“แคกๆ แม่นางกู้ ขอปรึกษาเจ้าหนึ่งเรื่อง”ซุนอู่ยังต้องการรักษาศักดิ์ศรี พูดอย่างเก้อกระดาก“เรื่องใด?”กู้หว่านเยว่มองซุนอู่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม อันที่จริงนางรู้เป้าหมายที่ซุนอู่มาแล้วเหตุที่มิได้เป็นฝ่ายเปิดปากก่อน ก็เพราะนางต้องการสานสัมพันธ์กับนักการแห่งศาลาว่าการ แต่ก็ไม่สามารถรีบร้อนเกินไปได้หาไม่แล้วนานวันเข้า นักการแห่งศาลาว่าการยังคิดว่าพวกเขาบ้านสามรังแกง่ายภายภาคหน้าชี้นิ้วออกคำสั่งนาง มอบประโยชน์อันใดให้นักการแห่งศาลาว่าการก็ไม่เก็บมาใส่ใจแล้ว“เอ่อ...” ซุนอู่ลังเลเล็กน้อย “เนื้อหมูป่าของพวกเราย่างไม่ค่อยดีเท่าใดนัก เจ้าช่วยไปดูๆ หน่อยเถอะ”กู้หว่านเยว่แสร้งตกตะลึง “ย่างไม่ดี? เหตุใดย่างไม่ดีเล่า ล้วนเป็นเนื้อมาจากหมูตัวเดียวกันนะ”พูดไป ชี้ไปที่เนื้อหมู “มิสู้ท่านรอเดี๋ยวหนึ่ง พวกเราเพิ่งเริ่มกินข้าว รอข้ากินเสร็จค่อยว่ากัน”ซุนอู่ได้ยินก็เผยสีหน้าตกตะลึง ถัดมาหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้วระหว่างเดินทางเขาออกคำสั่งจนคุ้นชินแล้ว นี่เป็นคำรบแรกที่ได้เห็นนักโทษขวัญกล้าให้เขา “รอ” “นางกู้...” ซุนอู่เสียงหนักขึ้นอย่างสุดระงับกู้หว่านเยว่คล้ายไม่ใส่ใจ ยังถามเขาคล้า
ซุนอู่เป็นผู้นำ เขาเป็นคนแรกที่กิน ทำตามวิธีของกู้หว่านเยว่ ห่อเนื้อย่างด้วยใบโหระพาแล้วใส่เข้าใส่ทันทีในตอนที่ได้กินเนื้อหมูป่า ไม่ว่าจะความขุ่นเคืองใดๆ ล้วนหายไปจนสิ้นซุนอู่พอใจจนตาหรี่เล็ก ใบหน้าเย็นชาเหลือไว้เพียงความเพลิดเพลิน“อร่อยๆ อร่อยเหลือเกิน! เหล่าสหาย พวกเจ้าลองดูสิ”หลังจากได้ยินคำสั่งของซุนอู่ ทุกคนที่หิวมานานก็ทนไม่ไหวอีกแล้วต่างก็หยิบมีดขึ้นมาแล่เนื้อหมูป่า ห่อด้วยใบโหระพาแล้วยัดเข้าปากหากบอกว่าก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่พอใจกู้หว่านเยว่อยู่เล็กน้อย แต่หลังจากกินเนื้อหมูป่าแล้ว ก็รู้สึกได้ทันทีว่า คุ้มค่ากับการรอคอยเทียบกับการรอเพียงเล็กน้อยนั่น อาหารที่แสนโอชะอยู่ในปากนี้ ทำให้เวลาที่เสียไปตอนนี้ไม่สำคัญเลย“แม่นางน้อยกู้ ท่านเก่งกาจเกินไปแล้ว!”“ใช่แล้ว นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้ากินเนื้อย่างที่อร่อยขนาดนี้ แม้แต่ลิ้นข้าก็อยากจะกลืนลงท้องไปด้วยแล้ว”กู้หว่านเยว่ยิ้มอย่างสุภาพเหตุผลที่เนื้ออย่างอร่อยเช่นนี้ ก็ต้องขอบคุณเครื่องปรุงรสของนาง โรยเครื่องปรุงรสเซาเข่า[footnoteRef:1]นี้ลงไป แม้แต่ผักป่าก็ยังมีกลิ่นหอม [1: บาร์บีคิว] “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ขอตัวก่อนนะ
พูดหมดคำภายในลมหายใจเดียว ซูจิ่งสิงมองกู้หว่านเยว่ด้วยความกังวลอย่างไรเสีย นางก็เสี่ยงชีวิตหาอาหาร หากเขาขอให้นางแบ่งอาหารให้ผู้อื่น เขาก็กลัวว่ากู้หว่านเยว่จะเครียดขึ้นมาผู้ใดจะรู้ว่ากู้หว่านเยว่ดีใจยิ่งนัก“ได้สิเจ้าคะ”นางก็คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร ที่แท้ก็เป็นเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้“รอทุกคนหลับไปแล้ว ข้าก็จะส่งเนื้อหมูป่าไปให้พวกเขา”“ขอบคุณ” ซูจิ่งสิงสีหน้าซับซ้อน“ไม่ต้องเกรงใจหรอกเจ้าค่ะ อย่างไรเสียข้าก็รื้อห้องใต้ดินของท่านเสียว่างเปล่าแล้ว”เนื้อหมูป่านี้เล็กน้อยนัก เทียบไม่ได้กับสิ่งที่อยู่ในห้องใต้ดินของซูจิ่งสิงดวงตาของซูจิ่งสิงขยับเล็กน้อย“ความจริง ข้าอยากรู้มาตลอดว่าเจ้าเอาในห้องใต้ดินไปซ่อนไว้ที่ไหนแล้ว?”เขาพอจะเดาออกว่า กู้หว่านเยว่มีบางอย่างที่ผิดแผก แต่ไม่อาจอธิบายอย่างละเอียดได้กู้หว่านเยว่หรี่ตา ส่งรอยยิ้มอาบยาพิษออกไป“ไม่บอกท่านหรอก ให้ดีที่สุดท่านก็อย่าถามเลยเจ้าค่ะ”แม้ว่าตอนนี้นางจะมีความรู้สึกดีๆ ให้ซูจิ่งสิง แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองยังไม่เพียงพอให้นางกล้าเสี่ยง เปิดเผยเรื่องมิตินอกจากว่า สักวันหนึ่ง ซูจิ่งสิงได้รับการยอมรับจากนางอย่าง
ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งอุ้มหลานสาวไว้ในอ้อมอกอย่างโศกศัลย์ ตระกูลนางให้กำเนิดหลานชายหกคน แล้วจึงจะมีหลานสาวตามมานางมักประคองอุ้มไว้ในอุ้งมาราวแก้วตา ไม่เคยให้ต้องทุกข์ทนใดๆ ระหว่างที่ถูกเนรเทศก็กินดีอยู่ดีกว่าใครไม่คิดว่าวันนี้จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ นางโดนหมูป่ากัดเข้าตอนกำลังวิ่งหนีแม้ว่าจะถูกช่วยให้รอดจากประตูยมโลกมาได้ แต่ห้าตันกลวงหก[footnoteRef:1]ได้รับบาดเจ็บ ถึงขั้นอาเจียนออกมาเป็นเลือด [1: เรียกโดยรวมว่า อวัยวะภายใน โดยอวัยวะภายในตันทั้ง 5(五脏)ได้แก่ ตับ (肝) หัวใจ (心) ม้าม (脾) ปอด (肺) ไต ( 肾) และอวัยวะกลวงทั้ง 6 (六腑)ได้แก่ ถุงน้ำดี (胆) ลำไส้เล็ก (小肠) กระเพาะอาหาร (胃) ลำไส้ใหญ่ (大肠) กระเพาะปัสสาวะ (膀胱) และซานเจียว (三焦)] หลานสาวรู้ความอย่างยิ่ง ไม่ร้องงอแง ไม่สร้างปัญหาฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งเศร้าใจยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่เสนอตัวเข้าช่วยเหลือ นางในตอนแรกก็สงสัยเล็กน้อยแม่นางน้อยที่ยังเยาว์ขนาดนี้ รู้วิชาแพทย์ด้วยหรือ?สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหัว ยามนี้อยู่ถิ่นกันดาร หาหมอมาดูอาการไม่ได้ ไม่สู้ให้กู้หว่านเยว่รักษาม้าตายดั่งม้าเป็นไปก่อนนอกจากนี้ ไม่ก
กู้หว่านเยว่สะบัดศีรษะ ร่างกายของเจ้าของเดิมถูกจวนโหวทรมานจนไม่สู้ดีหากอยากตั้งครรภ์ ยากเท่ากับชีวิตที่แล้วของนางข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ ร่างกายนี้ยังมีทางช่วยได้ขอเพียงบำรุงดูแลตัวเองดีๆ อนาคตภายภาคหน้าก็ยังสามารถตั้งครรภ์ได้นางส่งหนูน้อยตระกูลเซิ่งพร้อมกับยาที่เหลืออยู่ในขวดให้ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่ง“ยานี้ดื่มวันละหนึ่งจิบ ติดต่อกันเจ็ดวัน ระหว่างนี้ก็อย่ากินอาหารย่อยยาก ทางที่ดีควรกินอาหารเหลวเบาๆ ไปก่อนนะเจ้าคะ”ตอนที่กู้หว่านเยว่มอบเนื้อหมูป่าให้เซิ่งจวิน ยังยื่นกระบอกน้ำให้เขาเพิ่มไปด้วย“ด้านในคือน้ำนม รอให้นานนานตื่นขึ้นมาแล้วค่อยให้นางดื่ม บำรุงร่างกาย”บุรุษอกสามศอกอย่างเซิ่งจวิน ซาบซึ้งมากเสียจนแทบจะหลั่งน้ำตาเขาระงับเสียงแหบห้าว พูดว่า “บุญคุณยิ่งใหญ่ไม่สิ้นเพียงคำขอบคุณ[footnoteRef:1] ท่าน... เมตตานี้ของคุณชายซูและแม่นางน้อยกู้ ข้าเซิ่ง จวินจำไว้ในใจแล้ว อนาคตมีคำสั่งใด ข้ายินยอมพร้อมรับใช้” [1: ความเมตตากรุณาที่ผู้อื่นมอบให้นั้นยิ่งใหญ่เกินไป ไม่อาจใช้เพียงคำขอบคุณตอบแทนได้หมด] เมื่อเห็นแววตาขอบคุณของคนตระกูลเซิ่ง กู้หว่านเยว่ก็พยักหน้า“จำคำที่เจ้าพูด
กู้หว่านเยว่ไม่รู้ว่าซูจิ่งสิงกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เมื่อได้ยินซูจิ่งสิงขอบคุณตน นางก็ยืมหัวข้อนั้นมาพูดต่อว่า“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ หากท่านต้องการตอบแทนข้าจริงๆ ก็รับปากข้าเรื่องหนึ่ง หากไปถึงเจดีย์หนิงกู่แล้วข้าอยากหย่า ท่านห้ามปฏิเสธนะเจ้าคะ”ตลอดทางมานี้ นางสามารถอยู่ร่วมกับซูจิ่งสิงไป แต่หากสุดท้ายยังเข้ากันไม่ได้ สุดท้าย นางก็ต้องใช้ชีวิตของตัวนางต่อคำพูดนี้ ทำให้ซูจิ่งสิงตกตะลึงนางมีความคิดจะหย่ากับเขาเช่นนั้นหรือ?หรือว่าที่สารลับบอกมาว่า นางมีคนในใจอยู่แล้ว นี่คือเรื่องจริงหรือ?หัวใจพลันหงุดหงิดขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ซูจิ่งสิงมีความรู้สึกที่บอกไว้ถูกอยู่ในอก ตอบกลับอย่างแผ่วเบา “อืม”ทั้งสองนอนด้วยกัน แต่ต่างคนต่างความคิดยามรุ่งสางฟ้าเพิ่งสว่าง กู้หว่านเยว่ก็ตื่นนอนแล้วหลังจากถูกเนรเทศมาหลายวัน นางก็เริ่มมีนิสัยอย่างหนึ่งเพิ่มมา นั่นก็คือชอบตื่นเช้าถืออากาสตอนยังมีคนตื่นไม่มาก นางก็รีบไปที่ตีนผาก่อน แล้วแปรงฟันล้างหน้าด้วยน้ำแร่ที่ไหลมาจากรอยแตกในโขดหินเมื่อเงยหน้าขึ้น ก็ได้ยินเสียงสองเสียงดังออกมาจากในป่าคนที่เดินนำมาคือหลี่ซือซือ ต่อด้วยซูอวี่ที่ตามมาติดๆเสื้อผ
นับตั้งแต่ออกเดินทางยามเช้า ซูจิ่งสิงก็ไม่พูดอันใดมากมายนัก จนกระทั่งตอนนี้ก็พักผ่อนไม่พูดจาแม้แต่ซูจิ่นเอ๋อร์ที่ไม่ใส่ใจอันใดก็สังเกตเห็นความผิดปกติของเขา“พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไป เจ็บแผลหรือ?”ซูจิ่งสิงไม่ตอบ เขายังคิดเรื่องขอหย่าที่กู้หว่านเยว่พูดไว้เมื่อคืนหางตามองเห็นกู้หว่านเยว่มาแล้ว รีบเบือนหน้าไปอีกทาง กลัวนางมองเห็นอารมณ์ของตนแต่คิดไม่ถึงกู้หว่านเยว่ได้ยินคำพูดของซูจิ่นเอ๋อร์แล้ว เดินตรงเข้ามาหยุดตรงหน้าเขา ต้องการเปิดเสื้อผ้าของเขาออก“เปิดบาดแผลให้ข้าดู”“ไม่จำเป็น!” ซูจิ่งสิงรีบกำบังมือของนางสบสายตาเจือความฉงนของกู้หว่านเยว่ เขาไม่เป็นธรรมชาติไปครู่หนึ่ง“ชายหญิงไม่พึงชิดใกล้ ภายภาคหน้าให้ข้าใส่ยาด้วยตนเองเถอะ”ครั้นเปล่งถ้อยคำนี้ออกมา ซูจิ่งสิงก็นึกเสียใจภายหลัง แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรไป ครู่ต่อมาก็พูดคำนี้ออกไปแล้วหลังพูดจบ เขาชายตามองกู้หว่านเยว่ ลอบหวังให้นางปฏิเสธส่วนกู้หว่านเยว่หลังได้ยินจบแล้วก็ชะงักงันครู่หนึ่ง แต่นางกลับไม่ปฏิเสธ พยักหน้าตอบตกลงอย่างว่องไว“ได้ เช่นนั้นวันหน้าให้ท่านแม่ใส่ยาให้ท่านเถอะ รอบาดแผลหายดีแล้ว ข้าฝังเข็มผ่านเสื้อผ้าขอ
กลับมองเห็นข้างครัวอาหารเลิศรสมีหอการค้าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งหลัง ทั้งหลังนั้นมีเพียงหนึ่งหน้าจอใหญ่บนหน้าจอแสดงเงินทองและสมบัติล้ำค่าที่นางเก็บไว้ในระยะนี้ทั้งหมด“หอการค้ามีไว้ใช้ทำอันใด?” กู้หว่านเยว่ศึกษาอยู่นาน แต่กลับไม่พบว่าตกลงของสิ่งนี้มีไว้ใช้ทำอันใดกันแน่ผู้ดูแลระบบรีบอธิบาย “หอการค้าก็คือช่องทางขายสินค้าอย่างหนึ่ง เจ้านายสามารถวางสินค้าที่กักตุนไว้ในมิติวิเศษบนช่องทางขายสินค้านี้ได้”กู้หว่านเยว่คิดคล้อยตาม ฟังดูแล้วไม่เลวนางปล้นของมามากเกินไป ของบางอย่างใช้ไม่ได้ขายก็ไม่ได้ สามารถวางขายบนช่องทางขายสินค้านี้ได้พอดีกู้หว่านเยว่แตะหน้าจอแสดงผล พบว่านี่คล้ายช่องทางการขายสินค้าออนไลน์เสียนอวี๋ ผู้ใช้งานทั้งหมดบนหน้าจอล้วนคือผู้เดินทางทะลุมิติมาพร้อมระบบวิเศษหลากหลายรูปแบบสิ่งของบนนั้น มากมายละลานตา นับไม่หวาดไม่ไหวกู้หว่านเยว่สมัครใช้งานบัญชีก่อน จากนั้นเลือกวางเก้าอี้ไม้หลีฮวาจากกองสินค้าที่กักตุนไว้เข้าไปหนึ่งตัวทว่าหลังวางลงไปแล้ว เก้าอี้ของนางมิได้ถูกขายไปในทันทีกู้หว่านเยว่เองก็ไม่รีบ เปิดหอการค้าดู จากนั้นก็กลับออกจากมิติวิเศษภายในหอการค้า นางพบว่าผักป่า
กู้หว่านเยว่นึกขึ้นได้ว่าร้านขายเสื้อผ้าและร้านดอกท้ออยู่ทางเดียวกัน ถึงตอนนั้นก็ถือโอกาสไปดูกิจการของร้านดอกท้อด้วยเลย“เยี่ยมไปเลย เราไปกันเถอะ”มู่หรงฉางเล่อจูงมือของกู้หว่านเยว่ออกไปข้างนอกอย่างเบิกบานใจหลังจากที่ทั้งสองคนขึ้นรถม้าแล้ว ไม่นานก็มาถึงร้านเสื้อผ้ามู่หรงฉางเล่อกระตือรือร้นมาก หลังจากที่รถม้าจอดสนิทก็กระโดดลงจากรถม้าทันที จากนั้นก็จูงมือของกู้หว่านเยว่เข้าไปข้างใน“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านจะซื้อเสื้อผ้าอะไรเจ้าคะ?”“ข้าขอดูก่อน” กู้หว่านเยว่กวาดตามองแวบหนึ่ง เสื้อผ้าของนางยังมีอีกมาก ไม่ได้ขาดแคลนเสื้อผ้าแต่อย่างใด“แม่นางอยากดูเสื้อผ้าใช่หรือไม่เจ้าคะ เชิญตามข้ามาดูเนื้อผ้าทางนี้เจ้าค่ะ”เจ้าของร้านออกมาต้อนรับมู่หรงฉางเล่อรีบตามเจ้าของร้านไปอีกด้าน เพื่อเลือกเนื้อผ้าก่อนองค์หญิงใหญ่อายุมากแล้ว เนื้อผ้าที่มู่หรงฉางเล่อเลือกนั้นล้วนเป็นสีที่ค่อนข้างเข้ม ยกตัวอย่างเช่นสีเขียวเข้มหลังจากเลือกเสร็จแล้ว ก็บอกขนาดและน้ำหนักขององค์หญิงใหญ่กับเจ้าของร้าน ลูกน้องในร้านช่วยจด“ใช้เวลาตัดเสื้อผ้านานแค่ไหนเจ้าคะ?”มู่หรงฉางเล่อกล่าวถาม“เร็วสุดก็ประมาณสามถึงห้าวัน ช้าส
เฟิ่งอู๋ชีกล่าวเสริมอีกว่า“เงื่อนไขนี้ไม่ได้หนักหนานักมากหรอก อยู่ภายในขอบเขตความสามารถของพวกเจ้าอย่างแน่นอน”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงต่างมองหน้ากัน ทั้งสองคนไม่ได้ตอบตกลงในทันทีกู้หว่านเยว่เริ่มสนใจ“แล้วเจ้าจะขัดขวางพี่หญิงใหญ่ของเจ้าอย่างไร?”“ข้าและพี่หญิงใหญ่ไม่ถูกกันมานานแล้ว”นัยน์ตาของเฟิ่งอู๋ชีฉายแววสังหารอย่างเห็นได้ชัด“พระชายาไม่เคยได้ยินเรื่องของพี่น้องสายเลือดเดียวกันทั้งเก้า วันหนึ่งองค์ชายเก้าเกิดช่วงชิงบัลลังก์ องค์ชายแปดจึงต้องตายหรือ?”หัวใจของกู้หว่านเยว่เต้นระงม เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายในทันทีในเมื่อเฟิ่งอู๋ชีกล่าวถึงขนาดนี้แล้ว กู้หว่านเยว่ก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีกต่อไป“ได้ ข้ารับปากเจ้า”การร่วมมือของทั้งสามคนได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการเฟิ่งอู๋ชีกระตุกยิ้ม“ที่นี่คือจวนอ๋องใช่หรือไม่? หลับไปตั้งหลายวัน บัดนี้ข้าชักจะหิวขึ้นมาจริง ๆ แล้ว ในเมื่อเราร่วมมือกันแล้ว เช่นนั้นพวกเจ้าคงไม่มีทางเอาเปรียบหุ้นส่วนอย่างข้าหรอกนะ ยกเหล้าเลิศรสและอาหารอร่อย ๆ มาให้ข้าสักหน่อยเถิด”“ได้”กู้หว่านเยว่ตอบตกลงอย่างสบายอารมณ์เดิมทีนางก็ไม่ได้อยากจะฆ่าเฟิ่งอู๋ชี
กู้หว่านเยว่และซูจิงสิงต่างสบตากัน นัยน์ตาของทั้งสองคนฉายแววประหลาดใจ“ไม่ใช่ความคิดของเจ้า จะเป็นไปได้อย่างไร? หนานเจียงไม่ได้วางแผนโจมตีเจดีย์หนิงกู่เพราะการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ถูกทำลายหรอกหรือ?”“ไม่ใช่แน่นอน”เฟื่งอู๋ชีส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม“หนานเจียงไม่เคยแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเมืองอื่น มันเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น”“แล้วเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร?”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวถาม นางต้องรู้เหตุผลที่แท้จริง ถึงจะหาทางแก้ไขได้“พี่หญิงใหญ่ของข้าเอง”เฟิ่งอู๋ชีมองทั้งสองคน “เรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์คือการตัดสินใจของพี่หญิงใหญ่ ความจริงแล้วไม่ว่าท่านหญิงฉางเล่อผู้นั้นจะหนีไปได้หรือไม่ หนานเจียงก็ตัดสินใจจะช่วยฮ่องเต้กดดันพวกเจ้าอยู่แล้ว”เฟิ่งอู๋ชีตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากพื้น หาพื้นที่ที่สบายที่สุดให้ตัวเอง“เรื่องนี้เป็นแผนการของพี่หญิงใหญ่ นางเป็นแก้วตาดวงใจของท่านพ่อ ต่อให้เป็นข้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนการตัดสินใจของนางได้”กู้หว่านเยว่แปลกใจ “เจ้าไม่ใช่องค์ชายหนานเจียงหรอกหรือ?”เท่าที่กู้หว่านเยว่รู้มา เฟิ่งอู๋ชีน่าจะเป็นองค์ชายเพียงคนเดียวของหนานเจียง ทุกคนให้ความสำคัญต่อ
ที่แท้กู้หว่านเยว่ก็จำเรื่องที่เขาพูดได้ “เจ้าเก็บเรื่องที่ข้าพูดไว้ในใจมาตลอด”นัยน์ตาของเฟิ่งอู๋ชีฉายแววตาเย้ายวน จ้องเขม็งไปทางกู้หว่านเยว่“เพราะเจ้าตกหลุมรักข้าระหว่างทางแล้วใช่หรือไม่?”น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยเจตนาที่ไม่ดี แต่การแต่งกายเป็นสตรีของบุรุษผู้นี้กลับทำให้กู้หว่านเยว่หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”กู้หว่านเยว่เกาศีรษะอย่างจนปัญญา ขอร้องล่ะ สามีของนางยืนอยู่ด้านหลัง“ถ้าไม่ลองดู จะรู้ได้อย่างไรว่าข้าเข้าใจผิดหรือไม่?”เฟิ่งอู๋ชีกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ในเมื่อเจ้ารู้สถานะของข้าแล้ว สนใจอยากเป็นราชินีแห่งหนานเจียงหรือไม่ล่ะ?”เขาจ้องเขม็งไปทางกู้หว่านเยว่ โดยมีความคิดที่ไม่ดีปรากฏขึ้นในใจหากกู้หว่านเยว่ตอบตกลงเขาจริง ๆ บางทีเขาอาจจะยอมยกตำแหน่งราชินีแห่งหนานเจียงให้นางจริง ๆ ก็ได้ “ในหอเจิ้นไห่พวกเราเคยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันแล้ว เจ้าลองคิดไตร่ตรองดูเอาเถิด”เฟิ่งอู๋ชีมองนางด้วยความคาดหวัง เดิมทีเขาก็แค่อยากพูดโน้มน้าวไปตามสถานการณ์ แต่บัดนี้เขากลับคิดจริงจึงขึ้นมา“ข้ามีสามีแล้ว”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าปฏิเสธโด
ไม่นานนัก เฟิ่งอู๋ชีก็ตื่นจากการหลับใหลภาพที่ดึงดูดสายตาของเขาเป็นอันดับแรกคือกู้หว่านเยว่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าความทรงจำของเฟิ่งอู๋ชียังอยู่ในหอเจิ้นไห่ หลังจากที่เห็นกู้หว่านเยว่ตรงหน้าอย่างชัดเจน ก็รีบถอยหลังอย่างรวดเร็วเขาจำได้ว่ากู้หว่านเยว่หยิบของที่เหมือนกันชิ้นหนึ่งออกมา แล้วแตะบนตัวของเขา พริบตาเดียวเขาก็รู้สึกชาไปทั้งตัว จากนั้นก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย ภาพตรงหน้าดับวูบและล้มลงไปบนพื้นเฟิ่งอู๋ชียังคงหวาดกลัวกับ “อาวุธ” ชนิดนั้นครั้นกู้หว่านเยว่เห็นดังนั้นก็คลี่ยิ้ม“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”“ที่นี่คือที่ไหน?”เฟิ่งอู๋ชีมองไปรอบ ๆ พบว่าสถานที่ตรงหน้าเป็นสถานที่ที่แปลกตาโดยสิ้นเชิง อีกทั้งกู้หว่านเยว่ที่อยู่ตรงหน้าก็ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว“ข้าหลับไปนานแค่ไหนแล้ว?”เขากุมขมับของตัวเอง รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยขึ้นในใจ“ประมาณสี่ถึงห้าวัน” กู้หว่านเยว่ตอบกลับ ก่อนจะโน้มตัวลงมามองเขาด้วยรอยยิ้มเฟิ่งอู๋ชีเพิ่งจะได้สติกลับมา เขาจำได้ว่าก่อนที่เขาจะสลบไปนั้นเขาได้เจอกับเต่าทะเล ดังนั้นจึงรีบกล่าวถามทันที“สี่ถึงห้าวัน แสดงว่าตอนนี้ข้าก็ออกจากหอเจิ้นไห่แล้วน
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว กู้หว่านเยว่ในเวลานี้เหนื่อยล้ามาก หลังจากล้มตัวลงบนเตียงไม่นานก็ผล็อยหลับไป ครั้นนางตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าจ้านจ้านกำลังนอนหลับฝันหวานกับนางอยู่ข้างกายอย่างเงียบ ๆ ซูจิ่งสิงนั่งอยู่หลังโต๊ะตรงข้ามทั้งสองคน กำลังจัดการงานราชการอย่างขะมักเขม้น“เจ้าตื่นแล้วหรือ?”ทันทีที่ซูจิ่งสิงได้ยินการเคลื่อนไหวก็พลันเงยหน้าขึ้น จากนั้นสายตาอันอบอุ่นก็เลื่อนมาหยุดอยู่ที่กู้หว่านเยว่“หิวไหม อยากกินอะไรสักหน่อยหรือไม่?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เวลานี้นางยังไม่หิว นางยังอยากดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่แสนอบอุ่นนี้จ้านจ้านตื่นเพราะเสียงพูดคุยของพวกเขาสองคน ดวงตากลมโตสีดำสนิทจ้องมองทั้งสองคนอย่างไร้เดียงสา“แอ๊ะ!”เขายื่นมืออวบอ้วนไปทางกู้หว่านเยว่ “แอ๊ะ!”ดูเหมือนเขาพยายามจะเรียกนางว่าท่านแม่ แต่เนื่องจากยังเด็กเกินไป จึงยังเอ่ยออกมาไม่ได้กู้หว่านเยว่ใจละลาย คว้ามืออวบอ้วนของเขาไว้“จ้านจ้าน คิดถึงแม่หรือไม่?”“แอ๊ะ!” คิดถึงสิ!จ้านจ้านมองนางอย่างตื่นเต้น ภาษากายกำลังบอกว่า เขาคิดถึงกู้หว่านเยว่มากสองแม่ลูกเล่นอยู่บนเตียงกันอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งเห็นท้องฟ้าม
หลังจากที่เข้ามาในห้อง ในที่สุดซูจิ่งสิงก็ต้านทานความคิดตัวเองไม่ไหว คว้ากู้หว่านเยว่เข้ามาไว้ในอ้อมกอด“น้องหญิง”เขาดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะซุกหน้าลงไปตรงซอกคอของนาง สูดดมกลิ่นหอมของดอกแพร์ที่แผ่ขยายออกมาจากตัวของนาง และกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าที่เต็มไปด้วยความคิดที่ไม่อาจต้านทานได้ “เจ้าก็รู้ว่าข้าคิดถึงเจ้ามากเพียงใด”กู้หว่านเยว่หน้าแดงระเรื่อ นางคิดถึงเขามาก จึงไม่ผลักเขาออกไปแล้วเอ่ยตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ข้าเองก็คิดถึงท่าน”“ไม่มีตอนไหนที่ไม่คิดถึง”นางกล่าวเสียงเบา ระบายความรู้สึกภายในใจอย่างอ่อนโยน“ระหว่างทางกลับมา ยามมองท้องฟ้าก็เห็นแต่เจ้า มองก้อนเมฆก็เห็นแต่เจ้า มองกองไฟก็คิดถึงแต่เจ้า ลืมตาก็เห็นเป็นหน้าเจ้า หลับตาก็เฝ้าพรรณนาถึงเจ้า....”ซูจิ่งสิงทนไม่ไหวอีกต่อไปริมฝีปากของภรรยาช่างน่าดึงดูดยิ่งนัก เขาโน้มหน้าลงมา ประทับรอยจูบบนปากของนาง ก่อนจะใช้ปลายลิ้นตวัดเปิดปากของนาง ลิ้นของนางตวัดประสานกับลิ้นของเขา ทั้งสองคนใช้ลิ้นสอดประสานกันและกัน จนของเหลวผสมผสาน กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน“ท่านพี่...” กู้หว่านเยว่ตระหนักได้ว่าเขาต้องการอะไรจากสายตา
“กรี๊ด!”นางล้มลงไปบนพื้นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะจ้องมองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาเกลียดชังอย่างที่สุด“เจ้าไร้ความปรานีต่อตระกูลมารดา ต่อไปเจ้าจะไร้ที่พึ่ง!”กู้หว่านหรูสาปแช่งอย่างโหดร้าย“เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าท่านอ๋องจะรักเจ้าไปตลอดชีวิต? ต่อไปเจ้าจะถูกทอดทิ้ง ข้าจะรอดูวันที่เจ้าไร้ที่พึ่ง” ชิงเหลียนและหงเจามีสีหน้าเปลี่ยนไป คำสาปแช่งที่โหดร้ายเช่นนี้ ทำให้ฮูหยินและนายท่านรับไม่ได้“ปิดปากนางเสีย”มุมปากของซูจิ่งสิงกระตุก ตั้งใจจะหาเรื่องเขาสินะ?กว่าเขาจะทำลายกำแพงจนภรรยาเชื่อใจเขาได้ไม่ได้เรื่องง่าย“น้องหญิง อย่าไปเชื่อคำพูดของนาง ข้าไม่มีวันรังแกเจ้า”จะว่าไปแล้ว ตระกูลของพวกเขาต่างก็เป็นคนที่มีคุณธรรมหากเขารังแกนาง คงถูกไล่ออกจากบ้านแล้ว“ข้าไม่อ่อนไหวเพราะคำพูดของนางหรอก”กู้หว่านเยว่ยิ้มตาหยีพลางมองซูจิ่งสิง นางไม่ได้โง่เขลาเพียงนั้นจวนจงฉินโหวเดิมทีไม่ได้ต้อนรับนางอยู่แล้ว เหตุใดนางจะต้องประจบประแจง ยอมโง่กอดความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ด้วยเล่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือนางมีตระกูลมารดาใหม่ไปแล้ว“จับนางโยนออกไปจากเจดีย์หนิงกู่”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่งกับฉู่เฟิงด้วยสีหน้าไร้ความร
กู้หว่านเยว่ชอบนิสัยนี้ของมู่หรงฉางเล่อมากเมื่อเห็นทั้งสองคนเดินเข้าไปแล้ว นางก็หันกลับมามองกู้หว่านหรู“ปล่อยนางก่อน”กู้หว่านเยว่สั่งชิงเหลียนและหงเจาสั้น ๆ เมื่อทั้งสองคนได้ยินก็รีบปล่อยตัวกู้หว่านหรู แล้วยืนปกป้องผู้เป็นนายอยู่ข้าง ๆ “กู้หว่านเยว่ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องกลับไปกับข้า”กู้หว่านหรูตะโกนเสียงดังโดยไม่สนใจใคร ทำให้กู้หว่านเยว่ยิ้มเยาะ“ทำไมข้าต้องกลับไป?”“เจ้ายังกล้าถามข้าว่าทำไม หากไม่ใช่เพราะเจ้า ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าคงไม่เดือดร้อนถึงเพียงนี้ ฝ่าบาทก็คงไม่ทรงกริ้วพวกเขา จวนโหวเคยรุ่งเรืองมากเมื่อครั้งอดีต แต่เพราะเจ้า ครอบครัวของเราจึงได้ตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้”กู้หว่านหรูกำหมัดแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยว สตรีผู้นี้ยังกล้าถามนางอีกว่าทำไมต้องกลับไป นางไม่มีน้ำใจเลยอย่างนั้นหรือ?“ครอบครัว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า “พวกเจ้าคือครอบครัว แต่ข้าไม่ใช่สินะ”นางกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“เจ้าคงจะลืมไปแล้วใช่หรือไม่ ในตอนที่ถูกเนรเทศช่วงแรก จวนโหวกลัวว่าจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง พวกเขาจึงตัดความสัมพันธ์กับข้าไปแล้ว”แม้ว่าจะไม่มีหนังสือตัดสายเลือด แต่คนที่นี่เ