ทุกคนรับถุงมือ เร่งเดินทางไปพลางเก็บกระบองเพชรไปพลาง กระบองเพชรมีมากมาย เก็บไม่หมด แม้แต่นักการเองก็หักออกเป็นสองซีกครั้นถึงเวลากินข้าว กู้หว่านเยว่ก่อกองไฟ หยิบกริชออกมาเล่มหนึ่ง ปอกเปลือกหนามแหลมคมภายนอกของกระบองเพชรออก จากนั้นวางย่างบนกองไฟ“นี่สามารถกินได้หรือ?”“เรื่องอะไรจะกินไม่ได้?”กู้หว่านเยว่หยิบยี่หร่าเครื่องปรุงสำหรับย่างจากลาเทียมเกวียนและโรยลงไป ย้อนคิดถึงชาติก่อนยามนางไปเที่ยวเม็กซิโก อาหารเลิศรสประจำถิ่นก็คือกระบองเพชรย่างนี่ล่ะ“มา มาชิมดู”กู้หว่านเยว่แบ่งกระบองเพชรหลายแท่งให้คนในครอบครัว จากนั้นเรียกนักการและเหล่านักโทษถูกเนรเทศมากินทีแรกทุกคนยังคล้ายเชื่อคล้ายไม่เชื่อ แต่กัดเข้าไปหนึ่งคำแล้วรสชาติเย็นสบาย ผสมกับเครื่องปรุงสำหรับย่าง มีรสชาติดีเป็นพิเศษ ทันใดนั้นครองใจของทุกคนแล้ว“กระบองเพชรนี้กินได้จริง! รสชาติแปลกมาก!”“แม้ว่าแปลก กลับกินไม่ยาก ยังรสดีแปลกๆ อีกด้วย”ทุกคนต่างพากันพูด เพราะกระบองเพชรมีน้ำ สามารถชดเชยน้ำได้พอดี ดังนั้นจึงกินอย่างเอร็ดอร่อย“ดีเหลือเกิน กระบองเพชรนี้สามารถชดเชยน้ำได้ พวกเราไม่ต้องกังวลจะกระหายน้ำตายแล้ว”“แม่นางกู้ เ
เหล่าองครักษ์แต่ละคนเองก็หิว ยังถูกเขาทุบตีไปทั้งตัวอีก“ท่านอ๋องนับวันยิ่งวิปริต ข้าทนไม่ไหวแล้ว!”“ซวยจริงเชียว ติดตามเจ้านายเช่นนี้...”องครักษ์บ่นตำหนิเบาๆ เป็นการส่วนตัว“ชู่ว์ เจ้าไม่อยากมีชีวิตแล้ว ท่านอ๋องได้ยินต้องฆ่าเจ้าเป็นแน่”องครักษ์อีกคนเอ่ยเตือน คนอื่นอีกสองสามคนหุบปากลงในทันใด กลับรู้สึกอึดอัดคับข้องใจภายในใจรุ่งอรุณวันต่อมา มู่หรงอวี้หิวกระหายมากเกินไป เบ้าตาลึกอิดโรยเป็นพิเศษกอปรกับทั้งตัวล้วนคือทรายเหลืองและฝุ่น พูดว่าเขาเป็นขอทานก็ไม่เกินจริงตรงข้ามกับพวกกู้หว่านเยว่ เพราะกินกระบองเพชรอิ่มไปหนึ่งมือ มีชีวิตชีวาอย่างมาก เปล่งเสียงหัวเราะมีความสุข“ข้าโมโหยิ่งนัก!”มู่หรงอวี้นอนบนลาเทียมเกวียน หิวจนไม่มีแรงด่าแล้วเขาลืมตาขึ้น มองท้องฟ้า “ท่านย่าทวด ข้าคล้ายมองเห็นท่านย่าทวดของข้าแล้ว...”องครักษ์ “....”ทันใดนั้น จางเอ้อร์ร้องตะโกนเสียงดัง “พวกเจ้าดู ข้างหน้ามีป่ามะกอกทะเลทรายผืนหนึ่ง!”ป่ามะกอกทะเลทรายนี้ เพียงมองดูก็รู้ว่ามีคนปลูกไว้ เห็นทีพวกเขาอยู่ห่างจากหมู่บ้านและเมืองไม่ไกลแล้ว“ดียิ่งนัก ในที่สุดพวกเราก็ออกจากทะเลทรายแล้ว” ทุกคนเดินทางมาอย่
“ช้าก่อน พวกเจ้าบ่าวชั่วเหล่านี้ ข้ายังอยู่ข้างหลังนะ!”มู่หรงอวี้บนลาเทียมเกวียนว้าวุ่นลนลานองครักษ์สองสามคนสบตากันแวบหนึ่ง ย้อนคิดถึงวันที่ถูกมู่หรงอวี้ด่าว่าทุบตี ถึงขั้นไม่มีใครกลับไปแม้คนเดียวมู่หรงอวี้ขยับเขยื้อนไม่ได้อยู่แล้ว เห็นสุนัขเหล่านั้นปรี่ถลามาทางตนเอง ตกใจร้องตะโกน“โอ๊ย ๆ ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย!”สุนัขเหล่านั้นฟังไม่เข้าใจภาษามนุษย์ พวกมันรู้เพียงว่าต้องลงโทษหัวขโมย ต่างพากันกระโดดขึ้นลาเทียมเกวียน กัดตัวมู่หรงอวี้ชนิดที่ว่ากางเกงมู่หรงอวี้ถูกดึงลงมาแล้ว เผยบั้นท้ายขาวๆ สองก้อนพวกกู้หว่านเยว่ที่อยู่ภายนอกป่ามะกอกทะเลทรายเกือบหัวเราะตายไปแล้ว“เห็นหรือไม่จิ่นเอ๋อร์ นี่ก็คือจุดจบของการลักขโมยของ”“เห็นแล้วๆ” ซูจิ่นเอ๋อร์ผลิยิ้ม “มู่หรงอวี้คนนี้แปลกมากจริงๆ ใกล้ถูกสุนัขกัดตายแล้ว”“ท่านอ๋อง!”ตอนนี้เอง ร่างอรชรแบบบางของฟู่เยียนหรานปีนขึ้นเกวียนภาพนี้ตกอยู่ในสายตาของกู้หว่านเยว่ กลับทำให้นางเลิกคิ้วอย่างแปลกใจฟู่เยียนหรานเป็นตัวโง่งม แต่กลับมีความเด็ดเดี่ยว นี่ก็ไม่หนีไป“ท่านอ๋อง ข้ามาช่วยท่านแล้ว ข้าไม่มีวันทอดทิ้งท่าน!”ฟู่เยียนหรานมองมู่หรงอวี้อย่า
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย กู้หว่านเยว่ก็รีบเงยหน้าขึ้นมองซ่งเสวี่ยกำลังเปิดม่านรถม้า มองนางด้วยรอยยิ้มเทียบกับเมื่อไม่กี่วันก่อน กำลังกายของนางฟื้นตัวขึ้นมามากแล้ว ดูเหมือนว่าช่วงไม่กี่วันนี้ นางจะดูแลตัวเองอย่างดี ปฏิบัติตามเทียบยาที่นางทิ้งไว้ให้ซุนอู่เหลือบมองมาทางนี้ เมื่อเห็นว่าซ่งเสวี่ยปลอดภัยดีก็รีบหันกลับไป“พี่หญิงซ่ง ฝีเท้าของพวกท่านเร็วดีนะเจ้าคะ” กู้หว่านเยว่ถอนหายใจซ่งเสวี่ยยิ้มและพูดว่า “ต้องรีบกลับบ้าน ระหว่างทางเลยไม่ได้หยุดพัก พวกเจ้าจะเข้าเมืองหรือ?”“อืม” กู้หว่านเยว่พยักหน้า “เสียงที่มีพวกข้ากินหมดระหว่างทางแล้ว จึงคิดจะเข้าเมืองไปซื้อเสบียงมาเติมสักหน่อย ถือโอกาสพักสักคืนแล้วค่อยออกเดินทาง”“เช่นนั้นก็ดียิ่ง”ซ่งเสวี่ยปรบมือแล้วพูดว่า“ครอบครัวแม่สามีของข้าอยู่ที่เมืองปิงโจว ไม่สู้พวกเจ้าไปพักที่บ้านข้า ให้ข้าตอบแทนให้ดีสักหน่อย?”กู้หว่านเยว่ลังเล อย่างไรเสีย เรื่องนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถตัดสินใจได้แต่หากพวกเขาสามารถเข้าไปในตระกูลโจวได้จริง ย่อมต้องได้พบโจวเหล่าแน่ ขอเพียงแค่ได้พบโจวเหล่า ความลับของประสบการณ์ที่ซูจิ่งสิงต้องเผชิญก็จะได้รับการค
“เสวี่ยเอ๋อร์กับหลานสาวข้ากลับมาแล้ว!”เมื่อพูดเช่นนั้น ทั้งสองคนก็วางเรื่องมู่หรงอวี้เอาไว้ รีบเดินมาทักทายคนถึงรถม้าซ่งเสวี่ยสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ อุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขนโดยมีแม่นมฉินช่วยประคอง เมื่อได้เห็นหน้าโจวเหล่าและฮูหยินผู้เฒ่าโจว นางก็ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่“ท่านพ่อ ท่านแม่”“เด็กดี เด็กดี” ฮูหยินผู้เฒ่าโจวรับเด็กในอ้อมแขนของซ่งเสวี่ยมาอุ้ม รู้สึกสงสารอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็จับมือของซ่งเสวี่ย พูดด้วยตาสีแดงก่ำว่า “ได้ยินว่าเจ้าคลอดลูกในทะเลทราย รอดตายมาได้หวุดหวิด ข้าขอบคุณเจ้าแทนทั้งตระกูลโจว ที่มีรุ่นหลังไว้ให้เยี่ยนเอ๋อร์”เมื่อพูดถึงโจวเยี่ยน ซ่งเสวี่ยก็ดูเศร้าเล็กน้อยแต่นางก็รีบปลุกใจ ตอนนี้นางมีเหนี่ยวเหนี่ยวแล้ว จะต้องกลัวอะไรอีก?“ใช่แล้ว ท่านพ่อท่านแม่ นี่คือแม่นางน้อยกู้ เป็นนางที่ทำคลอดให้ข้า ช่วยข้ากับลูกเอาไว้เจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างาม รับความเอ็นดูจากโจวเหล่าและฮูหยินผู้เฒ่าโจวซ่งเสวี่ยไม่ต้องพูดอะไร ฮูหยินผู้เฒ่าโจวก็เสนอให้นางพักอาศัยอยู่ในบ้านก่อน รับรองนางอย่างดี ไม่มีท่าทางรังเกียจนางในฐานะนักโทษแต่อย่างใดหลังจากได้พูดคุ
ฉากนี้ทำให้กู้หว่านเยว่ไม่ทันตั้งตัว ฮูหยินผู้เฒ่าโจวเป็นโรคหัวใจหรือ?“ฮูหยิน?”โจวเหล่าก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เรียกฮูหยินผู้เฒ่าโจวไม่หยุด เมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เขาจึงรีบสั่งให้คนมาประคอง ย้ายนางไปที่สวนหลังบ้าน“ตามหมอมา!”ทุกคนในตระกูลโจวต่างตกตะลึงมู่หรงอวี้แสดงรอยยิ้มอย่างชอบใจจากด้านหลัง “ดี ดียิ่ง ถึงตาเขาลงมือแล้ว”“ลั่วยางมาหรือยัง?”“หมอเซียนน้อยรออยู่ข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ”“เรียกนางเข้ามา ตามข้าไปหาฮูหยินผู้เฒ่าโจว”มู่หรงอวี้รีบเดินไปในทิศทางที่โจวเหล่าจากไป“ท่านอ๋อง รอข้าด้วยเจ้าค่ะ”ฟู่เยียนหรานยกมือปิดแขน สุดแสนเสียใจ นางถูกสุนัขกัดทั้งยังไม่ได้ทำแผล ทำไมไม่มีใครสนใจนางเลย?เดิมทีซ่งเสวี่ยกำลังจะพักผ่อน แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมไร้กะจิตกะใจจะนอน จึงรีบเดินไปที่สวนหลังบ้านพร้อมกับทุกคนอย่างรวดเร็ว“น้องหญิงกู้ แม่สามีข้าล้มป่วยกะทันหัน ข้าต้องไปดูนางสักหน่อย ประเดี๋ยวจะให้แม่นมฉินพาเจ้าไปที่ห้องรับแขก ต้องขอโทษที่ต้อนรับบกพร่องด้วย”ซูจิ่นเอ๋อร์พูดอย่างไม่ใส่ใจ “พี่สะใภ้ใหญ่ของข้าเป็นหมอเทวดา ให้นางลองดูสิเจ้าคะ”“จิ่นเอ๋อร์!”
ฮูหยินผู้เฒ่าโจวเป็นโรคอะไรกันแน่?“แม่นางน้อยกู้ไม่ต้องแปลกใจไปเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าเราป่วยเช่นนี้ก็ไม่ใช่ครั้งสองครั้งแล้ว ก่อนหน้าหน้า ท่านหมอยังรักษาอาการของนางให้ทรงตัวอยู่ได้แต่ครั้งนี้ ท่านหมอที่ตามมา กลับบอกให้พวกเราเตรียมจัดงานไว้ทุกข์”ไม่ต้องพูดถึงว่าแม่นมฉินตื่นตระหนก กู้หว่านเยว่เองก็ตกใจเช่นกันแต่นางก็ประคองสติได้อย่างรวดเร็ว ดูจากอาการของฮูหยินผู้เฒ่าโจวแล้ว ดูเหมือนว่านางจะมีอาการหัวใจวายโรคหัวใจก็เป็นเช่นนี้ เมื่อไม่เป็นก็ไม่เป็นไรกู้หว่านเยว่ไม่ได้ตามนางไปทันที แต่พูดว่า “ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่ไป แต่หากฮูหยินผู้เฒ่าของพวกท่านเป็นโรคร้ายแรง ต่อให้ข้าไปแล้วก็ไร้ประโยชน์”แม่นมฉินรีบพูดว่า “แม่นางกู้ไม่ต้องกลัวไปเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยเองก็คิดว่าทักษะการแพทย์ของท่านเยี่ยมยอด ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยฮูหยินผู้เฒ่าได้ แต่หากไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ถือเสียว่าไปดูนางสักหน่อย พวกเราย่อมไม่มีทางเอาเรื่องนี้มาโทษท่านแน่”ซ่งเสวี่ยมีความคิดที่ว่า แมวตาบอดเจอหนูที่ตายแล้ว[footnoteRef:1] [1: เป็นสำนวนที่หมายถึงความบังเอิญ หรือโชคดีขั้นสุด] “เช่นนั้นท่านก็นำทางเถอะ ระหว่างทางก็เล่า
“ท่านอ๋อง?”ลั่วยางเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะกัดริมฝีปากแน่น“อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย เพราะข้าฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เจ้าแล้ว”มู่หรงอวี้มองนางอย่างเย็นชา ท่าทางเช่นนี้ทำให้ลั่วยางรู้สึกอับอาย“ท่านอ๋อง ข้าพยายามเต็มที่แล้วจริงๆ เจ้าค่ะ...”ในฐานะศิษย์คนเดียวของปรมาจารย์แพทย์ นางมั่นใจในทักษะการแพทย์ของตนเองมาก เรียกได้ว่าไม่มีโรคใดในโลกที่จะทำให้นางสะดุดได้แต่นางไม่เข้าใจในชีพจรและอาการของฮูหยินผู้เฒ่าโจวจริงๆ“บางทีอาจารย์ เขาสามารถ...”“น่าชังนัก! ถ้าข้าหาปรมาจารย์แพทย์เจอ ยังใช้งานเจ้าอยู่อีกหรือ?”มู่หรงอวี้โกรธมาก ถ้าลั่วยางไม่สามารถรักษาฮูหยินผู้เฒ่าโจวได้ แล้วเขาจะถ่อมาลำบากถึงปิงโจวไปทำไม?ยิ่งไปกว่านั้น เขาอวดดีต่อหน้าโจวเหล่าไปมากแล้ว หากทำไม่ได้ คงได้อับอายกับทั้งโคตร“ท่านอ๋อง ภรรยาข้าเป็นอะไรหรือ?” เห็นทั้งสองพึมพำกัน ทำให้โจวเหล่ารู้สึกใจไม่ดี“โจวเหล่า”มู่หรงอวี้ยังอยากยื้อต่อไปสักพักฟู่เยียนหรานกลับปากมากสอดขึ้นมา “โจวเหล่า ลั่วอีหนี่ว์บอกว่านางไม่สามารถรักษากโรคนี้ของฮูหยินผู้เฒ่าได้เจ้าค่ะ”“ฟู่เยียนหราน!” มู่หรงอวี้โกรธมาก อยากจะบีบคอนางให้ตาย