว่านเยว่หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดเหงื่อที่หน้าผากให้ซูจิ่งสิงแม้ว่าวันนี้จะไม่ร้อนมาก แต่ซูจิ่งสิงก็สวมชุดกราะตลอดเมื่ออยู่ในกองทัพ ถูกแดดตอนเที่ยงวันสาดส่อง จนเหงื่อแตกพลั่ก“เห็นเจ้าไม่กลับมาเสียที ก็เลยเป็นห่วงเจ้า”ซูจิ่งสิงมองเข้าไปในกระโจม กู้หว่านเยว่ก็อธิบายสถานการณ์ของกงซุนฉิงอย่างคร่าว ๆ ก่อนจะพาคนกลับไปเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงสกุลกงซุน สั่งให้คนแพร่ข่าวออกไปหลี่กวงถิงถูกจับแล้ว กองทัพของเจดีย์หนิงกู่ก็ไล่ล่าโจมต
ลั่วยางก็ไม่ได้โกรธเช่นกันทักษะทางการแพทย์ของกู้หว่านเยว่นั้นเหนือกว่านางอยู่แล้ว ลู่จิงจะทำทุกวิถีทางเพื่อความปลอดภัย ไปเชิญกู้หว่านเยว่มาอีกครั้งก็เป็นเรื่องปกติ“พี่หว่านเยว่”ลั่วยางมีอายุมากกว่ากู้หว่านเยว่ แต่ในด้านทักษะทางการแพทย์ ถือได้ว่ากู้หว่านเยว่อาวุโสกว่านางประโยค “พี่หว่านเยว่” ของลั่วยาง ก็ไม่ได้เรียกผิด“คุณหนูกงซุนไม่เป็นอะไร แค่เหนื่อยจนล้มไปเท่านั้น”ร่างกายของนางเคยถูกทรมานมาก่อน แม้ว่าจะได้รับการรักษาโดยกู้หว่านเยว่ แต่ถึงอย่างไรก็ได้รับบาดเจ็บโชคดีที่กงซุนฉิงมีทักษะการต่อสู้ จึงปกติเหมือนคนที่ไม่ได้เป็นอะไรแต่ก็ไม่อาจทนต่อความยุ่งวุ่นวายในระดับสูงได้“ข้าฝังเข็มให้นางหนึ่งเล่ม แล้วนางก็ตื่นขึ้นมา”ลั่วยางอธิบาย“แต่ว่า นางนอนหลับ กลับช่วยให้ร่างกายฟื้นคืนสู่สภาพเดิมเสียด้วยซ้ำไป”“เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางหลับต่ออีกนิดเถอะ”กู้หว่านเยว่ก้าวไปข้างหน้าเช่นกัน พลางจับชีพจรของกงซุนฉิงครู่หนึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ลั่วยางพูด“ส่วนทางทหารกล้าตายแนวหน้า”กู้หว่านเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ที่กงซุนฉิงเหนื่อยจนล้มไป ก็เพราะว่าไม่กี่วันที่ผ่านมานักรบหมาป่าได้ให้ก
ขณะที่นำกองทหารออกจากเมืองหลวง เขาก็รู้ว่าชีวิตของตัวเอง ช้าเร็วก็ต้องถูกพรากไป“ข้าต้องการให้ท่านเขียนคำสั่งลงโทษตัวเอง”ซูจิ่งสิงพูดทีละคำ เอ่ยปากอย่างตั้งใจตอนแรกทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งกลับมาพร้อมกับชัยชนะ แต่กลับถูกฮ่องเต้ชั่วและขุนนางชั่วกลุ่มนี้เนรเทศไปที่เจดีย์หนิงกู่ในข้อหากบฏแม้ว่าฮ่องเต้ชั่วจะแต่งตั้งเขาให้เป็นเจิ้นเป่ยอ๋องอีกครั้งในเวลาต่อมา แต่ความเข้าใจผิดในอดีตก็ไม่ได้รับการล้างมลทินให้เขาเวลานี้ ในสายตาผู้คนใต้หล้า เขาคืออาชญากรที่สมคบคิดกับข้าศึกและขายชาติเขาต้องการล้างมลทินให้กับตัวเองด้วยมือของเขาเอง“ท่าน”ใบหน้าชราของหลี่กวงถิงทั้งอายและโกรธเคือง“ไม่”เขาส่ายหัวปฏิเสธ ต่อให้ต้องตายในมือของซูจิ่งสิงเช่นนี้ ก็ยังมีชื่อเสียงดี ๆ ฝากไว้แต่เมื่อคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ถูกเขียนขึ้นแล้ว ก็เท่ากับเป็นการยอมรับความผิดอย่างเปิดเผยตอนแรกเขาให้ความร่วมมือกับฮ่องเต้ในการใส่ร้ายซูจิ่งสิงมันต่างอะไรกับขุนนางทุจริต?ผู้คนทั่วหล้าจะถ่มน้ำลายด่าประนามเขาเช่นไร?“จะฆ่าจะแกง ก็สุดแล้วแต่ท่าน ข้ายังคงยืนยันประโยคนั้นเหมือนเดิมสำหรับคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ ข้าไม่มีทางเขียนเด
เห็นเพียงท่ามกลางหมอกหนาทึบที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีแสงไฟเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับหิ่งห้อยในค่ำคืนอันมืดมิดเมื่อแสงไฟนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ รองแม่ทัพที่อยู่บนเรือก็เบิกตาทั้งสองกว้าง“ไม่ได้การ ทั้งหมดเป็นลูกศรติดไฟ!”ก้นลูกศรเหล่านี้ถูกมัดด้วยลำกล้องดินปืน ภายในเป็นดินปืนทั้งหมดดินปืนตกลงมาพร้อมกับลูกศรที่ยิงขึ้นมาบนเรือราวกับเม็ดฝนทั่วท้องฟ้า ภายในเวลาชั่วพริบตา เรือก็ติดไฟ“เร็วเข้า รีบถอยกลับ”หลี่กวงถิงสั่งการ เขารู้สึกอย่างเลือนรางว่าตัวเองถูกแผนชั่วของซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เล่นงานเข้าแล้วกองทัพใหญ่ออกเดินทางแล้ว ต้องการจะถอยกลับจะทำได้ง่าย ๆ อย่างไร?ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังอยู่บนผิวน้ำ การเดินเรือไปข้างหน้าก็ทำได้ยากลำบากอยู่แล้วคนเหล่านี้ไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้บนน้ำ ไม่มีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ยังโชคดีเพราะหากพบเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะล่าถอยอย่างเป็นระเบียบเรือติดไฟแล้ว เหล่าทหารร่ำไห้อย่างน่าเวทนา ในระหว่างการล่าถอยของเรือ ต่างก็ชนกันเอง สถานการณ์วุ่นวายในระดับหนึ่งทว่าลูกศรทั่วฟ้านั้นก็ยังไม่ยอมหยุดเลยหลังจากยิงจบระลอกห
“ข้ามีความคิดดี ๆ อย่างหนึ่ง”ดวงตาของกู้หว่านเยว่กลอกไปมา ทันใดนั้นก็มีความคิดแผลง ๆ ผุดขึ้นมา“หลี่กวงถิงผู้นี้ต้องการว่าจ้างคนจากหอมือสังหารมาฆ่าท่านมิใช่หรือ? เราก็ให้คนของหอมือสังหารมาตอบรับเรื่องนี้”ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่สบสายตากันเข้าใจทันทีว่าภรรยากำลังคิดอะไรอยู่“หนามยอกเอาหนามบ่งหรือ?”“ถูกต้อง ถึงตอนนั้นเราก็มาปิดประตูตีแมวกัน”ซูจิ่งสิงเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง นกพิราบสื่อสารก็กลับไปตามทางเดิม เพื่อส่งกลับไปที่หอมือสังหารเป็นสองวันที่สถานการณ์สงบสุขสองวันต่อมา หลี่กวงถิงก็ได้รับข่าวกรอง แจ้งว่าคนจากหอมือสังหารทำสำเร็จแล้ว“ข้าน้อยเห็นว่ากองทัพของเจดีย์หนิงกู่สงบเงียบ ดูเหมือนจะไม่มีข่าวการตายของซูจิ่งสิงแพร่ออกมา”รองแม่ทัพหลายคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้สักเท่าใดหลี่กวงถิงยังรู้สึกว่าต้องระมัดระวังด้วยหลังจากรออีกสองวัน ก็มีข่าวกรองออกมาอีกว่า ค่ายของผู้บัญชาการถูกรายล้อมด้วยกองกำลังทหารอากาศแบบนี้ภายนอกกระโจมกำลังตากปลาเค็มอยู่ จนส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง“ตากปลาเค็ม อากาศแบบนี้ตากปลาเค็มอะไรกัน?”หลายคนนั่งวิเคราะห์ด้วยกันรองแม่ทัพคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างฉับพล
“ลู่จิง มองไม่ออกเลยว่า เจ้าจะรักหน้าที่การงานมากเช่นนี้”เกาเจี้ยนหัวเราะอย่างชั่วร้ายรักหน้าที่การงาน?ลู่จิงสะดุดเข้าให้ใครจะไปรักหน้าที่การงาน ชัดเจนว่าเขารักและสงสารกงซุนฉิงเขาเหลือบมองกงซุนฉิง ขณะที่คิดจะใช้โอกาสนี้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างสองคน“ถูกต้อง เขารักหน้าที่การงานมาก!”ทันใดนั้นกงซุนฉิงก็เหยียบเท้าของเขา แล้วรีบเอ่ยขึ้นนางละอายใจที่จะให้ฮูหยินรับรู้เรื่องราวของพวกเขาสุดท้าย ก็จ้องเขม็งใส่ลู่จิงอย่างดุดัน พลางกระซิบว่า“หุบปาก”“ก็ได้”ลู่จิงหุบปากอย่างเชื่อฟังคำพูดของคนรักต้องเชื่อฟัง นี่จะไม่ใช่ความองอาจของชายชาตรีอย่างหนึ่งอย่างไร“เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสองก็พูดคุยกันตามสบาย ใครจะเฝ้ายามก็ไม่สำคัญ หรือว่าถ้าไม่ได้จริง ๆ พวกเจ้าสองคนก็เฝ้ายามด้วยกันได้”ด้วยการเสริมทัพของเกาเจี้ยน ใบหน้าของกงซุนฉิงก็ยิ่งแดงขึ้น“เราไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ดึงแขนเสื้อของซูจิ่งสิงเงียบ ๆ พลางยิ้มคลุมเครือมองดูผู้ใต้บังคับบัญชาคุยกันเรื่องความรักลับ ๆ ก็น่าสนุกดีเหมือนกัน“ไป”ซูจิ่งสิงจูงมือกู้หว่านเยว่จากไป“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องไปเหมือนกัน”เกาเจี้ยนถูกเตือนสต
ซูจิ่งสิงกระซิบเตือนกู้หว่านเยว่ที่ข้างหูอย่างแผ่วเบา ภรรยาเป็นคนบ้าการงาน ตั้งแต่มาถึงค่ายทหาร ก็มีเวลาพักผ่อนน้อยกว่าเขาเสียอีกเขาชอบท่าทางการวางแผนในกระโจมของกู้หว่านเยว่มาก เพียงแต่เป็นห่วงว่าร่างกายของนางจะรับไม่ไหว ดังนั้นจึงกำชับอยู่บ่อยครั้ง“ก็ได้เจ้าค่ะ ลมแรงจริง ๆ”กู้หว่านเยว่ถือโอกาสโยนกล้องโทรทรรศน์เข้าไปในมิติ แล้วลงมาจากหอสังเกตการณ์พร้อมกับซูจิ่งสิงหอสังเกตการณ์แห่งนี้สร้างโดยทหารตามคำสั่งของกู้หว่านเยว่ก่อนหน้านี้ โดยอิงตามพิมพ์เขียวที่นางให้มาหอสังเกตการณ์สูงยี่สิบเมตรพอดี เมื่อยืนอยู่ด้านบนของหอสังเกตการณ์จะสามารถมองเห็นจุดที่อยู่ไกลออกไปได้ชัดเจน สังเกตสถานการณ์ของศัตรูได้สะดวกยิ่งขึ้นทั้งสองลงมาจากหอสังเกตการณ์ ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่ในกองทัพกับเกาเจี้ยนก็ได้ยินเสียงโต้เถียงครู่หนึ่งโดยพลัน“ชู่ว์”กู้หว่านเยว่ส่งสัญลักษณ์มือให้ซูจิ่งสิง ดึงเขาให้เดินไปตามทิศทางที่ส่งเสียงมานางรู้สึกอยู่เสมอว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นเคย เมื่อเดินเข้าไปมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนคุ้นเคยจริงดังคาด เห็นกงซุนฉิงและลู่จิงกำลังโต้เถียงกันหน้าแดงหูแดง“นายท่าน ฮูหยิน พวกท่านมา