กู้หว่านเยว่ได้ยินคำพูดของเขา ก็ถือโอกาสหันกลับไปมองเป็นไปอย่างที่คาดไว้ ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการย่างเนื้อรอบกองไฟอย่างสนุกสนานมีเพียงนักการหลี่เท่านั้นที่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ แอบมองมาทางพวกเขาเป็นระยะ ๆ“คงจะเห็นว่าขาของท่านหายดีแล้ว จึงทนไม่ไหวที่จะรีบไปรายงานนายท่านผู้อยู่เบื้องหลัง”กู้หว่านเยว่ลูบมือ“ว่าอย่างไร จะส่งเขาขึ้นสวรรค์เมื่อไหร่ดี?”ซูจิ่งสิงรู้สึกว่าท่าทางอันธพาลของนางนั้นน่ารักเป็นพิเศษ จึงอดกลั้นรอยยิ้มแล้วพูดเสียงเบา ๆ “ลงมือคืนนี้เลย ดีกว่าปล่อยให้เนิ่นนานแล้วมีปัญหาทีหลัง”“ได้เลย ๆ ” กู้หว่านเยว่ยกยิ้มอย่างมีความสุข เหตุใดนางถึงมีความสุขขนาดนี้เวลาพูดว่าจะกำจัดคนเลว?ระหว่างที่พูดคุยกัน ก็มีคนทยอยมาตักน้ำที่ริมแม่น้ำ ทั้งสองคนจึงปิดปากเงียบอย่างรู้กัน“ข้ามาช่วยเจ้าล้างด้วย”ซูจิ่งสิงถือโอกาสนั่งยอง ๆ ลง หยิบอุ้งเท้าหมีอีกข้างออกมาจากตะกร้า แล้วล้างทำความสะอาดพร้อมกับนางไม่รู้ว่าเป็นเพราะอุ้งเท้าหมีมีกลิ่นคาวแรงเกินไปหรือไม่ กู้หว่านเยว่ถึงกับอาเจียนออกมา“เจ้าเป็นอะไรไป?”ซูจิ่งสิงรีบถามด้วยความเป็นห่วงกู้หว่านเยว่อยากบอกว่าไม่เป็นไร แต่กลิ่นคาวก
“เขากำลังทำอะไร?”กู้หว่านเยว่ถามด้วยความสงสัย“นกพิราบสื่อสาร” ซูจิ่งสิงอธิบายเบา ๆ ตอนที่พวกเขาออกรบ ก็มักจะใช้วิธีนี้ในการส่งข่าวสารเช่นกันเป็นไปอย่างที่คิดไว้ ไม่นานนักก็มีนกพิราบตัวหนึ่งบินออกมาจากป่า มาเกาะที่แขนที่ยกขึ้นของนักการหลี่นักการหลี่หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอก แล้วผูกมันไว้กับนกพิราบอย่างคล่องแคล่วภายใต้แสงจันทร์ รอยยิ้มของเขาดูพึงพอใจเป็นพิเศษราวกับเห็นภาพวันที่ได้เลื่อนตำแหน่งและร่ำรวย หลังจากที่ทำงานสำเร็จ“ฮ่า ๆ ๆ...”มีความสุขมาก นักการหลี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาแต่ในวินาทีต่อมา สีหน้าของเขาก็ทุกข์ระทมนกพิราบที่เพิ่งบินออกจากมือของเขา ยังไม่ทันได้กระพือปีกสองครั้ง ก็ถูกธนูที่พุ่งมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ปักเข้าที่ต้นไม้อย่างจัง“บ้าเอ๊ย!”นักการหลี่ตกตะลึง เมื่อรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ก็หันหลังกลับเพื่อจะวิ่งหนีแต่เขายังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกไป ซูจิ่งสิงก็พุ่งตัวออกมาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ดึงลูกธนูออก เขาก็พลิกฝ่ามือแล้วแทงทะลุหลอดลมของนักการหลี่โดยตรง“ตุบ” เขาไม่ทันได้ร้องขอชีวิต ก็ล้มลงไปกับพื้น“ดูหน่อยว่าในจดหมายเขาเขียนอะไร”กู้หว่านเยว่รีบต
ในขณะเดียวกับที่มุมปากกระตุกยิ้มนั้น ในใจเขากลับรู้สึกจนปัญญา สองสามีภรรยาคู่นี้ยังคงทำตัวเหมือนเขาเป็นคนของตน มั่นใจว่าเขาจะปกป้องพวกเขาได้ต้องพูดว่าพวกเขาอ่านใจของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งเดิมทีเขาอยากสั่งสอนนักการหลี่ให้รู้จักสำนึก ตอนนี้นักการหลี่ได้ถูกพวกเขาจัดการแล้ว เขาจึงไม่ซักไซ้ไล่ถามให้มากความ“เอาเถอะ หามเขาออกไป”ซุนอู่ล้วงหยิบสมุดเล่มเล็กออกมา จากนั้นก็ขีดฆ่าชื่อของนักการอย่างเลือดเย็น ไม่เอ่ยถึงการตายของนักการหลี่แต่อย่างใดทุกคนก็ไม่ได้คัดค้าน การเสียชีวิตระหว่างทางเป็นเรื่องปกติ ทุกคนต่างชินชาไปแล้วหลังจากจัดการกับศพเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมากินอาหารเช้าในค่ายตามเดิมหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ทุกคนก็ออกเดินทางต่อ ถึงแม้ว่าเมื่อวานนี้ฟู่เยียนหรานทำเรื่องน่าอับอายไปแล้ว แต่วันนี้นางยังคงบังคับเกวียนตามหลังพวกเขามาอย่างไร้ยางอายขณะที่กู้หว่านเยว่ไปตักน้ำ ฟู่เยียนหรานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้โอกาสนี้เข้าไปคุยกับซูจิ่งสิงอย่างใกล้ชิดซูจิ่งสิงไม่สนใจนาง แค่รู้สึกว่านางน่ารำคาญเท่านั้น“คุณชายซู ทำไมท่านถึงไม่สนใจข้า?” แววตาของฟู่เยียนหรานฉายแววหดหู่เมื่อเห็น
“เจ้ารู้สึกเช่นนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ คุณชายซูต่างหากที่ต้องรู้สึกเช่นนี้!”เมื่อได้ยินประโยคนั้นฟู่เยียนหรานกลับดีใจไม่ออก นางรู้สึกอัดอั้นตันใจอยู่ภายใน จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะสู้นักโทษคนหนึ่งไม่ได้ สักวันข้าจะทำให้คุณชายซูหวั่นไหวต่อข้า เขาจะต้องทิ้งกู้หว่านเยว่อย่างไร้เยื่อใย!”นัยน์ตาของฟู่เยียนหรานเปล่งประกายวูบไหว ฟู่ซานถึงกับต้องรีบหดคอด้วยความหวาดกลัวหลังจากที่ฟู่เยียนหรานได้รับบทเรียน ระหว่างเดินทางนางไม่ได้เข้ามายุ่มย่ามกับพวกเขาโดยพลการอีก แต่นางกลับวางแผนอย่างเงียบ ๆ สองวันต่อมา ขบวนนักโทษก็ได้เดินทางเข้าสู่อาณาเขตปิงโจวภาพแรกที่ประจักษ์แก่สายตาคือทรายสีเหลืองอร่ามที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ตลอดเส้นทางที่เดินเข้ามากลับไม่เห็นแอ่งน้ำเลยสักแห่ง เวลานี้ทุกคนต่างกระหายจนปากแห้งไปหมดแล้ว“ถุย ทำไมลมพวกนี้ถึงเต็มไปด้วยทรายเช่นนี้”ซูจิ่นเอ๋อร์ถ่มน้ำลายและทรายที่เข้าปากของนาง“นั่นนะสิ อากาศแบบไหนกันเนี่ย?”ซูจื่อชิงถูกเม็ดทรายที่ฟุ้งกระจายมากับสายลมปะทะหน้าจนปวดแสบไปหมด แม้แต่ดวงตาของเขาก็ลืมไม่ขึ้นลมทะเลทรายที่ฟุ้งกระจายทำให้ซุนอู่ที่นำข
ไม่ต้องให้ซุนอู่ออกคำสั่ง ทุกคนก็พร้อมใจกันวิ่งไปยังทิศตรงข้ามอย่างบ้าคลั่งพายุลูกนั้นได้กวาดเม็ดทรายบนพื้นดินหมุนวนขึ้นมา แบ่งท้องฟ้าเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งสดใสอีกฝั่งกลายเป็นสีแดงฉานพายุใหญ่ลูกนั้นมีลักษณะคล้ายกับกระแสน้ำวน และกำลังเคลื่อนตัวมาทางพวกเขาต้นไป๋หยางเพียงต้นเดียวในทะเลทรายถูกพายุพัดถอดรากถอนโคลนและดูดเข้าไปในวังวนที่น่ากลัว ยิ่งเห็นพายุที่น่ากลัวเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่มีใครกล้าหยุดวิ่ง ทุกคนต่างวิ่งหนีอย่างสุดกำลังแม้แต่ฟู่เยียนหรานก็ยังยกชายกระโปรงและวิ่งไปข้างหน้าพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้องไปตลอดทางกู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วแน่นขณะบังคับเกวียน ยิ่งเผชิญหน้ากับช่วงเวลาเช่นนี้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งต้องใจเย็นมากขึ้นเท่านั้น ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับซูจิ่นเอ๋อร์“จิ่นเอ๋อร์ ใช้แส้ฟาดก้นลา จะทำให้มันวิ่งเร็วขึ้น!”“แส้ แส้อยู่ไหน?”ซูจิ่นเอ๋อร์หันกลับไปมองพายุใหญ่มหึมาลูกนั้นแล้วตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวนางคลำหาแส้อยู่นานก็ยังไม่เจอกว่าจะหาแส้เจอ มือไม้ก็อ่อนไปหมด“ถอยไป ข้าเอง!”เวลานี้ เมี่ยชิงหว่านที่เงียบมาตลอดทางได้ผลักนางออก จากนั้นก็กระโดดขึ้นมาบนเกวียน
เมื่อกู้หว่านเยว่เห็นท่าทางของทั้งสองคนแล้วก็หมดคำพูด นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้ว ไอหยา...แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้ต่อว่าหลี่ฮูหยินแต่อย่างใด คนที่สามารถเสียสละตนเพื่อครอบครัวได้ไม่ใช่ใครก็ทำได้“ให้เด็ก ๆ นั่งบนเกวียนของข้า แล้วให้นายท่านหลี่แบกเจ้าไป”เมื่อสิ้นสุดประโยค กู้หว่านเยว่ก็อุ้มเด็กทั้งสองคนของสกุลหลี่และบินไปบนเกวียนลาของตัวเองซูจิ่งสิงบังคับลาอยู่ด้านหน้า เมื่อเห็นนางกลับขึ้นมาอย่างปลอดภัย เขาก็รีบบังคับเกวียนลาออกไปทันทีหลี่ฮูหยินเกาะอยู่บนหลังของนายท่านหลี่พร้อมเสียงสะอื้น“ท่านพี่ ขอบคุณท่านมาก และก็แม่นางกู้...ไว้มีโอกาสข้าจะตอบแทนพระคุณของนางอย่างแน่นอน”“ไอหยา จะพูดเรื่องนี้ทำไม ข้าไม่มีวันทิ้งเจ้าแน่นอน” นายท่านหลี่ทอดถอนใจ จากนั้นก็ใช้กำลังภายในเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นภาพที่หลี่ฮูหยินกำลังจะตายอย่างสิ้นหวังยังคงฝังรากลึกอยู่ในใจของเขาหากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้น้อยองค์นั้น ครอบครัวของพวกเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่อับจนหนทางเช่นนี้ได้อย่างไร!หากภายภาคหน้ายังมีโอกาส เขาจะต้องชำระหนี้แค้นครั้งนี้ให้จงได้แม้ว่าพายุนั้นจะน่ากลัวมาก แต่มันก็มีวงโคจรในการเคลื่อนที่ ขอบเขต
ทุกคนต่างเห็นด้วยกับคำกล่าวของกู้หว่านเยว่ไม่มีใครรู้ว่าพายุใหญ่ลูกนั้นจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ อีกทั้งเม็ดทรายที่ฟุ้งกระจายอยู่รอบตัวก็ทำให้ทุกคนหายใจไม่สะดวกนัก สู้หนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดน่าจะปลอดภัยกว่า“ท่านนักการ ดูเหมือนว่าข้างหน้าจะมีจวนขุนนางอยู่หลังหนึ่ง”จางเอ้อร์ที่ออกไปสำรวจเส้นทางกลับมาบอกข่าวด้วยสีหน้าดีใจ“เยี่ยม เช่นนั้นเรารีบไปกันเถอะ ไปพักที่จวนขุนนางหลังนั้น” นัยน์ตาของซุนอู่เปล่งประกายกลุ่มนักโทษรีบเร่งฝีเท้าเดินทางไปจนถึงทางเข้าของจวนขุนนาง เพียงแต่เมื่อเห็นแผ่นสลักชื่อของจวนหลังนั้น ซุนอู่ถึงกับตกอยู่ในอาการลังเลนี่คือจวนส่วนพระองค์แห่งหนึ่งความหมายก็ตามชื่อ มันคือที่ดินทรัพย์สินส่วนพระองค์ ซึ่งไม่รู้ว่าพวกเขาจะขออาศัยที่แห่งนี้พักชั่วคราวได้หรือไม่ทันทีที่เคาะประตู พ่อบ้านท่าทางเย่อหยิ่งคนหนึ่งก็เดินออกมา“เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นนักการที่รับหน้าที่พานักโทษไปส่งให้หน่วยงานอย่างนั้นหรือ?”“ใช่ อากาศข้างนอกเลวร้ายมาก พวกเราไม่มีที่ไปจึงอยากจะขอพักที่นี่สักคืน ไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่” น้อยนักที่ซุนอู่จะกล่าวอย่างสุภาพเช่นนี้พ่อบ้านมองกลุ่มนักโทษแวบหนึ่ง
“เห็นได้ชัดว่ามู่หรงอวี้มีเจตนาที่ไม่ดี หากท่านไปอาจจะไม่ได้กลับมาอีก”ซูจิ่นเอ๋อร์กล่าวอย่างเหนื่อยล้า “แต่ตอนนี้พวกเราอยู่ในอาณาเขตของเขา จะไปหรือไม่ไปก็ดูเหมือนค่าเท่ากัน”ซูจื่อชิงถึงกับสำลัก แล้วถลึงตาใส่ซูจิ่นเอ๋อร์อย่างเอือมระอา“ทำอย่างไรดี?” หลายคนเริ่มเป็นกังวลซูจิ่งสิงเหลือบมองพวกเขา นัยน์ตาเคร่งขรึมเล็กน้อย หากมู่หรงอวี้ทำการบุ่มบ่ามขึ้นมาจริง ๆ เขาคงต้องชิงเปิดเผยคนในความลับก่อน“ข้าจะไปเป็นเพื่อนท่านเอง”ทันใดนั้น กู้หว่านเยว่ก็คว้ามือของเขา และฉีกยิ้มพลางกล่าว“แค่กินข้าวมื้อเดียว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ท่านวางได้ มู่หรงอวี้ไม่กล้าทำอะไรท่านอย่างเปิดเผยหรอก”แต่ถ้าเขาคิดจะแทงข้างหลังก็ไม่แน่ถึงต่อให้เขาจะแทงข้างหลัง กู้หว่านเยว่ก็มีวิธีต่อกรกลับไปซูจิ่งสิงมองนางอย่างซาบซึ้ง “หว่านเยว่ ขอบใจเจ้ามาก”“อย่าใช้สายตาชวนขนลุกเช่นนี้มองข้าเชียว” กู้หว่านเยว่ไอกระแอมหนึ่งเสียง ก่อนจะโบกมืออย่างไม่ใส่ใจเหตุใดคำขอบคุณของบุรุษผู้นี้ถึงได้ลึกซึ้งเช่นนี้?หลังจากที่ทั้งสองคนเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ก็เดินตามไปยังลานด้านหน้าระหว่างทาง เด็กรับใช้คนนั้นได้เหลือบมองพวกเข
ซูจิ่งสิงกระซิบเตือนกู้หว่านเยว่ที่ข้างหูอย่างแผ่วเบา ภรรยาเป็นคนบ้าการงาน ตั้งแต่มาถึงค่ายทหาร ก็มีเวลาพักผ่อนน้อยกว่าเขาเสียอีกเขาชอบท่าทางการวางแผนในกระโจมของกู้หว่านเยว่มาก เพียงแต่เป็นห่วงว่าร่างกายของนางจะรับไม่ไหว ดังนั้นจึงกำชับอยู่บ่อยครั้ง“ก็ได้เจ้าค่ะ ลมแรงจริง ๆ”กู้หว่านเยว่ถือโอกาสโยนกล้องโทรทรรศน์เข้าไปในมิติ แล้วลงมาจากหอสังเกตการณ์พร้อมกับซูจิ่งสิงหอสังเกตการณ์แห่งนี้สร้างโดยทหารตามคำสั่งของกู้หว่านเยว่ก่อนหน้านี้ โดยอิงตามพิมพ์เขียวที่นางให้มาหอสังเกตการณ์สูงยี่สิบเมตรพอดี เมื่อยืนอยู่ด้านบนของหอสังเกตการณ์จะสามารถมองเห็นจุดที่อยู่ไกลออกไปได้ชัดเจน สังเกตสถานการณ์ของศัตรูได้สะดวกยิ่งขึ้นทั้งสองลงมาจากหอสังเกตการณ์ ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่ในกองทัพกับเกาเจี้ยนก็ได้ยินเสียงโต้เถียงครู่หนึ่งโดยพลัน“ชู่ว์”กู้หว่านเยว่ส่งสัญลักษณ์มือให้ซูจิ่งสิง ดึงเขาให้เดินไปตามทิศทางที่ส่งเสียงมานางรู้สึกอยู่เสมอว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นเคย เมื่อเดินเข้าไปมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนคุ้นเคยจริงดังคาด เห็นกงซุนฉิงและลู่จิงกำลังโต้เถียงกันหน้าแดงหูแดง“นายท่าน ฮูหยิน พวกท่านมา
“หลี่กวงถิงต้องการควบคุมข่าวลือในกองทัพ แต่ก็ต้องดูว่านายทหารเหล่านั้นจะเชื่อเขาหรือไม่”ในกระโจมฝั่งตรงข้ามกับแม่น้ำมู่ตัน กู้หว่านเยว่กำลังแกว่งเอกสารราชการในมือเล่น ใบหน้าเผยแววเจ้าเล่ห์ออกมาซูจิ่งสิงถูปลายนิ้ว “เป็นอย่างที่เจ้าคาดไว้ไม่ผิด ทันทีที่หลี่กวงถิงได้ยินข่าวนี้ ก็เรียกประชุมทั้งกองทัพทันทีและบอกว่าข่าวนี้ เป็นเท็จ”“เขามีวิธี และเราก็มีวิธีเช่นกัน”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเก็บไพ่ใบสำคัญนี้ไว้ตลอดโดยเปล่าประโยชน์ ย่อมไม่ยอมปล่อยให้หลี่กวงถิงปกปิดเรื่องนี้ได้ง่าย ๆ“ถึงเวลาที่โจวเหล่าต้องออกหน้าแล้ว”นางเอ่ยเบา ๆหลี่กวงถิงเรียกประชุมทั้งกองทัพ พยายามปลอบขวัญทหารทว่าเขาเพิ่งพูดจบในตอนเช้า ตอนบ่ายก็มีข่าวส่งมาถึงบอกว่าโจวเหล่าออกหน้าด้วยตัวเอง เขียนเอกสารฉบับหนึ่งด้วยมือ“โจวเหล่าได้ยอมรับสถานะบุตรที่เป็นกำพร้าของอดีตรัชทายาทแล้ว”ใบหน้าของรองแม่ทัพอมทุกข์“โจวเหล่าเคยเป็นอาจารย์ของอดีตรัชทายาท เขายังเป็นนักปราชญ์แห่งยุคอีกด้วย มีลูกศิษย์ในมือนับไม่ถ้วน เขาเชี่ยวชาญในการชี้นำการพัฒนาคำวิพากษ์วิจารณ์ของมวลชนบัดนี้เขาพูดออกมาเช่นนี้ ยังมีใครที่ไม่เชื่ออีก?”
กู้หว่านเยว่ซื้อโล่และชุดเกราะมาอย่างละสองหมื่นชุดนอกจากธนูและหน้าไม้แล้ว กู้หว่านเยว่ยังซื้อลูกปืนใหญ่มาอีกชุดหนึ่งลูกปืนใหญ่เหล่านี้ถือเป็นของสำรอง จะไม่นำออกมาใช้อย่างเด็ดขาด เว้นแต่จะเป็นสถานการณ์พิเศษพลังทำลายล้างของลูกปืนใหญ่นั้นรุนแรงเกินไป หากไม่จำเป็น ก็อย่าเพิ่งนำออกมาใช้หลังจากเตรียมสิ่งของพร้อมแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ดูยอดเงินคงเหลือในบัตรอืม แทบจะไม่ขยับเลยการมีเงินใช้ไม่หมดนี่มันรู้สึกดีจริง ๆ !นอกจากสิ่งเหล่านี้ นางยังซื้อผงห้ามเลือดและยาจินชวงมาจำนวนมาก ล้วนมีประโยชน์สำหรับใช้พันแผลให้ทหารหลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ย้ายสิ่งของทั้งหมดนี้เข้าไปไว้ในคลังเก็บของในเมืองผิงโจวเมืองผิงโจวมีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา ไม่ต้องกลัวว่าของข้างในจะสูญหายหลังจากนำของเข้าไปไว้ในคลังเก็บของแล้ว ค่อยให้ทหารขนย้ายสิ่งของเหล่านี้ทั้งหมดไปยังค่ายเวลาผ่านไปรวดเร็วสิบวันต่อมา กองทัพของฮ่องเต้เดินทางมาถึงแม่น้ำมู่ตันหลี่กวงถิงมองไปยังผืนน้ำอันกว้างใหญ่ของแม่น้ำมู่ตัน ก็รู้สึกมึนงงมิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้เจียงเต๋อจื้อนำกองทัพห้าหมื่นนายมา ผลปรากฏว่าพ่ายแพ้ย่อยยับ
นางสั่งให้คนสร้างคลังเก็บของขนาดใหญ่ขึ้นที่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำมู่ตันในเมืองผิงโจวเมื่อนานมาแล้ว แต่ก่อนเอาไว้ใช้เก็บเสบียงอาหารยังมีคลังเก็บของอีกหลายแห่งที่ยังใช้ไม่หมดกู้หว่านเยว่ตั้งใจจะใช้กักตุนอาวุธทั้งหมดสามวันต่อมา กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงนำกองทัพใหญ่มาถึงแม่น้ำมู่ตันกองทัพใหญ่ตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำกางเต็นท์อย่างเป็นระเบียบ ตามแบบแปลนที่กู้หว่านเยว่มอบให้เต็นท์เล็ก ๆ ถูกกางขึ้นริมแม่น้ำควันไฟค่อย ๆ ลอยขึ้นไปเหล่าทหารไม่ได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย แต่ละคนดูเหมือนมาพักผ่อนจะทำอย่างไรได้ ก็เบี้ยหวัดทหารเยอะมากเกินไป!คนอื่นเวลาเดินทัพก็กินแต่อาหารแห้ง ซาลาเปากับหมั่นโถว แต่พวกเขากินกับข้าวสามอย่าง พร้อมน้ำแกงหนึ่งอย่างทุกมื้อ แถมยังมีทั้งเนื้อและผักอีกต่างหาก!แบบนี้จะเรียกว่าออกรบได้อย่างไร?เหมือนกับเทศกาลตรุษจีนชัด ๆ !เมื่อเห็นเหล่าทหารมีขวัญกำลังใจ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ดีใจ ทั้งสองคนปรึกษาแผนการในค่ายทหารซูจิ่งสิงไม่เป็นสองรองใครในเรื่องการรบอยู่แล้ว แต่เขาพบว่ากู้หว่านเยว่ก็มีพรสวรรค์ในด้านการทหารเช่นกันความคิดที่ผุดขึ้นมาเป็นครั้งคราว ทำให้เขา
“ไม่ต้อง ๆ ข้าแค่พูดเล่นเท่านั้น ยาพิษของพวกนี้ ใช้ให้น้อยจะดีกว่า”แต่จริง ๆ แล้ว เขาก็แค่แสร้งทำเท่านั้น เฟิ่งอู๋ชีไม่ได้กลัวพิษเลยสักนิด เพราะร่างกายเขามีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิด“ไปแล้วนะ”เขาโบกมือ แล้วหันหลังเดินจากไป“รักษาชีวิตของท่านเอาไว้”กู้หว่านเยว่เอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงความปลอดภัยของเฟิ่งอู๋ชี แต่เป็นเพราะคนที่ร่างกายมีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิดนั้นหาได้ยากเผื่อในอนาคตทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกัน นางก็อาจจะได้ศึกษาดู“ไม่ต้องห่วง สิ่งที่แข็งที่สุดของข้าก็คือชีวิตนี่แหละ”เฟิ่งอู๋ชีนหลังเดินจากไป เดินไปได้สองก้าวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไม่ใช่ ๆ จุดแข็งที่สุดของเขาไม่ใช่ชีวิตเสียหน่อย!“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ นี่เป็นถึงองค์ชายหนานเจียงเชียวนะ จะไม่ฉวยโอกาสจับเขาไว้หรือ จะปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แบบนี้หรือ?”ซูจื่อชิงรีบเข้ามา เห็นเฟิ่งอู๋ชีกำลังเดินจากไปพอดี ใบหน้าของเขาเผยความเสียดายออกมาเล็กน้อยปล่อยศัตรูไปแบบนี้ ไม่เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่าหรอกหรือ?จากมุมมองของเขา ก็ควรจะจับองค์ชายหนานเจียงไว้ เพื่อใช้ข่มขู่หนานเจียงสิ“ฆ่าองค์ชายหนานเจียงก็ไร้ประโยช
นางแสดงสีหน้าสงบนิ่ง แม้ว่าใบหน้าจะเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา แต่คำพูดที่เอ่ยออกมานั้นกลับเฉียบคม ทำให้อวิ๋นมู่ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรดี“ข้าไม่ได้คิดกับพี่สะใภ้ของท่านอย่างที่ท่านคิด”จิตใจของอวิ๋นมู่บริสุทธิ์มาก เขาเพียงต้องการปกป้องอยู่ข้างกายกู้หว่านเยว่ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ไม่เคยคิดฝันไกลเลยแน่นอนว่า หากซูจิ่งสิงทำไม่ดีกับกู้หว่านเยว่ เช่นนั้นเขาก็จะลงมือพอถูกมู่หรงฉางเล่อรั้งเอาไว้ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็เดินห่างออกไปไกลแล้ว ร่างของทั้งสองคนหายลับไปในถนนยาวอวิ๋นมู่จึงตัดสินใจไม่ตามพวกเขาไป เขาพิงกายลงนั่งริมขอบเรือ พลางมองไปยังผืนน้ำในทะเลสาบ“คุณชายอวิ๋น หรือว่า จะลองมองคนข้าง ๆ บ้างก็ได้”มู่หรงฉางเล่อกะพริบตาคู่สวยที่ดูราวกับดวงตาจิ้งจอก“อย่างเช่น มองข้า”“ท่าน...”อวิ๋นมู่ตกตะลึง ใบหูแดงก่ำขึ้นมาอย่างรวดเร็วเวลานี้เขาพบว่า มู่หรงฉางเล่ออยู่ใกล้เขามาก ลมหายใจของนางเป่ารดใบหน้าของเขาเขารีบลุกขึ้น อยากจะจากไป“ตอนนี้ยังไปไม่ได้นะ”มู่หรงฉางเล่อดึงชายเสื้อของเขาไว้ราวกับรู้ล่วงหน้า พลางทำเสียงออดอ้อน“คำสัญญาที่ท่านรับปากไว้กับข้ายังไม่ได้เสร็จสิ้น ต้องอยู่เป็
“ไม่คิดจะอยู่รอดูเรื่องสนุกที่นี่หน่อยหรือ?”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วขึ้นซูจิ่งสิงส่ายหน้า เขาไม่สนใจคนทั้งสองคนนี้“ตราบใดที่ข้าได้อยู่กับน้องหญิงอย่างมีความสุขก็พอแล้ว”“ใช่”กู้หว่านเยว่ยิ้มหวานบนเรือสำราญ มู่หรงฉางเล่อกำลังพูดคุยกับอวิ๋นมู่อวิ๋นมู่ดูเหมือนจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับนิสัยเข้ากับคนอื่นได้ง่ายของนาง จึงแสดงสีหน้าประหม่าเล็กน้อย“ท่านหญิงฉางเล่อ เรื่องที่ข้ารับปากท่าน ข้าทำเสร็จแล้ว ท่านจะให้ข้ากลับได้หรือยัง?”อวิ๋นมู่ส่ายหน้าอย่างจนใจตลอดทางมู่หรงฉางเล่อพูดมากเหลือเกิน เขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี“นี่จะกลับแล้วหรือ? คุณชายอวิ๋นรับปากข้าแล้วมิใช่หรือว่าจะอยู่เที่ยวเล่นเป็นเพื่อนข้าจนกว่าข้าจะพอใจ”มู่หรงฉางเล่อโบกพัดในมือไปมา ดวงตาที่หรี่ลงดูราวกับจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่ง“นี่เป็นสิ่งที่ท่านติดค้างข้า คุณชายอวิ๋น อย่าได้กลับคำเชียว”อวิ๋นมู่แสดงสีหน้าจนใจวันนั้นที่ร้านขายเสื้อผ้า ตอนแรกเขากำลังเลือกผ้าอยู่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเจ้าของร้านถึงต้องยกน้ำชามาให้เขาเขาตั้งใจจะวางน้ำชาลง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพอหันหลังกลับ ดันไปชนมู่หรงฉางเล่อเข้าโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ชายกระโ
หลี่กวงถิงเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เรื่องที่สกุลซูถูกยึดทรัพย์ในตอนนั้น เขาก็หลบเลี่ยง ไม่ยอมออกหน้ากลับส่งเจียงเต๋อจื้อคนโง่เขลาเบาปัญญาออกไปภายนอกคือให้โอกาสแก่เจียงเต๋อจื้อ แต่ที่จริงแล้ว ในใจเขากลัวว่าซูจิ่งสิงจะฟื้นคืนอำนาจ แล้วกลับมาแก้แค้นในภายหลังแต่ถึงแม้เขาจะไม่ได้ออกหน้า แต่สุดท้ายก็มีส่วนร่วมอยู่ดี“เมื่อกษัตริย์ต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้”หลี่กวงถิงถอนหายใจยาวระยะทางที่กองทัพจะเดินทางไปยังเจดีย์หนิงกู่ ต้องใช้เวลาเดินทางอีกหนึ่งเดือน ภายในหนึ่งเดือนนี้ เขาต้องรีบส่งคนไปสืบดูสถานการณ์ทางการทหารของเจดีย์หนิงกู่หลี่กวงถิงหยิบกระดาษสีเหลืองขึ้นมา มือที่เหี่ยวย่นราวกับเปลือกไม้เขียนข้อความลงบนกระดาษสีเหลือง แล้วส่งให้รองแม่ทัพ“นำไปให้สายลับ”“ขอรับ” รองแม่ทัพซ่งรีบออกไปทันทีถึงแม้โอกาสชนะจะน้อย แต่ก็ต้องดิ้นรนบ้างมิใช่หรือ?ทางด้านกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงปรึกษาหารือกันเสร็จแล้ว ก็เรียกหลี่เฉินอันเข้ามาไม่ได้เจอกันนาน หลี่เฉินอันก็สูงขึ้น และแข็งแรงขึ้นมาก“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์หญิง”เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่ เขาจึงคุกเข่าลงอย่างนอบน้อม
“เจ้าออกไปเถอะ ข้าจะบอกอะไรเจ้าสักหนึ่งประโยค ถึงแม้เจ้าจะเป็นบ่าวของข้า แต่ข้าก็มองเจ้าเป็นเหมือนน้องสาวแท้ ๆ หากเจ้าชอบใครจริง ๆ เจ้าก็จงพยายามไขว่คว้าเอาเอง ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้าวันนี้เจ้าก็เห็นแล้วว่าฉางเล่อมีใจให้กับอวิ๋นมู่ ข้าไม่ได้รู้สึกว่าเจ้าด้อยไปกว่านางเลยแน่นอนว่า ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้า”กู้หว่านเยว่พูดเพียงเท่านี้แววตาของชิงเหลียนมีความสับสนอยู่ชั่วขณะ จากนั้นจึงพยักหน้า“ขอบคุณฮูหยิน บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ ทันใดนั้น ซูจิ่งสิงก็รีบร้อนเข้ามาจากข้างนอก“น้องหญิง ทางเมืองหลวงมีข่าวแพร่สะพัดมาแล้ว”กู้หว่านเยว่ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันทีเรื่องใหญ่มาแล้ว!นางโบกมือให้ชิงเหลียนออกไป แล้วหันไปมองซูจิ่งสิง“เกิดอะไรขึ้น?”“นี่คือจดหมายของนกพิราบสื่อสารจากเมืองหลวง”ซูจิ่งสิงไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขาแค่หยิบจดหมายที่อยู่ในมือมอบให้กู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่รีบเปิดออก แล้วก็หัวเราะเยาะในทันที“ฮ่องเต้ชั่วลงมือเร็วจริง ๆ ”ในจดหมายกล่าวถึง ฮ่องเต้มอบหมายกองทัพให้กับหลี่กวงถิง เสนาบดีฝ่ายขวา สั่งให้เขาเป็น