“ใช่แล้ว พวกท่านรีบหนีไปเร็ว!”กู้หว่านเยว่จำภารกิจหลักของตัวเองได้ว่าคืออะไร จึงไม่อยากเสียเวลาที่นี่มากนัก ลากซูจิ่งสิงแล้วหายตัวไปทันทีที่ทั้งสองจากไป กลุ่มทหารลาดตระเวนก็รีบรุดมาถึง“แย่แล้ว ใต้เท้าหลิว ขุนพลเกาเสียชีวิตแล้ว!”หลิวซู่ที่สวมชุดขุนนางสีเขียว หันสายตาออกจากทิศทางที่กู้หว่านเยว่หลบหนี จากนั้นเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “คงเป็นการล้างแค้นส่วนตัว นำศพกลับไปรายงานใต้เท้าเกาก่อนเถอะ”พูดจบ หลิวซู่ก็ขึ้นม้าก่อน โดยไม่มีทีท่าว่าจะไปจับกู้หว่านเยว่เลยทางด้านกู้หว่านเยว่มองไปที่แผ่นหลังของหลิวซู่อย่างครุ่นคิด คนผู้นี้ค่อนข้างแปลก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพวกเขาหลบหนีไปทางไหน แต่กลับไม่มาจับกุมพวกเขาเมื่อเห็นว่าทุกคนไปหมดแล้ว กู้หว่านเยว่ก็หยิบแผนที่เมืองลั่วอันออกมาจากมิติ“เราไปที่คุกกันก่อน”คุกอยู่ข้าง ๆ ที่ว่าการอำเภอ เดินต่อไปสามร้อยเมตรก็จะมีบ่อน้ำแห้ง ซึ่งเป็นทางลับที่หนานหยางอ๋องสั่งให้คนขุดไว้โดยเฉพาะ สามารถทะลุออกไปนอกเมืองได้โดยตรงสองสามีภรรยาเดินทางไปยังคุก กู้หว่านเยว่หยิบผงยาออกมา ทำให้ทหารยามหมดสติจากนั้นก็ไปยังสถานที่คุมขังของคนในตระกูลเมื่อทุกคนเห็นกู้หว่านเย
หลังจากปรากฏตัว กู้หว่านเยว่ก็ไม่รอช้า ขว้างมีดสั้นออกไป ปาดคอลูกสมุนที่ไม่ได้มีความสำคัญทั้งหมดเกาซิ่นค่อนข้างเจ้าเล่ห์ เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี ก็หันหลังวิ่งหนีไปทันทีซูจิ่งสิงผลักเขากลับไป“จะ พวกเจ้าเป็นใคร?ใครก็ได้ ช่วยด้วย มีนักฆ่า!” เมื่อเห็นว่าหนีไม่ได้แล้ว เกาซิ่นจึงเริ่มตะโกนกู้หว่านเยว่ค่อย ๆ นั่งลง จากนั้นเอาขาไขว่ห้าง “ข้าแนะนำว่าอย่าตะโกนเลย ทหารยามที่อยู่ข้างนอกถูกข้าวางยาหมดแล้ว”“อะไรนะ?”สีหน้าของเกาซิ่นเปลี่ยนไป แล้วเปลี่ยนเป็นประจบประแจงขึ้นมา“ผู้กล้าทั้งสองท่าน มีอะไรก็พูดกันดี ๆ ข้าล่วงเกินท่านตรงไหนกัน โปรดอภัยให้ข้าด้วย ที่จวนข้ามีทรัพย์สมบัติมากมาย หากท่านทั้งสองชอบ ก็เชิญหยิบไปได้ตามสบาย”สมแล้วที่เป็นขุนนางคนโปรดของฮ่องเต้ ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์นี่รวดเร็วจริง ๆ เพียงพริบตาเดียวก็คิดจะติดสินบนพวกเขาเพื่อเอาชีวิตรอดแล้ว“เงินของเจ้า ข้าจะเอา แต่เจ้าต้องตอบคำถามข้าสักสองสามคำถามก่อน”กู้หว่านเยว่ไม่พูดพร่ำทำเพลงกับเขา ถามขึ้นมาทันทีว่าเหตุใดฮ่องเต้สุนัขนั่นถึงลงมือกับหนานหยางอ๋องย่างกะทันหัน“เอ่อ เรื่องนี้...ข้าน้อยก็ไม่ทราบ”
หลิวซู่รีบหันกลับไป แต่กลับพบสายตาหลบเลี่ยงของเกาซิ่น ความหวังสุดท้ายของเขาก็พังทลายลง“เจ้าอย่าไปเชื่อนาง พวกเราเลี้ยงดูนางเป็นอย่างดีมาตลอด เชิญหมอหลวงในวังมารักษานางด้วย”ตอนนั้น น้องสาวของหลิวซู่ป่วยเป็นโรคร้ายแรง ต้องให้หมอหลวงรักษา เขาจึงยอมเป็นสุนัขรับใช้ของเกาซิ่น คอยทำเรื่องต่าง ๆ ให้“ข้าขอถามท่าน อาการไอของน้องสาวข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”คนตายไปหลายปีแล้ว เกาซิ่นลืมไปตั้งนานแล้วว่าอีกฝ่ายป่วยเป็นโรคอะไร จึงตอบอย่างคลุมเครือไปว่าดีขึ้นมากแล้ว“ท่านพูดจาเหลวไหล น้องสาวของข้าไม่เคยมีอาการไอ นางป่วยเป็นโรคหัวใจ!”“เอ่อ ข้าจำผิดไปหน่อย ช่วงนี้ข้าค่อนข้างยุ่ง พอกลับถึงเมืองหลวงแล้วค่อยไปดูอีกที” คำพูดของเกาซิ่นไม่มีน้ำหนักพอ หลิวซู่จึงระงับอารมณ์ไม่อยู่ ชักดาบที่อยู่ในมือออกมาแล้วแทงเข้าที่อกของเกาซิ่นทันทีเกาซิ่นมองเขาด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะล้มลงกับพื้น หลิวซู่ก็ดูเหมือนจะหมดสิ้นความหวัง เขากางแขนทั้งสองข้างออก“ข้ารู้ว่าพวกท่านเป็นคนฆ่าเกาทง พวกท่านเอาชีวิตข้าไปด้วยเลยก็ได้ ถึงอย่างไรข้าอยู่ไปก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว”สิบปีที่เป็นทาสเป็นสุนัขรับใช้ ทำเรื่องที่ขัดต่อม
หวังปี้กล่าวด้วยความกังวล “แต่สภาพร่างกายของท่านอ๋องผู้เฒ่า ไม่สะดวกที่จะเคลื่อนย้ายมิใช่หรือ?”“ไม่เป็นไร ข้าจะเตรียมรถม้าคันหนึ่ง แล้วปูฟูกไว้ข้างในจากนั้นก็เตรียมแคร่ แล้วยกท่านอ๋องผู้เฒ่าขึ้นไปก็จะไม่กระทบกระเทือนบาดแผลของท่านแล้ว”ระหว่างทางมา กู้หว่านเยว่ได้คิดถึงเรื่องนี้แล้ว กองกำลังไล่ล่าจะต้องตามมาถึงในไม่ช้า แผนการในตอนนี้ คือพวกเขาต้องรีบกลับไปที่เจดีย์หนิงกู่“ได้”ตอนนี้ หวังปี้รู้สึกนับถือกู้หว่านเยว่เป็นอย่างมาก“เจ้ามีอะไรก็สั่งข้ามาได้เลย”กู้หว่านเยว่เหลือบมองเวลา ตอนนี้เป็นเวลาสองยาม หรือก็คือประมาณสี่ทุ่มก่อนฟ้าสาง พวกเขาต้องออกห่างจากลั่วอันให้ได้“นี่คือแผนที่จากลั่วอันไปยังเจดีย์หนิงกู่ จุดต่อไปคือเมืองเย่เฉิง ขุนพลหวัง ท่านพาพวกเขาออกเดินทางไปก่อน แล้วทำเครื่องหมายไว้ระหว่างทาง เราจะพบกันที่เมืองเย่เฉิง”หวังปี้รีบรับแผนที่ กู้หว่านเยว่ก็ยื่นกำไลระบุตำแหน่งให้เขา“ท่านสวมกำไลนี้ไว้ที่ข้อมือ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ก็ห้ามถอดออกเด็ดขาด จำไว้ให้ดี!”หวังปี้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าเพ่งมอง รีบสวมมันไว้บนข้อมืออย่างว่าง่ายกู้หว่านเยว่หยิบห่อผ้าออ
ต้าซานรู้สึกเหมือนได้รับเผือกร้อน “ข้ารับไว้ไม่ได้!”“ท่านอ๋องผู้เฒ่า ปีนั้นชาวบ้านของเราถูกโจรลักพาตัวไป ขุนนางท้องถิ่นก็ไม่สนใจ ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน คนในครอบครัวของเราคงตายไปนานแล้ว ท่านคือผู้มีพระคุณของเรา พวกเรารับเงินนี้ไว้ไม่ได้!”หนานหยางอ๋องส่ายหน้า แล้วเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “รับไว้เถอะ เอาไปสร้างสถานศึกษาในหมู่บ้าน แล้วส่งเด็ก ๆ ไปเรียนหนังสือ”ต้าซานตกตะลึง น้ำตาคลอเบ้าทันทีเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เด็ก ๆ มาเยี่ยมท่านอ๋องผู้เฒ่าด้วยกัน และพูดถึงความปรารถนาที่จะได้เรียนหนังสือเหมือนเด็ก ๆ ในเมืองโดยไม่ได้ตั้งใจไม่คิดเลยว่าท่านอ๋องผู้เฒ่าจะจำใส่ใจ ต้าซานจึงไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป เขารับเงินนั้นไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ท่านอ๋อง พวกเราจะรอท่านกลับมา เราจะเป็นประชาชนของท่านตลอดไป”“ดี ดี!” หนานหยางอ๋องขอบตาแดงเล็กน้อย“ท่านอ๋อง นี่คืออาหารที่พวกเรานำมา ท่านทานระหว่างทางนะ” ชาวบ้านต่างนำซาลาเปา มันเทศ และผักกาดขาวมาใส่ในรถม้าจนเต็มรถม้าออกเดินทางในยามค่ำคืน เคลื่อนตัวไปบนถนนอย่างช้า ๆ ชาวบ้านที่มาส่งต่างคุกเข่าลงกับพื้นกู้หว่านเยว่ถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “หนานหยางอ๋
กู้หว่านเยว่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เหตุใดเจ้าของโรงเตี๊ยมถึงมีท่าทีแบบนี้ในการทำธุรกิจ?“นี่คือโรงเตี๊ยมไม่ใช่หรือ พวกเรามาพัก”“อ้อ” ชายคนนั้นมองไปที่รถม้าหลายคันซึ่งอยู่ด้านหลังพวกเขา ดวงตาก็เบิกกว้างทันที และน้ำเสียงก็กระตือรือร้นขึ้นมา“ข้าไม่ได้ตั้งตัว เชิญทุกท่านเข้ามาข้างในเถอะ”พูดจบก็เปิดประตูให้พวกเขาเข้าไป“ที่นี่เป็นร้านของเราสองสามีภรรยา ปกติแล้วก็ต้อนรับแขกที่เดินทางผ่านไปมา ช่วงนี้ ทางตอนเหนือมีภัยพิบัติจากหิมะตก มีพวกโจรลักลอบข้ามมาเยอะ จึงปิดประตูไว้ตลอด”ชายคนนั้นลูบมือ แล้วเรียกภรรยาและลูกสาวของเขาออกมาเพื่อต้อนรับกู้หว่านเยว่และคนอื่น ๆ “มีห้องว่างอยู่หลายห้องที่บริเวณเรือนหลัง ด้านซ้ายมีคนเข้าพักอยู่แล้ว ด้านขวายังว่างอยู่ พวกท่านเลือกได้ตามสบายเลย”“ขอบคุณ” กู้หว่านเยว่ถามราคาค่าห้องพักต่อคืน รู้สึกว่าราคาก็พอรับได้ประกอบกับไม่สามารถหาโรงเตี๊ยมอื่น ๆ ได้ในบริเวณใกล้เคียง จึงให้ซูจื่อชิงจูงม้าเข้าไปในลานบ้าน“ให้ข้าทำ ข้าทำเอง” ลูกสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมก้าวเข้ามา แล้วจ้องมองซูจื่อชิงตาไม่กะพริบ“ก็ได้” กู้หว่านเยว่พูดกับซูจื่อชิง “เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยชิงหว่าน
“ก็ได้” ป้าเสิ่นเหลือบมองห่อผ้าที่โป่งออกมาด้านหลังของกู้หว่านเยว่ เลียริมฝีปาก สายตาของนางเต็มไปด้วยความโลภแต่เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็กลับมาทำหน้าตาซื่อ ๆ อีกครั้งกู้หว่านเยว่เห็นว่าฟ้าเริ่มจะมืดแล้ว จึงหยิบเสบียงแห้งออกมาบางส่วน และนำเนื้อตากแห้งออกมาจากมิติ เรียกให้ทุกคนมารับประทานอาหารด้วยกัน“จื่อชิงล่ะ?” ทุกคนมาแล้ว แต่ไม่เห็นซูจื่อชิงเมี่ยชิงหว่านเอ่ยเสียงเบา “เมื่อกี้ยังเห็นเขาคุยกับลูกสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมอยู่ในลานบ้านเลย”“เรากินกันก่อนเถอะ”น้ำเสียงของซูจิ่งสิงเย็นชาเล็กน้อยหลังจากทุกคนทานข้าวเสร็จ ก็เห็นว่าถึงเวลาเข้านอนแล้ว แต่ซูจื่อชิงยังไม่กลับมากู้หว่านเยว่รู้สึกกังวลเล็กน้อย ถึงอย่างไรซูจื่อชิงก็ไม่มีวรยุทธ์“ข้าจะออกไปดู เจ้ารอข้าอยู่ในห้อง” ซูจิ่งสิงก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเจ้าเด็กนี่ ชอบสร้างปัญหาให้เขาจริง ๆ “ท่านรีบไปรีบกลับนะ” กู้หว่านเยว่หยิบหน้าไม้ออกมาจากมิติ แล้วมัดไว้ที่แขนของตัวเอง และโรยผงพิษไว้ที่ตัวเล็กน้อยปรากฏว่า ซูจิ่งสิงเพิ่งจะออกไปได้ไม่ทันไร กู้หว่านเยว่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่หน้าประตูจากนั้น ป้าเสิ่นที่เจ
“บ่อย ๆ อะไรกัน?” ซูจื่อชิงหน้าแดงก่ำ จากนั้นพูดแก้ตัวเสียงเบา “แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว”“ครั้งเดียวยังไม่พออีกหรือ? ข้าบอกแล้วว่าครอบครัวนี้มันแปลก ๆ ให้เจ้าระวังตัวหน่อย แต่พอเจ้าเห็นเขาร้องไห้สะอึกสะอื้น เจ้าก็ใจอ่อนแล้ว น่าขยะแขยงจริง ๆ ”ซูจื่อชิงเบิกตากว้าง “อะไร ใจอ่อนอะไรกัน ข้าไม่ได้ใจอ่อนสักหน่อย”เขาไม่คิดเลยว่าเสี่ยวเตี่ยจะใช้ความเห็นใจของเขา นี่มันไม่ใช่ใจอ่อนสักหน่อย?“มีคนมาแล้ว หุบปาก!” กู้หว่านเยว่ถลึงตาใส่ซูจื่อชิง แล้วรีบห้ามเขาเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอกประตูเจ้าของร้านเสิ่นเดินเข้ามา“ให้ตายสิ คราวนี้เราได้ผลประโยชน์เยอะเลยนะ พวกเขาสองครอบครัวรวยมากทั้งคู่”นอกจากกู้หว่านเยว่และคนอื่น ๆ แล้ว ยังมีอีกครอบครัวหนึ่งอยู่ที่มุมห้อง พวกเขากำลังกอดกันตัวสั่นเทาป้าเสิ่นดวงตาเป็นประกาย แล้วนับเงินอยู่ข้าง ๆ ส่วนเจ้าของร้านเสิ่นก็จ้องพวกเขาด้วยสายตาเย็นชาและน่าขนลุก“คนเยอะขนาดนี้ พอจะทำซาลาเปาเนื้อได้เยอะเลย”ซาลาเปาเนื้อ?ครอบครัวที่อยู่ตรงมุมห้องก็เริ่มอาเจียนออกมาอย่างรุนแรง กู้หว่านเยว่ได้สติกลับคืนมา สีหน้าของนางก็แสดงความน่าขยะแขยงออกมาเช่นกันครอบครัวนี้
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก