ทุกคนต่างเห็นด้วยกับคำกล่าวของกู้หว่านเยว่ไม่มีใครรู้ว่าพายุใหญ่ลูกนั้นจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ อีกทั้งเม็ดทรายที่ฟุ้งกระจายอยู่รอบตัวก็ทำให้ทุกคนหายใจไม่สะดวกนัก สู้หนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดน่าจะปลอดภัยกว่า“ท่านนักการ ดูเหมือนว่าข้างหน้าจะมีจวนขุนนางอยู่หลังหนึ่ง”จางเอ้อร์ที่ออกไปสำรวจเส้นทางกลับมาบอกข่าวด้วยสีหน้าดีใจ“เยี่ยม เช่นนั้นเรารีบไปกันเถอะ ไปพักที่จวนขุนนางหลังนั้น” นัยน์ตาของซุนอู่เปล่งประกายกลุ่มนักโทษรีบเร่งฝีเท้าเดินทางไปจนถึงทางเข้าของจวนขุนนาง เพียงแต่เมื่อเห็นแผ่นสลักชื่อของจวนหลังนั้น ซุนอู่ถึงกับตกอยู่ในอาการลังเลนี่คือจวนส่วนพระองค์แห่งหนึ่งความหมายก็ตามชื่อ มันคือที่ดินทรัพย์สินส่วนพระองค์ ซึ่งไม่รู้ว่าพวกเขาจะขออาศัยที่แห่งนี้พักชั่วคราวได้หรือไม่ทันทีที่เคาะประตู พ่อบ้านท่าทางเย่อหยิ่งคนหนึ่งก็เดินออกมา“เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นนักการที่รับหน้าที่พานักโทษไปส่งให้หน่วยงานอย่างนั้นหรือ?”“ใช่ อากาศข้างนอกเลวร้ายมาก พวกเราไม่มีที่ไปจึงอยากจะขอพักที่นี่สักคืน ไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่” น้อยนักที่ซุนอู่จะกล่าวอย่างสุภาพเช่นนี้พ่อบ้านมองกลุ่มนักโทษแวบหนึ่ง
“เห็นได้ชัดว่ามู่หรงอวี้มีเจตนาที่ไม่ดี หากท่านไปอาจจะไม่ได้กลับมาอีก”ซูจิ่นเอ๋อร์กล่าวอย่างเหนื่อยล้า “แต่ตอนนี้พวกเราอยู่ในอาณาเขตของเขา จะไปหรือไม่ไปก็ดูเหมือนค่าเท่ากัน”ซูจื่อชิงถึงกับสำลัก แล้วถลึงตาใส่ซูจิ่นเอ๋อร์อย่างเอือมระอา“ทำอย่างไรดี?” หลายคนเริ่มเป็นกังวลซูจิ่งสิงเหลือบมองพวกเขา นัยน์ตาเคร่งขรึมเล็กน้อย หากมู่หรงอวี้ทำการบุ่มบ่ามขึ้นมาจริง ๆ เขาคงต้องชิงเปิดเผยคนในความลับก่อน“ข้าจะไปเป็นเพื่อนท่านเอง”ทันใดนั้น กู้หว่านเยว่ก็คว้ามือของเขา และฉีกยิ้มพลางกล่าว“แค่กินข้าวมื้อเดียว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ท่านวางได้ มู่หรงอวี้ไม่กล้าทำอะไรท่านอย่างเปิดเผยหรอก”แต่ถ้าเขาคิดจะแทงข้างหลังก็ไม่แน่ถึงต่อให้เขาจะแทงข้างหลัง กู้หว่านเยว่ก็มีวิธีต่อกรกลับไปซูจิ่งสิงมองนางอย่างซาบซึ้ง “หว่านเยว่ ขอบใจเจ้ามาก”“อย่าใช้สายตาชวนขนลุกเช่นนี้มองข้าเชียว” กู้หว่านเยว่ไอกระแอมหนึ่งเสียง ก่อนจะโบกมืออย่างไม่ใส่ใจเหตุใดคำขอบคุณของบุรุษผู้นี้ถึงได้ลึกซึ้งเช่นนี้?หลังจากที่ทั้งสองคนเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ก็เดินตามไปยังลานด้านหน้าระหว่างทาง เด็กรับใช้คนนั้นได้เหลือบมองพวกเข
เขาก็ไม่ได้อยากลงมือด้วยตนเอง แต่หากซูจิ่งสิงไม่กินอีก เป็ดย่างจานนี้คงถูกกู้หว่านเยว่กินหมดเกลี้ยงแน่!“นี่คือเป็ดย่างที่รังสรรค์โดยพ่อครัวที่มีชื่อเสียงทางทิศเหนือ รสชาติเลิศรส ไม่ชิมคงจะน่าเสียดาย” มู่หรงอวี้กล่าวเสริมซูจิ่งสิงไม่ใช่คนโง่ในสายตาของมู่หรงอวี้ เขามองออกตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าเป็ดย่างจานนี้มีพิษเมื่อนึกภาพที่กู้หว่านเยว่คีบกินไปแล้วหลายชิ้น ในใจของเขาก็ยิ่งกังวล จึงรีบคว้ามือของนางด้วยจิตใต้สำนึกเขาคิดจะขัดขวางไม่ให้นางกินต่อผลปรากฏว่ากู้หว่านเยว่ส่งสายตาไร้ความกังวลให้เขาซูจิ่งสิงตระหนักได้ถึงความสามารถของกู้หว่านเยว่ เขาจึงเข้าใจในทันทีแต่ปากของเขาก็ยังไม่วายกำชับว่า “กินน้อย ๆ หน่อย ข้ากลัวเจ้าไม่ย่อย”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า “เป็ดย่างจานนี้เป็นของข้า ท่านห้ามแย่งข้าเด็ดขาด”คำกล่าวของนางเป็นการเตือนว่าเป็ดย่างจานนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล นางกลัวว่าเขาจะพลาดกินมันเข้าไป“ซูฮูหยินชอบเป็ดช่างจริง ๆ ชีวิตที่แล้วคงจะไม่เคยกินสินะ?”มู่หรงอวี้ยกยิ้มแข็งทื่อ เขาเกือบจะข่มความโกรธไม่ได้หญิงสาวผู้นี้เป็นลูกเศรษฐีสกุลกู้จริง ๆ ใช่ไหม?ดูท่าทางการกินนั่นสิ หร
เพียงแต่เรื่องส่วนตัวเหล่านี้ไม่ควรนำมาพูดบนโต๊ะอาหารมิเช่นนี้หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ก็ไม่รู้ว่าประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นทางการเหล่านั้นจะถูกเขียนออกมาว่าอย่างไร แล้วอาณาประชาราษฎร์จะตัดสินพวกเขาแบบไหน“ไม่มีปัญหาแน่นอน” ในเวลานี้นิ้วมือของมู่หรงอวี้สั่นระริก เขาพยายามข่มความโกรธไว้ “ข้าแค่เป็นคนรักสะอาดนิดหน่อยก็เท่านั้น”เมื่อตระหนักได้ว่าเป็ดย่างจานนั้นมียาพิษ อีกทั้งตนได้กินเข้าไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะอาเจียนออกมา แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าพิษนั้นได้เข้าสู่ร่างกายแล้วหรือไม่เวลานี้มู่หรงอวี้ถึงกับนั่งไม่ติด และทนไม่ไหวอีกต่อไป“จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกไม่สบายตัว พวกเจ้ากินกันไปก่อน ข้าขอตัว”กล่าวจบเขาก็พรวดลุกขึ้นและเดินออกไปทันที เมื่อเดินมาถึงลานด้านหลังเขารีบล้มตัวลงนอนบนเตียง“รีบไปตามเซียนแพทย์น้อยมาให้ข้าเร็วเข้า บอกว่าข้ากินยาพิษของนาง!”ภายในเรือนตะวันออก ทันทีที่มู่หรงอวี้ออกไป ซูจิ่งสิงก็รีบหันไปมองกู้หว่านเยว่“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ เป็ดย่างวางยาพิษเหล่านั้นเจ้ากินมันลงไปได้อย่างไร?”เขารู้ว่ากู้หว่านเยว่มีความสามารถ แต่ถึงอย่างไรร่างกายของมนุษย์ก็มีเลือดเนื้อ จะทนต่อพิษเ
“ครั้งนี้กู้หว่านเยว่ต้องตายสถานเดียว”นางหลิวกล่าวอย่างลำพองใจ “คนของราชวงศ์ไม่ปล่อยพวกเขาไว้แน่”“โชคดีที่พวกเราไม่ได้คืนดีกับบ้านสาม พวกเราจึงไม่โดนหางเร่ไปด้วย”ฮูหยินผู้เฒ่าซูถอนหายใจอย่างโล่งอกเดิมทีนางอยากบากหน้าไปขอคืนดีกับบ้านสาม แต่ปรากฏว่ากู้หว่านเยว่โหดร้ายเกินไป นางจึงไม่กล้าเสนอหน้าหรือนี่อาจจะเป็นความบังเอิญก็ได้ก็ดี ที่นางประกาศตัดความสัมพันธ์กับบ้านสามในตอนแรกนั้นถูกแล้วนางจินและซูหรานหร่านสบตากัน โดยที่ทั้งสองคนไม่ได้กล่าวสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นบ้านสามหรือสกุลซู พวกเขาก็ไม่เคยคิดอยากเกี่ยวข้องด้วยนัยน์ตาของซูจื่อชิงเย็นเยือก “ทุกคนคือสกุลซูเหมือนกัน พี่ใหญ่และพี่สะใภ้เกิดเรื่อง พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะรอดอย่างนั้นหรือ?”ทำไมก่อนหน้านั้นถึงดูไม่ออกว่าท่านยายโง่เขลาเช่นนี้“สกุลเดียวกันอะไร พวกเราตัดขาดกันไปแล้ว”นางหลิวกล่าวเสียงดัง นางกลัวว่าผู้คุ้มกันของมู่หรงอวี้จะไม่ได้ยิน“ไอหยา ข้าพูดกับจิ่นเอ๋อร์ เจ้าว่าพี่ใหญ่และพี่สะใภ้จะกลับเข้ามาแบบเดินเข้ามาหรือถูกหามเข้ามา?”“เจ้าหุบปากไปเลย !” ซูจิ่นเอ๋อร์โกรธจนปากสั่นไปหมด สายตาคู่นั้นยังคงจับจ้องไปที่ประตู
จากนั้นนางก็หยิบหน้ากากขึ้นมาใส่ และแวบออกจากห้องไปทันทีนางไม่ลืมว่าตนก็มีเรื่องต้องทำ ในเมื่อจวนหลังนี้เป็นอาณาเขตของมู่หรงอวี้ ก็อย่ามาโทษว่านางไม่เกรงใจก็แล้วกัน!ทันทีที่เข้าไปในห้องใต้ดิน กู้หว่านเยว่ก็ได้เห็นอาวุธและเสบียงมากมาย นางจึงรีบกอบโกยกลับอย่างไม่เกรงใจจากนั้นนางก็เข้าไปในครัวและทำการขนอาหารพร้อมทั้งม้าที่อยู่ในคอกออกไปพร้อมกัน“เหอะ ๆ ข้าชักอยากเห็นแล้วสิว่าหากท่านไม่มีม้า ท่านจะไปจากจวนแห่งนี้ได้อย่างไร”กู้หว่านเยว่หัวเราะด้วยความสะใจ ก่อนจะหายตัวไปโผล่ในพื้นที่นอกหน้าตาห้องของมู่หรงอวี้และใช้นิ้วเจาะรูหน้าต่างที่ทำจากกระดาษ และมองเข้าไปข้างใน“เจ็บ เจ็บจะตายอยู่แล้ว ขาของข้าเหมือนมีมดเป็นร้อยตัวรุมกัดอย่างไรอย่างนั้น”มู่หรงอวี้นอนอยู่บนเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรง ทั้งยังคร่ำครวญไม่หยุด“ทำไมเซียนแพทย์น้อยถึงยังไม่มาอีก?”“กราบทูลท่านอ๋อง เซียนแพทย์น้อยมาแล้ว เซียนแพทย์น้อยมาแล้ว!”เด็กสาวในชุดสีขาวคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งเข้ามาจากด้านนอก เมื่อถึงข้างเตียงนางก็รีบจับชีพจรของมู่หรงอวี้ทันที“ท่านอ๋อง ท่านโดนยาพิษได้อย่างไร?”“อย่าถาม”เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ มู่หร
ทันใดนั้นฟู่เยียนหรานก็ปิดหน้าร้องไห้เสียงสะอื้น ท่าทางเช่นนี้ยิ่งยืนยันได้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งสอง“ฮูหยินซู เจ้าอย่าโทษพี่ใหญ่ซูเลย เพราะข้าเทิดทูนเขามากเกินไปถึงกลายเป็นแบบนี้ข้าจะไม่โต้เถียงใด ๆ กับเจ้า เพียงอยากดูแลเรื่องปัจจัยสี่ของพี่ใหญ่ซูอยู่เคียงข้างเขาเท่านั้น”นางห่อไหล่ขาวผุดผ่องอย่างอ่อนแรง น้ำตาไหลพราก ผู้ชายส่วนใหญ่เห็นแล้วก็รู้สึกสงสารไม่แปลกใจที่ได้เป็นพระมเหสีเข้าใจใช้ลูกไม้ใสซื่อเป็นอย่างดี“ซูจิ่งสิง”กู้หว่านเยว่บิดขี้เกียจ นางไม่มีเวลามาคร่ำครวญกับฟู่เยียนหราน“ข้าง่วงแล้ว ท่านช่วยอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยเร็ว”ในน้ำเสียงแฝงความรำคาญใจซูจิ่งสิงกังวลว่ากู้หว่านเยว่จะเข้าใจผิด เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงรีบอธิบาย“ข้าได้ยินเสียงความวุ่นวายจึงตื่นขึ้นมา พบว่านางยืนอยู่ที่หัวเตียง กำลังเปลื้องผ้าอยู่พอข้าตวาดไล่นางไป เจ้าก็ผลักประตูเข้ามาแล้ว ข้าไม่ได้แตะต้องนางเลย”กู้หว่านเยว่ชำเลืองมองเตียงที่จัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ด้วยความเข้าใจในตัวซูจิ่งสิงของนาง ย่อมรู้ว่าเขาไม่นอกลู่นอกทางแน่หลังจากได้ฟังคำอธิบายด้วยหูตัวเอง ก็ยิ่งไม่มีอะไรให้สงสัยอีก
หลังจากพักหายเหนื่อยได้หนึ่งวัน เหล่านักโทษเนรเทศก็กลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง พากันเก็บข้าวของเพื่อออกจากคฤหาสน์หลวงเมื่อมู่หรงอวี้ตั้งสติได้ ลานหลังบ้านก็ว่างเปล่าไร้ผู้คนแล้ว“เจ้าโง่ ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าจับตาดูพวกเขาไว้หรือ?!”เขาถีบพ่อบ้านที่กุลีกุจอเข้ามาอย่างหงุดหงิดพ่อบ้านคุกเข่าพรึ่บลงกับพื้น“ท่านอ๋องอย่าทรงกริ้ว เมื่อเช้าคฤหาสน์หลวงถูกปล้นอย่างกะทันหัน ข้าน้อยไม่มีเวลานึกถึงพวกเขา...”“เจ้ากินอะไรเป็นอาหาร เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ก็จัดการไม่ได้...ช้าก่อน เจ้าบอกว่าคฤหาสน์หลวงถูกปล้นงั้นหรือ?”มู่หรงอวี้ใจหายวาบ เกิดลางสังหรณ์ขึ้นมาในทันใดเขาหันหน้าเดินไปยังห้องใต้ดินโดยไม่พูดอะไรเมื่อมาถึงทางเข้าห้องใต้ดิน เห็นไข่มุกเรืองแสงราตรีสองเม็ดที่ส่องสว่างตรงประตูถูกหักออก เขาหน้ามืดในทันใด“ท่านอ๋อง อดทนไว้”คนสนิทรีบเข้ามาประคองมู่หรงอวี้“ทนได้ ทนได้...” มู่หรงอวี้ฝืนผลักประตูหินให้เปิดออก เมื่อเห็นสถานการณ์ภายในอย่างชัดเจน ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป“เงินทองของข้า เงินทองของข้า!”น้ำตาไหลรินจากเบ้าตา มู่หรงอวี้ในวัยสามสิบกว่า ๆ ร้องไห้เป็นเด็กทารกห้องใต้ดินแห่งนี้มีทรัพย์ส
“ผ่อนคลายไปทั้งตัว”เยียนอวิ๋นชูยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า แม้ว่าตอนนี้เขายังเดินเหมือนคนปกติไม่ได้ แต่ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายรู้สึกสบายตัวขึ้นมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนที่ถูกพิษ ไม่รู้สึกกระสับกระส่ายและกดดันอีกต่อไป แม้แต่จิตใจก็ยังเบิกบานขึ้นมาก“ดี เดี๋ยวข้าจะเขียนใบสั่งยาเพื่อบำรุงร่างกายให้ท่าน”หลังจากตื่นแล้ว กู้หว่านเยว่ก็เป็นห่วงความปลอดภัยของซูจิ่งสิงเขามุ่งหน้าไปส่งจดหมายที่เมืองอูถ่านตามลำพัง และไม่รู้ว่าได้พบกับเยียนสือซานหรือไม่เช่นเดียวกับกู้หว่านเยว่ เยียนอวิ๋นชูก็เป็นห่วงความปลอดภัยของพี่ชายของตัวเองเช่นกัน กลัวว่าเขาจะตกหลุมพรางของเหยลวี่เจิงทั้งสองตัดสินใจทันทีว่าจะรับประทานอาหารกลางวันบนรถม้า ตอนนี้พวกเขาจะไปเก็บสัมภาระ มุ่งหน้าไปยังเมืองอูถ่านทันที“ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่ใหญ่จะเป็นอย่างไรบ้าง”สีหน้าของเยียนอวิ๋นชูเป็นกังวล เสี่ยวถ่านจับจ้องไปที่ใบหน้าที่หล่อเหลาจนทั่วหล้าต้องขุ่นเคืองของเขา พลางถามอย่างอ่อนแรง“พี่รอง ควรอำพรางตัวให้พี่รองเยียนด้วยหรือไม่?ท่านดูสิเขาหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ ออกไปเดินบนท้องถนนต้องดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายเป็นแน่ ทัน
เยียนอวิ๋นชูน่าสงสารนัก กู้หว่านเยว่ก็ใจอ่อนในชั่วพริบตา“เชื่อข้าเถอะ พิษในร่างกายของท่านจะถูกขับออกมาแน่นอน ต่อไปท่านจะไม่สูญเสียการควบคุมอีกแล้วแต่ขาของท่าน เนื่องจากไม่ได้เดินมานานเกินไป อาจต้องใช้เวลาถึงครึ่งปี จึงจะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ”“นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ”เยียนอวิ๋นชูก็ไม่ได้คาดหวังว่าขาของเขาจะหายดีได้ในชั่วข้ามคืนพิการมานานสิบกว่าปี ได้มีความหวังที่จะยืนขึ้นได้อีกครั้ง สำหรับเขาก็เป็นพรอันยิ่งใหญ่แล้วเขาดื่มยาหม้อหมดในคราเดียวในไม่ช้า ความไม่สบายก็เข้ามาภายในร่างกาย“ยาหม้อนี้มีสรรพคุณในการล้างพิษ ต่อไปท่านอาจจะรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย อาจถึงขั้นมีไข้สูง แต่ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะอยู่เคียงข้างท่าน”กู้หว่านเยว่หยิบเข็มเงินออกมาอย่างเป็นระเบียบขั้นตอน ราวกับว่ามองเห็นเหตุการณ์นี้ไว้ล่วงหน้าแล้วน้ำเสียงสุขุมของนาง ทำให้จิตใจที่ไม่เป็นสุขของเยียนอวิ๋นชูสงบลงมากร่างกายเจ็บปวดมากเกินไป เขาจึงพยายามหลับตาทั้งสอง ข่มความเจ็บปวดนี้เอาไว้เหงื่อเย็นเยียบพรั่งพรูออกมาจากร่างกายของเขาดั่งสายฝนกู้หว่านเยว่ถือผ้าขนหนูไว้ คอยเช็ดเหงื่อให้เขาอย่างอดทน เมื่อพบว่าเขาทนไม่ไ
ความคิดของเยียนอวิ๋นชูเปลี่ยนไปโดยพลัน เขาไม่คิดว่ากู้หว่านเยว่ จะหลอกลวงเขาในเรื่องแบบนี้ แสดงว่าร่างกายของเขาถูกวางยาพิษจริง ๆ และพิษนี้เริ่มตั้งแต่ขาทั้งสองของเขายืนไม่ได้ อย่างน้อยก็สิบกว่าปีแล้วเยียนอวิ๋นชูนึกย้อนกลับไปในหัวใครกันที่สามารถวางยาพิษเขาได้ในช่วงเวลานั้น แต่กลับไม่ได้อะไรเลย เวลามันเนิ่นนานเกินไปแล้วเขารู้ว่า ในขณะนี้สิ่งที่สำคัญไม่ใช่การตามหาคนที่วางยาพิษ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการล้างพิษในร่างกายของเขา“เจ้า เจ้าล้างพิษในร่างกายของข้าได้ไหม?”“ตอนนี้รู้จักขอร้องข้าแล้วหรือ เมื่อครู่ยังหน้าซีดรีบร้อนขับไล่ข้าออกไปมิใช่หรือ?”กู้หว่านเยว่กะพริบตายั่วเย้า ใช้น้ำเสียงหยอกล้อ ทำให้เยียนอวิ๋นชูหน้าแดง แทบจะพาลโกรธเอาดื้อ ๆ อีกครั้ง“เจ้า...”เมื่อเห็นเขากัดริมฝีปาก กู้หว่านเยว่ก็หัวเราะคิกคัก“เอาล่ะ ข้าแค่หยอกล้อท่านเฉย ๆ ข้าสามารถล้างพิษได้ วางใจเถิด”นางปลอมตัวเป็นผู้ชาย ใบหน้าหล่อเหลาอยู่แล้ว ในเวลานี้ได้เผยรอยยิ้มที่น่าหลงใหลออกมาอย่างฉับพลันเยียนอวิ๋นชูตกตะลึงไปชั่วขณะ มองดูใบหน้าที่เปล่งประกายของนาง รู้สึกว่าหัวใจนั้นเต้นแรงเขารีบกุมหัวใจเอาไว้ แล
เซียวหลิ่นหลีกทางให้โดยจิตใต้สำนึก กู้หว่านเยว่กำลังจะจับมือของเยียนอวิ๋นชู แต่ฝ่ายหลังกลับดันรถเข็นถอยหลังอย่างไม่คาดคิดปากก็ยังด่าทอเสียงดัง“ไปให้พ้น ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาสงสารข้า เจ้าเป็นอะไรกับข้าหรือ ปล่อยข้าไว้คนเดียวให้สงบสติอารมณ์สักพัก รีบออกไปให้พ้นเดี๋ยวนี้!”เยียนอวิ๋นชูคำรามลั่น ใบหน้าหล่อเหยเกเล็กน้อย คำพูดที่เอ่ยออกมาแย่มากจนทำให้มุมปากของเซียวหลิ่นกระตุก“คุณชายรอง!”คุณชายรองเกิดลมบ้าหมูอะไรขึ้นมา จอมยุทธหนุ่มท่านนี้เมื่อครู่สามารถใช้เข็มเงินนั่นฆ่าใครก็ได้ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่านี่คือบุคคลที่มีทักษะทางการแพทย์สูงมาก หวังดีจะช่วยชีวิตเขา เหตุใดเขาถึงยังด่าทออย่างรุนแรง?“จอมยุทธหนุ่ม ขอโทษด้วยจริง ๆ”เซียวหลิ่นรีบขอโทษกู้หว่านเยว่ หวังว่านางจะใจกว้างไม่ถือสาคนต่ำทรามและกู้หว่านเยว่ก็มองดูท่าทางต่อต้านของเยียนอวิ๋นชู ครุ่นคิดเล็กน้อยก็รู้ว่าเขากำลังกังวลเรื่องอะไร“ท่านผู้นี้ ช่างดื้อรั้นเสียจริง!”เขาคงกลัวว่าจะสูญเสียการควบคุมและทำร้ายนาง ดังนั้นเขาจึงพูดจาดุดันเพราะต้องการขับไล่นางออกไป ทั้ง ๆ ที่นัยน์ตานั้นเต็มไปด้วยความกังวล แต่ก็ยังดึงดันที่จะแสร้ง
“เจ้าจะช่วยส่งจดหมายให้พวกข้าหรือ?”เยียนอวิ๋นชูมองไปที่กู้หว่านเยว่อย่างคาดไม่ถึง ดวงตาแจ่มใสทั้งคู่ที่มองไปที่กู้หว่านเยว่ เขาเชื่อมั่นในตัวนางมากจริง ๆ“ไม่ได้ มันจะทำให้เจ้ายุ่งยากเกินไป”เยียนอวิ๋นชูใจเต้นอยู่ชั่วขณะ หันหน้าไปอย่างรวดเร็วอาจเป็นเพราะหลายทศวรรษที่ผ่านมา เขาเคยชินกับการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยท่าทีเฉยชา ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาอันสั้นการเอาตัวออกห่าง เป็นวิธีการปกป้องตัวเอง และปกป้องมิตรสหายของเขาด้วยกู้หว่านเยว่ถือโอกาสรับจดหมายของเขามา “เฮ้อ ท่านอย่ามัวชักช้าเลย ฟังจากคำพูดของท่าน พี่ชายของท่านไปที่เมืองอูถ่านแล้ว หากช้ากว่านี้ก็คงไม่ทันกาล เอาจดหมายมาให้ข้า พวกข้าจะไปส่งให้ท่านเอง”เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่โผงผางเช่นนี้ เยียนอวิ๋นชูก็เบิกตาทั้งสองกว้างอย่างตกตะลึง“เจ้า เจ้า...” เขาคงไม่สามารถแย่งจดหมายกลับมาได้อีกแล้วกระมัง?“คุณชายรอง ในเมื่อวีรบุรุษหนุ่มทั้งสองท่านนี้ต้องการช่วยเหลือเรา สู้เราเอาจดหมายให้พวกเขาดีกว่า สถานการณ์เร่งด่วน เราไม่อาจมัวลังเลได้”เซียวหลิ่นที่อยู่ข้าง ๆ รีบเอ่ยขึ้น ความจริงเขาก็กำลังคิดจะขอความช่วยเหลือจากกู้หว่านเยว่ เพีย
จากระดับความรักที่พี่ชายมีต่อเขา ต้องตามราวีซูจิ่งสิงอย่างไม่เลิกราแน่นอนลองคิดดูอีกที ช่วงนี้ใครอีกที่ต้องการยืมมือของพี่ชายเพื่อฆ่าซูจิ่งสิง“เหยลวี่เจิง”ดวงตาของเยียนอวิ๋นชูขรึมลงเล็กน้อย พูดอย่างโกรธเกรี้ยว “เขาต้องการฆ่าข้า จากนั้นค่อยยืมมือพี่ชายของข้าฆ่าซูจิ่งสิง”กู้หว่านเยว่ตกตะลึงเล็กน้อย เยียนสือซานรับปากเหยลวี่เจิงว่าจะไปฆ่าซูจิ่งสิงตั้งแต่แรกแล้วมิใช่หรือ?หรือว่าเขาจะยังไม่ตอบตกลง!เหยลวี่เจิงจึงเสี่ยงเพราะเข้าตาจน วางแผนที่จะใช้เยียนอวิ๋นชูมายั่วยุความโกรธแค้นระหว่างเขากับซูจิ่งสิง?อย่างนี้เยียนอวิ๋นชูจึงไม่รู้เรื่องอะไรเลยและเยียนสือซานก็ไม่ถือเป็นศัตรูของพวกเขาในขณะนี้“รีบนำปากกาและพู่กันมาให้ข้า ข้าต้องเรียบเรียงจดหมายส่งให้พี่ใหญ่ ไม่ให้เขาตกหลุมพรางของคนอื่นอย่างเด็ดขาด”เยียนอวิ๋นชูรีบขอกระดาษและพู่กันจากองครักษ์ กู้หว่านเยว่ถามด้วยความใคร่รู้“พี่ใหญ่ของท่านอยู่แถวนี้หรือ?”เยียนอวิ๋นชูมองไปที่กู้หว่านเยว่ แม้ว่าสายตาของเขายังคงเย็นชาเหมือนในตอนแรก แต่ที่จริงแล้วในใจของเขามีความเชื่อถือต่อกู้หว่านเยว่ตั้งนานแล้ว“ไม่ใช่ พี่ใหญ่อยู่ในเมืองอูถ่าน”
“โอ๊ย!” ชายที่ลอบโจมตีร้องโหยหวน ก่อนจะล้มลงกับพื้นกู้หว่านเยว่มองไปที่เยียนอวิ๋นชูอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะใช้อาวุธลับและเมื่อพิจารณาจากความแข็งแกร่งของอาวุธลับนี้แล้ว ก็ไม่ได้เป็นรองธนูในมิติของนางดูเหมือนว่าเยียนอวิ๋นชูก็ไม่ใช่คนพิการที่ไร้ประโยชน์เช่นกันชายผู้นั้นล้มลงกับพื้น เมื่อเห็นสหายถูกฆ่าตายหมด ก็โกรธจนกระอักเลือดออกมาเต็มปากเขารู้อยู่แก่ใจว่าสถานการณ์เลวร้ายลงจนไม่อาจแก้ไขได้แล้ว ก่อนจะตะโกนลั่นด้วยสายตาที่ชั่วร้าย“พวกเจ้าสองคนสมควรตาย มาทำลายแผนการของเจิ้นเป่ยอ๋อง ท่านอ๋องจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”หลังจากพูดจบ หน้าอกของเขาก็ถูกลูกศรของซูจิ่งสิงเจาะทะลุ หลังจากกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ก็ขาดใจตายในทันใดมองดูร่างของชายผู้นั้น กู้หว่านเยว่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็โกรธจัดนี่มันอะไรกัน? ก่อนตายยังไม่หยุด ยังโยนความผิดมาใส่ตัวพวกเขาอีก!“เจิ้นเป่ยอ๋อง?”สีหน้าของเยียนอวิ๋นชูเปลี่ยนไปตามคาดได้ยินมาว่าที่ครั้งนี้พี่ใหญ่ได้รับเชิญให้ไปทูเจวี๋ย ก็เพื่อช่วยเหลือแม่ทัพเหยลวี่เจิ้งแห่งทูเจวี๋ยในการสังหารเจิ้นเป่ยอ๋องเพียงแต่ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุอันใด พี่ใหญ่ถึงไม่ตอบตกลง
“พี่ใหญ่เกิดเรื่อง ข้าจะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร?”คำพูดขององครักษ์เยียนอวิ๋นชูฟังไม่เข้าหูเลย เขาขมวดคิ้วอย่างหนัก แล้วหมุนวงล้อด้านล่างวนรอบห้องเหมือนเดิมนี่คือสีหน้าของเขาเวลาตึงเครียดและในเวลานี้เอง ก็มีคนสองคนวิ่งเข้ามาจากด้านนอกประตู ทั้งคู่สวมเสื้อผ้าสีดำ ถือมีดเล่มใหญ่ไว้ในมือ จ้องมองเยียนอวิ๋นชูตาเป็นมัน“พวกเจ้าเป็นใคร บุกรุกเข้ามาทำไม?”“แหะ ๆ คุณชายรองสกุลเยียนยังมัวกังวลว่าพวกข้าคือใคร สนใจชีวิตของตัวท่านเองก่อนเถอะ” หนึ่งในนั้นยิ้มเยาะเยียนอวิ๋นชูก็ไม่ใช่คนโง่เขลาเช่นกัน เมื่อพิจารณาจากท่าทางของคนทั้งสอง แล้วนึกถึงจดหมายลับที่เขาเพิ่งได้รับมาอย่างไร้ที่มาที่ไป ก็เข้าใจในทันทีว่ามีคนจงใจวางกับดักไว้ต้องการโยกย้ายองครักษ์ที่อยู่ข้างกายเขาไปที่อื่น แล้วค่อยปลิดชีวิตเขา“พวกเจ้าไม่รู้จักตัวตนของข้าหรือ หากพี่ชายของข้ารู้เรื่องนี้ เขาจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปเด็ดขาด”เยียนอวิ๋นชูเกลี้ยกล่อมให้พูดความจริง คนที่บุกเข้ามาอีกคนก็หัวเราะหึหึ “พี่ชายของท่านไม่ใช่มือสังหารอันดับหนึ่งในรายชื่อหรอกหรือ นายของพวกข้าไม่เห็นพี่ชายของท่านอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ”เยียนอวิ๋นชูจับคำสำคัญได้
กู้หว่านเยว่แจ้งรายชื่ออาหารห้าหกรายการติดต่อกัน บริกรดีใจจนยิ้มไม่หุบ“ได้ขอรับ นายท่านกรุณารอสักครู่ อีกครึ่งชั่วยาม ข้าน้อยจะนำอาหารไปส่งที่ห้องพักของนายท่าน”“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”กู้หว่านเยว่ยื่นเงินให้ แล้วหันหลังเดินขึ้นบันไดไปแต่ในขณะที่เดินผ่านห้องพัก กลับได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากข้างใน“...จำไว้นะ ลงมือทันทีที่ฟ้ามืด สังหารเยียนอวิ๋นชูได้เลย”ชื่อที่คุ้นเคยทำให้กู้หว่านเยว่ชะงักฝีเท้า รีบหลบไปแอบฟังอยู่ข้าง ๆ“เจ้าจัดเตรียมข้าวของทุกอย่างพร้อมแล้วหรือยัง?”“จัดเตรียมพร้อมแล้ว ไม่เห็นหรือ นี่คือหนังสือที่เขียนด้วยเลือด ข้าให้คนเขียนเลียนแบบลายมือของเยียนอวิ๋นชู”ชายคนหนึ่งในนั้นกล่าวอย่างภาคภูมิใจแค่เพียงเยียนสือซานได้เห็นหนังสือเลือดเล่มนี้ ก็จะระบุตัวฆาตกรว่าเป็นซูจิ่งสิง แล้วก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเราอีกในใจของกู้หว่านเยว่เริ่มเกิดคลื่นถาโถม ชายสองคนที่วางแผนลับอยู่ในห้องคือใครกัน พวกเขาต้องการฆ่าเยียนอวิ๋นชู ซ้ำยังจะโยนบาปนี้มาให้ซูจิ่งสิงอีก?เพื่อความปลอดภัย กู้หว่านเยว่ไม่ได้บุกเข้าไปในห้อง แล้วจับกุมพวกเขาในทันทีแต่เจาะหน้าต่างอย่างระ