แม้จะแต่งกายไม่คล้ายสตรี ทว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของสตรีอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเป็นสตรีปลอมตัวเป็นบุรุษ “ข้าน่ะหรือ ก็คือกู้หว่านเยว่พระชายาอ๋องเจิ้นเป่ย” กู้หว่านเยว่เปิดเผยตัวตนออกมาโดยไม่ขลาดกลัว ถึงอย่างไร วันนี้ นางจะทำให้ชาวทูเจวี๋ยทุกคนได้เห็นประจักษ์ว่า เหยลวี่เจิงจะต้องถูกนางสังหารโหดอย่างไร “กู้หว่านเยว่?” เหยลวี่เจิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เข้าใจสถานการณ์แล้ว เขาจำได้ว่าคนสอดแนมที่ถูกส่งตัวเข้าไปที่เจดีย์หนิงกู่เคยกลับมารายงานว่า ซูจิ่งสิงมีภรรยาที่ฉลาดเฉลียวแข็งแกร่งอยู่หนึ่งคน ไม่เพียงเชี่ยวชาญวิชาการแพทย์ แต่ยังมีความคิดล้ำเลิศเหนือคนธรรมดา ความสามารถไม่ด้อยไปกว่าซูจิ่งสิงแม้แต่เสี้ยวเดียว เห็นความยุ่งเหยิงอลหม่านของจวนแม่ทัพแล้ว เขาเดือดดาลจนเส้นผมแทบจะตั้งตรงขึ้นมา “พวกเจ้าเผาจวนแม่ทัพของข้าหรือ?” “ไม่ผิด เป็นฝีมือพวกข้าเอง ความจริงก็อยู่ตรงหน้าท่านแล้วมิใช่หรือ เหตุใดท่านแม่ทัพเหยลวี่เจิงถึงยังต้องถามซ้ำอีก?” กู้หว่านเยว่แบมือท่าทางไม่แยแส ต่อให้โกรธจนตายก็ไม่คิดจะยื่นมือไปช่วย ทำให้ซูจิ่งสิงหัวเราะออกมาอย่างรักใคร่ปนเอ็นดู เหยลวี่เจิงหน้าเ
เขานึกเหิมเกริมในใจ คิดว่าที่แห่งนี้คือเมืองอูถ่าน สองคนนั้นไม่มีทางทำร้ายเขาได้แน่ ซูจิ่งสิงอุ้มกู้หว่านเยว่ไว้ ปลายเท้าย่องบนหลังคาไปตลอดทาง ไม่นานนักก็พากู้หว่านเยว่หนีออกไปไกลจากจวนแม่ทัพแล้ว เหยลวี่เจิงไล่ตามหลังพวกเขามาอย่างไม่ลดละ วิชาตัวเบาของเขาก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน เพียงครู่เดียว สามคนก็ทิ้งห่างพลทหารด้านหลังแล้ว ผ่านไปไม่นานทั้งสามคน ก็มาอยู่เหนือหอสุราที่คึกคักที่สุดในเมืองอูถ่านแล้ว ตอนนั้นเอง ชาวบ้านที่อยู่ใต้หอสุราก็ถูกดึงดูดด้วยเสียงเอะอะด้านนอก และพากันชะโงกหน้ายื่นศีรษะออกมาดูเหตุการณ์ เหยลวี่เจิงเห็นซูจิ่งสิงหยุดชะงัก ก็คิดว่าเขาหมดหนทางหนีแล้ว หัวเราะเสียงดังสนั่นพลางกระโจนเข้ามา “ซูจิ่งสิงเอยซูจิ่งสิง ต่อให้น้องสาวเจ้าจะไม่อยู่ในมือข้า บัดนี้ข้าก็ล่อเจ้ามาที่เมืองอูถ่านสำเร็จแล้ว ข้าอยากรู้นัก ว่าคนอย่างเจ้าจะหนีไปที่ใดพ้น” ซูจิ่งสิงปล่อยกู้หว่านเยว่ลง ก่อนจะดึงกระบี่อาทิตย์คำรามออกมาจากเอว พลางจ้องมองเหยลวี่เจิงอย่างเยือกเย็น “เหตุใดข้าจะต้องหนีด้วย หนี้แค้นในอดีตของข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวต้องสะสางให้จบสิ้นแล้ว” “โอหังนัก!” เหยลวี่เจิงแผดเสียงด
ความจริงจะกล่าวโทษเขาก็ไม่ได้ เมื่อก่อนเขากับซูจิ่งสิงต่อสู้โรมรันกันในสนามรบเป็นส่วนมาก น้อยครั้งที่จะมีโอกาสได้ต่อสู้กันซึ่งหน้าตัวต่อตัวเช่นนี้ ครั้งนั้นที่เจดีย์หนิงกู่ เขาใส่ผงพิษเพื่อลอบทำร้ายเอาไว้ก่อน ถึงทำให้ซูจิ่งสิงได้รับบาดเจ็บ ทว่าหนนี้กลับมีกู้หว่านเยว่จับตามองอยู่ด้านข้าง แม้ว่าเขาจะอยากลอบใช้อาวุธลับผงพิษอะไร ก็ทำไม่ได้ “ซูจิ่งสิง ข้าจะสังหารเจ้า!” เหยลวี่เจิงแผดเสียงคำรามอย่างโหดเหี้ยม สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ซึ่งคึกคักที่สุดในเมืองอูถ่าน ถูกซูจิ่งสิงกระทืบต่อหน้าชาวบ้านจำนวนมากเช่นนี้ เขารับไม่ไหวแล้วจริง ๆ พยายามหยัดกายลุกขึ้นจากพื้น แต่ผลสุดท้ายซูจิ่งสิงก็พุ่งเข้ามาถึงตัวเขาอีกครั้งด้วยความรวดเร็วอีกครั้ง “เจ้าอยากสังหารข้านักหรือ?” ซูจิ่งสิงประชิดเข้าไปข้างใบหูของเขา ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะเยียบเย็นออกมา “น่าเสียดายที่ข้าจะไม่มีวันมอบโอกาสนี้ให้กับเจ้าอีกแล้ว” กู้หว่านเยว่พุ่งมาข้างตัวซูจิ่งสิง “ท่านพี่พลทหารใกล้จะมาถึงแล้ว รีบสังหารเขาเถิด” ตัวร้ายมักตายเพราะพูดมาก กู้หว่านเยว่เห็นด้วยกับประโยคนี้อย่างยิ่ง จึงเตือนสติซูจิ่งสิงอย่ามัวแต่พล่ามอาร
สองคนกลับมาหาเสี่ยวถ่านแล้ว พร้อมกับ แจ้งข่าวการตายของเหยลวี่เจิงให้กับทุกคน “เหยลวี่เจิงตายแล้ว?!” เยียนสือซานตกตะลึงไม่สิ้นสุด เขาไม่คิดเลยว่า ระยะเวลาเพียงไม่นาน สองคนสามีภรรยาก็สามารถลงมือสังหารเหยลวี่เจิงได้จริง ๆ “หากเหยลวี่เจิงตายไปแล้ว เกรงว่าทูเจวี๋ยจะต้องเกิดเหตุจลาจลใหญ่หลวงขึ้นแน่?” กู้หว่านเยว่ผงกศีรษะ “พวกข้ามาคราวนี้ ก็ด้วยเรื่องของทูเจวี๋ย” สายตาของนางทิ้งมองบนตัวเสี่ยวถ่าน “เสี่ยวถ่าน เจ้าเคยบอกว่าเจ้าอยากจะกลับเข้าวังไปหาเสด็จพ่อของเจ้า และทวงความยุติธรรมกลับมามิใช่หรือ? บัดนี้ข้าจะพาเจ้ากลับเข้าวัง” เสี่ยวถ่านยืนอยู่ด้านข้าง ครั้นได้ยินข่าวการตายของเหยลวี่เจิง ก็เผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมาอยู่ก่อนแล้ว กระทั่งตอนที่กู้หว่านเยว่ทิ้งสายตามองบนตัวนาง และบอกกับนางว่าจะพานางกลับเข้าไปในวังหลวง นางก็ตื่นเต้นดีใจจนแทบจะคลุ้มคลั่งแล้ว “พี่หญิงกู้ ท่านพูดจริงหรือ ท่านมีหนทางจะพาข้ากลับเข้าวังจริงหรือ?” “แน่นอน” กู้หว่านเยว่ผงกศีรษะ บอกให้ซูจิ่งสิงแบกเสี่ยวถ่านขึ้นหลัง และสองคนก็จากไปอีกครั้ง ต่างจากตอนที่พวกเขาออกไป กระทั่งพวกเขาย่างเท้าเข้าไปในเมืองอูถ่
“เหยลวี่เจิงตายแล้ว เขาตายแล้ว ตายได้แล้วก็ดี กดขี่ข่มเหงข้ามานานเพียงนี้ ข้าหวังให้เขารีบตาย ๆ ไปได้ตั้งนานแล้ว สมควรตายแล้ว!” พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์ทูเจวี๋ยและเหยลวี่เจิง ก็ค่อนข้างซับซ้อน เดิมกษัตริย์ทูเจวี๋ยและเหยลวี่เจิงมีความสัมพันธ์แบบพันธมิตร แต่เพราะอำนาจของตระกูลฝ่ายราชินีของกษัตริย์ทูเจวี๋ยแข็งแกร่งเกินไป จนเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงมาถึงราชบัลลังก์ของกษัตริย์ทูเจวี๋ย ทำให้กษัตริย์ทูเจวี๋ยต้องร่วมมือกับเหยลวี่เจิง เพื่อล้มอำนาจของตระกูลฝ่ายราชินี ไหนเลยจะรู้ว่าเหยลวี่เจิงจะไม่สนคุณธรรมการทหาร หลังจากโค่นล้มราชินีได้แล้ว กุมอำนาจยิ่งใหญ่ในมือ และหันมีดกระบี่ใส่กษัตริย์ทูเจวี๋ยแทน กษัตริย์ทูเจวี๋ยเรียกได้ว่าเคลื่อนหินไม่พ้นปลายเท้าตนเอง “รีบไป ไปเรียกขุนพลเกา คนสนิทของข้าเข้ามา” กษัตริย์ทูเจวี๋ยรีบออกคำสั่ง สีหน้าฉายแววตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย ขันทีรีบผงกศีรษะ เตรียมจะออกไปส่งข่าว แต่พอเดินไปถึงประตู สุดท้ายก็มีหินก้อนหนึ่งพุ่งเข้ามา กระแทกเขาหมดสติไปทันที “ใคร?” กษัตริย์ทูเจวี๋ยสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ “เสด็จพ่อ ข้าเอง!” เสียงของเสี่ยวถ่านดังมาจาก
ร่างกายร้อนผ่าวอยู่บ้างกู้หว่านเยว่ลืมตาขึ้นมา พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงแกะสลักขนาดใหญ่ มีกลิ่นอายโบราณหลังหนึ่ง ข้างเตียงมีชายสวมชุดแต่งงานนั่งอยู่หนึ่งคนนี่คงฝันไปใช่ไหม แต่เหตุใดเหมือนจริงถึงเพียงนี้?นางเบือนหน้ามองฝ่ายชายฝ่ายชายผิวพรรณขาวดุจหยก ใบหน้าหล่อเหลางดงาม มองแวบเดียวก็ทำให้คนจมดิ่งสู่ภวังค์อย่างยากจะหักห้ามใจ เพียงแต่สีหน้าของเขาเย็นชาเกินไป สุ้มเสียงเองก็ไร้อารมณ์เสียนี่กระไร“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากแต่งกับข้า พระบรมราชโองการยากจะฝ่าฝืน หากเจ้าไม่ยินยอม...”“ข้ายินยอม ข้ายินยอม!”ชายหนุ่มรูปงามหาใครเทียบได้เช่นนี้ นางครองโสดมายี่สิบกว่าปีไม่เคยได้พบพานมาก่อน ไฉนเลยจะไม่ยินยอมกันเล่า!กู้หว่านเยว่พยักหน้าอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนใจสีหน้าตกตะลึงของฝ่ายชาย ยื่นมือออกไปเกี่ยวเข็มขัดโผเข้าหาอ้อมอกของเขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง อ้า หอมยิ่งนัก กลิ่นหอมเย็นของชายหนุ่มรูปงามเห็นได้ชัดว่านี่คือครั้งแรกของฝ่ายชาย ทีแรกยังคิดปฏิเสธ แต่กลับไม่อาจต้านทานเสียงที่ดังออดอ้อนออเซาะขึ้นมาของนางได้ สติค่อยๆ เลือนรางไป ทว่า ครู่เดียวก็ทำเอากู้หว่านเยว่วิญญาณหลุดลอยทั้งสองเกี
“ฝ่าบาทมีรับสั่ง เจิ้นเป่ยอ๋องซูจิ่งสิงคิดก่อกบฏ หลักฐานชัดเจน!”“นับแต่นี้ไปปลดออกจากตำแหน่ง เป็นสามัญชน ยึดทรัพย์เนรเทศไปยังหนิงกู่ถ่า ผู้ใดกล้าฝ่าฝืน ฆ่าได้ไม่ละเว้น!”ฮูหยินผู้เฒ่าทุบอกกระทืบเท้า “สกุลซูของข้าซื่อสัตย์ภักดี ไฉนเลยจะก่อกบฏได้?”หัวหน้าหน่วยยึดทรัพย์เจียงเต๋อจื้อสบถเสียงเย็น “ฝ่าบาทมีพระกระแสรับสั่งออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์เอง เจ้ากำลังกล่าวหาว่าฝ่าบาท ทรงวินิจฉัยผิดพลาดงั้นหรือ?”ทุกคนไม่กล้าโวยวายอีก กอดกันร่ำไห้โอดครวญทหารหลวงหลั่งไหลเข้ามา ถีบเปิดประตูเรือน ทุบทำลายข้าวของทั่วทุกสารทิศคล้ายโจรก็มิปาน ไม่ว่าที่ผ่านมาเจ้ามีตำแหน่งสูงส่งเยี่ยงไร หากถูกลงโทษยึดทรัพย์ นั่นก็คือคนต่ำต้อยมองภาพวุ่นวายภายในจวนอ๋อง ฮูหยินผู้เฒ่าคิดห้าม แต่กลับถูกเจียงเต๋อจื้อผลักล้มลงกับพื้น กระดูกของหญิงชราเกือบหักถัดมา เจียงเต๋อจื้อหรี่ตามองทางญาติฝ่ายหญิงของจวนอ๋อง“เพื่อป้องกันมิให้พวกเจ้านำทรัพย์สินส่วนตัวออกไป ญาติฝ่ายหญิงทั้งหมดต้องเปลื้องผ้าตั้งแต่ใต้สะดือลงมาเพื่อตรวจสอบหนึ่งรอบ!”“ไม่ได้!”สีหน้าเหล่าญาติฝ่ายหญิงทั้งโกรธทั้งอายฮูหยินผู้เฒ่าก่นด่าออกมา “เจียงเต๋อจื
“กบฏ ไม่ตายดี!”“สมรู้ร่วมคิดกับทูเจวี๋ย คลอดลูกชายไม่สมประกอบ!”ซูจิ่งสิงนอนกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนกระดานเกวียน รับก้อนหิน มูลแพะและผักเน่าที่โยนเข้ามาทุกทิศทาง...ยามรบชนะกลับมา เขาคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ปกป้องแคว้น ราษฎรล้วนโห่ร้องแสดงความยินดีบัดนี้เขาถูกใส่ร้ายข้อหากบฏ ไม่เพียงไม่มีคนขอความเป็นธรรมแทนเขา ทุกคนยังร้องตะโกนใส่ กลายเป็นคนบาปที่ทุกคนตราหน้าหันมองไปที่คนอื่น ๆ ของสกุลซู แต่ละคนเกือบซุกหน้าลงบนบ่าแล้วฮูหยินผู้เฒ่าร้องไห้น้ำตาไหลเป็นทาง “เวรกรรม สกุลซูของข้าตกต่ำถึงขั้นนี้เชียวหรือ...”นายท่านบ้านรองซูหัวหลินอดตำหนิไม่ได้ “ล้วนต้องตำหนิจิ่งสิง อยู่ดีๆ ก็คิดไม่ตก ไปสมรู้ร่วมคิดกับกบฏขายบ้านเมือง ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า ทั้งครอบครัวล้วนต้องเดือนร้อนเพราะเขา ข้าเป็นคนรักศักดิ์ศรีที่สุด ถูกราษฎรกลุ่มนี้สบถด่า หน้าก็ไม่กล้าเงยขึ้นมาแล้ว ภายภาคหน้าจะใช้ชีวิตเยี่ยงไร!”นับตั้งแต่ยึดทรัพย์จนถึงตอนนี้ เริ่มแรกทุกคนยังงุนงง จนถึงตอนนี้แต่ละคนก็เกิดความคิดขึ้นมาแล้ว มีทั้งคนเชื่อว่าซูจิ่งสิงมิได้ก่อกบฏ และมีคนที่ไม่เชื่อ นายท่านรองเป็นคนแรกที่มิอาจอดกลั้นบ้านอื่นสบตากันแวบ
“เหยลวี่เจิงตายแล้ว เขาตายแล้ว ตายได้แล้วก็ดี กดขี่ข่มเหงข้ามานานเพียงนี้ ข้าหวังให้เขารีบตาย ๆ ไปได้ตั้งนานแล้ว สมควรตายแล้ว!” พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์ทูเจวี๋ยและเหยลวี่เจิง ก็ค่อนข้างซับซ้อน เดิมกษัตริย์ทูเจวี๋ยและเหยลวี่เจิงมีความสัมพันธ์แบบพันธมิตร แต่เพราะอำนาจของตระกูลฝ่ายราชินีของกษัตริย์ทูเจวี๋ยแข็งแกร่งเกินไป จนเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงมาถึงราชบัลลังก์ของกษัตริย์ทูเจวี๋ย ทำให้กษัตริย์ทูเจวี๋ยต้องร่วมมือกับเหยลวี่เจิง เพื่อล้มอำนาจของตระกูลฝ่ายราชินี ไหนเลยจะรู้ว่าเหยลวี่เจิงจะไม่สนคุณธรรมการทหาร หลังจากโค่นล้มราชินีได้แล้ว กุมอำนาจยิ่งใหญ่ในมือ และหันมีดกระบี่ใส่กษัตริย์ทูเจวี๋ยแทน กษัตริย์ทูเจวี๋ยเรียกได้ว่าเคลื่อนหินไม่พ้นปลายเท้าตนเอง “รีบไป ไปเรียกขุนพลเกา คนสนิทของข้าเข้ามา” กษัตริย์ทูเจวี๋ยรีบออกคำสั่ง สีหน้าฉายแววตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย ขันทีรีบผงกศีรษะ เตรียมจะออกไปส่งข่าว แต่พอเดินไปถึงประตู สุดท้ายก็มีหินก้อนหนึ่งพุ่งเข้ามา กระแทกเขาหมดสติไปทันที “ใคร?” กษัตริย์ทูเจวี๋ยสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ “เสด็จพ่อ ข้าเอง!” เสียงของเสี่ยวถ่านดังมาจาก
สองคนกลับมาหาเสี่ยวถ่านแล้ว พร้อมกับ แจ้งข่าวการตายของเหยลวี่เจิงให้กับทุกคน “เหยลวี่เจิงตายแล้ว?!” เยียนสือซานตกตะลึงไม่สิ้นสุด เขาไม่คิดเลยว่า ระยะเวลาเพียงไม่นาน สองคนสามีภรรยาก็สามารถลงมือสังหารเหยลวี่เจิงได้จริง ๆ “หากเหยลวี่เจิงตายไปแล้ว เกรงว่าทูเจวี๋ยจะต้องเกิดเหตุจลาจลใหญ่หลวงขึ้นแน่?” กู้หว่านเยว่ผงกศีรษะ “พวกข้ามาคราวนี้ ก็ด้วยเรื่องของทูเจวี๋ย” สายตาของนางทิ้งมองบนตัวเสี่ยวถ่าน “เสี่ยวถ่าน เจ้าเคยบอกว่าเจ้าอยากจะกลับเข้าวังไปหาเสด็จพ่อของเจ้า และทวงความยุติธรรมกลับมามิใช่หรือ? บัดนี้ข้าจะพาเจ้ากลับเข้าวัง” เสี่ยวถ่านยืนอยู่ด้านข้าง ครั้นได้ยินข่าวการตายของเหยลวี่เจิง ก็เผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมาอยู่ก่อนแล้ว กระทั่งตอนที่กู้หว่านเยว่ทิ้งสายตามองบนตัวนาง และบอกกับนางว่าจะพานางกลับเข้าไปในวังหลวง นางก็ตื่นเต้นดีใจจนแทบจะคลุ้มคลั่งแล้ว “พี่หญิงกู้ ท่านพูดจริงหรือ ท่านมีหนทางจะพาข้ากลับเข้าวังจริงหรือ?” “แน่นอน” กู้หว่านเยว่ผงกศีรษะ บอกให้ซูจิ่งสิงแบกเสี่ยวถ่านขึ้นหลัง และสองคนก็จากไปอีกครั้ง ต่างจากตอนที่พวกเขาออกไป กระทั่งพวกเขาย่างเท้าเข้าไปในเมืองอูถ่
ความจริงจะกล่าวโทษเขาก็ไม่ได้ เมื่อก่อนเขากับซูจิ่งสิงต่อสู้โรมรันกันในสนามรบเป็นส่วนมาก น้อยครั้งที่จะมีโอกาสได้ต่อสู้กันซึ่งหน้าตัวต่อตัวเช่นนี้ ครั้งนั้นที่เจดีย์หนิงกู่ เขาใส่ผงพิษเพื่อลอบทำร้ายเอาไว้ก่อน ถึงทำให้ซูจิ่งสิงได้รับบาดเจ็บ ทว่าหนนี้กลับมีกู้หว่านเยว่จับตามองอยู่ด้านข้าง แม้ว่าเขาจะอยากลอบใช้อาวุธลับผงพิษอะไร ก็ทำไม่ได้ “ซูจิ่งสิง ข้าจะสังหารเจ้า!” เหยลวี่เจิงแผดเสียงคำรามอย่างโหดเหี้ยม สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ซึ่งคึกคักที่สุดในเมืองอูถ่าน ถูกซูจิ่งสิงกระทืบต่อหน้าชาวบ้านจำนวนมากเช่นนี้ เขารับไม่ไหวแล้วจริง ๆ พยายามหยัดกายลุกขึ้นจากพื้น แต่ผลสุดท้ายซูจิ่งสิงก็พุ่งเข้ามาถึงตัวเขาอีกครั้งด้วยความรวดเร็วอีกครั้ง “เจ้าอยากสังหารข้านักหรือ?” ซูจิ่งสิงประชิดเข้าไปข้างใบหูของเขา ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะเยียบเย็นออกมา “น่าเสียดายที่ข้าจะไม่มีวันมอบโอกาสนี้ให้กับเจ้าอีกแล้ว” กู้หว่านเยว่พุ่งมาข้างตัวซูจิ่งสิง “ท่านพี่พลทหารใกล้จะมาถึงแล้ว รีบสังหารเขาเถิด” ตัวร้ายมักตายเพราะพูดมาก กู้หว่านเยว่เห็นด้วยกับประโยคนี้อย่างยิ่ง จึงเตือนสติซูจิ่งสิงอย่ามัวแต่พล่ามอาร
เขานึกเหิมเกริมในใจ คิดว่าที่แห่งนี้คือเมืองอูถ่าน สองคนนั้นไม่มีทางทำร้ายเขาได้แน่ ซูจิ่งสิงอุ้มกู้หว่านเยว่ไว้ ปลายเท้าย่องบนหลังคาไปตลอดทาง ไม่นานนักก็พากู้หว่านเยว่หนีออกไปไกลจากจวนแม่ทัพแล้ว เหยลวี่เจิงไล่ตามหลังพวกเขามาอย่างไม่ลดละ วิชาตัวเบาของเขาก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน เพียงครู่เดียว สามคนก็ทิ้งห่างพลทหารด้านหลังแล้ว ผ่านไปไม่นานทั้งสามคน ก็มาอยู่เหนือหอสุราที่คึกคักที่สุดในเมืองอูถ่านแล้ว ตอนนั้นเอง ชาวบ้านที่อยู่ใต้หอสุราก็ถูกดึงดูดด้วยเสียงเอะอะด้านนอก และพากันชะโงกหน้ายื่นศีรษะออกมาดูเหตุการณ์ เหยลวี่เจิงเห็นซูจิ่งสิงหยุดชะงัก ก็คิดว่าเขาหมดหนทางหนีแล้ว หัวเราะเสียงดังสนั่นพลางกระโจนเข้ามา “ซูจิ่งสิงเอยซูจิ่งสิง ต่อให้น้องสาวเจ้าจะไม่อยู่ในมือข้า บัดนี้ข้าก็ล่อเจ้ามาที่เมืองอูถ่านสำเร็จแล้ว ข้าอยากรู้นัก ว่าคนอย่างเจ้าจะหนีไปที่ใดพ้น” ซูจิ่งสิงปล่อยกู้หว่านเยว่ลง ก่อนจะดึงกระบี่อาทิตย์คำรามออกมาจากเอว พลางจ้องมองเหยลวี่เจิงอย่างเยือกเย็น “เหตุใดข้าจะต้องหนีด้วย หนี้แค้นในอดีตของข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวต้องสะสางให้จบสิ้นแล้ว” “โอหังนัก!” เหยลวี่เจิงแผดเสียงด
แม้จะแต่งกายไม่คล้ายสตรี ทว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของสตรีอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเป็นสตรีปลอมตัวเป็นบุรุษ “ข้าน่ะหรือ ก็คือกู้หว่านเยว่พระชายาอ๋องเจิ้นเป่ย” กู้หว่านเยว่เปิดเผยตัวตนออกมาโดยไม่ขลาดกลัว ถึงอย่างไร วันนี้ นางจะทำให้ชาวทูเจวี๋ยทุกคนได้เห็นประจักษ์ว่า เหยลวี่เจิงจะต้องถูกนางสังหารโหดอย่างไร “กู้หว่านเยว่?” เหยลวี่เจิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เข้าใจสถานการณ์แล้ว เขาจำได้ว่าคนสอดแนมที่ถูกส่งตัวเข้าไปที่เจดีย์หนิงกู่เคยกลับมารายงานว่า ซูจิ่งสิงมีภรรยาที่ฉลาดเฉลียวแข็งแกร่งอยู่หนึ่งคน ไม่เพียงเชี่ยวชาญวิชาการแพทย์ แต่ยังมีความคิดล้ำเลิศเหนือคนธรรมดา ความสามารถไม่ด้อยไปกว่าซูจิ่งสิงแม้แต่เสี้ยวเดียว เห็นความยุ่งเหยิงอลหม่านของจวนแม่ทัพแล้ว เขาเดือดดาลจนเส้นผมแทบจะตั้งตรงขึ้นมา “พวกเจ้าเผาจวนแม่ทัพของข้าหรือ?” “ไม่ผิด เป็นฝีมือพวกข้าเอง ความจริงก็อยู่ตรงหน้าท่านแล้วมิใช่หรือ เหตุใดท่านแม่ทัพเหยลวี่เจิงถึงยังต้องถามซ้ำอีก?” กู้หว่านเยว่แบมือท่าทางไม่แยแส ต่อให้โกรธจนตายก็ไม่คิดจะยื่นมือไปช่วย ทำให้ซูจิ่งสิงหัวเราะออกมาอย่างรักใคร่ปนเอ็นดู เหยลวี่เจิงหน้าเ
บนถนนเมืองอูถ่าน เหยลวี่เจิงดึงสีหน้าเข้มงวด นำกำลังคนไล่บุกค้นบ้านเรือนทีละหลัง หาอยู่นานมากแล้วแต่ยังไม่เจอตัวคน ทำให้สีหน้าของเขาไม่น่ามองอย่างยิ่ง มืดครึ้มดำคล้ำจนแทบจะหยดออกมาเป็นน้ำ ผู้ใต้บังคับบัญชารวบรวมความกล้าเข้ามาเตือนสติ “ท่านแม่ทัพ เป็นไปได้ว่าพวกเขาหนีไปได้แล้วขอรับ” เขาไม่กล้ายอมรับว่าใช่ พวกซูจิ่งสิงมีวิหคยักษ์ หากว่าวิหคตัวนั้นพาพวกเขาบินหนีออกจากเมืองอูถ่านไปแล้ว ที่พวกเขามั่วค้นหาเหมือนแมลงวันไม่มีหัวอยู่แบบนี้ มิใช่เสียเวลาเปล่าหรอกหรือ? “หุบปาก!” เหยลวี่เจิงตะคอกเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกมันไม่มีทางหนีไปได้เด็ดขาด” อีกอย่าง ซูจิ่นเอ๋อร์ยังอยู่ในมือของเขา ตราบใดที่ซูจิ่งสิงไม่อยากให้น้องสาวตาย มันไม่มีทางหนีไปเด็ดขาด แน่นอนว่า ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เหยลวี่เจิงไม่อยากยอมรับว่าซูจิ่งสิงจะหนีไปแล้ว เขาวางแผนเพื่อวันนี้มายาวนาน จะไม่มีวันปล่อยให้เขาหนีไปง่าย ๆ อย่างเด็ดขาด “ค้นหาต่อ!” เหยลวี่เจิงคำรามเสียงดัง ผู้ใต้บังคับบัญชาได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเงียบเชียบ มิใช่ว่าเขาจะเชิดชูความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวของผู้อื่นและทำลายฮึกเหิมน่าเกรงขามของตนเอง แ
“ข้าจะบอกเจ้าไว้หนึ่งประโยค หากคิดจะใกล้ชิดกับคนที่เจ้าชมชอบมากขึ้นกว่านี้ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องพยายามเปลี่ยนตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นให้ได้ ต้องมีสักวันหนึ่งที่เจ้าจะสามารถไปยืนอยู่เคียงข้างนาง ต่อให้จะเป็นฐานะของสหายคนหนึ่งก็ตาม” เยียนสือซานเติมพลังใจให้เขา เพียงหนึ่งประโยคนั้นสั่นสะเทือนไปถึงหัวใจของเยียนอวิ๋นชู ความปรารถนาอันแรงกล้าผุดขึ้นในก้นบึ้งหัวใจ เขาไม่เคยคิดอยากจะแข็งแกร่งขึ้นให้ได้เท่านี้มาก่อนในชีวิต “พี่ใหญ่ท่านพูดถูกต้อง ข้าจะต้องขยันตั้งใจ ฟื้นฟูขาคู่นี้ให้กลับมาใช้งานได้ในเร็ววันแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เข็นตัวนี้ให้ได้” “เช่นนี้สิถึงจะเป็นน้องชายของข้า เอาแต่โศกเศร้าแบบนั้นไม่สมกับเป็นเจ้าเลย” เยียนสือซานหัวเราะเสียงดัง ตบไหล่เยียนอวิ๋นชูหนัก ๆ ไปหนึ่งที ความพยายามต่อสู้ดิ้นรนภายในใจของเยียนอวิ๋นชู กู้หว่านเยว่ไม่มีทางรับรู้ ถึงอย่างไรกู้หว่านเยว่ก็มองเขาเป็นสหายที่หน้าตาค่อนข้างหล่อเหลาคนหนึ่งเท่านั้น ขณะเดียวกันนั้นเอง กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงบัดนี้ขี่จูเชวี่ยบินไปยังกลางเมืองอูถ่านแล้ว ความเร็วของจูเชวี่ยว่องไวยิ่งนัก ไม่นานสองคนก็มาถึงเจดีย์เก้าชั้นแล้ว เจดี
เหยลวี่เจิงหลอกเขามาที่ทูเจวี๋ย จากนั้นก็ใช้อำนาจข่มขู่คุกคามเขา เล่นงานน้องชายของเขา แล้วเล่นงานเขาอีก คิดหรือว่าคนอย่างเยียนสือซานจะเป็นก้อนแป้งนุ่ม ๆ ที่คิดจะบีบอย่างไร ก็บีบได้? ถึงเยียนสือซานจะดูเป็นคนไม่เอาไหนอะไร แต่ความเป็นจริงเขาสามารถไปถึงตำแหน่งมือสังหารอันดับหนึ่งบนทะเบียนฟ้าได้ ด้วยประโยชน์จากความทะเยอทะยาน ความกล้าหาญที่จะก้าวรุดไปข้างหน้าโดยไม่กลัวอุปสรรค และความเด็ดเดี่ยวรอบคอบของเขา “เจ้าคนระยำนั่น ข้าจะต้องล้างแค้นเหยลวี่เจิงให้จงได้” กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงต่างมองหน้าสบสายตากัน อย่าว่าแต่เยียนสือซานต้องการล้างแค้นเหยลวี่เจิงให้ได้เลย พวกเขาสองคนเองก็ไม่มีวันปล่อยเหยลวี่เจิงไปเช่นกัน “พี่ใหญ่เยียน บัดนี้บาดแผลท่านยังสาหัสน่าเป็นห่วงนัก ไม่สู้เข้าไปพักผ่อนในรถม้าสักพักก่อนเห็นจะดีกว่า รอบรถม้ามีองครักษ์จันทราของข้าดูแล พวกเขาจะปกป้องท่าน ส่วนเรื่องล้างแค้น ให้เป็นหน้าที่ของข้ากับท่านพี่ของข้าเถิด” กู้หว่านเยว่เสนอความเห็นให้อีกฝ่ายก่อน มุมปากประดับรอยยิ้มบาง ๆ ทุกคนต่างคิดว่า นางจะขี่วิหคจูเชวี่ยหลบหนีไปก็เท่านั้น? ช่างไร้เดียงสาเสียจริง! คนที่จะ
ระหว่างที่พูดคุยกัน จูเชวี่ยบินเข้าใกล้ป่าขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานจากนั้นก็ร่อนลงสู่ป่าเรียบร้อย คนบนนั้นกระโดดลงจากหลังวิหคทันใด “โฮก!” จูเชวี่ยมองเยียนสือซานด้วยความโกรธเกรี้ยว เจ้าตัวยักษ์นี่ คนเดียวตัวหนักเท่าสามคน มันแทบจะหมดแรงตายอยู่แล้ว “สหายตัวน้อย ลำบากเจ้าแล้ว เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด” ต่อหน้าสองคน กู้หว่านเยว่เองก็ไม่สะดวก ที่จะเก็บจูเชวี่ยเข้ามิติโดยตรง ทำได้เพียงบอกให้มันไปพักผ่อนอยู่ที่ตรงนั้นก่อนสักระยะเท่านั้น ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด ระยะนี้นางเริ่มรู้สึกแล้วว่านับวันจูเชวี่ยยิ่งนิสัยคล้ายมนุษย์ เพียงมองสายตาของจูเชวี่ย นางก็รู้ทันทีว่ามันกำลังคิดอะไร หากว่าสักวันหนึ่งพลันมีเสียงของจูเชวี่ยดังขึ้นในหัว นางก็คงจะไม่รู้สึกแปลกใจแล้ว “โฮกโฮก” จูเชวี่ยเข้าใจคำพูดของกู้หว่านเยว่ มันถูไถตัวของมันเองเบา ๆ จากนั้นก็เดินไปหลังต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะฟุบลงพักผ่อน กลุ่มคนเหล่านั้นรอเพียงไม่นานนัก ชิงเหลียนก็เคลื่อนรถม้ามาถึงแล้ว “ฮูหยินนายท่าน พวกท่านปลอดภัยดีนะเจ้าคะ?” “พี่รองกู้ พวกท่านปลอดภัยดีนะขอรับ?” ชิงเหลียนและเสี่ยวถ่านกระโดดลงจากรถม้าพร้อมกัน และเดินไปหาคนเหล่านั้