เรื่องนี้ก็ใกล้เคียงกับสิ่งที่กู้หว่านเยว่ได้ยินมาเมื่อครู่เวลานี้ สวีหลานเกลียดผู้ชายคนนี้เข้ากระดูกดำ“เจ้ามันไอ้ขี้ขลาดตาขาว พอโดนจับได้ก็ขายข้าจนเกลี้ยง ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ฆ่าเจ้าทิ้งตั้งแต่แรกก็ดี!”ผู้ชายคนนั้นหดคอด้วยความกลัว “ข้าก็ไม่มีทางเลือก เจ้าไม่เห็นหรือว่าสองคนนั้นจะฆ่าข้าแล้ว ถ้าพวกเขาฆ่าข้าจริง ๆ เจ้าก็ต้องเสียดายแน่ ๆ !”สวีหลานโกรธจนตาแดงกู้หว่านเยว่เหลือบมองท่านหลี่โหวที่นอนอยู่บนเตียง ถูกทรมานจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว รู้สึกว่าท่านหลี่โหวน่าสงสารจริง ๆ ทั้งที่ตัวเองเป็นแบบนี้ ยังต้องมาทนดูภรรยาเล่นชู้กับชายอื่นต่อหน้าต่อตาอีกแม้แต่คนที่ถูกสวมเขาก็ยังไม่น่าอนาถขนาดนี้หลังจากเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสวีหลานกับผู้ชายคนนี้แล้ว กู้หว่านเยว่ก็หันไปมองสวีหลาน แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง“ท่านหลี่โหวเป็นอัมพาตจากโรคหลอดเลือดสมอง นี่เป็นฝีมือเจ้าหรือไม่?”“ไม่ใช่ข้า”สวีหลานจะยอมรับได้อย่างไร ถ้ายอมรับ นางไม่ตายแน่ ๆ หรือ?นางเหลือบมองท่านหลี่โหว แล้วพูดอย่างภาคภูมิใจ“ท่านโหวเป็นอัมพาตเอง ไม่เกี่ยวกับข้าหลังจากที่เขาเป็นอัมพาต ข้าก็ดูแลเขาอย่างดี กินดีอยู่ดี เ
“หญิงชั่ว เจ้ามันหญิงชั่วจริง ๆ ”หลี่เฉินอันส่ายหน้า“หึ ข้าก็แค่ปกป้องตัวเอง”เมื่อรู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว สวีหลานจึงยอมเปิดเผยทุกอย่าง“ท่านแม่เจ้าเป็นคนดีแล้วอย่างไรเล่า สุดท้ายก็ตายด้วยน้ำมือข้าไม่ใช่หรือ?แต่พ่อของเจ้าก็ไม่ใช่คนดีอะไร ตอนนั้นเพื่อตำแหน่งโหว เขาจึงต้องแต่งงานกับข้า ทำให้ข้าต้องพลัดพรากจากคนที่ข้ารักแต่พอแต่งกับข้าแล้ว เขาก็ไม่เห็นค่าของข้า! เขาสมควรตาย! เขาติดค้างข้า พวกเขาทั้งหมดติดค้างข้า!”หลี่เฉินอันขมวดคิ้วแน่น เขายังอายุน้อย สิ่งที่สวีหลานพูดออกมานั้น ชัดเจนว่ามันเกินกว่าที่เขาจะรับไหว“ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปที่หอบรรพบุรุษ และจะเปิดเผยความผิดทั้งหมดของเจ้าต่อหน้าทุกคน”หลี่เฉินอันข่มขู่“เจ้าควรจะอธิบายสาเหตุการตายของแม่ข้าให้ชัดเจน อย่าใส่ร้ายนาง!”สายตาของสวีหลานสั่นไหว “ถ้าอยากให้ข้าแก้ต่างให้แม่ของเจ้า ก็ได้แต่เจ้าต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง”ผู้ชนะเป็นเจ้า ผู้แพ้เป็นโจร ตอนนี้นางเห็นชัดเจนแล้วว่านางแพ้ข้างกายหลี่เฉินอันมียอดฝีมือสองคน นางหนีไม่พ้นหรอก“เจ้าอย่าหวัง” หลี่เฉินอันไม่อยากถูกนางข่มขู่“เช่นนั้น เจ้าฆ่าข้าแ
“ทั้งหมดนั่นก็แค่หลอกเจ้า ใครใช้ให้เจ้าให้เงินข้ามากมายเช่นนั้น ข้าก็ต้องพูดอะไรดี ๆ ให้เจ้าฟังสิ”“ทะ ท่าน...อุ๊บ!” สวีหลานคงไม่คาดคิดว่าจางเย่ว์จะพูดเช่นนี้ นางโกรธจนกระอักเลือดออกมา แล้วล้มลงไปบนตัวจางเย่ว์อย่างอ่อนแรงจางเย่ว์เหมือนอยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง รีบผลักสวีหลานออกจากตัวเขา“ตอนนี้พวกท่านคงเชื่อแล้วสินะ ขอแค่พวกท่านปล่อยข้าไป ข้ารับรองว่าจะไม่แก้แค้นอ้อ แล้วก็ข้ายังสามารถช่วยเป็นพยานให้พวกท่าน เปิดโปงนางด้วย”ในขณะที่จางเย่ว์กำลังเอาตัวรอด เขาก็ไม่ลืมที่จะหักหลังสวีหลานแม้ว่ากู้หว่านเยว่จะเกลียดสวีหลานมาก แต่ในเวลานี้ก็อดสงสารนางไม่ได้ผู้ชายคนนี้ น่ากลัวมากจริง ๆ !”“น้องหญิง ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่มีวันเป็นแบบนี้”ซูจิ่งสิงรีบเอ่ยขึ้น พร้อมกับมองจางเย่ว์ด้วยสายตารังเกียจ เขาตัดสินใจแล้วว่า ไม่ว่าอย่างไร ชีวิตของจางเย่ว์ก็ต้องจบลง“ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อ ท่านรักข้า”สวีหลานยังคงส่ายหัว“ข้ารู้ว่าท่านรักตัวกลัวตาย นี่ต้องเป็นเรื่องโกหกที่ท่านพูดเพื่อเอาตัวรอดแน่ ๆ ข้าไม่โทษท่านหรอก พี่เย่ว์”“ไม่ ข้าไม่ได้รักเจ้าจริง ๆ ”จางเย่ว์กลอกตาไปมา ไม่รู้ว่าสำนึกผิดห
ซูจิ่งสิงมองตามสายตาของกู้หว่านเยว่ กระทั่งเห็นบุรุษผมขาวผู้หนึ่งเดินนำผู้ติดตามเข้ามาอีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมสีดำทมิฬ ขับให้ผมสีขาวของเขาดูโดดเด่นมากขึ้น ยามเขาเดินอยู่บนถนนก็ยิ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนในบริเวณนั้นไปไม่น้อยบุรุษผมขาวมีท่าทีนิ่งสงบ สายตามองตรงไม่มีไขว่เขวแต่จู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาของสองสามีภรรยากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง จนต้องหันไปมองพวกเขาเมื่อสายตาประสานกัน ในใจของกู้หว่านเยว่กลับไม่ได้รู้สึกเกลียงชัง ทั้งยังพยักหน้าเล็กน้อยให้บุรุษผมขาวเพื่อแสดงความเป็นมิตรนัยน์ตาของจงหลี่วูบไหวเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมสตรีผู้นี้ถึงทำให้เขารู้สึกคุ้นหน้ายิ่งนักแต่น่าเสียดายที่กู้หว่านเยว่ใส่ผ้าคลุมหน้า เขาเห็นแค่ดวงตาคู่นั้นแม้ว่าจะเห็นเพียงดวงตาคู่นั้น แต่เรื่องที่น่าแปลกใจก็คือ จงหลี่เกิดความรู้สึกดีกับเจ้าของดวงตาคู่นี้เขาผู้ซึ่งไม่ชอบปฏิสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า แม้ว่าจะอยากเข้าไปทำความรู้จักกับกู้หว่านเยว่แต่กู้หว่านเยว่กลับละสายตากลับไป นางชอบดูคนซุบซิบนินทากันแต่ก็ได้แค่ดูเท่านั้น ในใจของนางยังอยากเดินเล่นตลาดในเมืองอวี้ อยากเห็นว่าเมืองอวี้แห่งนี้เป็นอย่างไร“ท่านพ
กู้หว่านเยว่กำชับสั้น ๆ หลี่เฉินอันพยักหน้าน้อมรับคำสั่งทั้งสามคนเดินมาถึงห้องโถง มู่หรงอวี้กำลังรออย่างกระวนกระวายใจ จากเมืองตู้เปียนมาถึงเมืองอวี้ เส้นทางนี้ไม่ใช่ทางเดียวกับโรงเตี๊ยมเลยสักนิด ทุกคนรู้ดีว่าเจดีย์หนิงกู่นั้นยากจน แต่ไม่คิดว่าจะยากจนข้นแค้นเช่นนี้มู่หรงอวี้เดินทางอยู่หลายวัน แทบไม่ได้ล้างเนื้อล้างตัวเลย คนกลัวความสกปรกอย่างเขาจึงค่อนข้างทรมานจนแทบทนไม่ไหวเดิมทีคิดว่าหากถึงจวนโหวแล้ว ทุกคนคงรู้สถานะของเขา ต้อนรับเขาราวกับแขกผู้มีเกียรติใครจะรู้ละว่าเขาและเถาเอ๋อร์จะถูกทิ้งอยู่ในนี้ รอจนเวลาผ่านไปแล้วครึ่งชั่วยามทันทีที่หลี่เฉินอันและกู้หว่านเยว่เข้ามา ก็ได้ยินเสียงที่พยายามข่มความโกรธและประชดประชันของมู่หรงอวี้“อ๋องหลี่ก็ช่างวางอำนาจบาตรใหญ่เสียจริง ๆ ปล่อยให้ข้ารออยู่ในนี้หนึ่งชั่วยามแล้ว ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดจะทำเรื่องใหญ่อะไรนะขอรับ”สายตาคู่นั้นมองข้ามหลี่เฉินอันไปโดยสิ้นเชิง เด็กอายุเพียงสิบสองสิบสามปี แต่จิตใจกลับต่ำช้ายิ่งกว่าสิ่งใดสายตาคู่นั้นกวาดมองมายังกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง ทั้งสองคนปลอมตัวเข้ามา มู่หรงอวี้กลับมองไม่ออก เพียงแวบเดียวก็ไม่ได้ใ
บุรุษผู้ใส่เสื้อผ้ารัดรูปทั้งตัว ดูแล้วคล้ายกับข้ารับใช้ของขุนนางใหญ่ เคราบนหน้าก็รกรุงรังน่าขยะแขยงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้“เข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ”หลี่เฉินอันกำหมัดแน่น ทุบโต๊ะอย่างโกธเคือง “อาจารย์และอาจารย์หญิงของข้าไม่ใช่พลหทารไร้นาม ท่านเป็นใคร กล้าดียังไงมาพูดแทรกเช่นนี้?”กล้าว่าร้ายอาจารย์ของเขาโดยเฉพาะอาจารย์หญิง? เขาทนไม่ได้เถาเอ๋อร์กลับคิดไม่ถึงว่าหลี่เฉินอันจะกล้าลองดีกับตนเช่นนี้ ในสายตาของนางหลี่เฉินอันเป็นแค่เครื่องมือ “หากไม่ใช่เพราะข้าเขียนถึงเจ้า เดิมทีเจ้าก็ไม่มีตัวตน เจ้ากล้าดีอย่างไรมากล่าวหาว่าข้าเป็นใคร?”นางคือผู้เขียนต้นฉบับ เทียบกับองค์หญิงแล้ว ไม่สิ เทียบกับฮ่องเฮาแล้วยังมีเกียรติมากกว่าเสียอีก ชะตาของทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนแต่อยู่ในการควบคุมของนางทั้งสิ้น!หลี่เฉินอันตกอยู่ในความงุนงง “ท่านแม่ให้กำเนินข้า จะมีตัวตนหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเจ้าไม่ทราบ?”วาจาของคนผู้นี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก หางตาของกู้หว่านเยว่กลับปรากฏเป็นรอยยิ้มบาง ๆ ที่แท้เถาเอ๋อร์ก็เป็นผู้เขียนต้นฉบับนี่เองในต้นฉบับกู้หว่านเยว่มักจะพูดแขวะถึงผู้เขียนอยู่หลายครั้ง ทำไมต้องเขียนให้ข
ทางฝั่งของมู่หรงอวี้เมื่อถูกกล่าวเช่นนี้ ก็เริ่มหวั่นไหว สุดท้ายเขาก็ยังตัดสินใจที่จะเลือกจัดการกับซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ก่อนแล้วค่อยว่ากันตราบใดที่สองคนนี้ยังอยู่ เขาก็ยังต้องเจอกับความโชคร้าย จากคำกล่าวของเถาเอ๋อร์ เพียงจัดการกับพวกเขา เหตุใดยังต้องกังวลว่าตนจะหวนกลับมาตั้งตัวเป็นใหญ่อีกครั้งไม่ได้?“บนตัวของข้าเหลือเงินอยู่เพียงเท่านี้”มู่หรงอวี้ล้วงหยิบตั๋วเงินที่มีออกมา โชคดีที่เขายังมีคลังส่วนตัวหลายแห่งในเมืองที่ยังไม่โดนกวาดล้าง รอใช้เงินหมดเมื่อไหร่ ค่อยกลับไปเติมเงินในเมืองก็ย่อมได้กู้หว่านเยว่ชำเลืองมองเงินห้าร้อยเหรียญด้วยสายตารังเกียจเล็กน้อย “น้อยขนาดนี้ มู่หรงอวี้เจ้าช่างยากจนยิ่งนัก”ทันทีที่ได้เงินมา กู้หว่านเยว่ก็ใช้เสียงของตัวเองอย่างไม่ปิดบัง นี่เป็นครั้งแรกที่มู่หรงอวี้เริ่มรู้สึกถึงบางอย่างไม่ชอบมาพากล น้ำเสียงของอีกฝ่ายช่างคุ้นหูยิ่งนัก“พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?”มู่หรงอวี้เริ่มครุ่นคิดอย่างตื่นตระหนก ทั้งยังแอบคิดในใจ ‘เขาคงไม่ได้ล่มเรือในหนองน้ำเองหรอกนะ’ซูจิ่งสิงที่อยู่ตรงข้ามก็ไม่อยากปลอมตัวแล้วเช่นกัน รีบกระชากหน้ากากที่ปิดบังใบหน้าออกทันที
เมื่อเห็นท่าทางของกู้หว่านเยว่เหมือนจะยิ้มแต้ก็ไม่ยิ้ม มู่หรงอวี้ก็ยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ“กู้หว่านเยว่ เจ้ากล้าดูถูกข้า ข้าจะฆ่าเจ้า!” มู่หรงอวี้เคียดแค้นชิงชังกู้หว่านเยว่มาก ยิ่งกว่าซูจิ่งสิงไปแล้ว สตรีที่ทำให้เขาเสียหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าผู้นี้ เขาเกลียดเข้ากระดูกดำจนอยากให้กู้หว่านเยว่ได้ลิ้มลองรสชาติของการโดนล้อบ้าง“เจ้าอยากฆ่าข้าหรือ?”กู้หว่านเยว่นั่งลงอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นยกแก้วชาขึ้นมาแกว่งเล่น“นี่คืออาณาบริเวณของข้า เจ้าอยากฆ่าข้าดูเหมือนจะยากอยู่ไม่น้อย ไม่สู้เป็นห่วงชีวิตของตัวเองก่อนดีหรือไม่?”เพียงแวบเดียว เหล่าผู้คุ้มกันของจวนโหวก็ทยอยกันตวัดมีด ข่มขู่ให้มู่หรงอวี้กลัวจนขาอ่อนดูท่าคนของจวนโหวผู้นี้จะเชื่อฟังกู้หว่านเยว่“ข้าคือท่านอ๋อง เจ้ากล้าฆ่าข้า ไม่กลัวว่าเรื่องนี้จะเข้าหูฝ่าบาทหรอกหรือ?”“หากข้ากราบทูลฮ่องเต้น้อยว่าคลังส่วนตัวของเจ้าแอบซ่อนสมบัติและคลังอาวุธไว้ล่ะ?” กล้าข่มขู่นางนักใช่ไหม ก็คอยดูว่าใครจะข่มขู่ใครกันแน่“เจ้าเก่งนักนะ!”มู่หรงอวี้เกิดรู้สึกกลัวขึ้นมา เขาไม่กล้ากราบทูลให้ฮ่องเต้จัดการซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ทั้งยั้งเป็นกังวลว่าซูจิ่
ข้าเป็นคนไร้ชื่อเสียงย่อมไม่กลัว แต่ต่อไปจวนแม่ทัพของพวกเจ้ายังจะมีหน้าอยู่ในซุ่ยโจวอีกหรือ”ระหว่างที่พูด แม่นางตั่วเดินไปใต้ต้นไม้อีกครั้ง แล้วกอดเฉิงซินที่ถูกมัดแขวนไว้“คุณชายน้อย ท่านหลอกบ่าวให้หลงเชื่อสนิทใจ ท่านบอกว่าจะพาบ่าวไปอยู่อย่างสุขสบาย บ่าวจึงได้ทิ้งผัวที่บ้านตามท่านมา แต่สุดท้าย ทุกคนในบ้านท่านกลับรังแกบ่าว ฮือฮือฮือ...”อย่าเห็นว่าแม่นางตั่วแต่งงานแล้ว กลับหน้าตาเย้ายวน ทั่วทั้งตัวมีจริตจะก้านแผ่ซ่านออกมาสวมกระโปรงเกาะอกรัดเอวตัวยาว ภายนอกมีเสื้อคลุมสีชมพูสวมทับ หน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลง ทำให้เฉิงซินมองดูจนไม่อาจละสายตา“เฉิงเหลียน เจ้า เจ้าตะโกนโหวกเหวกใส่คนของข้า หากจะวางอำนาจก็กลับไปที่ค่ายทหารของเจ้า อย่ามาวางอำนาจให้ข้าดู”เฉินซินเห็นแม่นางตั่วถูกรังแกไม่ได้ จึงรีบตะโกนใส่เฉิงเหลียน“เจ้านี่มันกู่ไม่กลับแล้วจริงๆ ท่านแม่หมดสติเพราะโกรธเจ้าเรื่องหญิงคนนี้ แต่เจ้ากลับปกป้องนางหรือ”ทำไมถึงได้มีคนที่โง่ขนาดนี้?เฉิงเหลียนกำหมัดแน่นช่างเป็นลูกชายที่แน่จริง ทำให้พ่อแม่ลำเอียงรักแต่เขา“ก็เพราะท่านแม่โกรธข้าจนหมดสตินะสิ หากข้าไล่ให้นางไป ท่านแม่ไม่หมดสติเส
เมื่อหมอหลายคนได้ยินว่ากู้หว่านเยว่มาตรวจอาการของเฉิงฮูหยิน ทำให้โล่งอกทันทีรีบแจ้งข้อสรุปในการตรวจอาการให้กู้หว่านเยว่ส่วนข้อสรุปนั้นก็คือ...เอ่อ ไม่มีข้อสรุปกู้หว่านเยว่เองก็เป็นหมอเมื่อเห็นท่าทางเหงื่อแตกพลั่กของทุกคน นางก็เข้าใจทันทีพวกเขาไม่มีวิธีแต่ก็กลัวเฉิงทั่วลงโทษดูท่าอาการของเฉิงฮูหยินค่อนข้างอันตรายกู้หว่านเยว่มาถึงข้างเตียง แล้วเริ่มตรวจชีพจรให้เฉิงฮูหยิน ดูจากการเต้นของชีพจร นางวินิจฉัยว่าอาการหมดสติของเฉิงฮูหยินมีสาเหตุมาจากหัวใจแต่ความจริงจะใช่หรือไม่ คงต้องตรวจให้ลึกลงไปอีกขั้นกู้หว่านเยว่ลุกขึ้นแล้วให้เฉิงทั่วกับหมอหลายคนออกไป ส่วนนางอยู่ในห้องแล้วพาเฉิงฮูหยินเข้าไปตรวจในมิติหลังจากตรวจดู กู้หว่านเยว่แน่ใจว่าเฉิงฮูหยินมีปัญหาหัวใจแต่กำเนิดโชคดี ที่เรื่องนี้ยังไม่ถือว่าร้ายแรงมากนักหมอหลายคนสลับกันรักษา แม้จะไม่ทำให้เฉิงฮูหยินฟื้นขึ้นมา แต่อย่างไรก็ทำให้อาการของนางทรงตัวกู้หว่านเยว่พาเฉิงฮูหยินออกมาจากมิติ แล้วให้ซูจิ่งสิงปล่อยพวกเขาเข้ามา“พระชายา ฮูหยินของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”“แม่ข้าจะฟื้นขึ้นมาอีกหรือไม่?”เฉิงทั่วกับเฉิงเหลียนเข้ามาถึ
ไฟแห่งความอยากรู้อยากเห็นในใจของผู้ชมอย่างนาง ลุกโชนโชติช่วงตกลงเจ้าเฉิงซินพาสตรีแบบใดกลับมา ถึงได้ทำให้เฉิงฮูหยินโกรธจนหมดสติไป อีกทั้งแม่ทัพเฉิงยังด่าทอต่อว่าได้น่าเกลียดเช่นนี้หลังจากหันมองดูภายในเรือนหนึ่งรอบ เหมือนจะไม่เห็นสตรีผู้นั้น“ท่านพี่ พวกเขาเอาสตรีนางนั้นไปไว้ที่ใดหรือ?”กู้หว่านเยว่แอบกระซิบข้างหูซูจิ่งสิง อีกฝ่ายส่ายหน้าอย่างระอาเรื่องอย่างนี้ เขาจะสนใจได้อย่างไร?“ไปเถอะ เข้าไปดูข้างในก่อน”ช่วยคนสำคัญกว่า กู้หว่านเยว่ตามเฉิงทั่วเข้าไปในห้องขณะนี้ภายในห้องมีหมออีกสามคนกำลังรักษา หมอคนหนึ่งตรวจชีพจรให้เฉิงฮูหยินอยู่ข้างเตียง ส่วนหมออีกสองคนยืนสีหน้าร้อนใจอยู่ด้านหลัง“เป็นอย่างไร?”หมอคนหนึ่งแอบกระซิบถามหมอที่ตรวจชีพจรส่ายหน้าเบาๆ“นี่จะทำเช่นไรดี หากรักษาเฉิงฮูหยินไม่ได้ ด้วยนิสัยของท่านแม่ทัพ คงได้กุดหัวพวกเราจนหลุดแน่”หนึ่งในหมอเอ่ยถามด้วยสีหน้าร้อนรน ทุกคนรู้ถึงความสำคัญของเฉิงฮูหยินสำหรับเฉิงทั่ว“พวกเจ้าถามข้า ข้าเองก็ไม่รู้”“หมอโจว ที่นี่ทักษะวิชาแพทย์ของท่านสูงกว่าใคร ประสบการณ์โชกโชน ท่านลองดูสิว่าอาการของฮูหยินควรทำอย่างไร?”หมอสองคนมองด
เฉิงทั่วเป็นคนที่เย่อหยิ่งมากพอเจอหน้ากันก็ทำความเคารพอย่างเป็นทางการ พอเห็นได้ว่าเรื่องร้ายแรงเพียงใดกู้หว่านเยว่นึกถึงรองแม่ทัพที่เข้ามาอย่างเร่งรีบ แล้วเชิญเฉิงทั่วออกไปหรือว่าผ่านไปหนึ่งคืนแล้ว เฉิงฮูหยินยังไม่ฟื้นอีก?“เจ้าลุกขึ้นมาก่อน”“ข้าน้อยไม่ลุก นอกจากพระชายาจะรับปาก”เฉิงทั่วทำหน้าดื้อดึง เมื่อมองให้ละเอียดขอบตาของเขาแดง“เอาละ เจ้านำทางไปเถอะ แล้วบอกมาด้วยว่าตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่”กู้หว่านเยว่ไม่มีทางเลือก ดูท่าคงกลับไปนอนต่อไม่ได้แล้วเฉิงทั่วถึงได้เช็ดน้ำตา แล้วลุกขึ้นจากพื้น อย่าว่าไป ท่าทางเช่นนั้นน่าสงสารเหลือเกินตาเฒ่าผู้นี้คงเป็นห่วงภรรยาของเขาจริงๆ“เมื่อคืนตั้งแต่ฮูหยินหมดสติไป ก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย นอนอยู่บนเตียงไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่ว่าหมอจะใช้วิธีใด ก็ไม่ได้ผลทั้งสิ้น”เฉิงทั่วพูดไปด้วย ขอบตาพลันแดงไปด้วยเขากับเฉิงฮูหยินแต่งงานกันตั้งแต่หนุ่มสาว ประคับประคองกันมาตลอดในอดีตยามออกศึกที่ชายแดน เฉิงฮูหยินติดตามเขาไปด้วย ต่อมาย้ายมารักษาการที่ซุ่ยโจว เฉิงฮูหยินก็ตามมาอีกคลอดบุตธิดาให้เขาสองคน ทั้งสองคนรักใคร่กันมากถ้าเฉิงฮูหยินเกิดเรื่องอะไ
คาดว่าน่าจะเป็นศัตรูของสกุลอวิ๋น เห็นอวิ๋นมู่พ่อลูกไม่กลับมานานจึงสบจังหวะหาช่องว่าง เล่นงานสกุลอวิ๋นในเมื่อเป็นเช่นนี้ อวิ๋นมู่ไม่กลับไปคงไม่ได้แล้วซูจิ่งสิงได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ข้าส่งคนไปคุ้มกันเจ้า”ตอนนี้สกุลอวิ๋นกับพวกเขาเจดีย์หนิงกู่ถือว่าร่วมงานกัน แม้เรื่องนี้จะเป็นความลับ แต่ยากจะรับประกันว่าไม่แพร่งพรายออกไปเกิดคนในราชสำนักรู้เข้า ความปลอดภัยของอวิ๋นมู่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง“ขอบคุณท่านอ๋อง”อวิ๋นมู่มองซูจิ่งสิงอย่างแปลกใจ ทำให้อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเรียบ“อย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้เป็นห่วงเจ้า”เพราะกู้หว่านเยว่ บรรยากาศระหว่างทั้งสองมักจะแปลกประหลาด ตั้งแต่พบกันครั้งแรกก็ไม่ถูกกันแล้วอวิ๋นมู่ยิ้มเจื่อน “ท่านอ๋องวางใจได้ ข้าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองแต่ว่า ความหวังดีของท่านอ๋องข้าน้อยขอน้อมรับ และตื้นตันเหลือเกิน”การเดินทางไปเมืองหลวงในครั้งนี้มีอันตราย เขาจึงไม่ปฏิเสธ“เจ้าจะออกเดินทางเมื่อใด?”กู้หว่านเยว่รีบสอบถาม“คืนนี้มากล่าวลาท่านอ๋องและพระชายา พรุ่งนี้เมื่อฟ้าสางจะออกเดินทางทันที”“เวลาเร่งรีบขนาดนี้เชียว”กู้หว่านเยว่รีบถาม“พรุ่งนี้ท่านอย่าเพิ่งรีบไป
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน รองแม่ทัพวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน แล้วหันมองเฉิงทั่วแวบหนึ่ง“ท่านแม่ทัพ แย่แล้ว ฮูหยินหมดสติไปแล้วขอรับ”เฉิงทั่วหน้าถอดสี “อะไรนะ?”เขารีบลุกขึ้นยืนขึ้น ไม่มีเวลาสนใจกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงที่ยังอยู่ตรงนี้ แล้วรีบสอบถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”“คุณชายน้อยกลับมาแล้ว ไม่เพียงกลับมา ยังพาอีกคน...”รองแม่ทัพกระดากปากที่จะเอ่ย จึงได้แต่ส่งสายตาให้อีกฝ่าย“ท่านแม่ทัพ ท่านกลับไปดูเองเถอะขอรับ”เฉิงทั่วไม่มีแก่ใจจะกินอาหาร จึงลุกขึ้นขอตัว “ท่านอ๋อง พระชายา โปรดให้ข้าไปดูฮูหยินสักครู่ได้หรือไม่”“ไปเถอะ”ซูจิ่งสิงโบกมือ“ขอบคุณท่านอ๋อง” เฉิงทั่วรีบวิ่งออกไปทันทีหนานหยางอ๋องมองแผ่นหลังที่ร้อนใจของเขา แล้วรู้สึกเศร้าเล็กน้อยหากพระชายาของเขายังอยู่คงดีไม่น้อย เขากับเหล่าเฉิงแข่งกันมาค่อนชีวิต มีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว ที่เขาแพ้มาตลอด“เกิดอะไรขึ้น?” กู้หว่านเยว่กระซิบถามชิงเหลียนชิงเหลียนเอ่ยเสียงต่ำ “คุณชายใหญ่สกุลเฉิงพาสตรีคนหนึ่งกลับมาด้วย เหมือนจะเป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว”เจ้าหมอนี่กู้หว่านเยว่เกือบสำลักข้าวมิน่าเฉิงฮูหยินถึงได้เป็นลม เจ้าเฉิงซินเม
มิน่าท่านอ๋องถึงยอมสวามิภักดิ์ต่อพวกเขา ทั้งสองคนไม่ธรรมดาจริงๆ มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา“พวกเราเองก็มาถึงเมืองซุ่ยโจว และได้พบท่านอ๋องกับพระชายาแล้ว เดี๋ยวส่งจดหมายไปแจ้งท่านอ๋องหน่อยเถอะ ท่านจะได้วางใจ”จู้หวยกล่าวเตือนอย่างใส่ใจครั้งนี้ก่อนออกเดินทาง ท่านอ๋องกำชับเขาแล้วว่า ต้องดูแลเนี่ยชิงหลานให้ดีในเมื่อเนี่ยชิงหลานเป็นคู่หมั้นของเขา เขาย่อมดูแลเอาใจใส่มาก“รู้แล้ว รู้แล้ว เจ้าอย่าเอาแต่บ่นข้า อีกเดี๋ยวตอนเขียนจดหมายข้าจะเป็นคนพูดส่วนเจ้าเป็นคนเขียน ขี่ม้ามาทั้งวัน เมื่อยมือจะแย่แล้ว”จู้หวยยิ้มพร้อมพยักหน้า“เรื่องนี้ไม่ยาก ขอเพียงเจ้าไม่รังเกียจที่ตัวหนังสือข้าน่าเกลียดก็พอ”เนี่ยชิงหลานขบขันเขาจนหัวเราะเสียงดังทันที“ตัวหนังสือของเจ้าน่าเกลียดมาก แต่ไม่เป็นไร วรยุทธ์ของเจ้าสูงส่ง พวกเจ้าที่เป็นทหารแม้จะไม่ใช่คนเถื่อน แต่ต้องรู้จักเขียนอ่านไว้บ้าง ถึงจะรู้เขารู้เรารบอย่างไรก็ไม่แพ้ ทว่าเรื่องการเขียนหนังสือไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันมากนัก แค่ดูได้ก็พอ”นางพูดอย่างจริงจัง จนจู้หวยเองก็หัวเราะตามนางไปด้วย ในแววตามีแต่ความเอ็นดู“ท่านหญิงพูดถูก”แม้ทั้งสองค
หลังหนังสือยอมจำนนออกมาแล้ว เนี่ยชิงหลานก็นำกองทัพเหอตง มาเสริมทัพกู้หว่านเยว่“เขตเหอตงของข้าไม่มีสิ่งใดเลย มีเพียงถ่านหินและเงินทองมากมาย พี่ใหญ่จึงนำไปแลกเสบียงหนึ่งชุด ส่งข้ามาช่วยเหลือพวกท่าน”กู้หว่านเยว่ไม่ได้พบเนี่ยชิงหลานมาสักพักใหญ่ๆ แล้วตอนนี้เมื่อทั้งสองได้พบกัน นางดีใจมาก“เจ้าตัวสูงขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่ลูบหัวเนี่ยชิงหลาน ทำให้อีกฝ่ายยิ้มอย่างเขินอาย“ไม่เพียงตัวสูงขึ้น ข้ายังหมั้นหมายแล้วด้วย”นี่เป็นข่าวที่อยู่เหนือความคาดหมายเมื่อเห็นพวกเขาหลายคนเดินทางเหน็ดเหนื่อย กู้หว่านเยว่รีบเชิญพวกเขาเข้าจวน เมื่อถึงห้องรับแขกจึงจับมือเนี่ยชิงหลานไว้ แล้วสอบถามอย่างละเอียด“เหตุใดจึงรวดเร็วเช่นนี้ เจ้าหมั้นกับผู้ใดหรือ?”“หมั้นกับแม่ทัพในค่ายของท่านพี่ นามว่าจู้หวย”ไม่ใช่เฉิงเซวียนหรอกหรือ ข่าวนี้ทำให้พวกกู้หว่านเยว่ยิ่งแปลกใจแต่เมื่อนึกดูอย่างละเอียด เฉิงเซวียนกับเนี่ยชิงหลานใช่ว่าจะเหมาะสมกันแม้ทั้งสองจะสนิทสนมกันตั้งแต่เด็ก ทว่าทัศนคติไม่ตรงกันบวกกับก่อนหน้านี้เพราะหญิงอื่น เฉิงเซวียนเข้าใจเนี่ยชิงหลานผิดหลายครั้งเนี่ยชิงหลานรู้ว่ากู้หว่านเยว่คิดอะไร จึ
ตกลงปีนั้นรัชทายาทตายเยี่ยงไรกันแน่?เขารู้ดียิ่งกว่าผู้ใดหากไม่ใช่รัชทายาทและพระชายารัชทายาทตายไป ไฉนเลยเขาจะได้นั่งตำแหน่งฮ่องเต้?ทว่าบัดนี้ เขาคิดว่าตำแหน่งฮ่องเต้กำลังตกอยู่ในอันตราย“ไป จับคนสกุลหลี่เข้าคุกใหญ่!”มู่หรงถิงไม่ฟังคำชี้แนะจากนั้นยามทุกคนมายังสกุลหลี่ กลับพบว่าสกุลหลี่มีเพียงความว่างเปล่า เหลือบ่าวรับใช้ที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่สองสามคนกำลังใช้วิธีพรางตา“ภายในหอบรรพบุรุษสกุลหลี่ พบเส้นทางสายหนึ่ง...”องครักษ์ไปจับคนตัวสั่นเทานี่คือเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเดิมทีมู่หรงถิงก็โมโหอยู่แล้ว ต้องการใครสักคนเพื่อบันดาลโทสะ คิดไม่ถึงเลยว่าจะหาตัวคนรองรับอารมณ์ไม่พบ ยังถูกเขาจับได้ว่าคนของสกุลหลี่หนีไปแล้วเขาพลิกโต๊ะ กระทืบองครักษ์ไปจับตัวคนจนตาย“ฝ่าบาท” ตอนฮองเฮามา ภายในตำหนักวุ่นวายไปหมด แม้แต่นางกำลังก็ถูกมู่หรงถิงบีบคอตายไปสองคนฮองเฮาอดทนต่อความขยะแขยง สั่งให้คนลากศพไปจัดการ“เจ้ามาแล้ว”ตอนมู่หรงถิงอยู่เพียงลำพังจะบันดาลโทสะเยี่ยงไรก็ย่อมได้ แต่เขากลัวทำให้ฮองเฮาตกใจ“เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันได้ยินเรื่องของอัครมหาเสนาบดีหลี่แล้ว”ฮองเฮาก้าวเท้าเบาๆ มาหยุดต่อหน้ามู