กู้หว่านเยว่จับมือซูจิ่งสิง เหาะเหินไปอย่างรวดเร็วทั้งสองสวมหน้ากากป้องกันแก๊สพิษ เผชิญหน้ากับผู้พิทักษ์ตลอดทาง จึงสาดผงพิษให้ผู้พิทักษ์หมดสติไปในส่วนลึกของห้องขัง มีชายร่างผอมคนหนึ่งถูกกักขังไว้“พวกท่าน?”ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ นี่เป็นเรือนจำใหญ่ที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดที่สุดในหลินซีโข่ว สองคนนี้บุกเข้ามาได้อย่างไร?“ท่านคือเฉินจิ่งเส้าใช่ไหม?”กู้หว่านเยว่พลิกดูหนังสือต้นฉบับ พบคำพูดไม่กี่คำที่กล่าวถึงสกุลเฉินในมุมหนึ่งสกุลเฉินและสกุลกงซุนคบหากันมาหลายชั่วอายุคน แต่เมื่อสกุลกงซุนเติบโตขึ้น สกุลเฉินก็ตกต่ำลงไปนับร้อยปีแล้วแต่สกุลกงซุนก็ไม่ได้รังเกียจคนจนชอบคนรวย ยังคงยึดมั่นในข้อตกลงกับสกุลเฉินลูกหลานเกี่ยวดองกัน สนับสนุนซึ่งกันและกัน“ถูกต้อง”เฉินจิ่งเส้าพยักหน้า เมื่อเห็นใบหน้าของทั้งสองดูไม่มีเจตนาร้าย แทนที่จะตะโกนขอความช่วยเหลือ กลับถามว่า “พวกท่านเป็นใครมาจากไหน?”“พวกข้าเป็นมิตรกับสกุลกงซุน มาที่นี่เพื่อช่วยท่าน”ในเรือนจำใหญ่ไม่สะดวกจะพูดอะไร กู้หว่านเยว่เอากุญแจที่ได้มาจากตัวผู้คุมนักโทษมาเปิดประตูห้องขัง“ออกไปจากที่นี่แล้วค่อยว่
เขาคือฉินทง แห่งหลินซีโข่ว”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเฉินจิ่งเส้าก็เผยความขุ่นเคืองออกมา“ฉินทงเดิมทีเป็นคนรับใช้ของสกุลกงซุน แต่จู่ ๆ ก็คิดกบฏ ถ้าไม่ใช่เพราะการสมคบคิดกับภายนอก สกุลกงซุนก็คงจะไม่พ่ายแพ้โดยไม่ทันตั้งตัว”เมื่อพูดถึงใต้เท้าฉิน เฉินจิ่งเส้าก็โกรธจัดคนผู้นี้ยังยืนยันว่าเขาให้ที่หลบซ่อนแก่กงซุนเสว่ จับตัวเขามาลงโทษเฆี่ยนตีในเรือนจำใหญ่ ตอนนี้เฉินจิ่งเส้ายังมีบาดแผลจากท่อนไม้อยู่บนร่างกาย“ท่านซ่อนตัวอยู่ในเรือนก่อน อย่าออกไปไหน รอจนกว่าพวกข้าสองคนจะเอาตัวใต้เท้าฉินผู้ชั่วช้ามาได้”กู้หว่านเยว่พูดจบก็ดึงตัวซูจิ่งสิงไป“เฮ้ พวกท่านจะไปจริงหรือ!”ตอนแรกเฉินจิ่งเส้ายังคิดว่าทั้งสองแค่พูดเล่นกัน ไม่นึกเลยว่าพวกเขาจะไปจริง ๆ จึงตกใจเป็นอย่างมากอยู่ชั่วขณะหนึ่งแต่เขาก็ไม่ได้ขัดขวางทั้งสองไว้หากทั้งสองฆ่าฉินทงได้จริง ๆ ก็แสดงว่าพวกเขาไม่ได้เป็นสายลับที่ฮ่องเต้ชั่วส่งมาแน่นอนไม่แปลกใจที่เขาจะระแวดระวังเช่นนี้ เป็นศัตรูเหลี่ยมจัดอย่างที่เขากังวลจริง ๆ จงใจใช้ลูกไม้นี้เพื่อล่อให้เผยที่ซ่อนของสกุลกงซุน“เช่นนั้น ข้าจะรอพวกท่านอยู่ที่นี่”“อืม ท่านอย่าเที่ยวเดินไป
“กริชมีความเร็วมาก ถ้าท่านกล้าเสียงดัง” กู้หว่านเยว่ข่มขู่ด้วยรอยยิ้ม“ท่านลองดูสิ ว่าคนของท่านจะเข้ามาเร็วกว่า หรือว่ากริชของข้าจะตัดหัวท่านเร็วกว่า”ดวงตาของฉินทงหรี่ลง “จอมยุทธหญิงโปรดไว้ชีวิตด้วย ข้าจะไม่ส่งเสียงดัง”กู้หว่านเยว่ยื่นกริชให้ซูจิ่งสิง แล้วหาเก้าอี้มานั่งเดิมทีนางต้องการฆ่าฉินทงเสียเลย แต่คิดว่าอาจมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมายจากปากของเขา จึงตัดสินใจที่จะไว้ชีวิตเขาไปก่อน“ข้าขอถามท่านว่า สกุลกงซุนยังมีใครที่ยังมีชีวิตอยู่อีกไหม?”กู้หว่านเยว่ยกถ้วยขึ้นมา พลางดื่มชาอย่างสบายใจฉินทงกลอกดวงตาน้อย ๆ “ข้า ไม่รู้...”“ไม่รู้บ้าอะไร ตอบมาตามความจริง”ซูจิ่งสิงใช้เท้าถีบหัวเข่าของอีกฝ่าย จนเขาใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด“มี ยังมีคนที่ยังมีชีวิตอยู่ นอกจากผู้นำสกุลกงซุนรวมถึงคุณหนูใหญ่และคุณหนูรองแล้ว ก็ไม่พบร่องรอยของคนอื่นอีก”ฉินทงรีบบอก“ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้สืบหาที่อยู่ของพวกเขา”ดวงตาของกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเป็นประกายด้วยความประหลาดใจดูเหมือนว่าสัญชาตญาณของกงซุนจ่างเย่จะแม่นยำมาก“ผู้นำตระกูล คุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง ทั้งสามคนอยู่ที่ไหน?”“ข้าไม่รู้”
“กงซุนจ่างเย่เคยบอกไว้ว่า มีเพียงลูกหลานของสกุลกงซุนเท่านั้นที่มีจี้หยกนี้ ภายในคือโลหิตจากหัวใจของทุกคน ท่านดูข้างในจี้หยกอันนี้สิ มันมีสีแดงอยู่เล็กน้อยหรือเปล่า”“ถูกต้อง ดูเหมือนว่าหญิงผู้นี้จะเป็นพี่สาวของกงซุนจ่างเย่จริง ๆ”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงดีใจเป็นที่สุดสำเร็จโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ เลยอย่างแท้จริงเดิมทีคิดจะฆ่าฉินทงเท่านั้น ไม่นึกมาก่อนว่าจะได้ผลสำเร็จโดยบังเอิญแม้ว่าจะหาพบเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ในเมื่อพบคนหนึ่งแล้ว ที่เหลือจะยังห่างไกลอีกหรือ?“เจ้าถอยกลับมาก่อน” กรงเหล็กนี้ทำจากเหล็กนิล แต่โชคดีที่กริชในมือของซูจิ่งสิงเล่มนี้ เป็นเล่มที่หนานหยางอ๋องเคยมอบให้กับกู้หว่านเยว่กริชเล่มนี้ตัดเหล็กได้ง่ายดั่งโคลน ตัดโซ่ขาดเป็นสองท่อนได้ในทันทีที่นี่ไม่เหมาะจะอยู่นานนัก กู้หว่านเยว่ให้ซูจิ่งสิงพาทั้งสองไปด้วยก่อนจากไป นางยังหยิบตำรารับมือสัตว์เดรัจฉานในมือฉินทงไปด้วย จากนั้นจึงออกจากที่ว่าการอำเภอขณะนี้ เฉินจิ่งเส้ากำลังรอคอยอย่างกระวนกระวายอยู่ภายในเรือน“ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว ข้ายังคิดว่าพวกท่านจะตกอยู่ในอันตรายเสียอีก”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า พลาง
“ข้าเข้าไปดูหน่อย”เฉินจิ่งเส้าได้ยินว่ากงซุนฉิงไม่เป็นไร รีบเข้าไปตรวจบาดแผลของนางภายในห้องกู้หว่านเยว่กลับเหลือบมองฉินทงบนพื้น ให้ซูจิ่งสิงพาคนไปห้องด้านข้างยามปฏิบัติต่อฉินทงที่หมดสติไป นางไม่มีเมตตาแม้แต่น้อยถือน้ำเย็นถังใหญ่ออกจากมิติโดยตรง สาดใส่ตัวฉินทงฉินทงมีไหวพริบ ได้สติกลับมาแล้วมองสภาพแวดล้อมรอบกายอย่างชัดเจน เขาตกตะลึงหน้าถอดสี รีบคุกเข่าโขกศีรษะให้ทั้งคู่“ท่านจอมยุทธ์ ปล่อยข้าไปเถอะ พวกท่านอยากรู้เรื่องใด ข้าจะบอกพวกท่านทั้งหมด ขอเพียงพวกท่านไม่ฆ่าข้าก็พอ”ขณะเดียวกันกู้หว่านเยว่กลับไม่เชื่อคำพูดทั้งหมดของฉินทงอย่างไรเสียเมื่อครู่คนผู้นี้ก็ปิดบังเบาะแสของกงซุนฉิง หากมิใช่ซูจิ่งสิงลงทัณฑ์ทรมานก็คงพลาดไปแล้วแต่ปัญหาที่ต้องถามก็ยังต้องถามให้เรียบร้อย“เหตุใดเจ้าจึงทรยศหมู่บ้านโซ่วหวาง เพื่อพิสูจน์ความจริงใจต่อฮ่องเต้กระนั้น?”“ขอเตือนเจ้า จงตอบตามสัตย์จริง หาไม่แล้วเจ้าได้ทรมานยิ่งกว่าตายเสียอีก”ฉินทงพยักหน้าทั้งน้ำตา แสดงให้เห็นว่าตนเองไม่กล้าพูดปด“ข้าพูด...ข้าพูด”ฉินทงหายใจเข้าลึกๆ“แท้จริงแล้วข้าเองก็ไม่อยากทรยศหมู่บ้านโซ่วหวาง เรื่องนี้พูดแล้วก
มาถึงตรงนี้ กู้หว่านเยว่เข้าใจต้นสายปลายเหตุเกือบทั้งหมดแล้วฉินทงถูกสตรีลึกลับขู่ ตีขนาบทั้งด้านในและด้านนอกกับอีกฝ่ายคนสกุลกงซุนทั้งหมดล้วนถูกวางยา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความสามารถต่อต้านถูกจัดการทั้งหมดในคราวเดียว“ตอนนี้สตรีลึกลับคนนั้นอยู่ที่ใด?”“ข้าไม่รู้ นางมาไร้เงาไปอย่างไร้ร่องรอย”ฉินทงส่ายหน้า เห็นซูจิ่งสิงจะลงมืออีกครั้ง รีบพูดว่า“ใช่แล้ว ข้านึกออกแล้ว นางติดต่อกับใต้เท้าสองท่านที่มาจากเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้นนางหาของที่ต้องการไม่พบ ดังนั้นนางอาจยังอยู่ที่เขตซีเป่ย ไม่แน่ว่าตอนนี้ก็อยู่ภายในหมู่บ้านโซ่วหวางขอรับ”กู้หว่านเยว่พบจุดบอดแล้ว “ในเมื่อสตรีลึกลับคนนั้นต้องการคนสกุลกงซุน เหตุใดกงซุนฉิงจึงอยู่ในมือเจ้า เจ้ากลับไม่มอบให้นาง?”“เอ่อ...”ใบหน้าฉินทงเผยแววรู้สึกผิด คิดว่าอย่างไรเสียตนเองก็พูดความลับมากเพียงนี้แล้ว ไม่ขาดเรื่องนี้ไป“เพราะข้าเองก็อยากเรียนเคล็ดลับควบคุมสัตว์ร้าย...ดังนั้นข้าจึงเก็บกงซุนฉิงไว้ศึกษา...”น่าเสียดายปากของกงซุนฉิงปิดสนิท ไม่ว่าเขาทรมานเยี่ยงไรปากนั้นของนางกัดแน่นไม่ยอมเปิดออกต่อให้ตายก็ไม่แย้มพรายแม้คำเดียวภายใต้ความเอือม
ดวงตาซูจิ่งสิงทอประกาย ของสิ่งนี้มีประโยชน์ดังคาดอาศัยช่วงนักรบหมาป่าเดินห่างไปไกล ทั้งสองสบโอกาสเหินลงบนหญ้า จากนั้นเหินขึ้นกำแพงเมืองซูจิ่งสิงมาที่ตำแหน่งใจกลางกำแพงเมือง แขวนศีรษะฉินทงไว้บนกำแพงเมืองโดยตรงจากนั้นเหินบินจากไปก่อนถูกทหารพบเห็นเชื่อว่าหลังฟ้าสว่างในวันพรุ่งนี้ ทหารลาดตระเวนเหล่านั้นมองเห็นศีรษะของฉินทงแล้ว จะต้องเกิดคลื่นลูกใหญ่อย่างแน่นอน“คาดหวังขึ้นมาบ้างแล้ว”กู้หว่านเยว่ลูบคาง ยิ้มอย่างมีเจตนาร้ายทั้งสองคนกลับเข้าเรือนขณะเดียวกัน เฉินจิ่งเส้าคอยอยู่ภายในนานมากแล้ว เห็นทั้งคู่กลับมา ถลันขึ้นมาเร็วรี่“พวกท่านนับว่ากลับมาแล้ว กงซุนฉิงฟื้นแล้ว”“พาข้าไปดูหน่อย”ได้ยินว่ากงซุนฉิงฟื้นแล้ว กู้หว่านเยว่รีบเข้าเรือนบัดนี้กงซุนฉิงกำลังนั่งพิงหัวเตียง เหลือบเห็นว่ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเข้ามาแล้ว รีบเอ่ยปากขอบคุณทั้งคู่กู้หว่านเยว่หยั่งเดา เป็นเฉินจิ่งเส้าเล่าต้นสายปลายเหตุให้นางฟัง“น้องเจ็ดของข้ายังดีอยู่หรือไม่?”“ไม่ดี” กู้หว่านเยว่ตอบตามสัตย์จริง “ถูกควักดวงตาสองข้าง กระดูกมือและขาหัก ตายเสียดีกว่าอยู่”“แควก!”ผ้าปูเตียงในมือกงซุนฉิงขาดเป็
“วิชาแมวสามขา [1] เท่านั้น น่าเกลียดเกินไป”สีหน้าเฉินจิ่งเส้าเปี่ยมความเก้อกระดาก วรยุทธ์เพียงแค่นั้นของเขายามอยู่ต่อหน้าซูจิ่งสิง ไม่พอให้ชายตาแล “แต่พวกเราพาไปคนหนึ่ง ใช้วิชาตัวเบาเชื่องช้าเกินไป มิสู้ใช้สัตว์ของข้า”พูดจบ เขาผิวปากเสือเงินสีขาวดุจหิมะทั่วทั้งสรรพางค์กายตัวหนึ่งกระโจนออกจากความมืดมิดยามราตรีจากนั้นหมอบหลงต่อหน้าเฉินจิ่งเส้า ลดหลังลงต่ำแม้แต่คนพบเห็นมามากอย่างกู้หว่านเยว่ยังตกตะลึงเหม่อลอย“เสือเงินนี้ถึงขั้นฟังคำสั่งท่าน นี่คือสัตว์เลี้ยงหรือ?”กู้หว่านเยว่เอ่ยถามอย่างตกตะลึงพรึงเพริดพวกเขาสองสามีภรรยานับตั้งแต่ปรากฏตัวจนถึงตอนนี้ ก็คล้ายปรมาจารย์ลึกลับสองท่านอยู่ตลอดครั้นเผยสีหน้าตกตะลึง นับว่าน่ารักใสซื่อมากเฉินจิ่งเส้าหัวเราะฮาๆ พูดอย่างไม่ปกปิด“แท้จริงแล้ววมิได้ลึกลับเหมือนข่าวลือ พวกเราใช้ชีวิตร่วมกับสัตว์เหล่านี้ตั้งแต่เด็ก ย่อมเกิดความผูกพัน เสือเงินตัวนี้เป็นของขวัญที่ท่านพ่อมอบให้ข้าตอนอายุครบสิบขวบ”สายตาเฉินจิ่งเส้าสะท้อนความภาคภูมิใจ“หลังเลี้ยงดูแล้ว มันก็นับข้าเป็นเจ้านาย เชื่อฟังคำสั่งของข้า ไม่ทำร้ายคนรอบกายข้าตามใจ แต่ข้านี่คือวิ
“คนในครอบครัวของเจ้าตายกันหมดแล้วหรือ?”กู้หว่านเยว่ปวดใจกับเด็กคนนี้มาก จึงยื่นขนมอีกชิ้นให้เขา“ทุกคนตายหมดแล้วขอรับ เหลือเพียงข้าผู้เดียว”ครั้นนึกถึงเรื่องเสียใจ เสี่ยวถ่านก็มักจะก้มหน้าลง จากนั้นหยดน้ำตาก็ได้หลั่งรินออกมาจากดวงตาของเขาเขาคิดถึงท่านแม่“เอาละ หยุดร้องได้แล้ว แม้ว่าคนในครอบครัวของเจ้าจะตายกันหมดแล้ว แต่เจ้าก็ต้องใช้ชีวิตให้ดี”กู้หว่านเยว่ตักน้ำแกงไก่ให้เขา นางมักจะรู้สึกว่าสถานะของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ไม่ธรรมดากิริยามารยาของเขาดูไม่เหมือนชาวบ้านธรรมดา จู่ ๆ ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว“ประตูเมืองเปิดแล้ว!”ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ทันใดนั้นเสียงตะโกนระลอกหนึ่งก็ดังมาจากด้านนอก จากนั้นความโกลาหลก็เกิดขึ้นขึ้นในฝูงชนที่ล้อมรอบ ทุกคนต่างทยอยกันเข้ามารวมตัวกันหน้าประตูเมือง“น้องหญิง เราเองก็เข้าเมืองกันเถอะ”ซูจิ่งสิงเปิดผ้าม่าน ก่อนจะกล่าวทักทายกู้หว่านเยว่ ไหน ๆก็จะเข้าเมืองแล้ว พวกเขาคงนั่งอยู่บนรถม้าไม่ได้อีก ต้องลงจากรถม้ามาตรวจสอบถึงจะถูก “เจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่คว้ามือของเสี่ยวถ่านลงมาจากรถม้า และเดินมาต่อแถวอยู่ด้านหลังของกล
ไม่สู้สละตัวปัญหานี้ออกไปโดยเร็ว เขาจึงเริ่มร้อนใจ“เอาอย่างไร ข้าเสนอให้เจ้ายี่สิบตำลึง ตกลงเจ้าจะเอาหรือไม่เอา?”“ข้าเอา”ซูจิ่งสิงรับเงินมาจากมือของกู้หว่านเยว่ หลังจากนับจนครบยี่สิบตำลึงแล้วก็โยนให้บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นรับเงินไปด้วยความดีใจ เขาทำการตรวจสอบครู่หนึ่งจนมั่นใจว่าไม่มีปัญหาแล้ว ก็ไม่ได้สนใจทาสตัวน้อยนั้นอีก สะบัดก้นเดินจากไปทันที“ขอบคุณพวกท่านมาก” ทาสตัวน้อยมองไปทางซูจิ่งสิงแวบหนึ่ง แต่นัยน์ตายังคงหวาดกลัวลางสังหรณ์กำลังบอกเขาว่าซูจิ่งสิงอันตรายมาก เขาไม่กล้าเข้าใกล้ซูจิ่งสิงเลยแม้แต่น้อย“เจ้าขึ้นรถม้าเถอะ”กู้หว่านเยว่กวักมือเรียกทาสตัวน้อย สองวันมานี้เวลาว่างนางก็มักจะเรียนรู้ภาษาของชาวทูเจวี๋ยจากซูจิ่งสิงอยู่เสมอ แม้ว่าจะยังออกเสียงได้เล็กน้อย แต่พอถูไถได้ไม่มีปัญหาทาสตัวน้อยเกิดความลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ยังปีนขึ้นรถม้า เขามองกู้หว่านเยว่ด้วยความประหลาดใจ“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ใช่คนชั่ว”กู้หว่านเยว่ไม่รู้ว่าตัวเองเข้าไปยุ่งเรื่องของผู้อื่นทำไม บางทีอาจเพราะเห็นสายตาขอความช่วยเหลือจากทาสตัวน้อยผู้นั้น จึงรู้สึกว่าเหมือนตัวเองก่อนหน้านั
นางรีบลืมตา ก็พบว่าพวกเขามาถึงคูเมืองแห่งหนึ่งแล้ว เมืองชิงซานประตูเมืองของเมืองชิงซานจะเปิดในเวลาแปดโมงเช้า ตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าตรู่ ดังนั้นซูจิ่งสิงจึงจอดรถม้าอยู่หน้าประตูเมืองชั่วคราวแต่เวลานี้บริเวณประตูเมืองชิงซาน ยังมีคนที่เดินทางมาถึงเช้าตรู่เหมือนกับพวกเขาอีกเป็นจำนวนมาก กำลังพักผ่อนอยู่บนพื้นที่โล่งรอบ ๆ หน้าประตู เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ดังมาจากด้านหลังของรถม้าพวกเขา กู้หว่านเยว่เบนสายตามองตาม กระทั่งเห็นเด็กน้อยหน้าตามอมแมมผมเผ้ายุ่งเหยิงคนหนึ่ง เกาะล้อรถของนางไม่ยอมปล่อย แต่ด้านหลังของเขา มีบุรุษวัยกลางคนฟาดเขาด้วยแส้อย่างโหดเหี้ยม“เกิดอะไรขึ้น?”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบตากัน เมื่อครู่นางอยู่แต่ในห้วงมิติตลอด จึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นด้านนอก“เด็กหนุ่มผู้นี้วิ่งลงมาจากรถม้าของบุรุษวัยกลางคนผู้นั้น”ซูจิ่งสิงมองพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกระซิบข้างหูของนางเบา ๆ“ท่าทางจะเป็นทาสที่ซื้อตัวมา คงอยากหนี”“ได้โปรดพวกท่าน ช่วยข้าด้วย”ครั้นทาสตัวน้อยเห็นกู้หว่านเยว่ชะโงกหน้าออกมา จึงมองนางด้วยความตกใจ แต่นัยน์ตาแฝงไปด้วยการอ้อนวอนเดิมทีกู้หว่านเยว่ไม่อยากเ
เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของกู้หว่านเยว่ดังก้องไปทั่วท้องฟ้า รูม่านตาของเจ้าเมืองแห่งเมืองสือโม่เบิกกว้าง พลางส่งเสียงกรีดร้องคล้ายกับสตรีชั้นสูงที่กำลังถูกกระทำชำเราอย่างไรอย่างนั้น“รนหาที่ตายแท้ ๆ บุรุษและสตรีคู่นี้เป็นผู้ใดกัน?!”“เจ้าเมือง บัดนี้เราจะทำอย่างไรกันดี?”ทหารที่ดูโง่เขลาบางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นกลัว เพียงครู่เดียว จวนของเจ้าเมืองก็ถูกกู้หว่านเยว่ถล่มจนไม่เหลือชิ้นดีทั้งเมืองสือโม่ตกอยู่ในความโกลาหลยิ่งกว่าเดิม!ซึ่งพอจะจินตนาการได้ว่าเรื่องของเมืองสือโม่ที่เกิดขึ้นในคืนนี้จะต้องแพร่กระจายไปทั่วเมืองทูเจวี๋ยอย่างแน่นอน ไม่สิ อาจจะแพร่กระจายไปยังฝั่งของต้าฉีด้วย“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าควรทำอย่างไร รีบจับพวกเขาให้ได้ก่อนเถอะ!”เจ้าเมืองโกรธที่ตัวเองไร้ความสามารถ ส่วนทหารคนอื่นได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น พวกเขาไม่มีปีก ดังนั้นจึงทำได้แค่มองนกหงส์เพลิงบินสูงขึ้นเรื่อย ๆ “จูเชวี่ย เราไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่มองไปยังเสบียงอาหารที่ถูกปล้นมาไว้ในห้วงมิติ ก่อนจะคลี่ยิ้มตาหยี นางลูบหัวของจูเชวี่ยเบา ๆ และออกคำสั่งให้จูเชวี่ยเร่งความเร็ว จากนั้นก็บินออกจากเมืองสือโม่ไปเจ้าเ
“กว่าจะมาถึงที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย เราคงจะกลับไปทั้งแบบนี้ไม่ได้ ข้าตั้งใจจะไปคูเมืองของเมืองสือโม่ แล้วกวาดเอาคลังสินค้าของพวกเขากลับไปด้วย”ในใจของกู้หว่านเยว่รู้สึกดีไม่น้อย ทำเรื่องใหญ่ทั้งที นางจะหยุดแค่นี้ไม่ได้สิ่งที่ซูจิ่งสิงคิดไว้ก็คือ หลังจากระเบิดประตูเมืองแล้วพวกเขาสามารถรอดพ้นจากการไล่ล่าได้ แต่ทหารทูเจวี๋ยที่เหลือคงจะรวมตัวและไล่ล่าทาสเหล่านั้นมีเพียงพวกเขาที่สามารถสร้างหายนะให้เมืองสือโม่ต่อไปได้ ทหารทูเจวี๋ยคงจะพุ่งความสนใจไปที่พวกเขา ชาวบ้านในต้าฉีจะได้มีโอกาสหนีออกไป“ก็ดี เช่นนั้นเราไปกวาดคลังสินค้าของพวกเขากันเถอะ”หากพูดถึงความเคร่งครัด นี่ไม่ได้เรียกว่าการปล้นถึงอย่างไรดินแดนของคนทูเจวี๋ยก็แห้งแล้งและไม่มีเสบียงมากนักในเมืองสือโม่มีการกักตุนเสบียงอาหารและเงินทอง โดยพื้นฐานแล้วเป็นสิ่งของที่พวกเขาน่าจะปล้นชิงมาจากชาวบ้านที่อยู่ชายแดนดังนั้นตอนนี้ยิ่งพูดได้เต็มปากว่าเป็นเจ้าของเสบียงอาหาร พวกเขาแค่ต้องนำเสบียงที่เดิมทีเป็นของชาวบ้านชายแดนเหล่านั้นกลับมาก็เท่านั้น“ไป!”กู้หว่านเยว่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กระทั่งมาถึงคลังสินค้าในเมืองสือโม่เป็นอย่างที
จากนั้นนางก็ขี่จูเชวี่ยขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์ เนื่องจากการเคลื่อนไหวของกู้หว่านเยว่ค่อนข้างเอิกเกริก ไม่นานนักก็ดึงดูดความสนใจของทหารลาดตระเวน“พวกเจ้าดูนั้น มันคือสิ่งใดกัน?”“ดูเหมือนจะเป็นนกตัวหนึ่ง”“ไม่สิ ๆ ดูเหมือนว่ามีคนนั่งอยู่บนนกตัวนั้นด้วย!”ทหารทูเจวี๋ยพยายามเบิกตากว้าง จนกระทั่งมองเห็นได้ชัดว่าบนนกหงส์เพลิงหลากสีตัวนั้นมีสตรีสวมชุดสีเขียวนางหนึ่งนั่งอยู่ด้วย และกำลังบินถลาตรงมายังหอสังเกตการณ์คนทั่วไปมักจะเข้าออกทางประตูเมืองไหนเลยจะบินเข้าไปโดยตรง?ทหารทูเจวี๋ยตื่นตกใจ กระทั่งสบถคำหยาบคายออกมาจากปาก“รนหาที่ตายชัด ๆ แม่นาง รีบลงมาจากหอสังเกตการณ์เดี๋ยวนี้!”“หากยังไม่ลงมา เราจะเป็นฝ่ายไปหาเจ้าเอง!”“วันนี้ข้าจะไม่ลงไป เพราะข้าต้องการทำลายเมืองสือโม่ให้ราบเป็นหน้ากลอง”เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของกู้หว่านเยว่ดังออกมาจากฟากฟ้า นางตบศีรษะของจูเชวี่ยเบา ๆ จากนั้นจูเชวี่ยก็รีบผงกหัวขึ้น เปลวเพลิงขนาดใหญ่ถูกพ่นออกมาจากปากของมัน กวาดทำลายล้างหอสังเกตการณ์ เผาหอสังเกตการณ์จนวอดวายในเสี้ยววินาทีเปลวเพลิงขนาดใหญ่พุ่งจากหอสังเกตการณ์ทะยานสู่ท้องฟ้า ทหารทูเจวี๋ยต่างตื่
ถูกต้อง น้องหญิงไม่เคยพูดจาคุยโวกู้หว่านเยว่กะพริบตา “พวกเราเข้าเมืองก่อน”ทั้งสองเร่งเดินทางมาตลอด ในไม่ช้าก็มาถึงเมืองโม่สือเนื่องจากพวกเขาทำตัวเป็นสามีภรรยาชาวทูเจวี๋ยทั่วไปแต่แรก หนำซ้ำภาษาทูเจวี๋ยของซูจิ่งสิงก็คล่องแคล่วมากดังนั้นทั้งสองคนจึงผ่านด่านเข้าเมืองมาอย่างง่ายดาย เข้ามาในเมืองสือโม่อย่างราบรื่นเมื่อเข้ามา กู้หว่านเยว่เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมซูจิ่งสิงถึงเรียกที่นี่ว่านรกบนดินสองข้างทางภายในเมืองเต็มไปด้วยชาวต้าฉี ยามนี้กลายเป็นทาส กำลังก่อสร้างหอคอยเมืองพวกเขาเสื้อผ้าขาดวิ่น ท่าทางเชื่องช้า หากชักช้าแม้แต่นิดเดียว แส้ในมือทหารทูเจวี๋ยจะฟาดลงบนตัวพวกเขาทันที แส้พวกนั้นกระทั่งมีหนาม สามารถครูดจนเนื้อหนังหลุดเป็นชั้น มีหลายคนที่ถูกฟาดจนบนตัวไม่มีเนื้อดีแม้แต่นิดเดียวส่วนภายในเมืองน่ากลัวยิ่งกว่า มองเห็นหญิงสาวชาวต้าฉีถูกชายทูเจวี๋ยใช้กำลังบังคับขืนใจได้ตามตรอกทั่วไป บนถนนเต็มไปด้วยเสียงร้องระงม“น้องหญิง อย่าวู่วาม”ซูจิ่งสิงกดมือกู้หว่านเยว่เอาไว้ แม้เขาเองก็โกรธแค้นมาก แต่ขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการลงมือ“พวกเราไปหาโรงเตี๊ยมเข้าพักกันก่อน”“ได้”กู้หว่านเยว
แม่ทัพผู้เฒ่าเกาเอ่ยเสียงเข้มพร้อมทำความเคารพ“พบกันใหม่” ซูจิ่งสิงพากู้หว่านเยว่จากไป“ท่านพี่ เส้นทางที่พวกเราวาดเมื่อคืน วันนี้นำออกมาใช้ได้แล้วสิ?”หลังจากทั้งสองคนออกจากด่านซานไห่ กู้หว่านเยว่นำแผนที่ซึ่งวาดเส้นทางเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานออกมา“ถูกต้อง”ซูจิ่งสิงพยักหน้า แล้วเอ่ยชมเต็มที่ “น้องหญิงช่างมีวิสัยทัศน์กว้างไกล”“แผนที่นี้ท่านเป็นคนวาดนะ”กู้หว่านเยว่นึกขึ้นได้ เมื่อวานซูจิ่งสิงบอกนาง รอบด้านทูเจวี๋ยเต็มไปด้วยหมาป่า หากอยากไปให้ถึงเมืองอูถ่าน ทางที่ดีต้องเดินทางผ่านตัวเมืองไปตลอดทางในเมื่อต้องเดินทางผ่านเมือง เช่นนั้นคงปล่อยให้คนอื่นรู้ไม่ได้ว่าพวกนางคือชาวต้าฉีกู้หว่านเยว่รีบซื้อเสื้อผ้าของชาวทูเจวี๋ยจากแพลตฟอร์มซื้อขายทันที จากนั้นนำอุปกรณ์แปลงโฉมออกมาเนื่องจากคนของเหยลวี่เจิงเคยเห็นเพียงซูจิ่งสิง ไม่เคยเห็นรูปโฉมกู้หว่านเยว่ดังนั้นกู้หว่านเยว่จึงแปลงโฉมให้ซูจิ่งสิงคนเดียว เมื่อถึงตานาง นางเพียงกลบเกลื่อนเอกลักษณ์ความเป็นต้าฉีเล็กน้อยเท่านั้น แต่งกายให้ตัวเองใกล้เคียงคนทูเจวี๋ยที่สุดเพียงไม่นาน สองสามีภรรยาชาวทูเจวี๋ยแบบดั้งเดิมเดินออกมาจากในป่ากู้หว่า
เนื้อหาบนจดหมายเรียบง่ายมาก แรกเริ่มแจ้งให้รู้ว่าซูจิ่นเอ๋อร์อยู่ในมือพวกเขา ต่อมาบอกว่าหากซูจิ่งสิงอยากช่วยน้องสาวกลับไป ให้มาที่เมืองอูถ่านเพียงลำพังสองคนใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือเหยลวี่เจิง นึกไม่ถึงว่าเขาจะต่ำทรามเพียงนี้ คนในครอบครัวไม่เกี่ยวข้อง แต่เขากลับลงมือกับคนสกุลซูหลายครั้ง “ท่านคิดจะทำอย่างไร?”กู้หว่านเยว่หันมองซูจิ่งสิง ความจริงพอเดาได้ว่าในใจเขาคิดอย่างไร เป็นไปตามคาดหลังจากซูจิ่งสิงเงียบไปสักพัก เอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น“ข้าเป็นพี่ใหญ่ ไม่อาจปล่อยจิ่นเอ๋อร์ให้อยู่ในอันตรายโดยไม่สนใจ ในเมื่อจิ่นเอ๋อร์กับฟู่หลานเหิงอยู่ในมือพวกเขา เช่นนั้นข้าจะเดินทางไปเมืองอูถ่าน ช่วยพวกเขากลับมา”ซูจิ่งสิงจับไหล่ทั้งสองข้างของกู้หว่านเยว่“หว่านเยว่ เจ้ารอข้าอยู่ที่ด่านซานไห่นะ”สิ่งที่เขาคิดคือ การไปเมืองอูถ่านครั้งนี้อันตรายมากในเมื่อเหยลวี่เจิงส่งจดหมายมา แสดงว่าเขาวางกับดักไว้ทั่วเมืองอูถ่านแล้ว เพื่อรอให้เขาไปติดกับเองการไปครั้งนี้ เขาอาจไม่ได้กลับมาดังนั้นเขาไม่อยากทำให้กู้หว่านเยว่ลำบาก จึงคิดจะให้นางรออยู่ที่ด่านซานไห่หากเขาโชคดีได้กล