“เขากำลังทำอะไร?”กู้หว่านเยว่ถามด้วยความสงสัย“นกพิราบสื่อสาร” ซูจิ่งสิงอธิบายเบา ๆ ตอนที่พวกเขาออกรบ ก็มักจะใช้วิธีนี้ในการส่งข่าวสารเช่นกันเป็นไปอย่างที่คิดไว้ ไม่นานนักก็มีนกพิราบตัวหนึ่งบินออกมาจากป่า มาเกาะที่แขนที่ยกขึ้นของนักการหลี่นักการหลี่หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอก แล้วผูกมันไว้กับนกพิราบอย่างคล่องแคล่วภายใต้แสงจันทร์ รอยยิ้มของเขาดูพึงพอใจเป็นพิเศษราวกับเห็นภาพวันที่ได้เลื่อนตำแหน่งและร่ำรวย หลังจากที่ทำงานสำเร็จ“ฮ่า ๆ ๆ...”มีความสุขมาก นักการหลี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาแต่ในวินาทีต่อมา สีหน้าของเขาก็ทุกข์ระทมนกพิราบที่เพิ่งบินออกจากมือของเขา ยังไม่ทันได้กระพือปีกสองครั้ง ก็ถูกธนูที่พุ่งมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ปักเข้าที่ต้นไม้อย่างจัง“บ้าเอ๊ย!”นักการหลี่ตกตะลึง เมื่อรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ก็หันหลังกลับเพื่อจะวิ่งหนีแต่เขายังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกไป ซูจิ่งสิงก็พุ่งตัวออกมาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ดึงลูกธนูออก เขาก็พลิกฝ่ามือแล้วแทงทะลุหลอดลมของนักการหลี่โดยตรง“ตุบ” เขาไม่ทันได้ร้องขอชีวิต ก็ล้มลงไปกับพื้น“ดูหน่อยว่าในจดหมายเขาเขียนอะไร”กู้หว่านเยว่รีบต
ในขณะเดียวกับที่มุมปากกระตุกยิ้มนั้น ในใจเขากลับรู้สึกจนปัญญา สองสามีภรรยาคู่นี้ยังคงทำตัวเหมือนเขาเป็นคนของตน มั่นใจว่าเขาจะปกป้องพวกเขาได้ต้องพูดว่าพวกเขาอ่านใจของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งเดิมทีเขาอยากสั่งสอนนักการหลี่ให้รู้จักสำนึก ตอนนี้นักการหลี่ได้ถูกพวกเขาจัดการแล้ว เขาจึงไม่ซักไซ้ไล่ถามให้มากความ“เอาเถอะ หามเขาออกไป”ซุนอู่ล้วงหยิบสมุดเล่มเล็กออกมา จากนั้นก็ขีดฆ่าชื่อของนักการอย่างเลือดเย็น ไม่เอ่ยถึงการตายของนักการหลี่แต่อย่างใดทุกคนก็ไม่ได้คัดค้าน การเสียชีวิตระหว่างทางเป็นเรื่องปกติ ทุกคนต่างชินชาไปแล้วหลังจากจัดการกับศพเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมากินอาหารเช้าในค่ายตามเดิมหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ทุกคนก็ออกเดินทางต่อ ถึงแม้ว่าเมื่อวานนี้ฟู่เยียนหรานทำเรื่องน่าอับอายไปแล้ว แต่วันนี้นางยังคงบังคับเกวียนตามหลังพวกเขามาอย่างไร้ยางอายขณะที่กู้หว่านเยว่ไปตักน้ำ ฟู่เยียนหรานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้โอกาสนี้เข้าไปคุยกับซูจิ่งสิงอย่างใกล้ชิดซูจิ่งสิงไม่สนใจนาง แค่รู้สึกว่านางน่ารำคาญเท่านั้น“คุณชายซู ทำไมท่านถึงไม่สนใจข้า?” แววตาของฟู่เยียนหรานฉายแววหดหู่เมื่อเห็น
“เจ้ารู้สึกเช่นนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ คุณชายซูต่างหากที่ต้องรู้สึกเช่นนี้!”เมื่อได้ยินประโยคนั้นฟู่เยียนหรานกลับดีใจไม่ออก นางรู้สึกอัดอั้นตันใจอยู่ภายใน จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะสู้นักโทษคนหนึ่งไม่ได้ สักวันข้าจะทำให้คุณชายซูหวั่นไหวต่อข้า เขาจะต้องทิ้งกู้หว่านเยว่อย่างไร้เยื่อใย!”นัยน์ตาของฟู่เยียนหรานเปล่งประกายวูบไหว ฟู่ซานถึงกับต้องรีบหดคอด้วยความหวาดกลัวหลังจากที่ฟู่เยียนหรานได้รับบทเรียน ระหว่างเดินทางนางไม่ได้เข้ามายุ่มย่ามกับพวกเขาโดยพลการอีก แต่นางกลับวางแผนอย่างเงียบ ๆ สองวันต่อมา ขบวนนักโทษก็ได้เดินทางเข้าสู่อาณาเขตปิงโจวภาพแรกที่ประจักษ์แก่สายตาคือทรายสีเหลืองอร่ามที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ตลอดเส้นทางที่เดินเข้ามากลับไม่เห็นแอ่งน้ำเลยสักแห่ง เวลานี้ทุกคนต่างกระหายจนปากแห้งไปหมดแล้ว“ถุย ทำไมลมพวกนี้ถึงเต็มไปด้วยทรายเช่นนี้”ซูจิ่นเอ๋อร์ถ่มน้ำลายและทรายที่เข้าปากของนาง“นั่นนะสิ อากาศแบบไหนกันเนี่ย?”ซูจื่อชิงถูกเม็ดทรายที่ฟุ้งกระจายมากับสายลมปะทะหน้าจนปวดแสบไปหมด แม้แต่ดวงตาของเขาก็ลืมไม่ขึ้นลมทะเลทรายที่ฟุ้งกระจายทำให้ซุนอู่ที่นำข
ไม่ต้องให้ซุนอู่ออกคำสั่ง ทุกคนก็พร้อมใจกันวิ่งไปยังทิศตรงข้ามอย่างบ้าคลั่งพายุลูกนั้นได้กวาดเม็ดทรายบนพื้นดินหมุนวนขึ้นมา แบ่งท้องฟ้าเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งสดใสอีกฝั่งกลายเป็นสีแดงฉานพายุใหญ่ลูกนั้นมีลักษณะคล้ายกับกระแสน้ำวน และกำลังเคลื่อนตัวมาทางพวกเขาต้นไป๋หยางเพียงต้นเดียวในทะเลทรายถูกพายุพัดถอดรากถอนโคลนและดูดเข้าไปในวังวนที่น่ากลัว ยิ่งเห็นพายุที่น่ากลัวเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่มีใครกล้าหยุดวิ่ง ทุกคนต่างวิ่งหนีอย่างสุดกำลังแม้แต่ฟู่เยียนหรานก็ยังยกชายกระโปรงและวิ่งไปข้างหน้าพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้องไปตลอดทางกู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วแน่นขณะบังคับเกวียน ยิ่งเผชิญหน้ากับช่วงเวลาเช่นนี้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งต้องใจเย็นมากขึ้นเท่านั้น ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับซูจิ่นเอ๋อร์“จิ่นเอ๋อร์ ใช้แส้ฟาดก้นลา จะทำให้มันวิ่งเร็วขึ้น!”“แส้ แส้อยู่ไหน?”ซูจิ่นเอ๋อร์หันกลับไปมองพายุใหญ่มหึมาลูกนั้นแล้วตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวนางคลำหาแส้อยู่นานก็ยังไม่เจอกว่าจะหาแส้เจอ มือไม้ก็อ่อนไปหมด“ถอยไป ข้าเอง!”เวลานี้ เมี่ยชิงหว่านที่เงียบมาตลอดทางได้ผลักนางออก จากนั้นก็กระโดดขึ้นมาบนเกวียน
เมื่อกู้หว่านเยว่เห็นท่าทางของทั้งสองคนแล้วก็หมดคำพูด นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้ว ไอหยา...แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้ต่อว่าหลี่ฮูหยินแต่อย่างใด คนที่สามารถเสียสละตนเพื่อครอบครัวได้ไม่ใช่ใครก็ทำได้“ให้เด็ก ๆ นั่งบนเกวียนของข้า แล้วให้นายท่านหลี่แบกเจ้าไป”เมื่อสิ้นสุดประโยค กู้หว่านเยว่ก็อุ้มเด็กทั้งสองคนของสกุลหลี่และบินไปบนเกวียนลาของตัวเองซูจิ่งสิงบังคับลาอยู่ด้านหน้า เมื่อเห็นนางกลับขึ้นมาอย่างปลอดภัย เขาก็รีบบังคับเกวียนลาออกไปทันทีหลี่ฮูหยินเกาะอยู่บนหลังของนายท่านหลี่พร้อมเสียงสะอื้น“ท่านพี่ ขอบคุณท่านมาก และก็แม่นางกู้...ไว้มีโอกาสข้าจะตอบแทนพระคุณของนางอย่างแน่นอน”“ไอหยา จะพูดเรื่องนี้ทำไม ข้าไม่มีวันทิ้งเจ้าแน่นอน” นายท่านหลี่ทอดถอนใจ จากนั้นก็ใช้กำลังภายในเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นภาพที่หลี่ฮูหยินกำลังจะตายอย่างสิ้นหวังยังคงฝังรากลึกอยู่ในใจของเขาหากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้น้อยองค์นั้น ครอบครัวของพวกเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่อับจนหนทางเช่นนี้ได้อย่างไร!หากภายภาคหน้ายังมีโอกาส เขาจะต้องชำระหนี้แค้นครั้งนี้ให้จงได้แม้ว่าพายุนั้นจะน่ากลัวมาก แต่มันก็มีวงโคจรในการเคลื่อนที่ ขอบเขต
ทุกคนต่างเห็นด้วยกับคำกล่าวของกู้หว่านเยว่ไม่มีใครรู้ว่าพายุใหญ่ลูกนั้นจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ อีกทั้งเม็ดทรายที่ฟุ้งกระจายอยู่รอบตัวก็ทำให้ทุกคนหายใจไม่สะดวกนัก สู้หนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดน่าจะปลอดภัยกว่า“ท่านนักการ ดูเหมือนว่าข้างหน้าจะมีจวนขุนนางอยู่หลังหนึ่ง”จางเอ้อร์ที่ออกไปสำรวจเส้นทางกลับมาบอกข่าวด้วยสีหน้าดีใจ“เยี่ยม เช่นนั้นเรารีบไปกันเถอะ ไปพักที่จวนขุนนางหลังนั้น” นัยน์ตาของซุนอู่เปล่งประกายกลุ่มนักโทษรีบเร่งฝีเท้าเดินทางไปจนถึงทางเข้าของจวนขุนนาง เพียงแต่เมื่อเห็นแผ่นสลักชื่อของจวนหลังนั้น ซุนอู่ถึงกับตกอยู่ในอาการลังเลนี่คือจวนส่วนพระองค์แห่งหนึ่งความหมายก็ตามชื่อ มันคือที่ดินทรัพย์สินส่วนพระองค์ ซึ่งไม่รู้ว่าพวกเขาจะขออาศัยที่แห่งนี้พักชั่วคราวได้หรือไม่ทันทีที่เคาะประตู พ่อบ้านท่าทางเย่อหยิ่งคนหนึ่งก็เดินออกมา“เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นนักการที่รับหน้าที่พานักโทษไปส่งให้หน่วยงานอย่างนั้นหรือ?”“ใช่ อากาศข้างนอกเลวร้ายมาก พวกเราไม่มีที่ไปจึงอยากจะขอพักที่นี่สักคืน ไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่” น้อยนักที่ซุนอู่จะกล่าวอย่างสุภาพเช่นนี้พ่อบ้านมองกลุ่มนักโทษแวบหนึ่ง
“เห็นได้ชัดว่ามู่หรงอวี้มีเจตนาที่ไม่ดี หากท่านไปอาจจะไม่ได้กลับมาอีก”ซูจิ่นเอ๋อร์กล่าวอย่างเหนื่อยล้า “แต่ตอนนี้พวกเราอยู่ในอาณาเขตของเขา จะไปหรือไม่ไปก็ดูเหมือนค่าเท่ากัน”ซูจื่อชิงถึงกับสำลัก แล้วถลึงตาใส่ซูจิ่นเอ๋อร์อย่างเอือมระอา“ทำอย่างไรดี?” หลายคนเริ่มเป็นกังวลซูจิ่งสิงเหลือบมองพวกเขา นัยน์ตาเคร่งขรึมเล็กน้อย หากมู่หรงอวี้ทำการบุ่มบ่ามขึ้นมาจริง ๆ เขาคงต้องชิงเปิดเผยคนในความลับก่อน“ข้าจะไปเป็นเพื่อนท่านเอง”ทันใดนั้น กู้หว่านเยว่ก็คว้ามือของเขา และฉีกยิ้มพลางกล่าว“แค่กินข้าวมื้อเดียว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ท่านวางได้ มู่หรงอวี้ไม่กล้าทำอะไรท่านอย่างเปิดเผยหรอก”แต่ถ้าเขาคิดจะแทงข้างหลังก็ไม่แน่ถึงต่อให้เขาจะแทงข้างหลัง กู้หว่านเยว่ก็มีวิธีต่อกรกลับไปซูจิ่งสิงมองนางอย่างซาบซึ้ง “หว่านเยว่ ขอบใจเจ้ามาก”“อย่าใช้สายตาชวนขนลุกเช่นนี้มองข้าเชียว” กู้หว่านเยว่ไอกระแอมหนึ่งเสียง ก่อนจะโบกมืออย่างไม่ใส่ใจเหตุใดคำขอบคุณของบุรุษผู้นี้ถึงได้ลึกซึ้งเช่นนี้?หลังจากที่ทั้งสองคนเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ก็เดินตามไปยังลานด้านหน้าระหว่างทาง เด็กรับใช้คนนั้นได้เหลือบมองพวกเข
เขาก็ไม่ได้อยากลงมือด้วยตนเอง แต่หากซูจิ่งสิงไม่กินอีก เป็ดย่างจานนี้คงถูกกู้หว่านเยว่กินหมดเกลี้ยงแน่!“นี่คือเป็ดย่างที่รังสรรค์โดยพ่อครัวที่มีชื่อเสียงทางทิศเหนือ รสชาติเลิศรส ไม่ชิมคงจะน่าเสียดาย” มู่หรงอวี้กล่าวเสริมซูจิ่งสิงไม่ใช่คนโง่ในสายตาของมู่หรงอวี้ เขามองออกตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าเป็ดย่างจานนี้มีพิษเมื่อนึกภาพที่กู้หว่านเยว่คีบกินไปแล้วหลายชิ้น ในใจของเขาก็ยิ่งกังวล จึงรีบคว้ามือของนางด้วยจิตใต้สำนึกเขาคิดจะขัดขวางไม่ให้นางกินต่อผลปรากฏว่ากู้หว่านเยว่ส่งสายตาไร้ความกังวลให้เขาซูจิ่งสิงตระหนักได้ถึงความสามารถของกู้หว่านเยว่ เขาจึงเข้าใจในทันทีแต่ปากของเขาก็ยังไม่วายกำชับว่า “กินน้อย ๆ หน่อย ข้ากลัวเจ้าไม่ย่อย”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า “เป็ดย่างจานนี้เป็นของข้า ท่านห้ามแย่งข้าเด็ดขาด”คำกล่าวของนางเป็นการเตือนว่าเป็ดย่างจานนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล นางกลัวว่าเขาจะพลาดกินมันเข้าไป“ซูฮูหยินชอบเป็ดช่างจริง ๆ ชีวิตที่แล้วคงจะไม่เคยกินสินะ?”มู่หรงอวี้ยกยิ้มแข็งทื่อ เขาเกือบจะข่มความโกรธไม่ได้หญิงสาวผู้นี้เป็นลูกเศรษฐีสกุลกู้จริง ๆ ใช่ไหม?ดูท่าทางการกินนั่นสิ หร