“ภาพวาดชิ้นนี้เป็นฝีมือของใคร?”เถาเอ๋อร์รุดหน้าเข้าไปแย่งภาพวาดชิ้นนั้น และกวาดตามองอย่างละเอียดการยื้อแย่งนั้นทำให้ผู้ว่าการอำเภอหงายหลังอย่างโกรธเคือง“หมายความว่าอย่างไรฝีมือของใคร นักโทษเจ้าเล่ห์อย่างเจ้ากล้าคิดหนีไม่พอ ยังจะกล้าแย่งของของข้าอีก ลงโทษสองเท่า!”เหล่าผู้ตรวจการรุดหน้าเข้ามาจับตัวเถาเอ๋อร์อย่างพร้อมเพรียง มู่หรงอวี้รีบกล่าวว่า “บังอาจ เถาเอ๋อร์เป็นสหายของข้า พวกเจ้ากล้าจับตัวสหายของข้า อยากตายกันหรืออย่างไร?!”ผู้ว่าการอำเภอมองมู่หรงอวี้ด้วยความสงสัยแวบหนึ่ง ที่นี่อยู่ใกล้เจดีย์หนิงกู่ เป็นพื้นที่ห่างไกลจากตัวเมือง อย่าว่าแต่ท่านอ๋องเลย แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนอีกอย่างใครจะอยากให้ท่านอ๋องของตัวเองเดินทางร่วมขบวนกับนักโทษเหล่านี้?เขาหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าเนี่ยนะท่านอ๋อง? เช่นนั้นข้าก็เป็นเทพเจ้าแล้ว! เจ้ามีความผิดโทษฐานปิดบังนักโทษหลบหนี โดนลงโทษสถานเดียวกัน!”“ข้าคือท่านอ๋อง ชื่อของข้าคือหวายหนานอ๋อง!”“หุบปากของเจ้าได้แล้ว!”ทั้งสองคนถูกผู้ว่าการอำเภอพาตัวไปกู้หว่านเยว่มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ แต่แล้วนางก็หลุดหัวเราะออกมา
แม้ว่าสกุลหลี่จะไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองตู้เปียน แต่ก็ไม่รับประกันว่าจะไม่เจอคนรู้จักหลี่เฉินอันพยักหน้า จากนั้นก็กระชากหลี่อวิ๋นอวิ๋นที่กระโดดโลดเต้นเข้ามาในโรงน้ำชา“ไปกันเถอะ เราเข้าเมืองกันก่อน”ซุนอู่ถือเอกสารและคู่มือด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น ภารกิจครานี้มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ พวกเขาเดินมาถึงหน้าจวนขุนนางหลังจากเดินทางมาถึงเจดีย์หนิงกู่แล้ว ซุนอู่จะต้องส่งนักโทษให้เหล่าทหารของเจดีย์หนิงกู่ รับเอกสารแล้วค่อยกลับไปรายงานภารกิจที่เมืองหลวงส่วนทหารที่รับช่วงต่อจะเป็นคนจัดการนักโทษเหล่านั้นเองยังมีหมู่บ้านอีกหลายแห่งในเจดีย์หนิงกู่ที่พวกเขาต้องไปเวลานี้ผู้ตรวจการที่ประจำอยู่หน้าประตูเมืองเห็นพวกเขาแล้วก็ต้องส่ายหน้า“น่าเวทนายิ่งนัก ถึงตาใต้เท้าสวีอับจนเสียแล้ว”“ใครบ้างไม่รู้ว่าใต้เท้าสวีจะต้องรับสินบนทุกครั้ง มิเช่นนั้นจะถูกส่งตัวไปยังพื้นที่ห่างไกล?”ทันทีที่คนกลุ่มนั้นได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเดิมทีคิดว่าความลำบากที่เจอมาตลอดทางจนกระทั่งถึงเจดีย์หนิงกู่นั้นไม่ง่ายเลย การได้เจอที่พักและได้พักอย่างสงบสุขเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนักแต่ใครจะไปคิดล่ะว่า ทันทีที่ถึงเจดีย์หนิงกู
ใต้เท้าสวีลูบปลายคาง นัยน์ตาฉายแววมุ่งร้าย มองพินิจบุตรสาวคนโตที่กำลังโตเป็นสาวอย่างซูจิ่นเอ๋อร์และเมี่ยชิงหว่านอย่างไม่ละอายใจซูจิ่นเอ๋อร์โกรธจนตัวสั่นเทิ้ม “ขุนนางลามก หากข้าเห็นเจ้ามองด้วยสายตาเช่นนี้อีกข้าจะควักลูกตาของเจ้า!”ใต้เท้าสวีโพล่งออกไปทันที “เจ้ากล้าด่าข้าหรือ? ทหาร จับพวกเขาไว้!”เมื่อเห็นทหารจากด้านนอกพุ่งเข้ามา หวังปี้รีบกล่าวทันที“ช้าก่อน ใต้เท้าสวี ข้าคือรองแม่ทัพหนานหยางอ๋องชื่อว่าหวังปี้ ข้าได้รับความไว้วางใจจากท่านอ๋อง รับสั่งให้ข้ามาคุ้มกันสกุลซูและคนอื่น ๆ ให้เดินทางมาถึงเจดีย์หนิงกู่อย่างปลอดภัย ขอความกรุณาใต้เท้าสวีช่วยอำนวยความสะดวกให้พวกเราด้วยขอรับ”จากนั้นก็รุดหน้าเข้าไปกล่าวเสียงเบาว่า “ภรรยาของสกุลซูมีความสัมพันธ์ที่ดีงามกับท่านอ๋องของเรา ขอความกรุณาใต้เท้าสวีช่วยจัดที่พักด้วยขอรับ”เดิมทีหวังปี้คิดว่าหากเขากล่าวเช่นนี้ ใต้เท้าสวีจะต้องยอม แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าเขาจะลูบเคราและคลี่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เพทุบาย“จัดที่พักข้าทำให้ได้ แต่ต้องแลกกับเงินไม่ก็หญิงงาม มิเช่นนั้นก็โมฆะ!”หวังปี้คาดไม่ถึงว่าใต้เท้าสวีจะไม่ไว้หน้าของเขาเพียงนี้ สีหน้าของเขาพลันเค
“ท่านยาย ท่านคิดจะทำอะไร?”ฮูหยินผู้เฒ่าซูยิ้มเยาะจนตัวสั่นเทิ้ม “หรานหร่าน ยายไม่อยากให้เจ้าลำบากตามพวกเราไปยังหมู่บ้านสือหาน มิสู้เจ้าอยู่รับใช้ใต้เท้าสวีดีกว่าไหม?”ซูหัวหยางรีบกล่าว “ท่านยายอายุมากแล้ว หมู่บ้านสือหานก็ทั้งหนาวทั้งจน ไม่เหมาะที่จะรักษาอาการป่วยของยายเจ้าหรอก หากเจ้าอยากกตัญญู เจ้าจงอยู่รับใช้ใต้เท้าสวีเถิด สำหรับเจ้าแล้วนับว่าเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ?”ซูหัวหยางคิดเพ้อฝัน ตราบใดที่ส่งซูหรานหร่านไป ไม่เพียงแต่จะประหยัดอาหารเท่านั้น ยังแก้ไขเรื่องที่อยู่ของพวกเขาได้อีกด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว“เรื่องดีอย่างนั้นหรือ? ใต้เท้าสวีผู้นั้นอายุใกล้จะห้าสิบปีแล้วนะ!”ริมฝีปากสีแดงของซูหรานร่านสั่นระริก“ใบหน้าของเขาเต็มไปจุดด่างดำที่บอกถึงอายุเช่นนั้น ข้าไม่ไปหรอก หากจะไปก็ให้ท่านยายไปสิ!”ฮูหยินผู้เฒ่าซูตะลึงงัน ยืนอ้าปากตาค้างชี้ตัวเอง“เจ้าพูดอะไร เจ้าจะให้ข้าไปอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง ให้ท่านไป ก่อนหน้านั้นท่านยังปีนขึ้นเตียงของหนานหยางอ๋องได้ ตอนนี้จะปีนขึ้นเตียงของใต้เท้าสวีมันต่างกันตรงไหน? ท่านยายอายุมากแล้ว ในเมื่อไม่เหมาะจะกลับหมู่บ้านสือหาน ก็อยู่รับใช
จางเอ้อร์ตาแดงก่ำ “แม่นางน้อยกู้ ข้า ข้าไม่อยากทิ้งพวกเจ้า!”“หรือข้าอยู่ต่อที่เจดีย์หนิงกู่!”“เจ้ามีครอบครัวอยู่ที่เมืองหลวง เจ้าไม่ต้องการครอบครัวของเจ้าแล้วหรือ?”กู้หว่านเยว่ยกมือแสดงความจนปัญญา แต่จู่ ๆ นางก็คิดได้จึงกล่าวว่า“เช่นนั้นเจ้ารอให้ข้าสร้างหมู่บ้านสือหานให้กลายเป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองและงดงามที่สุดก่อน แล้วพวกเจ้าค่อยคิดทบทวนว่าจะย้ายมาอยู่ที่นี่หรือไม่”หมู่บ้านสือหาน?สถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองและงดงามที่สุด?เกรงว่าคงต้องรอถึงชาติหน้า!ทันทีที่คนเหล่านั้นได้ยิน ก็พากันเมินเฉยต่อคำกล่าวของกู้หว่านเยว่“ก็ได้ พวกเราจะรอวันนั้น ถึงตอนนั้นข้าจะย้ายครอบครัวมาที่นี่!”“แม่นางกู้ พวกเราจะเฝ้ารอให้เจ้าสร้างหมู่บ้านสือหานจนกลายเป็นสถานที่ที่มั่งคั่งกว่าเมืองหลวง”“พวกเราไปก่อนนะ หากช้ากว่านี้มืดค่ำจะเดินทางกันลำบาก”ซุนอู่กล่าวเสียงเคร่งขรึม ส่งกันพันลี้ สุดท้ายก็ต้องจากกัน ทุกคนยังคงอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะพากันขึ้นหลังม้า โบกมือให้กู้หว่านเยว่และคนอื่น จากนั้นก็จากเมืองตู้เปียนแห่งนี้ไปซูจิ่นเอ๋อร์มองแผ่นหลังของซุนอู่แล้วน้ำตาคลอเบ้า “ข้าไม่อยากจากท่านนักการซุน
คนอื่นพากันอ้าปากตาค้าง ต้องรู้ก่อนว่าท่านนักการหวงคือหัวหน้าของพวกเขา ทักษะการต่อสู้สูงกว่าใครแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าของกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง เขาดูคล้ายกับลูกเจี๊ยบ ไร้กำลังเขามองออกว่าสองสามีภรรยาคู่นี้มีทักษะการต่อสู้สูงเพียงใด พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาผู้ตรวจการที่เหลือกลืนน้ำลายหลายอึก ไม่มีใครอยากหาเรื่องใส่ตัวกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ข้าไม่อยากสร้างความลำบากใจให้พวกเจ้า แค่ส่งพวกเราไปถึงหมู่บ้านสือหาน เราสัญญาว่าจะอยู่อย่างสงบ หากใครกล้าสร้างปัญหา ข้าก็ไม่ใช่รูปปั้นที่จะไม่รู้สึก ข้าจะสั่งสอนให้รู้จุดจบของชีวิต!”“มิกล้า มิกล้า” ผู้ตรวจการหลายคนพากันส่ายหน้า ตอนนี้พวกเขาเดินทางกันมาถึงครึ่งทางแล้ว ไม่ได้อยู่ในศาลาว่าการ พวกเขาคงขอกำลังเสริมไม่ได้ ทำได้แค่ยอมตามน้ำไปก่อนในเวลานี้กู้หว่านเยว่ถือโอกาสตอนที่ทุกคนกำลังจัดการกับท่านนักการหวงรีบสั่งให้นายท่านเซิ่งพาตัวฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งขึ้นเกวียนลา“ไม่ได้ ๆ แม่นางกู้ เกวียนลาของเจ้ามีคนเยอะมากพอแล้ว ข้าขึ้นไปมีแต่จะสร้างความยุ่งยากให้เจ้าเสียเปล่า ๆ?”สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไป “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านบาดเจ็
หลายครอบครัวต่างสบตากัน น้ำเสียงของผู้ใหญ่บ้านเฉินแสดงอำนาจต่อพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด!ให้ตายเถอะ เหล่านักโทษถูกกดขี่ข่มเหงมาตลอดทางแล้วนะกว่าจะเดินทางมาถึงเจดีย์หนิงกู่ไม่ใช่เรื่องง่าย นี่ยังต้องโดนกดขี่อีกหรือ?นายท่านหลี่กล่าวถามด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง “ขอถามผู้ใหญ่บ้านหน่อย ที่พักของพวกเราคือที่ไหน?”“รีบทำไม ผู้ใหญ่บ้านพูดอยู่ เจ้ากล้าพูดแทรกได้อย่างไร?”ผู้ใหญ่บ้านเฉินส่งเสียงฮึดฮัดน้ำเสียงเย็นชาออกมา แสดงอำนาจอย่างมากนายท่านหลี่ขมวดคิ้วแน่น “พวกเราไม่ใช่นักโทษ คนที่มาถึงเจดีย์หนิงกู่ล้วนแต่เป็นคนของทางการ ทำไมพวกเราจะพูดแทรกเจ้าไม่ได้?”น้ำเสียงของผู้ใหญ่บ้านเฉินกำลังบอกว่าพวกเขาอยู่ต่ำกว่าอย่างไรอย่างนั้น?“พวกเจ้าคือนักโทษ เป็นคนนอก และเป็นทาสผู้ต่ำต้อย!” ดวงตาของผู้ใหญ่บ้านเฉินฉายแววโหดร้าย มิน่าล่ะใต้เท้าสวีถึงอยากสั่งสอนพวกเขา หัวรั้นกันยิ่งนัก“พวกเจ้าอยากได้บ้านไม่ใช่หรือ” ผู้ใหญ่บ้านเฉินชี้ไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ “ตีนเขามีบ้านที่ไม่มีใครใช้มานานกว่าสิบปีว่างอยู่พอดี พวกเจ้าไปพักที่นั้นละกัน”กู้หว่านเยว่เห็นรอยยิ้มที่แสดงความมุ่งร้ายของผู้ใหญ่บ้านเฉิน ลางสังหรณ
หวังต้าโก่วแสดงท่าทีโง่เขลาออกมา“หมู่บ้านสือหานของพวกเรามีสิบสองเดือนเข้าสู่ฤดูหนาวไปแล้วแปดเดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนพฤษภาคมของปีหน้าจะมีหิมะตกหนัก น้ำจะกลายเป็นน้ำแข็ง นอกจากพืชที่ทนความหนาวได้เท่านั้นที่จะอยู่รอด พืชที่เหลือตายหมด ข้าวและข้าวสาลีที่พวกเจ้ากล่าวถึง....พวกเราไม่ได้กินมาหลายปีแล้ว”เมื่อโพล่งประโยคนี้ออกไป ทุกคนก็ยิ่งตระหนักได้ถึงความโหดร้ายของสภาพแวดล้อมของหมู่บ้านสือหานเมื่อเดินทางมาถึงตีนเขา ทุกคนก็พากันสูดลมหายใจเย็นนี่...นี่คือบ้านหรือ?ลักษณะของบ้านมีเพียงเสาบ้านที่กองสุมรวมกัน รอบตัวบ้านเต็มไปด้วยหญ้ากองโต....“กระท่อมหลังนี้เราจะอยู่ได้อย่างไร?”หวังต้าโก่วเลียริมฝีปาก “บ้านในหมู่บ้านมีไม่เยอะ พวกเจ้าดันล่วงเกินผู้ใหญ่บ้านอีก จึงถูกขับไสให้มาอยู่ที่นี่”เรื่องที่เขาไม่ได้บอกก็คือ ที่ตีนเขาแห่งนี้ยังมีสัตว์ป่าอีกไม่น้อย ถัดจากภูเขานี้ไปก็คือแคว้นโจวตะวันออก ทุกครั้งที่ฤดูหนาวมาเยือน จะมีคนของแคว้นโจวตะวันออกมาปล้นสะดมเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดของหมู่บ้านเลยก็ว่าได้“น้องต้าโก่วลำบากเจ้าแล้ว”กู้หว่านเยว่ให้มันเทศสองลูกกับเขาเ
นี่มันของขวัญบ้าบออะไรกัน หากท่านแม่ทัพเหยลวี่เจิงได้รับของขวัญชิ้นนี้จริง ๆ เขาจะโมโหอย่างรุนแรงแค่ไหนกัน“จับพวกเขาไว้ ไม่ ฆ่าพวกเขาไปเลย รีบฆ่าพวกเขาสองคนเสีย!”เจ้าเมืองชิงซานตะโกนอย่างบ้าคลั่งตอนนี้หนทางรอดเดียวของเขา คือต้องจับตัวฆาตกรสองคนนี้มาให้ได้ แล้วนำศพของพวกเขาไปมอบให้ท่านแม่ทัพเหยลวี่เจิง บางทีอาจจะช่วยระงับความโกรธของแม่ทัพเหยลวี่เจิง และรักษาศีรษะของเขาไว้ได้“ท่านพี่ ไปกัน!”กู้หว่านเยว่แค่อยากยั่วโมโหเจ้าเมืองชิงซานสักหน่อย ไม่ได้อยากจะเผชิญหน้ากับเขาตรง ๆ นางยังต้องรีบไปที่เมืองอูถ่านเพื่อจัดการเหยลวี่เจิงอย่างไรเล่าซูจิ่งสิงได้รับคำสั่งจากนาง ปลายเท้าแตะพื้น โอบเอวบางของนางไว้ด้วยมือเดียว จากนั้นทะยานหายไปในความมืดมิด ทิ้งไว้เพียงเสียงกรีดร้องของเจ้าเมืองชิงซานหลังจากที่ทั้งสองคนออกจากโรงเตี๊ยมแล้ว พวกเขาไม่ได้ออกจากเมืองชิงซานในทันที แต่กลับมุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมืองก่อนตามความเคยชิน กู้หว่านเยว่จึงไปที่ห้องเก็บของเพื่อกวาดทรัพย์สินก่อน กวาดเอาของทุกอย่างในจวนเจ้าเมืองจนหมดเกลี้ยง จากนั้นจึงค่อยจากไปอย่างพึงพอใจเมื่อเจ้าเมืองชิงซานพบว่าบ้านของเขาถูกขโ
แม้จะไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรออกไปตอนที่หมดสติ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงแล้ว เหยลวี่หมิงก็เดาว่าตัวเองคงเผลอพูดอะไรบางอย่างที่ไม่ควรพูดออกไป“พวกเจ้าสองคนต่ำช้าเกินไปแล้ว!”“กลศึกสงคราม ย่อมมีการใช้กลอุบาย หากจะว่ากันด้วยเรื่องความต่ำช้า ใครจะไปเทียบพี่ใหญ่ของเจ้าได้?”กู้หว่านเยว่เบ้ปาก พวกเขาไม่เคยคิดจะไปเล่นสกปรกใส่เหยลวี่เจิงก่อนเลยสักครั้ง กลับกัน เหยลวี่เจิงต่างหากที่จ้องจะเล่นงานพวกเขาไม่ปล่อยพวกเขาแค่โต้กลับเท่านั้นเอง“พวกเจ้าอย่าเพิ่งดีใจไป รอให้พี่ใหญ่ของข้าเจอพวกเจ้าเมื่อไร จะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าได้อยู่อย่างสงบสุขแน่!” เหยลวี่หมิงตวาดลั่น พร้อมกับจ้องเขม็งไปที่ทั้งสองคนด้วยสายตาอาฆาต“ถ้าไม่อยากถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้ารีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้...อ๊าก!”สำหรับคุณชายจอมเสเพลใจคอโหดเหี้ยมเช่นนี้ ซูจิ่งสิงไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย จัดการปลิดชีพเขาในทันที“สกปรกจริง ๆ โยนเขาออกไปจากมิติ”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ พลางลากศพของเหยลวี่หมิงออกไปจากมิติเวลานี้ เจ้าเมืองชิงซานกำลังนำทหารใต้บังคับบัญชาออกค้นหาทั่วโรงเตี๊ยมอย่างไร้จุดหมายคิ้วของ
“อะไรนะ?!”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงต่างตกตะลึง ทั้งสองคนไม่คิดเลยว่าซูจิ่นเอ๋อร์และฟู่หลานเหิงจะไม่ได้อยู่ในมือของเหยลวี่เจิง สวรรค์ จะให้ตื่นเต้นกันไปถึงไหน พวกเขาเสียแรงเปล่าแล้วหรือ?“พวกเขาถูกใครชิงตัวไป?”“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เหมือนจะเป็นชายผมขาวคนหนึ่ง”เหยลวี่หมิงส่ายหัว กู้หว่านเยว่แสดงสีหน้างุนงง ชายผมขาว? ใต้หล้านี้มีคนผมขาวมากมายเหลือเกิน พวกเขาจะไปหาที่ไหน?แต่ขอแค่รู้ว่าซูจิ่นเอ๋อร์และฟู่หลานเหิงปลอดภัย ทั้งสองคนก็วางใจลงได้บ้างแล้ว“พี่ใหญ่ของเจ้าวางกับดักอะไรไว้ที่เมืองอูถ่าน?”ถึงแม้ว่าซูจิ่นเอ๋อร์จะไม่ได้อยู่ในมือของเหยลวี่เจิง แต่หลังจากที่สองสามีภรรยาปรึกษากันแล้ว ก็ตัดสินใจว่าในเมื่อมาถึงทูเจวี๋ยแล้ว ก็ไม่ควรพลาดโอกาสที่จะไปเยือนเมืองอูถ่านสักครั้งอย่างแรก เพื่อกำจัดเหยลวี่เจิงซึ่งเป็นภัยอันตรายที่ซ่อนเร้นนี้อย่างที่สอง กู้หว่านเยว่ตั้งใจจะพาสัตว์น้ำแข็ง ไปตามหาดอกน้ำแข็งนิล“พี่ใหญ่ได้ยาพิษชนิดหนึ่งมาจากหมอผี ได้ยินมาว่ายาพิษชนิดนั้นแค่ได้กลิ่น ถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง ก็จะสูญเสียพลังทั้งหมดในชั่วพริบตานอกจากนี้ พี่ใหญ่ยังได้จ้างมือสังห
การคาดเดาเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การยืนยันให้แน่ชัดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งใบหน้าของเหยลวี่หมิงแสดงความตกตะลึงอย่างมาก ในเมื่อคู่สามีภรรยาที่อยู่ตรงหน้า คือคนที่ทุบตีเขาที่ตลาดและเป็นคนที่วางเพลิงในเมืองสือโม่เมื่อคืนนี้ถ้าเช่นนั้น ตัวตนของพวกเขาก็คือเจิ้นเป่ยอ๋องและพระชายาแห่งต้าฉีใช่หรือไม่?!“เจ้าเดาถูกแล้ว ข้าคือพระชายาเจิ้นเป่ยอ๋องจริง ๆ และคนที่อยู่ข้าง ๆ ข้า ก็คือเจิ้นเป่ยอ๋อง ศัตรูตัวฉกาจของพี่ชายเจ้า”กู้หว่านเยว่ยิ้มเล็กน้อย ช่วยไขข้อข้องใจให้เขาด้วยความใจดี ถึงอย่างไรเหยลวี่หมิงก็ต้องตายอยู่แล้ว กู้หว่านเยว่จึงไม่รังเกียจที่จะบอกความจริงกับเขาคราวนี้ เหยลวี่หมิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป“ซูจิ่งสิง กู้หว่านเยว่ เป็นพวกเจ้าจริง ๆ !”พระเจ้า ทั้งสองคนนี้เพิ่งจะมาที่แคว้นทูเจวี๋ย ก็ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้แล้วทันใดนั้น เขาเริ่มสงสัยว่าพี่ใหญ่วางกับดักล่อพวกเขามาที่นี่ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริง ๆ หรือ?คงไม่ใช่การเชื้อเชิญหมาป่าเข้าบ้านหรอกนะ?กู้หว่านเยว่ไม่ลังเลที่จะปล่อยหมัดใส่เหยลวี่หมิงอย่างไร้ความปรานี จนอีกฝ่ายตาพร่ามัวไปหมด“ข้าถามเจ้า ซูจิ่นเอ๋อร์และฟู
กู้หว่านเยว่เอ่ยถามด้วยความสงสัย เสี่ยวถ่านยิ้มอย่างขมขื่น“เรื่องนี้ค่อนข้างยาว พวกเราถูกคนใส่ร้าย เสด็จแม่ของข้า...นางถูกฆ่าตาย ข้าหนีรอดออกมาได้อย่างยากลำบาก”เมื่อพูดถึงเสด็จแม่ เสี่ยวถ่านขอบตาแดงก่ำพยายามฝืนเช็ดน้ำตา ไม่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมากู้หว่านเยว่นึกขึ้นได้ทันที ก่อนหน้านี้นางและซูจิ่งสิงได้ยินจากตอนที่อยู่ในห้องของเหยลวี่หมิงว่า เสด็จแม่ขององค์หญิงเก้าถูกไฟคลอกตายแล้วมีเพียงองค์หญิงเก้าเท่านั้นที่หนีรอดออกมาได้ฟังจากน้ำเสียงขององค์หญิงเก้าแล้ว เสด็จแม่ของนางน่าจะเป็นราชินีของกษัตริย์ทูเจวี๋ย ราชินีผู้สูงศักดิ์กลับถูกไฟคลอกตาย ส่วนองค์หญิงก็ถูกตามล่า พวกเขาทำผิดอะไรกันแน่?ถึงแม้ว่านางจะมีข้อสงสัยมากมายในใจ แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะซักถาม ทหารข้างล่างกำลังจะล้อมพวกเขาขึ้นมาแล้ว“ไว้ค่อยอธิบายให้ข้าฟังทีหลัง ตอนนี้ เราต้องหนีออกไปจากที่นี่ก่อน”กู้หว่านเยว่ใช้สันมือสับไปที่คอของเสี่ยวถ่าน จากนั้นก็โบกมือ เก็บนางเข้าไปในมิติ“ท่านพี่ เราไปหาเหยลวี่หมิงกันเถอะ!”เหยลวี่หมิงอยากจะตามล่าพวกเขามิใช่หรือ เช่นนั้นพวกเขาก็จะสั่งสอนเขาสักหน่อย“ตกลง” ซูจิ่ง
เนื่องจากมีทหารลาดตระเวนอยู่ข้างนอกเป็นจำนวนมาก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็น หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ทั้งสามคนจึงรีบกลับไปที่ห้อง“กลางคืนเจ้านอนคนเดียว คงไม่กลัวหรอกนะ?”กู้หว่านเยว่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ เสี่ยวถ่านหน้าแดงก่ำ กำหมัดแน่น“ไม่ต้องห่วง ขะ ข้าเป็นลูกผู้ชาย ข้าไม่กลัวหรอก”“ถ้าเจ้าไม่กลัวก็ดีแล้ว กลางคืนเจ้านอนห้องข้าง ๆ พรุ่งนี้เช้าตอนเราออกเดินทาง ก็จะไปปลุกเจ้า”อาจเป็นเพราะถูกชะตากัน กู้หว่านเยว่มักจะมีความอดทนกับเด็กคนนี้เป็นพิเศษ“ทะ ท่านจะปลุกข้าจริง ๆ หรือ?”ดวงตาของเขาใสซื่อ มองกู้หว่านเยว่ด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความกังวลเล็กน้อยดูเหมือนเด็กคนนี้จะยังคงกังวลว่ากู้หว่านเยว่จะทิ้งเขาไป“ก็ไม่แน่ บางทีตอนดึกข้าอาจจะปลุกเจ้าก็ได้”คืนนี้ นางมีเรื่องใหญ่ที่ต้องลงมือทำ“เช่นนั้นข้าไปนอนก่อนแล้ว” เสี่ยวถ่านเชื่อว่ากู้หว่านเยว่จะไม่หลอกเขาหลังจากมองเสี่ยวถ่านเข้าไปในห้องแล้ว กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง ทั้งสองคนหลับตาทำเป็นงีบหลับ แต่จริง ๆ แล้วกำลังรอให้ฟ้ามืดเมื่อยามค่ำคืนมาเยือน ข้างนอกก็เริ่มเกิดเสียงอึกทึกครึกโครม“ใครก็ได้
เหยลวี่หมิงหัวเราะเสียงดังลั่น กู้หว่านเยว่หน้ามืด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องของตัวเองดังขึ้น จึงรีบพาซูจิ่งสิงกลับไปที่ห้องพัก ทั้งสองคนออกมาจากมิติ ก็ได้ยินเสียงของเสี่ยวถ่านดังมาจากข้างนอก“พี่หญิงกู้ ข้าอาบน้ำเสร็จแล้ว”ที่แท้ก็เป็นเสี่ยวถ่านอาบน้ำเสร็จแล้ว จึงมาหาพวกเขากู้หว่านเยว่เปิดประตู สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือ เสี่ยวถ่านที่อาบน้ำเสร็จแล้ว กลับดูหน้าตาสะอาดสะอ้านและงดงามเกินคาด“เจ้าดูเหมือนเด็กผู้หญิงนะ”กู้หว่านเยว่กล่าวขึ้นมาลอย ๆ สีหน้าของเสี่ยวถ่านก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเขาเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าตัวเอง “จริงหรือ?”เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยความประหม่า “พี่หญิงกู้ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้า ต่อไปข้าจะต้องตอบแทนบุญคุณท่านอย่างแน่นอน”“เจ้าโตก่อนแล้วค่อยว่ากัน เจ้าในตอนนี้ แค่ชายร่างกำยำต่อยหมัดเดียว เจ้าก็ตายได้แล้ว”กู้หว่านเยว่หลุดหัวเราะ เด็กคนนี้รู้จักตอบแทนบุญคุณจริง ๆ เห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว ถึงเวลาอาหารเย็น กู้หว่านเยว่จึงลากเสี่ยวถ่านไปกินข้าวข้างล่างข้างล่างมีคนนั่งอยู่ไม่น้อย ทุกคนต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองสือโม่ ก็
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่ ทำให้ท่านเจ้าเมืองสะดุ้งตกใจ อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างรีบร้อน แล้วจากไปพร้อมกับเหงื่อท่วมตัวเห็นได้ชัดว่า เขาหวาดกลัวเหยลวี่หมิงมากและความหวาดกลัวเช่นนี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะเห็นแก่เหยลวี่เจิง“คุณชาย กระดูกมือของท่านต่อเรียบร้อยแล้วขอรับ”เหยลวี่หมิงลองขยับแขนอีกครั้ง ก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้ง เจ็บเสียจนเขาต้องกัดฟันกรอด“คุณชาย ถึงแม้ว่ากระดูกแขนของท่านจะต่อติดกันแล้ว แต่ภายในครึ่งเดือนห้ามขยับตัวมากเกินไป ต้องรอจนกว่าเฝือกจะเข้าที่เรียบร้อยแล้วจึงจะถอดออกได้”หมอต่อกระดูกเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก เขาสาบานว่านี่เป็นงานที่ยากที่สุดเท่าที่เขาเคยรับมาทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว เขาก็รู้สึกเจ็บคอขึ้นมาทันที ตามมาด้วยเลือดจำนวนมากที่ไหลทะลักออกมาจนบดบังดวงตาของเขาเหยลวี่หมิงฆ่าเขาโดยตรง!ไม่ใช่แค่หมอต่อกระดูกที่ล้มลงกับพื้น ดวงตาเบิกโพลงแม้แต่กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงที่อยู่ในมิติก็ยังไม่ทันตั้งตัว“บ้าเอ๊ย เหยลวี่หมิงผู้นี้ไม่เห็นค่าของชีวิตคนเกินไปแล้ว!”กู้หว่านเยว่อดไม่ได้ที่จะร้องเสียงหลง เมื่อครู่นี้นางและซูจิ่งสิงซ่อนตัวอยู่ในมิติ เห็น
ปรากฏว่าทันทีที่ทั้งสองคนมาถึงชั้นสอง ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาของเหยลวี่หมิงดังขยายออกมาจากในห้องทั้งสองคน ‘ยิ่งเกลียดยิ่งเจอจริง ๆ สินะ’ครั้นเสี่ยวเอ้อร์เห็นสองคนมีท่าทีแข็งทื่อ ก็รีบกล่าวขึ้นมา “มิต้องแปลกใจขอรับ คนที่อยู่ห้องตรงข้ามกำลังจัดกระดูก อาจารย์ด้านกระดูกกำลังจัดกระดูกให้เขา เสียงร้องจึงดังไปสักหน่อย หากท่านทั้งสองไม่สบายใจ ข้าเปลี่ยนห้องให้พวกท่านได้ขอรับ”“ไม่ต้อง”อยู่ในโรงเตี๊ยมเดียวกับเหยลวี่หมิง นับว่าโชคร้ายไปสักหน่อยแต่ครั้นกู้หว่านเยว่ได้คิดไตร่ตรองแล้ว พวกเขาสามารถเฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวของเหยลวี่หมิงได้ตลอดเวลา หากมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล พวกเขาจะได้ไหวตัวทันในทันที นับว่าเป็นเรื่องที่ดีอีกอย่างไม่แน่ว่าทั้งสองคนอาจจะได้ยินข่าวคราวของซูจิ่นเอ๋อร์จากปากของเหยลวี่หมิงก็ได้“ไม่ต้องวุ่นวาย เราพักในห้องนี้ได้”สองสามีภรรยาส่งสายตากันและกันจนเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย ซูจิ่งสิงโบกมือเล็กน้อยส่งให้เด็กในโรงเตี๊ยมออกไปหลังจากที่กู้หว่านเยว่เข้ามาในห้องก็ทำการสำรวจหนึ่งรอบ จึงได้เห็นเสี่ยวถ่านที่เดินตามเข้ามา“ข้าเปิดไว้สองห้อง เจ้าไปพักห้องที่อยู่ถัดไป