ตอนแรกซูจิ่งสิงยกกองทัพเจดีย์หนิงกู่ไปก่อการกบฏ ต่อมาหนานหยางอ่องก็ฟื้นคืนชีพ ทำให้ลั่วยางต้องโบกธงขาวยอมจำนนจากนั้นเขตซีเป่ยและเหอตงต่างก็ยอมจำนนต่อกองทัพเจดีย์หนิงกู่เมืองหลวงของพวกเขาถูกล้อม้าไว้ทุกทิศทางหัวเดียวกระเทียมลีบ บัดนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว กองทัพหนานเจียงยกทัพมาใกล้ถึงแล้ว มู่หรงถิงต้องใช้ยาแก้ปวดคอยบรรเทาติดต่อกันหลายวัน กว่าจะออกราชกิจได้ลึก ๆ ในใจเขารู้ดีว่าเก้าอี้มังกรไม่มั่งคงอีกต่อไป พลังหยินหยางภายในร่างกายก็อ่อนแอลงทุกวัน กระทั่งองค์หญิงหนานเจียงกลับมาพร้อมกับข่าวดี กองทัพหนานเจียงเชี่ยวชาญด้านวิชาหนอนพิษ ดังนั้นการสู้กับศัตรูซึ่ง ๆ หน้าอาจไม่ใช่วิธีการที่ดีนัก แต่การลอบกัดด้านหลัง ร้ายกาจยิ่งกว่า“นี่คือผลงานของพระมเหสีเจ้าค่ะ”มู่หรงถิงภูมิใจมากในตอนที่เขาไปเยือนจวนหนานหลีอ๋องนั้น เขาก็ตกหลุมรักหนานหลีม่านตั้งแต่แรกเห็น เพื่อจะได้ตัวนาง เขายอมแลกทุกอย่างอย่างไม่เสียดายในตอนที่หนานหลี่ม่านขึ้นเป็นพระมเหสีนั้น เหล่าขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ต่างพยายามขัดขวาง บัดนี้ เขารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากหลังจากที่ทุกข์ทรมานมาอย่างยาวนานขุนนางช
“เพราะท่านเป็นแม่ทัพ ถนัดการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ตรงหน้า น่าจะมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งกว่า”ใต้เท้าสวี่มองไปรอบ ๆ ตัวอีกครั้ง“แม่ทัพจ้าว ในมุมมองของท่าน การที่ทัพหนานเจียงยกทัพมาครั้งนี้ได้สร้างผลกระทบต่อศึกสงครามหรือไม่?”“เรื่องนี้......” จ้าวหวยอ้ำอึ้งครู่หนึ่ง“เชื่อฝ่าบาท ย่อมไม่ผิด ฝ่าบาททรงอวยพร สวรรค์มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้เสมอ”พูดไปก็เหมือนไม่พูดใต้เท้าสวี่ก้มหน้าลง “กล่าวเช่นนี้แสดงว่าแม่ทัพจ้าวก็คิดว่าทัพหนานเจียงไร้ประโยชน์ เว้นเสียแต่ว่าสวรรค์จะตาสว่าง บันดาลให้เกิดสายฟ้าฟาดใส่ทัพเจดีย์หนิงกู่จนพินาศ มิเช่นนั้นราชสำนักจะยอมแพ้หรือ?”จ้าวหวยเลิกคิ้วสูง “แต่ไม่กล้ากล่าวเช่นนี้”เขารีบเดินรุดขึ้นหน้า “ใต้เท้าสวี่ ไม่กล้ากล่าวเช่นนี้ หากแพร่งพรายออกไปมีหวังหัวได้หลุดออกจากบ่าแน่”บัดนี้ฮ่องเต้ทรงกริ้วมาก หากเขาได้ยินประโยคนี้ จวนหนิงกั๋วคงเกิดหายนะครั้งใหญ่แม่น้ำมิกลายเป็นสีเลือดหรอกหรือ?จ้าวหวยผู้นี้ ก็ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก ยามอยู่ในสนามรบ ท่านพ่อของเขาหนิงกั๋วกงเองก็เป็นนักรบที่ดี เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นหนิงกั๋วกงเพราะผลงานด้านทหารของเขาส่วนเขานะหรือ กลับเ
“ไม่”มู่หรงถิงออกแรงกอดรัดนางมากขึ้น“ตอนนี้ข้าต้องการเจ้า”ไม่นานมานี้ จู่ ๆ เขาก็เกิดอาการชักเกร็งโดยไม่ทราบสาเหตุ จนเขาทำอะไรไม่ได้ ทำให้เขาห่างหายจากการมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพระมเหสีเป็นเวลานานจนแทบจะสูญเสียความเป็นชายไปแล้วโชคดีที่อ๋องหกช่วยนำยากระทิงดุจากงานประมูลมาให้เขาหลังจากที่เขากินยานี้ลงไป เขาได้พลังกลับมา และเป็นพลังที่รุนแรงกว่าเดิมด้วยแต่ปรากฏว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้ดีใจเท่าไหร่ ข่าวที่ซูจิ่งสิงก่อกบฏก็แพร่สะพัดออกมาเขายุ่งอยู่ในราชสำนักทั้งวัน เกรงว่าสักวันเขาจะสูญเสียบัลลังก์ที่ยังไม่ได้นั่ง และไร้ซึ่งความลึกซึ้งต่อพระมเหสีในเมื่อสถานการณ์ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว เขาจะอดทนต่อไปทำไม ไหน ๆ วันนี้เขาก็อารมณ์ดีแล้ว จึงตั้งใจขอให้พระมเหสีกำเนิดองค์รัชทายาทตัวน้อยให้เขา สืบทอดอาณาจักรอันกว้างใหญ่แห่งนี้ต่อไปเขารักพระมเหสีมาก“ฝ่าบาทอย่าทำเช่นนี้เจ้าค่ะ”นัยน์ตาของพระมเหสีฉายแววรังเกียจอย่างชัดเจนนางไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับฮ่องเต้มานานมากแล้ว ครั้นเห็นชัยชนะรออยู่ตรงหน้า นางก็จะแทบจะทนไม่ไหวอีกต่อไป“ข้าไม่ค่อยสบาย วันนี้คงจะอยู่ปรนนิบัติท่านไม่ได้เจ้าค
“หากองค์หญิงหนานเจียงไม่อยู่แล้ว นางก็ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของเรา คำสัญญาที่ตกลงกันไว้ก็ไม่จำเป็นต้องรักษาอีกต่อไป”น้ำเสียงของมู่หรงถิงแฝงไปด้วยอันตรายในแววตาที่หรี่ลงคู่นั้นเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์และความชั่วร้ายอย่างมากพระมเหสีตกใจได้ไม่นาน ก็เข้าใจทันที“ฝ่าบาท เราและหนานเจียงเป็นพันธมิตรต่อกัน ทำเช่นนี้...” นางตั้งใจกล่าวถาม “ไม่เป็นการถีบหัวส่งกันเกินไปหน่อยหรือเจ้าคะ?”ครั้นนึกถึงในช่วงแรก มู่หรงถิงก็ปฏิบัติเช่นนี้ต่อเขตหนานหลีเช่นเดียวกันคนปลิ้นปล้อน ไม่รักษาคำพูดเกรงว่าหนานเจียงยังคงรออย่างมีความหวัง หลังจากที่สงครามสิ้นสุดลง มู่หรงถิงทำตามสัญญาของตัวเอง แต่กลับไม่รู้ว่ามู่หรงถิงวางแผนจะบีบบังคับพวกเขาเอาไว้แล้ว“ข้า...ข้าทำเพื่ออาณาจักต้าฉี”มู่หรงถิงไม่เห็นด้วย“ในหนานเจียง สตรีเป็นใหญ่ เฟิ่งหมิงกวงคือบุตรสาวของราชินีหนานเจียง ตราบใดที่จับนางได้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าหนานเจียงจะขว้างงูไม่พ้นคอ อีกอย่างหนานเจียงเป็นแค่ชนเผ่าเล็ก ๆ ทางตอนใต้ หากทำตามเงื่อนไขของพวกเขาได้ ก็ไม่มีใครทำลายศักดิ์ศรีของต้าฉีได้”เขาก็หาข้ออ้างไปเรื่อยโดยไม่ได้ปิดบังจุดประสงค์ที่น่ารังเกี
พวกมันถูกเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเด็ก เอาไว้ใช้โจมตีมนุษย์ถุงสมุนไพรอาจจะใช้ไม่ได้ผลต่อพวกมันเท่าไหร่นักแต่การมีสิ่งนี้อย่างน้อยก็สร้างขวัญกำลังใจให้ทหารได้ไม่มากก็น้อย ไม่ถึงกับทำให้เหล่าทหารที่ได้ยินเรื่องของแมลงพิษหนานเจียงพากันขวัญหนีดีฝ่อซูจิ่งสิงสาวเท้าจากไป“แม่ทัพเกา ท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดข้าฟังแล้วถึงไม่เข้าใจเลยสักนิด?”ทันที่ที่เขาจากไปเหล่าทหารก็พากันล้อมเข้ามาด้วยสีหน้างุนงง พวกเขาเห็นว่าซูจิ่งสิงและเกาเจี้ยนเพิ่งจะคุยกันเพียงไม่นานอะไรคือแผนไส้ศึก พวกเขาได้ยินกันหมดแล้วแต่รายละเอียดเป็นอย่างไรนั้นพวกเขาไม่รู้ท่านอ๋องก็ไม่ได้อธิบายให้พวกเขาฟังเกาเจี้ยนหัวเราะออกมา“เจ้าไม่ต้องร้อนใจไปหรอก ท่านอ๋องมอบหมายเรื่องนี้ให้ข้าแล้ว ข้าจะต้องอธิบายให้เจ้าฟังอยู่แล้ว”ข่าวนี้ได้แพร่กระจายออกไปจนเข้าหูของกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่มิใช้คนโง่เขลาเบาปัญญา นางไตร่ตรองเพียงไม่นานก็เข้าใจความหมายของซูจิ่งสิงแล้ว“หนานเจียงแค่มาช่วย และไม่ใช่ทหารของต้าฉี ได้ยินว่าคนหนานเจียงเป็นคนชอบเก็บตัวและเย่อหยิ่ง ครั้งนี้ต้าฉีขอร้องพวกเขาอีกครั้ง ทหารม้าทั้งสองฝ่ายต้องเคลื่อน
ไม่ว่าจะเป็นมู่หรงถิงในตอนนี้หรือว่ามู่หรงอวี้ที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ในภายภาคหน้า ก็ล้วนแต่ไม่เคยไม่ความสนใจต่อสตรีเท่าไหร่นักสตรีต่อให้ร่ำเรียนเขียนหนังสือได้ แต่ก็ลงสอบขุนนางไม่ได้แม้ว่าเว่ยเสี่ยวฉู่จะมีความฝันเป็นแม่ทัพหญิง แต่นางกลับไม่ได้รับความสนใจจากคนในค่ายทหารนักต่อให้นางจะแสดงความสามารถล้ำเลิศในด้านการรบหลายครั้ง แต่สำหรับคนอื่น นางก็ยังเป็นเพียงสตรีที่ควรเย็บปักถักร้อยอยู่แต่ในบ้าน รีบแต่งงานและมีบุตรให้เร็วที่สุดเท่านั้นการดึงดันจะไปค่ายทหาร เป็นการกระทำนอกรีต และเป็นการกระทำที่ออกหน้าเกินไปเพราะคนเหล่านั้นเห็นแก่หน้าของเว่ยเฉิง ภายนอกต่างก็ประจบสอพลอเว่ยเสี่ยวฉุ่ แต่ความจริงแล้วกลับไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตาเว่ยเสี่ยวฉู่เองก็มีความทะเยอทะยานอยู่ไม่น้อย เป็นสตรีที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ที่อึ้งยิ่งกว่าก็คือหลังจากที่นางพยายามดิ้นรนอยู่ในค่ายทหารเป็นเวลากว่าสามถึงสี่ปี ในที่สุดนางก็ได้สร้างความดีครั้งยิ่งใหญ่ให้กับทั้งยุทธการทหารจนได้ขึ้นเป็นแม่ทัพหญิงปรากฏว่าเว่ยเฉิงได้ถูกมู่หรงอวีฆ่าปิดปากจุดจบของเว่ยเสี่ยวฉู่จึงน่าเวทนายิ่งนักนางกลายเป็นโสเภณีในค่ายทหาร
“เสี่ยวฉู่ ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว?”“เจ็ดปีเจ้าค่ะ”เว่ยเสี่ยวฉู่ชูเลขเจ็ดขึ้นมา กู้หว่านเยว่ถึงกับประหลาดใจ เพราะเด็กคนนี้เติบโตมาจากในชนบท และมักขาดสารอาหารตั้งแต่เด็ก จึงดูเด็กว่าอายุจริง“ข้าจะบอกเจ้าไว้นะ ยามศึกสงครามเป็นช่วงเวลาที่ลำบากมาก เจ้าต้องลำบากยากเข็ญอยู่ในค่ายทหารมาตั้งแต่อายุแค่นี้”“อาจารย์ของเจ้าไม่ชอบคนที่เรียนแล้วล้มเลิกกลางคัน ในเมื่อเข้ามาในค่ายทหารแห่งนี้แล้ว ห้ามล้มเลิกกลางคันเด็ดขาด”“ต่อไปไม่ว่าจะทุกข์ทรมานแค่ไหน เจ้าก็ต้องยืนหยัดต่อไป”ครั้นกล่าวถึงตรงนี้ นัยน์ตาของกู้หว่านเยว่ก็ฉายแววจริงจัง“หากวันหนึ่งเจ้าทนต่อไปไม่ไหว และยอมแพ้ไป เจ้าจะไม่ใช่ลูกศิษย์ข้าอีกนับตั้งแต่ตอนนั้น และไม่สามารถกลับเข้ามาในค่ายทหารได้อีกต่อไป”“เข้าใจแล้วหรือไม่?”เว่ยเสี่ยวฉู่พยักหน้าอย่างจริงจัง “ท่านอาจารย์โปรดวางใจ เสี่ยวฉู่เข้าใจแล้ว”“เด็กดี”กู้หว่านเยว่ลูบศีรษะของเว่ยเสี่ยวฉู่ เด็กคนนี้ฉลาดยิ่งนัก กู้หว่านเยว่ชอบนางมาก“ขอบพระคุณพระชายา” เว่ยเฉิงทำความเคารพกู้หว่านเยว่ด้วยความจริงใจเขาดูออกว่ากู้หว่านเยว่ดีกับเว่ยเสี่ยวฉู่มาก เพราะเหตุนี้เขาจึงรู้สึกขอ
กู้หว่านเยว่เพิ่งนึกขึ้นได้ เว่ยเสียวฉู่ก็รีบเอ่ยขึ้น “ตอนที่ข้าออกเดินทาง ท่านแม่เตรียมเสื้อผ้าไว้ให้ข้าสองชุด อยู่ในห่อผ้าเล็ก ๆ ของข้าทั้งหมดข้าจะเอาออกมาเปลี่ยนสักชุด ชุดที่เปลี่ยนออกนั้น รอมีน้ำเมื่อไร ข้าจะเอาไปซัก”เจ้าตัวเล็กจัดการทุกอย่างได้เป็นระเบียบเรียบร้อยกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าซักผ้าเองเป็นด้วยหรือ?”“ข้าไม่เพียงแต่ซักผ้าเป็นเท่านั้น ข้ายังให้อาหารหมู ให้อาหารไก่ ให้อาหารเป็ดได้ด้วย”เว่ยเสียวฉู่กล่าวอย่างร่าเริงลูกคนจนต้องรู้จักรับผิดชอบตัวเองตั้งแต่เด็กตอนที่นางเพิ่งเกิด เว่ยเฉิงยังเป็นเพียงนักเรียนที่ยากจน ครอบครัวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาเป็นเวลานานแม้แต่ไข่ไก่ ก็ยังได้กินเฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้นนางอยู่ที่ชนบทช่วยท่านแม่ทำงานทุกอย่างไม่เพียงเท่านั้น นางยังขึ้นเขาไปเก็บผักป่า ตัดฟืน หาบน้ำ ลงนาและถอนต้นกล้าด้วยไม่ใช่ว่าแม่เฒ่าเว่ยใจร้ายกับนางมากเกินไป เพียงแต่ครอบครัวยากจนเท่านั้นกู้หว่านเยว่ลูบใบหน้าของเว่ยเสียวฉู่ นางรู้แล้วว่าเหตุใดเด็กคนนี้จึงมีความฝันอยากเป็นแม่ทัพหญิงอยู่ในใจนายท่านเว่ยเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เว่ยเฉิงก็มักจะออกไปศึกษาเล่
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก