“ข้าขอโทษ ข้าเพียงแต่คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะลงทุนเพียงนี้”“อื้อ” เหมยจื่อขี้เกียจโต้เถียงกับนาง เบนสายตาไปทางกู้หว่านเยว่ ขอแค่ฮูหยินเชื่อใจนางก็พอกู้หว่านเยว่เก็บตั๋วเงินยี่สิบตำลึงนั้นพลางครุ่นคิด“คนผู้นั้นให้เจ้าทำอะไร?”“ให้ข้าขโมยต้นกล้าและเมล็ดพันธุ์ของดอกไม้ที่จะปลูกและดอกไม้ที่เก็บเกี่ยวได้ไปให้เขาเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วสูง นางปลูกดอกไม้เหล่านี้เพื่อทำชาดทาปาก ไม่ก็นำมาเป็นส่วนผสมของน้ำหอมคนผู้นั้นจะนำเมล็ดพันธุ์และต้นกล้าของดอกไม้ไปทำอะไร?กู้หว่านเยว่พอจะเดาได้ในใจ “เจ้าเคยบอกหรือไม่ว่าจะนำไปเขาเมื่อไหร่?”“เขาบอกให้ข้านำไปให้เขาคืนนี้”ประมาณว่าอีกฝ่ายรีบใช้และเร่งด่วนมากกู้หว่านเยว่กระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะกลั้วหัวเราะออกมาหนึ่งเสียง“คืนนี้เจ้าไปเถอะ”“ฮูหยิน ความหมายของท่านคือ...”“เหยื่อกระจายออกไปหมดแล้ว เจ้าต้องล่อเขาออกมา”กู้หว่านเยว่ยื่นเงินยี่สิบตำลึงให้เหมยจื่ออีกครั้ง และกล่าวอย่างอบอุ่นว่า“เงินยี่สิบตำลึงก้อนนี้เจ้าเก็บไว้เถอะ”“ข้าน้อยไม่ต้องการ”เหมยจื่อไม่ได้แกล้งปฏิเสธ นางไม่อยากได้เงินยี่สิบตำลึงก้อนนั้นจริง ๆเงินก้อนนั้นได้มาไม
คนงานในที่ดินต่างกลับไปกันหมดแล้ว เหลือไว้เพียงแค่ชายสูงอายุและหญิงสูงอายุที่เฝ้าอยู่ในที่ดินบางส่วนกู้หว่านเยว่เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าของเหมยจื่อ หลังจากปลอมตัวอย่างง่าย ๆ แล้ว ก็แอบเปิดประตูข้าง เดินทางเข้าป่าเล็ก ๆ ที่ที่เหมายจื่อบอกไว้ดวงจันทร์ลอยสูงตระหง่าน ยังพอให้มองเห็นทางบ้างแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมืดทึมจนน่ากลัวอยู่ไม่น้อยไม่นาน ก็มีบุรุษสองคนมาหยุดอยู่ด้านหลังของนาง“เอาของมาแล้วใช่หรือไม่?”บุรุษต้วมเตี้ยมหนึ่งในนั้นเดินมาเจรจาต่อรองกับนาง ส่วนอีกคนก็คอยดูต้นทางอยู่ไม่ไกล“เอามาแล้ว”กู้หว่านเยว่แกว่งต้นกล้าในมือไปมา แสงจันทรายังทำให้พอมองออกว่ามันคืออะไร“รีบเอามาให้ข้า!”นัยน์ตาของบุรุษฉายแววโลภ เห็นได้ชัดว่าอยากได้จนแทบทนไม่ไหว“เงินล่ะ?”กู้หว่านเยว่แกล้งแสดงท่าทีอยากได้ “ไหนบอกเสร็จเรื่องแล้วข้าจะได้เป็นสองเท่า?”“เปิดของให้ข้าดูก่อน”ชายคนนั้นแบมือ กู้หว่านเยว่จึงยื่นของให้เขา หลังจากอีกฝ่ายมั่นใจแล้ว ก็แสดงสีหน้าพอใจออกมา“ดีมาก ๆ ทั้งหมดคือของที่ข้าต้องการ”เขาเงยหน้าขึ้นฉับพลัน มองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาประหลาดใจ “เจ้ามานี่ ข้าจะนำเงินสี่สิบตำลึงให้เจ้า”
หยดเลือดอุ่น ๆ กระเด็นใส่หน้าของเสี่ยวหลี่ เขาตกใจจนฉี่ราดใส่กางเกง กู้หว่านเยว่รีบปิดจมูกทันที“ขยะแขยงยิ่งนัก”“อย่าฆ่าข้า” เสี่ยวหลี่หน้าแดงเถือก ร้องไห้อ้อนวอนโดยไม่สนว่าจะถูกเมินหรือไม่“ขอร้องล่ะ อย่าฆ่าข้าเลย ข้ายอม ข้ายอมทำทุกอย่างแล้ว”เสี่ยวหลี่แทบจะเสียสติ สตรีผู้นี้หน้าตางดงามก็จริง แต่จิตใจโหดเหี้ยมมากบอกจะฆ่าก็ฆ่าเลย แทบไม่ต้องคิด“เราสองพี่น้องไม่ได้ตั้งใจจะเป็นศัตรูกับพวกเจ้า พวกเรา พวกเราก็แค่รับเงินและได้รับการว่าจ้างจากผู้ว่าจ้างเท่านั้น”กู้หว่านเยว่เลื่อนกริชเข้าใกล้เขาอย่างหมดความอดทน “หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว ผู้ว่าจ้างคือใคร”ไม่ต้องให้เสี่ยวหลี่อธิบาย นางก็รู้ เรื่องที่สองคนนี้ทำจะต้องเป็นเรื่องที่ไร้คุณธรรมอย่างการฆ่าคนและลักขโมยอย่างแน่นอนถึงอย่างไรตอนที่ลงมือจัดการต้าลี่ นัยน์ตาของนางก็ไม่ได้ฉายแววหวาดกลัวแต่อย่างใด “ข้าพูดแล้ว ๆ เป็นเจ้าของร้านของเพียวเซียงจูขอรับ”เสี่ยวหลี่กล่าวทั้งน้ำตา “เดิมทีเราเสร็จงานก่อนหน้าแล้ว ตั้งใจจะวางมือ แต่พี่ชายของข้าเขาอยากไถ่ตัวแม่หญิงคนหนึ่งในหอคณิกา จึงได้ลากข้ามาทำเรื่องนี้อีกครั้ง ไม่ใช่ว่าเราอยากทำ แต่เจ้าข
นางไม่ได้มีทักษะความสามารถเหมือนกับฮูหยิน ถึงอย่างไรก็หลบคมดาบของต้าลี่ไม่พ้นอย่างแน่นอน“จัดการศพของเขาให้เรียบร้อย”กู้หว่านเยว่ไม่อยากให้ศพของต้าลี่แปดเปื้อนที่ดินของนาง หลังจากสั่งชิงเหลียนแล้ว ก็พาซูจิ่งสิงกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า“เหมยจื่อ เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”หลังจากยุ่งมาตลอดทั้งวัน กู้หว่านเยว่รู้สึกเหนื่อยล้ามาก แต่นางก็ยังมีเรื่องสำคัญอีกสองเรื่องต้องไปจัดการ“เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้”เหมยจื่อกลับเข้าห้องด้วยหัวใจที่เต้นตึกตักอย่างหวาดกลัว คืนนี้ได้ถูกกำหนดให้เป็นคืนที่นอนไม่หลับ ทุกครั้งที่นางหลับตาก็มักจะหวนนึกถึงท่าตายอันน่าสลดของต้าลี่“ท่านพี่ เราไปหาเจ้าของร้านเสิ่นกันเถอะ”กู้หว่านเยว่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินออกมา นางอยากรู้ว่านายท่านผู้อยู่เบื้องหลังของเจ้าของร้านเสิ่นคือใครการสู้รบกับร้านดอกท้อ ไม่ใช่สงครามทางธุรกิจธรรมดาอีกต่อไป“ข้าจะพาเจ้าไป”ซูจิ่งสิงหุบยิ้ม เพราะรู้สึกว่ามีคนกำลังจะเจอกับเคราะห์ร้ายแล้วเขาโอบเอวของกู้หว่านเยว่ กระโดดขึ้นรถม้า จากนั้นก็บังคับรถม้าออกไป“ท่านพี่ ทำไมท่านถึงกลายมาเป็นคนขับรถม้าเสียเองล่ะเจ้าคะ?”กู้หว่านยว่ชำเลื
“ไป เราตามเขาไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่คอยดึงแขนเสื้อของซูจิ่งสิงไว้ ทั้งสองคนกลายเป็นเสมือนหางเล็ก ๆ ติดตามพวกเขารถม้าค่อย ๆ ขับเคลื่อนไปบนท้องถนน สุดท้ายก็เลี้ยวตรงหัวมุมถนนลึกลับแห่งหนึ่งเจ้าของร้านเสิ่นเดินเข้าทางประตูหลัง หลังจากที่ทั้งสองคนตามเข้าไป ไม่นานก็เจอกับนายท่านที่อยู่เบื้องหลังของเพียวเซียงจูคนผู้นั้นสวมกระโปรงยาวที่ดูงดงามและโอ่อ่า ผมเกล้าสูงทรงสตรี ดูคุ้นตายิ่งนัก“นายหญิง ของที่ท่านต้องการมาถึงแล้วขอรับ”เจ้าของร้านเสิ่นเดินมาตรงหน้าสตรีผู้นั้นอย่างนอบน้อม จากนั้นก็เปิดถุงหยิบต้นกล้ายื่นให้อีกฝ่าย“อื้อ ทำดีมาก”สตรีผู้นั้นพยักหน้าอย่างพอใจ ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงของนางแล้ว ก็รู้ถึงสถานะของอีกฝ่ายทันที“เจ้ารู้จักหรือ?”ซูจิ่งสิงลูบฝ่ามือของกู้หว่านเยว่เบา ๆ เขามองออกว่านางเหมือนกำลังโกรธ“อื้อ”กู้หว่านเยว่กล่าวเสียงต่ำ “เซวียฮูหยินที่ไปหาเรื่องถึงร้านดอกท้อในคราวที่แล้ว ยามนั้นนางพาสวี่ฮูหยินไปด้วย ทั้งยังพูดจาเหน็บแนมเสียพักใหญ่”“แล้วทำไมไม่บอกข้าล่ะ?”นัยน์ตาของซูจิ่งสิงฉายแววหดหู่ใจ หากเขารู้เร็วกว่านี้ คงจะแก้แค้นให้กู้หว่านเยว่ไปแล้ว“เรื่
“ไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่มองทองคำที่อยู่ในห้วงมิติแล้วยิ้มตาหยีไว้มีโอกาส นางจะต้องหลอมทองคำเหล่านี้มาทำเป็นเครื่องประดับศีรษะไว้ใส่เล่นอย่างแน่นอนทั้งสองคนออกมาจากบ้านสกุลเซวียแล้วตรงกับบ้านกู้ทันที“ข้าจะไปอาบน้ำสักหน่อย สกปรกเต็มทนแล้ว”ความจริงแล้วกู้หว่านเยว่ทนกลิ่นคาวของเลือดบนตัวไม่ไหว ทันทีที่เข้ามาในห้อง ก็แทรกตัวเข้าไปอาบน้ำในห้วงมิติอย่างรวดเร็วนัยน์ตาของซูจิ่งสิงฉายแววล้ำลึก ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะสั่งให้คนตักน้ำเข้ามาอาบด้วยเขาต้องล้างเนื้อล้างตัวเสียหน่อย กู้หว่านเยว่จะได้ไม่รังเกียจกู้หว่านเยว่ไม่รู้ความคิดของซูจิ่งสิง หลังจากอาบน้ำเสร็จก็เป่าผมให้แห้ง ชโลมน้ำมันดูแลผม ก่อนจะเดินออกมาจากห้วงมิติผมของคนสมัยโบราณช่างยาวยิ่งนัก เป่าผมที่ยาวเช่นนี้เสียเวลาของนางไปไม่น้อย“น้องหญิง ข้าจะหวีผมให้เจ้าเอง”ครั้นซูจิ่งสิงเห็นเส้นผมสีดำขลับที่ยาวเลยหัวไหล่ลงมา ก็รีบหยิบหวีมาหวีผมให้นางอย่างอ่อนโยนการหวีผมอย่างเบามือนั้นทำให้นางเคลิบเคลิ้ม“ซูจิ่งสิง ท่านเคยหวีผมให้สตรีมาหลายคนแล้วสินะ ถึงได้ถนัดมือเช่นนี้”กู้หว่านเยว่กล่าวถามโดยไม่รู้ว่าน้ำเสียงของตัวเองนั้นแฝ
แล้วทิ้งบุตรชายไว้ข้างหลัง“เข้มแข็งหน่อยนะเจ้า”ซูจิ่งสิงรับเสี่ยวจ้านจ้านมาไว้ในอ้อมกอด น่าเสียดายที่เด็กน้อยน่าชังผู้นี้อยากอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นมารดา เขาดิ้นพล่านปฏิเสธทันที ด้วยความจนปัญญา เขาทำได้เพียงส่งบุตรชายกลับไปด้วยสีหน้าหม่นหมอง“แค่นี้ก็พอ อย่าทำให้แม่เจ้าเหนื่อยล่ะ”ไม่ว่าเด็กน้อยน่าชังผู้นี้จะเข้าใจหรือไม่ ขอแค่เขาได้สั่งสอนบ้านสกุลเซวียในเวลานี้ ทันทีที่นายท่านเซวียกลับมาถึงบ้าน เขามักจะไปตรวจสอบคลังส่วนตัวอยู่เสมอ จนกระทั่งพบว่าคลังส่วนตัวถูกขโมยไปเรื่องที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าคือ สมุดบัญชีในคลังส่วนตัวของเขาก็หายไปด้วย“ฮูหยินล่ะ ฮูหยินอยู่ไหน?”นายท่านเซวียออกมาด้วยความรีบร้อน ตามหาร่องรอยของฮูหยิน“วันนี้มีใครเข้ามาในจวนหรือไม่ คลังส่วนตัวถูกขโมยจนหมดเกลี้ยง เจ้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ?”นายท่านเซวียกระชากตัวภรรยาที่กำลังหลับฝันหวานขึ้นมา กระทั่งผ้าห่มลื่นหลุดมือ เขารีบปล่อยมือด้วยความตกใจทันที“เจ้า ทำไมเจ้าถึงได้มีผื่นแดงเต็มตัวเช่นนี้”“คัน คันยิ่งนัก....”เซวียฮูหยินยังคงละเมอเพ้อฝัน ก่อนที่นางจะเข้านอนวันนี้นางรู้สึกคันทั้งตัว จึงตั้งใจอาบน้ำแต่อาก
“บุรุษผู้นั้นไม่ได้เข้าตามตรอกออกตามประตู แต่เข้ามาทางประตูหลัง ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ด้วยเจ้าค่ะ”อนุภรรยาฉินไม่รู้ว่านั้นคือชู้ของนางหรือไม่ แต่ขอให้ยุ่งเรื่องคนอื่นก็พอฮูหยินมักจะรังแกนางลับหลังนายท่านเสมอ ครั้นได้โอกาสนางก็ขอซ้ำเติมเต็มที่“อนุภรรยาฉิน หากเจ้าพูดเหลวไหลอีก ข้าจะฉีกปากเจ้า พรุ่งนี้ข้าส่งเจ้าไปขายเสีย”“นายท่าน นางจะส่งข้าไปขายเจ้าค่ะ”อนุภรรยาฉินออดอ้อนอยู่ในอ้อมกอดของนายท่านเซวีย แต่ปากยังคงพร่ำพรรณนาไม่หยุด“ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล เด็กรับใช้และสาวใช้ต่างก็เห็นว่ามีบุรุษปริศนาแอบเข้ามาเมื่อคืนเจ้าค่ะ”ในใจของนายท่านเซวียเชื่อไปแล้วสามส่วน และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “นางหลี่ เจ้าสารภาพด้วยตัวเองเถอะ ข้าไม่อยากลงโทษเจ้า”“นายท่าน?”เซวียฮูหยินคิดไม่ถึงว่านายท่านจะไม่เชื่อใจนางจริง ๆ นางรับอธิบายด้วยใจที่แตกสลายว่า “ข้าอยู่กินฉันสามีภรรยากับนายท่านมาสี่ห้าปี จะเป็นหัวขโมยได้อย่างไรละเจ้าคะ นั้นคือเจ้าของร้านในร้านของข้า ข้าแค่เรียกเขามาถามไถ่งาน””“จะถามไถ่งานก็ถามกลางวัน ทำไมต้องถามกลางคืนด้วย?” นายท่านเซวียจะเชื่ออย่างนั้นหรือ? หากเชื่อเขาก็โง่เต็มทนแล้ว“เร
ขณะที่นำกองทหารออกจากเมืองหลวง เขาก็รู้ว่าชีวิตของตัวเอง ช้าเร็วก็ต้องถูกพรากไป“ข้าต้องการให้ท่านเขียนคำสั่งลงโทษตัวเอง”ซูจิ่งสิงพูดทีละคำ เอ่ยปากอย่างตั้งใจตอนแรกทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งกลับมาพร้อมกับชัยชนะ แต่กลับถูกฮ่องเต้ชั่วและขุนนางชั่วกลุ่มนี้เนรเทศไปที่เจดีย์หนิงกู่ในข้อหากบฏแม้ว่าฮ่องเต้ชั่วจะแต่งตั้งเขาให้เป็นเจิ้นเป่ยอ๋องอีกครั้งในเวลาต่อมา แต่ความเข้าใจผิดในอดีตก็ไม่ได้รับการล้างมลทินให้เขาเวลานี้ ในสายตาผู้คนใต้หล้า เขาคืออาชญากรที่สมคบคิดกับข้าศึกและขายชาติเขาต้องการล้างมลทินให้กับตัวเองด้วยมือของเขาเอง“ท่าน”ใบหน้าชราของหลี่กวงถิงทั้งอายและโกรธเคือง“ไม่”เขาส่ายหัวปฏิเสธ ต่อให้ต้องตายในมือของซูจิ่งสิงเช่นนี้ ก็ยังมีชื่อเสียงดี ๆ ฝากไว้แต่เมื่อคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ถูกเขียนขึ้นแล้ว ก็เท่ากับเป็นการยอมรับความผิดอย่างเปิดเผยตอนแรกเขาให้ความร่วมมือกับฮ่องเต้ในการใส่ร้ายซูจิ่งสิงมันต่างอะไรกับขุนนางทุจริต?ผู้คนทั่วหล้าจะถ่มน้ำลายด่าประนามเขาเช่นไร?“จะฆ่าจะแกง ก็สุดแล้วแต่ท่าน ข้ายังคงยืนยันประโยคนั้นเหมือนเดิมสำหรับคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ ข้าไม่มีทางเขียนเด
เห็นเพียงท่ามกลางหมอกหนาทึบที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีแสงไฟเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับหิ่งห้อยในค่ำคืนอันมืดมิดเมื่อแสงไฟนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ รองแม่ทัพที่อยู่บนเรือก็เบิกตาทั้งสองกว้าง“ไม่ได้การ ทั้งหมดเป็นลูกศรติดไฟ!”ก้นลูกศรเหล่านี้ถูกมัดด้วยลำกล้องดินปืน ภายในเป็นดินปืนทั้งหมดดินปืนตกลงมาพร้อมกับลูกศรที่ยิงขึ้นมาบนเรือราวกับเม็ดฝนทั่วท้องฟ้า ภายในเวลาชั่วพริบตา เรือก็ติดไฟ“เร็วเข้า รีบถอยกลับ”หลี่กวงถิงสั่งการ เขารู้สึกอย่างเลือนรางว่าตัวเองถูกแผนชั่วของซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เล่นงานเข้าแล้วกองทัพใหญ่ออกเดินทางแล้ว ต้องการจะถอยกลับจะทำได้ง่าย ๆ อย่างไร?ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังอยู่บนผิวน้ำ การเดินเรือไปข้างหน้าก็ทำได้ยากลำบากอยู่แล้วคนเหล่านี้ไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้บนน้ำ ไม่มีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ยังโชคดีเพราะหากพบเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะล่าถอยอย่างเป็นระเบียบเรือติดไฟแล้ว เหล่าทหารร่ำไห้อย่างน่าเวทนา ในระหว่างการล่าถอยของเรือ ต่างก็ชนกันเอง สถานการณ์วุ่นวายในระดับหนึ่งทว่าลูกศรทั่วฟ้านั้นก็ยังไม่ยอมหยุดเลยหลังจากยิงจบระลอกห
“ข้ามีความคิดดี ๆ อย่างหนึ่ง”ดวงตาของกู้หว่านเยว่กลอกไปมา ทันใดนั้นก็มีความคิดแผลง ๆ ผุดขึ้นมา“หลี่กวงถิงผู้นี้ต้องการว่าจ้างคนจากหอมือสังหารมาฆ่าท่านมิใช่หรือ? เราก็ให้คนของหอมือสังหารมาตอบรับเรื่องนี้”ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่สบสายตากันเข้าใจทันทีว่าภรรยากำลังคิดอะไรอยู่“หนามยอกเอาหนามบ่งหรือ?”“ถูกต้อง ถึงตอนนั้นเราก็มาปิดประตูตีแมวกัน”ซูจิ่งสิงเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง นกพิราบสื่อสารก็กลับไปตามทางเดิม เพื่อส่งกลับไปที่หอมือสังหารเป็นสองวันที่สถานการณ์สงบสุขสองวันต่อมา หลี่กวงถิงก็ได้รับข่าวกรอง แจ้งว่าคนจากหอมือสังหารทำสำเร็จแล้ว“ข้าน้อยเห็นว่ากองทัพของเจดีย์หนิงกู่สงบเงียบ ดูเหมือนจะไม่มีข่าวการตายของซูจิ่งสิงแพร่ออกมา”รองแม่ทัพหลายคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้สักเท่าใดหลี่กวงถิงยังรู้สึกว่าต้องระมัดระวังด้วยหลังจากรออีกสองวัน ก็มีข่าวกรองออกมาอีกว่า ค่ายของผู้บัญชาการถูกรายล้อมด้วยกองกำลังทหารอากาศแบบนี้ภายนอกกระโจมกำลังตากปลาเค็มอยู่ จนส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง“ตากปลาเค็ม อากาศแบบนี้ตากปลาเค็มอะไรกัน?”หลายคนนั่งวิเคราะห์ด้วยกันรองแม่ทัพคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างฉับพล
“ลู่จิง มองไม่ออกเลยว่า เจ้าจะรักหน้าที่การงานมากเช่นนี้”เกาเจี้ยนหัวเราะอย่างชั่วร้ายรักหน้าที่การงาน?ลู่จิงสะดุดเข้าให้ใครจะไปรักหน้าที่การงาน ชัดเจนว่าเขารักและสงสารกงซุนฉิงเขาเหลือบมองกงซุนฉิง ขณะที่คิดจะใช้โอกาสนี้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างสองคน“ถูกต้อง เขารักหน้าที่การงานมาก!”ทันใดนั้นกงซุนฉิงก็เหยียบเท้าของเขา แล้วรีบเอ่ยขึ้นนางละอายใจที่จะให้ฮูหยินรับรู้เรื่องราวของพวกเขาสุดท้าย ก็จ้องเขม็งใส่ลู่จิงอย่างดุดัน พลางกระซิบว่า“หุบปาก”“ก็ได้”ลู่จิงหุบปากอย่างเชื่อฟังคำพูดของคนรักต้องเชื่อฟัง นี่จะไม่ใช่ความองอาจของชายชาตรีอย่างหนึ่งอย่างไร“เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสองก็พูดคุยกันตามสบาย ใครจะเฝ้ายามก็ไม่สำคัญ หรือว่าถ้าไม่ได้จริง ๆ พวกเจ้าสองคนก็เฝ้ายามด้วยกันได้”ด้วยการเสริมทัพของเกาเจี้ยน ใบหน้าของกงซุนฉิงก็ยิ่งแดงขึ้น“เราไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ดึงแขนเสื้อของซูจิ่งสิงเงียบ ๆ พลางยิ้มคลุมเครือมองดูผู้ใต้บังคับบัญชาคุยกันเรื่องความรักลับ ๆ ก็น่าสนุกดีเหมือนกัน“ไป”ซูจิ่งสิงจูงมือกู้หว่านเยว่จากไป“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องไปเหมือนกัน”เกาเจี้ยนถูกเตือนสต
ซูจิ่งสิงกระซิบเตือนกู้หว่านเยว่ที่ข้างหูอย่างแผ่วเบา ภรรยาเป็นคนบ้าการงาน ตั้งแต่มาถึงค่ายทหาร ก็มีเวลาพักผ่อนน้อยกว่าเขาเสียอีกเขาชอบท่าทางการวางแผนในกระโจมของกู้หว่านเยว่มาก เพียงแต่เป็นห่วงว่าร่างกายของนางจะรับไม่ไหว ดังนั้นจึงกำชับอยู่บ่อยครั้ง“ก็ได้เจ้าค่ะ ลมแรงจริง ๆ”กู้หว่านเยว่ถือโอกาสโยนกล้องโทรทรรศน์เข้าไปในมิติ แล้วลงมาจากหอสังเกตการณ์พร้อมกับซูจิ่งสิงหอสังเกตการณ์แห่งนี้สร้างโดยทหารตามคำสั่งของกู้หว่านเยว่ก่อนหน้านี้ โดยอิงตามพิมพ์เขียวที่นางให้มาหอสังเกตการณ์สูงยี่สิบเมตรพอดี เมื่อยืนอยู่ด้านบนของหอสังเกตการณ์จะสามารถมองเห็นจุดที่อยู่ไกลออกไปได้ชัดเจน สังเกตสถานการณ์ของศัตรูได้สะดวกยิ่งขึ้นทั้งสองลงมาจากหอสังเกตการณ์ ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่ในกองทัพกับเกาเจี้ยนก็ได้ยินเสียงโต้เถียงครู่หนึ่งโดยพลัน“ชู่ว์”กู้หว่านเยว่ส่งสัญลักษณ์มือให้ซูจิ่งสิง ดึงเขาให้เดินไปตามทิศทางที่ส่งเสียงมานางรู้สึกอยู่เสมอว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นเคย เมื่อเดินเข้าไปมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนคุ้นเคยจริงดังคาด เห็นกงซุนฉิงและลู่จิงกำลังโต้เถียงกันหน้าแดงหูแดง“นายท่าน ฮูหยิน พวกท่านมา
“หลี่กวงถิงต้องการควบคุมข่าวลือในกองทัพ แต่ก็ต้องดูว่านายทหารเหล่านั้นจะเชื่อเขาหรือไม่”ในกระโจมฝั่งตรงข้ามกับแม่น้ำมู่ตัน กู้หว่านเยว่กำลังแกว่งเอกสารราชการในมือเล่น ใบหน้าเผยแววเจ้าเล่ห์ออกมาซูจิ่งสิงถูปลายนิ้ว “เป็นอย่างที่เจ้าคาดไว้ไม่ผิด ทันทีที่หลี่กวงถิงได้ยินข่าวนี้ ก็เรียกประชุมทั้งกองทัพทันทีและบอกว่าข่าวนี้ เป็นเท็จ”“เขามีวิธี และเราก็มีวิธีเช่นกัน”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเก็บไพ่ใบสำคัญนี้ไว้ตลอดโดยเปล่าประโยชน์ ย่อมไม่ยอมปล่อยให้หลี่กวงถิงปกปิดเรื่องนี้ได้ง่าย ๆ“ถึงเวลาที่โจวเหล่าต้องออกหน้าแล้ว”นางเอ่ยเบา ๆหลี่กวงถิงเรียกประชุมทั้งกองทัพ พยายามปลอบขวัญทหารทว่าเขาเพิ่งพูดจบในตอนเช้า ตอนบ่ายก็มีข่าวส่งมาถึงบอกว่าโจวเหล่าออกหน้าด้วยตัวเอง เขียนเอกสารฉบับหนึ่งด้วยมือ“โจวเหล่าได้ยอมรับสถานะบุตรที่เป็นกำพร้าของอดีตรัชทายาทแล้ว”ใบหน้าของรองแม่ทัพอมทุกข์“โจวเหล่าเคยเป็นอาจารย์ของอดีตรัชทายาท เขายังเป็นนักปราชญ์แห่งยุคอีกด้วย มีลูกศิษย์ในมือนับไม่ถ้วน เขาเชี่ยวชาญในการชี้นำการพัฒนาคำวิพากษ์วิจารณ์ของมวลชนบัดนี้เขาพูดออกมาเช่นนี้ ยังมีใครที่ไม่เชื่ออีก?”
กู้หว่านเยว่ซื้อโล่และชุดเกราะมาอย่างละสองหมื่นชุดนอกจากธนูและหน้าไม้แล้ว กู้หว่านเยว่ยังซื้อลูกปืนใหญ่มาอีกชุดหนึ่งลูกปืนใหญ่เหล่านี้ถือเป็นของสำรอง จะไม่นำออกมาใช้อย่างเด็ดขาด เว้นแต่จะเป็นสถานการณ์พิเศษพลังทำลายล้างของลูกปืนใหญ่นั้นรุนแรงเกินไป หากไม่จำเป็น ก็อย่าเพิ่งนำออกมาใช้หลังจากเตรียมสิ่งของพร้อมแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ดูยอดเงินคงเหลือในบัตรอืม แทบจะไม่ขยับเลยการมีเงินใช้ไม่หมดนี่มันรู้สึกดีจริง ๆ !นอกจากสิ่งเหล่านี้ นางยังซื้อผงห้ามเลือดและยาจินชวงมาจำนวนมาก ล้วนมีประโยชน์สำหรับใช้พันแผลให้ทหารหลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ย้ายสิ่งของทั้งหมดนี้เข้าไปไว้ในคลังเก็บของในเมืองผิงโจวเมืองผิงโจวมีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา ไม่ต้องกลัวว่าของข้างในจะสูญหายหลังจากนำของเข้าไปไว้ในคลังเก็บของแล้ว ค่อยให้ทหารขนย้ายสิ่งของเหล่านี้ทั้งหมดไปยังค่ายเวลาผ่านไปรวดเร็วสิบวันต่อมา กองทัพของฮ่องเต้เดินทางมาถึงแม่น้ำมู่ตันหลี่กวงถิงมองไปยังผืนน้ำอันกว้างใหญ่ของแม่น้ำมู่ตัน ก็รู้สึกมึนงงมิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้เจียงเต๋อจื้อนำกองทัพห้าหมื่นนายมา ผลปรากฏว่าพ่ายแพ้ย่อยยับ
นางสั่งให้คนสร้างคลังเก็บของขนาดใหญ่ขึ้นที่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำมู่ตันในเมืองผิงโจวเมื่อนานมาแล้ว แต่ก่อนเอาไว้ใช้เก็บเสบียงอาหารยังมีคลังเก็บของอีกหลายแห่งที่ยังใช้ไม่หมดกู้หว่านเยว่ตั้งใจจะใช้กักตุนอาวุธทั้งหมดสามวันต่อมา กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงนำกองทัพใหญ่มาถึงแม่น้ำมู่ตันกองทัพใหญ่ตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำกางเต็นท์อย่างเป็นระเบียบ ตามแบบแปลนที่กู้หว่านเยว่มอบให้เต็นท์เล็ก ๆ ถูกกางขึ้นริมแม่น้ำควันไฟค่อย ๆ ลอยขึ้นไปเหล่าทหารไม่ได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย แต่ละคนดูเหมือนมาพักผ่อนจะทำอย่างไรได้ ก็เบี้ยหวัดทหารเยอะมากเกินไป!คนอื่นเวลาเดินทัพก็กินแต่อาหารแห้ง ซาลาเปากับหมั่นโถว แต่พวกเขากินกับข้าวสามอย่าง พร้อมน้ำแกงหนึ่งอย่างทุกมื้อ แถมยังมีทั้งเนื้อและผักอีกต่างหาก!แบบนี้จะเรียกว่าออกรบได้อย่างไร?เหมือนกับเทศกาลตรุษจีนชัด ๆ !เมื่อเห็นเหล่าทหารมีขวัญกำลังใจ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ดีใจ ทั้งสองคนปรึกษาแผนการในค่ายทหารซูจิ่งสิงไม่เป็นสองรองใครในเรื่องการรบอยู่แล้ว แต่เขาพบว่ากู้หว่านเยว่ก็มีพรสวรรค์ในด้านการทหารเช่นกันความคิดที่ผุดขึ้นมาเป็นครั้งคราว ทำให้เขา
“ไม่ต้อง ๆ ข้าแค่พูดเล่นเท่านั้น ยาพิษของพวกนี้ ใช้ให้น้อยจะดีกว่า”แต่จริง ๆ แล้ว เขาก็แค่แสร้งทำเท่านั้น เฟิ่งอู๋ชีไม่ได้กลัวพิษเลยสักนิด เพราะร่างกายเขามีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิด“ไปแล้วนะ”เขาโบกมือ แล้วหันหลังเดินจากไป“รักษาชีวิตของท่านเอาไว้”กู้หว่านเยว่เอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงความปลอดภัยของเฟิ่งอู๋ชี แต่เป็นเพราะคนที่ร่างกายมีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิดนั้นหาได้ยากเผื่อในอนาคตทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกัน นางก็อาจจะได้ศึกษาดู“ไม่ต้องห่วง สิ่งที่แข็งที่สุดของข้าก็คือชีวิตนี่แหละ”เฟิ่งอู๋ชีนหลังเดินจากไป เดินไปได้สองก้าวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไม่ใช่ ๆ จุดแข็งที่สุดของเขาไม่ใช่ชีวิตเสียหน่อย!“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ นี่เป็นถึงองค์ชายหนานเจียงเชียวนะ จะไม่ฉวยโอกาสจับเขาไว้หรือ จะปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แบบนี้หรือ?”ซูจื่อชิงรีบเข้ามา เห็นเฟิ่งอู๋ชีกำลังเดินจากไปพอดี ใบหน้าของเขาเผยความเสียดายออกมาเล็กน้อยปล่อยศัตรูไปแบบนี้ ไม่เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่าหรอกหรือ?จากมุมมองของเขา ก็ควรจะจับองค์ชายหนานเจียงไว้ เพื่อใช้ข่มขู่หนานเจียงสิ“ฆ่าองค์ชายหนานเจียงก็ไร้ประโยช