เท้าขวาของเขาถูกพันด้วยผ้าพันแผล ดูแล้วน่าตกใจซูจิ่นเอ๋อร์เอามือปิดปาก นางคุยกับฟู่หลานเหิงมาตั้งนานแต่ไม่ทันสังเกตเห็น จึงแอบโทษตัวเองที่ไม่รอบคอบ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกตกใจมาก“โอ้พระเจ้า เหตุใดถึงบวมเหมือนบ๊ะจ่างลูกใหญ่ขนาดนี้ เกิดอะไรขึ้น?”ฟู่หลานเหิงกลัวว่าจะทำให้ทุกคนตกใจ จึงรีบปล่อยชายเสื้อลง จากนั้นเสียงที่นุ่มนวลก็ดังมาจากชั้นบน“ใต้เท้า บาดแผลที่ขาของท่านไม่สามารถยืนนานได้ ให้บ่าวพยุงท่านขึ้นไปพักผ่อนชั้นบนเถอะเจ้าค่ะ”โอ้โห หลังจากที่เห็นหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ กู้หว่านเยว่ก็ตกตะลึง แม่นางคนนี้คือหยางหลิวครั้งที่แล้วซูจิ่นเอ๋อร์บ่นไปเยอะมาก บอกว่าหยางหลิวไปฟ้องแม่เล้า ทำให้พวกนางถูกแม่เล้าจับได้ เกือบจะซวยหนักแล้วหลังจากที่ฟังจบ กู้หว่านเยว่ก็ไม่ได้รู้สึกดีกับผู้หญิงคนนี้เลย คิดไม่ถึงเลยว่านางจะยังหน้าด้านตามฟู่หลานเหิงมาอีก?“ท่านพานางมาอยู่ข้างกายทำไมกัน?”กู้หว่านเยว่ถามด้วยความสงสัย ตามความเข้าใจของนางที่มีต่อฟู่หลานเหิง เขาไม่น่าจะเป็นคนที่หลงใหลในรูปโฉมของผู้หญิงได้ง่าย ๆ นอกจากนี้ สกุลฟู่เป็นสกุลที่มีชื่อเสียงด้านความซื่อสัตย์สุจริต เคร่งครัดเรื่องธรรมเนียมปฏิบัต
กู้หว่านเยว่หัวเราะ “ถึงอย่างไรก็ไม่ได้มาป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ เจ้า นางเป็นสาวใช้ของใต้เท้าฟู่ ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา”ซูจิ่นเอ๋อร์ยิ่งไม่พอใจ“ใต้เท้าฟู่นี่เป็นอะไรไป ตาบอดแล้วหรือไร? ถึงได้เอาผู้หญิงแบบนี้มาเป็นสาวใช้อยู่ข้างกาย ไม่กลัวอันตรายใกล้ตัวบ้างหรือ”“...”กู้หว่านเยว่รีบเข้าไปดูสถานะการอัปเกรดในมิติ เมื่อกลับมาถึงห้องนอนรวมก็แกล้งทำเป็นนอนหลับไป“มิติของข้า มีฟาร์มปศุสัตว์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง?! ข้ามีฟาร์มปศุสัตว์แล้ว!”มองไปยังฟาร์มปศุสัตว์อันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา กู้หว่านเยว่ก็ตกใจอย่างมาก ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นการอัปเกรดครั้งที่แล้วคือฟาร์มผักและผลไม้ครั้งนี้ ให้ฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่สุดหรูแก่นาง! ฟาร์มปศุสัตว์กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ทุ่งหญ้าสีเขียวขจีทอดยาวไปจนสุดขอบฟ้า ลมพัดโชยมาเบา ๆ นำพากลิ่นหอมสดชื่นของหญ้าเข้ามาเต็มจมูกเยี่ยมไปเลย การเลี้ยงวัวและแกะในฟาร์มปศุสัตว์แบบนี้คงจะวิเศษมากแน่ ๆ !”กู้หว่านเยว่เริ่มแยกประเภทสิ่งของที่นางได้มาจากสกุลหมิงและสกุลฮั่วออกเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ ก่อนโบราณวัตถุ งานเขียนพู่กันจีนและภาพวาด รวมถึงของตกแต่งอื่น ๆ ที่ไม่ไ
พูดจบ นางก็บิดเอว เดินจากไปอย่างภาคภูมิใจราวกับผู้ชนะซูจิ่นเอ๋อร์รู้สึกขยะแขยงอย่างมาก “ใต้เท้าฟู่ ตาบอดไปแล้วจริง ๆ ตาบอดสนิทแล้ว...”ในขณะที่โมโห ซูจิ่นเอ๋อร์ก็ยังรู้สึกไม่พอใจอีกเล็กน้อยนางเดินคอตกกลับไปที่ห้องนอนรวม“ส่งยาแล้วหรือ?”“ส่งแล้ว น่าจะเอาไปให้ขอทานข้างทางยังจะดีเสียกว่า ข้าเสียเวลาไปเปล่า ๆ ทั้งที่อากาศก็หนาวขนาดนี้!”ทุกคนทำหน้างงงวย เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ไปกินดินระเบิดหรือไรถึงได้โมโหขนาดนี้?ทางด้านหยางหลิว หลังจากเข้าห้องไปแล้ว ก็วางห่อยาไว้บนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจนางเดินไปอยู่ข้าง ๆ ฟู่หลานเหิงแล้วช่วยเขาฝนหมึกกล่าวกันว่าสาวงามอยู่ข้างกายคอยอยู่เป็นเพื่อนอ่านหนังสือ หยางหลิวก็อยากจะหาเรื่องคุยกับฟู่หลานเหิงบ้างแต่เมื่อนางมองไปที่หนังสือ ก็อ่านไม่ออกเลยสักตัวจึงได้แต่กล่าวว่า “ใต้เท้า พักผ่อนแต่หัวค่ำเถอะ อ่านหนังสือตอนกลางคืนไม่ดีต่อสายตา”ฟู่หลานเหิงขมวดคิ้วเล็กน้อย“เมื่อครู่ใครมา?”“อ้อ บ่าวคนหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนของใต้เท้าที่เจอกันตอนกลางวัน เอาห่อยามาให้เจ้าค่ะ”หยางหลิวพูดขึ้นอย่างร้อนรน “ร่างกายของใต้เท้ามีค่ามากนัก ไม่ควรกินยามั่ว ๆ เดี๋ยวบ
ภายในป่า หมิงจูแต่งตัวเป็นผู้ชาย กำลังถูกท่านอาที่สนิทกับท่านพ่อของนางลากตัวไปเพื่อหลบหนี“ท่านอาคุน คนของสกุลฮั่วตามมาแล้ว!”หมิงจูเผยสีหน้าตื่นตระหนก หลังจากบอกลากู้หว่านเยว่ นางก็รีบไปหาสกุลคุนที่พ่อของนางเคยมีบุญคุณด้วยท่านอาคุนเป็นคนที่มีคุณธรรมและซื่อสัตย์ จึงตัดสินใจพานางไปส่งที่เมืองเหยียนสุ่ยด้วยตัวเองทั้งสองคนหลบหนีจากทหารรักษาประตูเมืองได้ แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแจ้งข่าว บอกเส้นทางของพวกเขาให้ฮั่วหวงซานรู้ ทำให้คนของสกุลฮั่วตามมาได้“หมิงจู อย่าหนีเลย เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอก มาเป็นอนุภรรยาของข้าซะดี ๆ ข้ายังพอจะไว้ชีวิตเจ้าได้!”ฮั่วหวงซานหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ทางด้านหลัง เขามีลูกสมุนที่เลี้ยงไว้มากมาย ตอนนี้เกือบจะล้อมป่านี้ไว้ได้หมดแล้วหมิงจูตัวสั่นเทา เมื่อเห็นว่าฮั่วหวงซานใกล้จะตามทัน ท่านอาคุนก็กระชับลำตัวม้าให้แน่น “คุณหนูหมิง เจ้าไปก่อนเถอะ ข้าจะขวางไว้เอง”“ท่านอาคุน ท่านคิดจะทำอะไร?” หมิงจูเพิ่งจะพูดจบ ก็เห็นท่านอาคุนเอาเสื้อคลุมของนางไปสวม แล้วใส่หมวก ปลอมตัวเป็นนาง“ไม่ ไม่ได้นะท่านอาคุน ข้าจะทำให้ท่านเดือดร้อนไม่ได้!”หมิงจูส่ายหัว นางรู้ดีว่าฮั่วหวงซาน
“อ๊ากกกก!”มู่หรงอวี้อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา โมโหจนแทบจะคลั่งตายอยู่แล้วแม้ว่ากู้หว่านเยว่จะแต่งตัวเป็นผู้ชาย แต่นางและซูจิ่งสิงตัวติดกันตลอด เขาจำแผ่นหลังของทั้งสองคนได้ทันทีเขาก็ว่าเหตุใดระหว่างทางมาดวงตาของเขาถึงได้กระตุกตลอด รู้สึกเหมือนมีลางสังหรณ์ไม่ดี คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเรื่องจริง แผนการช่วยหญิงงามของเขาโดนกู้หว่านเยว่แย่งไปอีกแล้ว!“กู้หว่านเยว่นี่มันเป็นตัวซวยของข้าชัด ๆ เลย อ๊ากกก!”มู่หรงอวี้ใกล้จะบ้าแล้ว บ้ามาก บ้าสุด ๆ “เร็วเข้า ตามนางไป!”หลู่ซื่อรีบพาคนไล่ตามไป แต่จะไปตามม้าเซ็กเธาว์ทันได้อย่างไรบนหลังม้า หมิงจูซบหลังของกู้หว่านเยว่ เสียใจกับการตายของท่านอาคุนอย่างยิ่ง“หมิงจู เจ้าทนไหวหรือไม่?” กู้หว่านเยว่เอ่ยด้วยความเป็นห่วง หมิงจูได้รับบาดเจ็บ บนไหล่ของนางถูกกิ่งไม้แทง ต้องหาที่ทำแผลให้นางก่อน“ท่านผู้มีพระคุณ ข้าไม่เป็นไร ขอบคุณท่านผู้มีพระคุณที่ช่วยข้าอีกครั้ง”ทั้งสองคนควบม้าไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นซูจิ่งสิงก็ชี้ไปยังป่าไผ่ที่อยู่ข้างหน้า“ป่าไผ่ข้างหน้านั่นปลอดภัยชั่วคราว เราไปพักที่นั่นกันเถอะ”“ดี” กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ทั้งสามคนเข้าไปในป่าไผ่ ห
“ทำไมถึงเป็นเจ้า? ข้ายิ่งไม่อยากเจอหน้าเจ้าอยู่!”ผู้มาเยือนคือกงซุนจ่างเย่ที่กำลังเดินกระสับกระส่ายอยู่ในป่าถึงแม้ว่าตอนนี้กู้หว่านเยว่จะแต่งตัวเป็นบุรุษ แต่กงซุนจ่างเย่เคยเห็นนางยามแต่งตัวเป็นสตรีมาก่อน อีกทั้งเขายังคิดหาวิธีขับไล่ความชั่วร้ายของนางอยู่ทุกวัน วินาทีแรกที่เห็นหน้าของนางเขาก็จำนางได้ในทันทีกู้หว่านเยว่ยังเป็นกังวลอยู่เลยว่าจะให้ใครคุ้มกันหมิงจู แต่เมื่อเจอกงซุนจ่างเย่ นางก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้เยี่ยม สวรรค์ได้ส่งศัตรูมาตรงหน้าของนางแล้ว“คุณชายกงซุน ไม่เจอกันตั้งนาน”ทำไมรอยยิ้มนี้ถึงแฝงไปด้วยความมุ่งร้ายเช่นนั้น?กงซุนจ่างเย่รู้สึกขนลุกซู “เจ้าคิดจะทำอะไรอีก?” แย่แล้ว ๆ ท่านอ๋องไม่อยู่เสียด้วย เขาต้องถูกรังแกอีกแน่นอน“ไม่ได้คิดจะทำอะไรเจ้าค่ะ แค่อยากคุยเรื่องธุรกิจกับท่านก็เท่านั้น” กู้หว่านเยว่รุดหน้าเข้าไปกระชากตัวกงซุนจ่างเย่ “ไอหยา ช่วยด้วย!”“ท่านจอมยุทธ์หญิง คราวที่แล้วนายน้อยของเราถูกลาเตะเข้าที่ศีรษะสร้างความวุ่นวายให้พวกท่านไม่น้อย ได้โปรดอย่าทำร้ายเขาเลยขอรับ!” คนขับม้ารุดหน้าเข้ามากราบวิงวอนขอความเมตตาอยู่ด้านข้างนายน้อยคือสายเลือดเพี
“เจ้ากล้านัก เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าสกุลกงซุนฆ่าเจ้าได้!”กู้หว่านเยว่แกว่งเข็มในมือเล่น “ท่านก็ลองดู”กงซุนจ่างเย่ตกใจจนต้องหดคอไปด้านหลัง“ช้าก่อน ข้ายอมไปส่งให้เจ้าก็น่าจะพอใจแล้วใช่ไหม อย่าเล่นอะไรพิเรนทร์เชียวนะ!”เขาพอคาดเดาถึงความโหดร้ายของกู้หว่านเยว่ได้ กงซุนจ่างเย่จึงไม่กล้าเล่นกับไฟ รีบเรียกหมิงจูขึ้นรถม้า กู้หว่านเยว่เอื้อมมือออกไปคว้าตัวหมิงจูไว้ “แม่นางหมิง มีเพียงต้องรอดชีวิต ถึงจะมีความหวังในการแก้แค้นได้”หมิงจูพยักหน้า “ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้าจะรอดกลับมาเพื่อท่านพ่อและท่านแม่”กล่าวจบก็หมุนตัวไปคารวะกงซุนจ่างเย่ “รบกวนคุณชายกงซุนแล้วเจ้าค่ะ ถึงเมืองเหยียนสุ่ยแล้วข้าจะตอบแทนท่านอย่างดี”“ไม่รบกวน”หมิงจู่ไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างกงซุนจ่างเย่และมู่หรงอวี้กงซุนจ่างเย่หมุนตัวอย่างไม่ใส่ใจ หากแม่นางผู้นี้รู้ว่าเขาเข้าไปรายงานเรื่องของสกุลฮั่วพร้อมกับท่านอ๋องเมื่อวานนี้ จะยังตอบแทนเขาอีกไหม?ทำอย่างไรดีจู่ ๆ ก็รู้สึกผิดเสียอย่างนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้มู่หรงอวี้ไล่ตามมาทัน กู้หว่านเยว่จึงเร่งรัดให้พวกเขาออกเดินทางทันทีที่พวกเขาจากไป มู่หรงอวี้ก็พาทหารไล่ตามมาอย่างที่คิ
“ภาพวาดชิ้นนี้เป็นฝีมือของใคร?”เถาเอ๋อร์รุดหน้าเข้าไปแย่งภาพวาดชิ้นนั้น และกวาดตามองอย่างละเอียดการยื้อแย่งนั้นทำให้ผู้ว่าการอำเภอหงายหลังอย่างโกรธเคือง“หมายความว่าอย่างไรฝีมือของใคร นักโทษเจ้าเล่ห์อย่างเจ้ากล้าคิดหนีไม่พอ ยังจะกล้าแย่งของของข้าอีก ลงโทษสองเท่า!”เหล่าผู้ตรวจการรุดหน้าเข้ามาจับตัวเถาเอ๋อร์อย่างพร้อมเพรียง มู่หรงอวี้รีบกล่าวว่า “บังอาจ เถาเอ๋อร์เป็นสหายของข้า พวกเจ้ากล้าจับตัวสหายของข้า อยากตายกันหรืออย่างไร?!”ผู้ว่าการอำเภอมองมู่หรงอวี้ด้วยความสงสัยแวบหนึ่ง ที่นี่อยู่ใกล้เจดีย์หนิงกู่ เป็นพื้นที่ห่างไกลจากตัวเมือง อย่าว่าแต่ท่านอ๋องเลย แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนอีกอย่างใครจะอยากให้ท่านอ๋องของตัวเองเดินทางร่วมขบวนกับนักโทษเหล่านี้?เขาหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าเนี่ยนะท่านอ๋อง? เช่นนั้นข้าก็เป็นเทพเจ้าแล้ว! เจ้ามีความผิดโทษฐานปิดบังนักโทษหลบหนี โดนลงโทษสถานเดียวกัน!”“ข้าคือท่านอ๋อง ชื่อของข้าคือหวายหนานอ๋อง!”“หุบปากของเจ้าได้แล้ว!”ทั้งสองคนถูกผู้ว่าการอำเภอพาตัวไปกู้หว่านเยว่มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ แต่แล้วนางก็หลุดหัวเราะออกมา
“นี่คือเรือใหญ่ของหมู่บ้านเรา สามารถจุคนได้มากกว่ายี่สิบคน ด้านท้ายเรือยังมีเรือเล็กอีกสองลำ เพื่อความสะดวกในการให้คนลงไปตรวจสอบได้ทุกเมื่อ”ขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านแนะนำ กู้หว่านเยว่ไม่พูดพร่ำทำเพลง เหยียบบันไดขึ้นไปบนเรือใหญ่ทันที“หว่านเยว่!”แววตาของซูจิ่งสิงทั้งเอ็นดูและจนปัญญา“เจ้าห้ามไปที่ทะเลสาบ ตกลงกันแล้ว”“เราเป็นสามีภรรยากัน”กู้หว่านเยว่กะพริบตา กล่าวอย่างซุกซน“หากมีอันตราย ก็จะได้ตายไปพร้อมกัน”ซูจิ่งสิง ...ระหว่างพูด กู้หว่านเยว่ก็ขึ้นไปบนเรือแล้ว พร้อมกับเรียกให้ทุกคนขึ้นมา ซูจิ่งสิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา พลางเหาะขึ้นไปบนเรือ แล้วโอบเอวนางไว้“ชิงหว่าน”สายตาของเผยเสวียนฉายแววไม่เห็นด้วย ทำให้เมี่ยชิงหว่านโกรธมาก“คนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรคือท่านพ่อของข้า หากท่านรักตัวกลัวตายก็ไม่ต้องไป แต่ข้าต้องไปให้ได้”พูดจบก็สะบัดมือเขาออกแล้วก้าวขึ้นเรือไปเผยเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นตามไปด้วยสีหน้ามืดมนเนื่องจากมาตรวจสอบหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ซูจิ่งสิงจึงนำองครักษ์ที่พายเรือเป็นมาล่วงหน้า หลังจากที่ทุกคนขึ้นเรือแล้ว ซูจิ่งสิงก็สั่งให้องครักษ์พายเ
“ลุกขึ้นเถอะ”ซูจิ่งชิงโบกมือให้ลุก เขามีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่ต้องมากพิธีเขาเปิดเรื่องถามทันที “ทะเลสาบที่เกิดเรื่องอยู่ไหน?”“ด้านหลังหมู่บ้าน เชิญท่านอ๋องตามข้าน้อยมา”ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีใครสนใจ คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเดินทางมาด้วยตัวเองจากปากทางหมู่บ้านไปถึงทะเลสาบยังห่างไปอีกช่วงหนึ่ง กู้หว่านเยว่จึงถือโอกาสถามทันทีว่า“ผู้ใหญ่บ้าน ท่านช่วยเล่าเหตุการณ์ให้เราฟังหน่อยเจ้าค่ะ”ผู้ใหญ่บ้านสังเกตเห็นว่าข้างกายของท่านอ๋องนั้นยังมีสตรีหน้าตางดงามอีกหนึ่งคนตั้งแต่ที่ท่านอ๋องจูงมือของนาง แสดงท่าทางปกป้องมากเป็นพิเศษ ผู้ใหญ่บ้านพอจะเดาสถานะของกู้หว่านเยว่ได้ครั้นเห็นนางเอ่ยปากถาม จึงรีบกล่าวทันที“รายงานพระชายา ทะเลสาบแห่งนี้ชื่อว่าทะเลสาบโก่วสยง”เดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบ ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างตกปลาเลี้ยงชีพจากทะเลสาบแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้วเมื่อครึ่งเดือนก่อน กลับเกิดพายุครั้งใหญ่เกิดฟ้าผ่าสายหนึ่งกลางทะเลสาบโก่วสยงแห่งนี้“ยามนั้นเรียกได้ว่าแผ่นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง จนชาวบ้านต้องพากันออกมาดูสถานการณ์ ผลปรากฏว
“ว่ามา”“เช้าตรู่วันนี้ หมู่บ้านชาวประมงมีชาวประมงสูญหายอีกสองคน หนานหยางอ๋องทรงรับสั่งให้รุดหน้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่าหลังจากที่มาถึงกลางทะเลสาบ เรือและคนก็ล้วนหายไปพร้อมกันขอรับ”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไป “หนานหยางอ๋องไปที่นั่นได้อย่างไร?”“พระชายาทรงยังไม่ทราบ เดิมทีหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นเป็นที่ตั้งหลักของกองทัพทหารหนานหยางอ๋อง”ฉู่เฟิงกล่าวอธิบาย คิ้วของกู้หว่านเยว่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม“ท่านพี่ เรารีบไปดูกันเถอะ”ก่อนที่ทั้งสองคนจะออกเดินทาง คาดไม่ถึงว่าหนานหยางอ๋องจะเกิดเรื่องเช่นนี้ก่อน ดังนั้นแผนการเดิมคือการสำรวจหมู่บ้านชาวประมงอย่างช้า ๆ หากหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นอันตรายมากจริง ๆ ก็ต้องล้อมทะเลสาบนั้นไว้ ห้ามใครเข้าไปเด็ดขาดแต่ตอนนี้หนานหยางอ๋องดันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เรื่องราวกลับเลวร้ายมากขึ้นทุกที“เราต้องไปดูก่อน ฉู่เฟิงเจ้ามาบังคับม้า เร่งความเร็วกว่านี้”ฉู่เฟิงพยักหน้า ทันทีที่กระโดดขึ้นรถม้าก็เห็นรถม้าอีกคันไล่ตามมา“พี่หญิงหว่านเยว่!”เมี่ยชิงหว่านเปิดม่านหน้าต่างรถม้า ก่อนจะชะโงกหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาออกมา“ท่านพ่อเกิดเรื่องแล้ว
เช้าวันที่สอง ในที่สุดซูจื่อชิงก็ลืมตาหลังจากเมาค้างมาหนึ่งคืนเต็ม อาการปวดหัวของเขาได้ทวีความรุนแรงขึ้น วินาทีต่อจากนั้นรูม่านตาของเขาก็หดลงฉับพลัน“ชิวจู๋ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” อีกฝ่ายนอนอยู่บนเตียงของเขา อีกทั้งบนตัวของนางก็สวมใส่เพียงเสื้อเอี๊ยมชิ้นเดียวซูจื่อชิงกระโดดลงจากเตียงทันที จากนั้นก็มองไปยังเสื้อผ้าที่ร่วงอยู่บนพื้นด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “เมื่อคืนคุณชายรองคิดว่าข้าเป็นผู้อื่น จึงถอดเสื้อผ้าของข้า...”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของซูจื่อชิงซีดเผือดลง เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ อีกฝ่ายพูดเป็นนัยอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่เวลานี้อาการปวดหัวของเขาทวีคูณมากขึ้น เขาไม่มีความภาพความประทับใจของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลย เขาคิดไม่ออกว่าตัวเองทำอะไรชิวจู๋หรือไม่“เราสองคนทำอะไรกันแน่?”เขาไม่อยากเชื่อ เขาไม่เคยนึกชอบชิวจู๋“เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว คุณชายรองยังอยากจะให้ข้าพูดออกมาอีกอย่างนั้นหรือ แล้วข้ายังจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้อย่างไรเจ้าคะ?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ น้
ซูจิ่งสิงไม่เห็นด้วย ประเด็นหลักเพราะเขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บเพราะจากคำให้การของชาวบ้านเหล่านั้น ฟังดูแล้วทะเลสาบแห่งนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก บางคนก็บอกว่ามีปีศาจอยู่ในทะเลสาบแห่งนั้น คนที่ดำลงไปสำรวจใต้น้ำก่อนหน้านั้นต่างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย“ไม่ได้ ในเมื่อเป็นสถานที่อันตราย ข้าก็ยิ่งต้องไปกับท่าน มิเช่นนั้นหากท่านตกอยู่ในอันตรายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ทำให้ซูจิ่งสิงจนปัญญา เดิมทีเขาอยากมาบอกกล่าวภรรยาของตัวเองก่อนออกเดินทางสักคำ คิดไม่ถึงว่าภรรยาของตนจะขอไปกับเขาด้วยเมื่อเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย เขาก็รู้ทันทีว่าต่อให้ตัวเองโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำได้แค่พยักหน้าอย่างจำใจ“ก็ได้ เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกัน แต่เจ้าต้องรับปากข้าก่อน ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามกระโดดลงจากเรือไปสำรวจในทะเลสาบเพียงลำพังเด็ดขาด”“ไม่มีปัญหา”กู้หว่านเยว่รับปากวันนี้รับปาก พรุ่งนี้กลับคำเนื่องจากสองสามีภรรยาคู่นี้จะต้องออกเดินทางไปสำรวจทะเลสาบแห่งนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นคืนนี้ทั้งสองคนจึงไม่อยู่รอให้ซูจื่อชิงฟื้นอยู่ในจวน แต่
นางหยางปาดน้ำตา “ช่วงนี้เจ้าต้องดูแลกู้จื่อชิงให้ดี มันคือทางที่ดีที่สุดแล้ว เรื่องในวันนี้คงโทษเจ้าไม่ได้ เจ้าเองก็ไม่ต้องตำหนิตัวเจ้าเอง”ชิวจู๋กัดริมฝีปากพยักหน้าหลังจากที่กู้หว่านเยว่ต้มยาระงับประสาทให้แล้ว ก็ยื่นใบสั่งยาให้คนอื่น เพื่อเตรียมสมุนไพรนางแอบลากซูจิ่งสิงเข้ามาในมุมหนึ่งของลานกว้าง“ท่านพี่ เรื่องนี้ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงไม่พูดสิ่งใด เรื่องความรู้สึกของซูจื่อชิงเขาเองก็ไม่รู้จะเข้าไปแทรกอย่างไรยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เมี่ยชิงหว่านกำลังจะหมั้นกับเผยเสวียนแล้ว เขาไม่มีทางเข้าไปชิงตัวใครออกมาอย่างแน่นอนครั้นกู้หว่านเยว่เห็นซูจิ่งสิงไม่กล่าวสิ่งใด ก็รู้ทันทีว่าคนที่แข็งกระด้างด้านความรู้สึกอย่างเขาคงไม่มีทางคิดออกแน่นอนดังนั้น นางจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ท่านไม่รู้สึกว่าการแต่งงานของเมี่ยชิงหว่านและเผยเสวียนกะทันหันเกินไปหรือเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร?”“ข้าให้คนไปตรวจสอบแล้ว พวกเขาสองคนรู้จักกันได้ไม่นาน มากสุดเพียงครึ่งเดือน อีกทั้งช่วงเวลานี้ ชิงหว่านไม่ได้สนใจเผยเสวียนเลย กลับเป็นเผยเสวียนที่คอยเอาแต่ประกาศอยู่เรื่อย ๆ ทำ
“คุณชายรองเราไปกันเถอะ ในเมื่อคุณหนูฟู่ตัดสินใจจะหมั้นกับคุณชายเผยแล้ว ต่อให้ท่านรอต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ”ชิวจู๋ประคองซูจื่อชิงลุกขึ้น คาดไม่ถึงว่าซูจื่อชิงจะรับแรงกระตุ้นไม่ไหวกระอีกออกมาเป็นเลือดและสลบไปในที่สุด“คุณชายรอง คุณชายรอง!” ชิวจู๋รีบประคองซูจื่อชิงกู้หว่านเยว่กำลังคุยเรื่องนี้กับซูจิ่งสิงพอดี ครั้นได้ยินเด็กรับใช้รายงานว่าซูจื่อชิงสลบไม่ได้สติและกระอักออกมาเป็นเลือด“เด็กคนนี้ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย เมื่อครู่ข้าเพิ่งบอกเขาอยู่หยก ๆ ว่าให้ถนอมร่างกายของตัวเอง ไม่ทันไรก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่ด่าทอพักใหญ่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนในครอบครัว ทั้งสองคนรีบเดินตรงไปยังจวนด้านหลัง“เกิดอะไรขึ้น?”ทันทีที่เข้าไปก็เห็นซูจื่อชิงสลบอยู่บนเตียง สีหน้าเขียวคล้ำ มุมปากมีคราบเลือดหยดหนึ่งติดอยู่นางหยางและซูจิ้งกลับมาพอดี ครั้นเห็นบุตรชายกลายเป็นเช่นนี้ ก็เจ็บปวดคล้ายกับโดนมีดหรีดหัวใจ“หว่านเยว่ เจ้ารีบดูอาการให้เขาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ข้าเรียกเขาอยู่ครึ่งวัน กลับไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด”“ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป น้องชายรองแค่สลบไปเท่านั้น
“ในเมื่อเขามาหาเจ้าแล้วถึงที่แล้ว เจ้าก็ควรออกพบเขาสักหน่อย”เผยเสวียนคลี่ยิ้มหวาน ทำให้เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วแน่น“ตอนนี้ข้าไม่อยากเจอใคร เจ้าไปบอกเขาเถอะ ข้าเข้านอนแล้ว”เด็กรับใช้ยืนนิ่งไม่ไหวติ่ง เผยเสวียนตั้งใจลูบแก้มของนาง“สาเหตุที่เขาอยากพบเจ้าตอนนี้ คาดว่าคงยังคาใจ อยากฟังคำตอบจากปากของเจ้าเอง ข้าอยากให้เจ้าออกไปบอกเขาด้วยตัวเอง ให้เขาตัดใจเสียเถิด”เมี่ยชิงหว่านตัวสั่นระริก “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ข้าไม่เจอเขาก็พอแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ไม่ได้”เผยเสวียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “ชิงหว่าน เด็กดี เชื่อฟังข้าเถอะ มิเช่นนั้นเจ้าก็รู้ว่าผลลัพธ์จากการโกรธของข้าจะเป็นอย่างไร”เมี่ยชิงหว่านลังเลเล็กน้อย ยังไม่อยากออกไป“ในเมื่อเจ้าไม่อยากออกไปบอกเขา เช่นนั้นข้าจะออกไปบอกเขาเอง ถึงตอนนั้นอะไรที่ควรพูดอะไรที่ไม่ควรพูด ข้าเกรงว่าคงจะควบคุมปากไว้ไม่ได้”เผยเสวียนกล่าวพลางสาวเท้าเดินออกไปข้างนอกนัยน์ตาของเมี่ยชิงหว่านฉายแววเกลียดชัง จากนั้นก็กัดฟันพลางพยักหน้า “ข้าไปเอง ข้าจะออกไปบอกเขาเอง”“แบบนี้สิ ถึงจะเป็นคู่หมั้นที่น่ารักของข้า”เผยเสวียนหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาพลางส
หลังจากเกิดความชุลมุนพักใหญ่ ในที่สุดเจ้าตัวก็ฟื้น “ข้า ข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่?”ซูจื่อชิงมองรอบ ๆ ห้องอย่างเหม่อลอย สีหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุรา ท่าทางนั้นเหมือนตายทั้งเป็นกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ชิงหว่านกำลังจะหมั้นแล้ว ต่อไปเจ้าสองคนก็ต้องต่างคนต่างอยู่ เจ้าทำตัวแบบนี้ไปให้ใครดูกัน?”ซูจื่อชิงตัวสั่นเทิ้ม ก่อนที่บุรุษร่างใหญ่จะร้องไห้คร่ำครวญออกมา“ข้ารู้ผิดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเอง ต้องโทษปากของข้าที่เอาแต่ขับไสไล่ส่งนางออกไปไกลมากขึ้นทุกที”ตอนนี้ซูจื่อชิงน้ำตาเช็ดหัวเข่า“ทำไมข้าถึงชอบพูดประชดประชัน ทำไมข้าถึงไม่บอกความรู้สึกของข้ากับนางให้เร็วกว่านี้”บัดนี้คงทำได้แค่มองคนที่ตนรักแต่งงานกับคนอื่นไปต่อหน้าต่อตา เขาจะทนได้อย่างไร? หลายวันมานี้เขาเอาแต่ดื่มเหล้าย้อมใจอยู่แต่ในร้านอาหาร ดื่มจนเมามาย เพียงแค่อยากให้ตัวเองไร้ความรู้สึกเท่านั้นน่าเสียดายที่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก ไม่สามารถลบล้างด้วยการดื่มเหล้าได้ต่อให้ดื่มเหล้าจนเมามาย ก็ทำได้แค่ลืมไปชั่วขณะ หลังจากสร่างเมากลับมาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม“เสียใจ ข้าเสียใจจริง ๆ”ซูจื่อชิงน้ำตาไหลอาบสอง