เมื่อพิจารณาว่าเครื่องครัวเครื่องใช้ต่าง ๆ พังเสียหายระหว่างทางหมดแล้ว กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงจึงไปตลาดก่อนเพื่อซื้อของใช้จำเป็นเหล่านี้“เราไปซื้อเสื้อผ้าฝ้ายเพิ่มกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ขยับแขนเข้าหาตัว ยิ่งเดินทางขึ้นเหนือ อากาศก็ยิ่งหนาวเหน็บขึ้นทุกทีหากไม่ซื้อเสื้อผ้าฝ้ายมาเตรียมไว้ กลัวว่าพออุณหภูมิลดลงจะไม่มีเสื้อผ้าใส่ ถ้าเกิดหนาวจนเป็นหวัดขึ้นมาคงจะลำบากแย่“ตกลง ถึงอย่างไรเราก็ยังมีลาเทียมเกวียน ไม่ต้องกลัวว่าจะขนไม่พอ”ซูจิ่งสิงย่อมไม่ปฏิเสธดังนั้นกู้หว่านเยว่จึงพุ่งเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้า ซื้อเสื้อผ้าฝ้ายหนา ๆ มาหลายชุด พร้อมกับซื้อปุยฝ้ายและผ้าฝ้ายมาอีกหนึ่งถุง ตั้งใจว่าจะใช้ทำรองเท้าปุยฝ้ายระหว่างทางสุดท้ายก็ซื้อผ้าห่มหนา ๆ อีกสองผืน ก็น่าจะครบถ้วนแล้วหลังจากซื้อของเสร็จ กู้หว่านเยว่ก็นึกถึงเรื่องสำคัญ นั่นคือถึงเวลาที่จะไป “เยี่ยมเยียน” ผู้ว่าการอำเภอเถียนคนนั้นแล้วนางลากลาเทียมเกวียนเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ต่อหน้าต่อตาซูจิ่งสิง ก็เก็บลาเทียมเกวียนทั้งคันเข้าไปในมิติซูจิ่งสิง ...แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็น แต่ทุกครั้งก็ยังรู้สึกตกตะลึง“เอาละ ตอนน
“ใต้เท้า ของ ของหายไปหมดแล้วเจ้าค่ะ!”“พูดบ้าอะไร?” เถียนเฝินเปิดม่านเตียงอย่างหงุดหงิด แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าทั้งห้องเหลือแค่เตียงนอนเท่านั้น ของอื่น ๆ นอกจากนั้นหายเกลี้ยง!แม้แต่เสื้อผ้าที่เขาโยนไว้บนพื้นก็หายไปด้วย“คันเหลือเกิน ตัวข้าคันไปหมด คันจนจะตายอยู่แล้ว” เถียนเฝินคันจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น ไม่สนใจที่จะสืบหาสาเหตุแล้วเล็บที่แหลมยาวของเขา เกาตัวเองจนเลือดออกในทันที“ใต้เท้า ท่านหยุดเกาได้แล้ว น่ากลัว ข้าจะหนีแล้ว!” สาวงามกลัวว่าจะติดโรค จึงจับชายกระโปรงแล้ววิ่งหนีไป“สมน้ำหน้า คันให้ตายไปเลย!”ถ้าเถียนเฝินยังเกาแบบนี้ต่อไป ไม่นาน ผื่นพิษก็จะลามไปทั่วร่างกายเขากู้หว่านเยว่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น นางก็อารมณ์ดีขึ้นมากซูจิ่งสิงเห็นดังนั้น ก็ยกยิ้มมุมปากเช่นกันหลังจากมองอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าคนกำลังจะมาแล้ว ทั้งสองก็รีบไปที่ห้องหนังสือของเถียนเฝิน“เถียนเฝินกล้าเหิมเกริมขนาดนี้ เบื้องหลังต้องมีคนคอยหนุนหลังแน่ ๆ เราไปหาเบาะแสที่ห้องหนังสือกันเถอะ”“อืม”ซูจิ่งสิงมีความสามารถในการสืบสวนที่ยอดเยี่ยม ในไม่ช้าเขาก็พบจดหมายติดต่อในกล่
เดิมทีเขาตั้งใจจะค่อย ๆ อธิบาย แต่แม่นางกู้กลับไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไป นางเด็ดเดี่ยวและเฉียบขาด ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ค่อย ๆ อธิบายเลย“หว่านเยว่ รอเดี๋ยวก่อน”ซูจิ่งสิงรีบพูดขึ้น หลังจากที่เว่ยเฉิงเตือนสติ กู้หว่านเยว่ก็นึกขึ้นได้เช่นกัน ตอนที่พวกนักฆ่ากำลังไล่ล่าพวกเขาอยู่ดี ๆ ขาก็อ่อนแรงลง และล้มลงไปกองกับพื้นทีละคนตอนนั้นนางแค่คิดจะจัดการพวกเขา จึงไม่ได้ใส่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ตอนนี้มาคิด ๆ ดูแล้ว มันก็ผิดปกติจริง ๆ“ข้าจะให้โอกาสเจ้าอธิบาย” กู้หว่านเยว่ปล่อยเว่ยเฉิง ตั้งใจจะฟังว่าเขาจะพูดอะไรเว่ยเฉิงยิ้มอย่างขมขื่นพลางจัดเสื้อผ้าของเขาให้เรียบร้อย “ข้าแอบวางยานักฆ่าพวกนั้น ทำให้พวกเขาหมดเรี่ยวแรงเวลาใช้วิชาตัวเบา พวกเขาถึงได้ขาอ่อนแบบนั้น”เมื่อมาถึงจุดนี้ กู้หว่านเยว่ก็เชื่อเว่ยเฉิงไปแปดส่วนเก้าส่วนแล้วแต่นางยังคงสงสัยอยู่บ้าง “ในเมื่อเจ้าช่วยมู่หรงอวี้แล้ว เหตุใดถึงกลับมาช่วยพวกเราอีก?”ต้องอย่าลืมว่าพวกเขาและมู่หรงอวี้เป็นศัตรูกันเว่ยเฉิงรีบพูดว่า “พวกท่านทั้งสองมีบุญคุณกับข้า ข้าเว่ยเฉิงไม่ใช่คนเนรคุณ แน่นอนว่าไม่มีทางทิ้งพวกท่านจริง ๆ แล้วข้าก็ไม่ได้อยากจะ
ซูจิ่งสิงยังคงครุ่นคิดเรื่องของเว่ยเฉิง เมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อยทั้งสองคนตามหาไปทั่ว แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยของซูจื่อชิงเมื่อเห็นว่าฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ซูจิ่งสิงจึงทำได้เพียงทิ้งสัญญาณลับเพื่อติดต่อไว้ในเมืองหากซูจื่อชิงยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเห็นสัญญาณลับก็จะตามมาหาพวกเขาได้ปรากฏว่าเมื่อทั้งสองคนออกจากเมือง ก็พบกับซูจิ่นเอ๋อร์ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ พี่รองกลับมาแล้ว!”“จริงหรือ?”นี่มันเหมือนกับพบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เดิมทีคิดว่าคงหาซูจื่อชิงที่อำเภอหลานเจียไม่เจอ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกลับมาเองแล้วกู้หว่านเยว่รีบขับลาเทียมเกวียนตามซูจิ่นเอ๋อร์ไปยังกลุ่มคนเมื่อเห็นซูจื่อชิงนั่งพิงอยู่บนลาเทียมเกวียนอีกคัน แขนข้างหนึ่งห้อยลงมาข้างลำตัวอย่างไร้เรี่ยวแรง ข้าง ๆ เขา มีเมี่ยชิงหว่านนั่งอยู่ด้วยความโศกเศร้า“แขนเจ้าหักหรือ?” ได้เลย เพิ่งจะมีคนเจ็บไปหนึ่งคน ตอนนี้เพิ่มมาอีกหนึ่งแล้ว“น่าจะหัก ข้าใช้ไม้กระดานดามไว้ ตอนนี้ยังขยับไม่ได้”หลังจากถูกทรมานมาหลายวัน ซูจื่อชิงดูอิดโรยอย่างมากกู้หว่านเยว่ยื่นมือไปสัมผัส “หักจริง ๆ ด้วย คืนนี้ห
ทันทีที่เห็นหมีดำ ทุกคนก็สบถออกมาไม่สิ ฟู่เยียนหรานนี่มันเกิดอะไรขึ้น?ไปทำอะไรมาถึงทำให้หมีที่หนักสี่ร้อยกว่าชั่งโกรธได้นะ?ซุนอู่ขมับเต้นตุบ ๆ ตะโกนด่าเสียงดัง“เจ้าบ้าไปแล้วหรือไร ไปแหย่หมีเอง ก็อย่าลากหมีมาหาพวกเราสิ!”พวกเขาเป็นกลุ่มคนแก่ คนอ่อนแอ คนป่วย และคนพิการ เดินมาทั้งวันแล้ว คงวิ่งไม่ไหวหรอกลากหมีมาที่นี่ ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าพวกเขาหรอกหรือ?ฟู่เยียนหรานแสดงสีหน้ารู้สึกผิด นางก็ไม่อยากลากหมีมาที่นี่ แต่นางไม่มีทางเลือกแล้วในกลุ่มผู้ถูกเนรเทศมีผู้หญิงและเด็กเยอะ วิ่งไม่เร็วเท่านาง บางทีหมีอาจจะเปลี่ยนเป้าหมายก็ได้นางไม่ได้ใจร้ายแน่ ๆ แค่ช่วยซุนอู่คัดคนออกต่างหากเมื่อคิดแบบนี้ ฟู่เยียนหรานก็รู้สึกสบายใจขึ้นมากจากนั้นเร่งความเร็วมาทางนี้มากขึ้น“ข้ายอมแพ้แล้ว!” ซุนอู่รู้สึกว่าเขาไม่เคยเกลียดใครขนาดนี้มาก่อนเลยเมื่อเห็นว่าหมีกำลังมา วิ่งก็คงวิ่งไม่ทันแล้ว ได้แต่หวังว่าพวกเขาคนเยอะ อาจจะปราบหมีได้“อย่ามัวแต่ยืนบื้อ รีบหยิบดาบออกมาสู้กับหมี คนแก่ ผู้หญิง และเด็ก ไปหาที่หลบเร็ว”แม้ว่าการลดจำนวนคนระหว่างทางเนรเทศจะเป็นเรื่องปกติ แต่ซุนอู่ก็ไม่อาจปล่อยให้พวกเขาต
“เจ้าอยากตายหรือไง ปล่อยข้า!” กู้หว่านเยว่รู้สึกพูดไม่ออกจริง ๆ ฟู่เยียนหรานนี่สมองมีปัญหารึเปล่า ถึงเวลานี้แล้วยังจะมาทะเลาะกันอีก“เจ้าจะดุทำไม ข้ามาพูดกับเจ้าด้วยเหตุผล ทำไมเจ้าถึงดุขนาดนี้?ตอนเช้าข้าพูดไปเพราะหวังดีต่อเจ้าต่างหาก คนที่ถูกเนรเทศอย่างเจ้าแต่งตัวสวยเด่นขนาดนั้นมันไม่ดีหรอกแล้วเจ้ายังไปลงมือกับผู้ตรวจการเหล่านั้น ถ้าพวกเขาเอาคืนขึ้นมา เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าครอบครัวของเจ้าจะเป็นอย่างไร?”ฟู่เยียนหรานพูดไม่หยุด ราวกับจับผิดกู้หว่านเยว่ได้กู้หว่านเยว่ทนไม่ไหว เตะนางออกไป ทันใดนั้น หมีก็มาถึงตรงหน้าทั้งสองคนแล้วหมีที่ตาบอดข้างหนึ่งยกอุ้งเท้าขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว เตรียมที่จะฟาดลงมา“กรี๊ด!”ฟู่เยียนหรานกลัวมาก ไม่ได้คิดอะไร ก็ผลักกู้หว่านเยว่ออกไป“หว่านเยว่!”“พี่สะใภ้!”ซูจิ่นเอ๋อร์และคนอื่น ๆ ที่หลบอยู่หลังก้อนหิน ก็พากันวิ่งออกมาโดยไม่สนใจความกลัว อยากจะตีฟู่เยียนหรานให้ตายเลยจริง ๆ ซูจิ่งสิงที่อยู่บนลาเทียมเกวียนคอยสังเกตการณ์อยู่ตลอด เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่ตกอยู่ในอันตราย เขาก็ทนไม่ไหว กระโดดลงมาจากลาเทียมเกวียน แล้วลงมาบนหลังหมีโดยตรง ในมือถือมีด
“ข้าแค่เห็นว่าในโพรงต้นไม้มีน้ำผึ้ง อยากจะเอาออกมากินสักหน่อย แต่ไม่คิดเลยว่าน้ำผึ้งนั้นจะมีหมีเฝ้าอยู่...”เห็นทุกคนไม่ได้แสดงความรู้สึกใด ๆ สายตาก็ยังเย็นชาฟู่เยียนหรานกัดฟัน จากนั้นวิ่งไปชนต้นไม้ทันที“ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า ถ้าทำให้พวกท่านหายโกรธได้ ข้ายอมตายเพื่อไถ่โทษ ข้าจะไปตายเดี๋ยวนี้”“พี่สาว อย่าทำเรื่องโง่ ๆ!” ฟู่ซานรีบดึงนางเอาไว้“มีคนอยากให้ข้าตาย งั้นข้าไปตายก็ได้” ฟู่เยียนหรานน้ำตาไหลพราก และมองไปที่กู้หว่านเยว่โดยเจตนาสายตาแบบนี้ทำให้กู้หว่านเยว่พูดไม่ออกตั้งใจทำให้นางรู้สึกแย่สินะ?งั้นก็หาคนผิดแล้ว กู้หว่านเยว่มองไปบนพื้นรอบ ๆ ทันใดนั้นก็หยิบมีดที่ตกอยู่บนพื้น แล้วเดินไปหาฟู่เยียนหราน จากนั้นยิ้มอย่างเป็นมิตร กล่าวด้วยน้ำเสียงหวังดี“โธ่ แม่นางฟู่ ชนต้นไม้มันเจ็บนะ เจ้าใช้มีดเล่มนี้เถอะมีดเล่มนี้คมมาก ฟันครั้งเดียวก็สามารถตัดคอเจ้าขาดได้ รับรองว่าเจ้าจะตายโดยไม่เจ็บปวดเลย”ขณะพูดก็เอามีดจ่อไปที่ลำคอของฟู่เยียนหรานแล้วลองทำท่าสองครั้ง“กรี๊ด...เจ้าเอาออกไปไกล ๆ หน่อย!”ฟู่เยียนหรานขาอ่อนยวบ จากนั้นกล่าวด่าทอโดยไม่ทันคิด“กู้หว่านเยว่ เจ้าบ้าไปแล
สีหน้าของนางหลิวและคนอื่น ๆ ก็ไม่ดีเช่นกัน ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าขาของซูจิ่งสิงยังดีอยู่ พวกเขาจะแยกบ้านทำไมกัน?ตอนนี้กู้หว่านเยว่เก่งขนาดนี้ ขาของซูจิ่งสิงก็หายดีแล้ว ต่อไปชีวิตก็จะยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วกลับมามองที่พวกเขา...แค่มีชีวิตรอดก็ดีแค่ไหนแล้วเพราะบ้านรองตายกันหมดแล้วนางหลิวพึมพำ “จิ่งสิง เจ้าทำแบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลย”ซูหัวหยางก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “ใช่แล้ว ขาของเจ้าไม่พิการ แล้วทำไมไม่บอก”สายตาตำหนิของหลาย ๆ คนจับจ้องไปที่ซูจิ่งสิง จนทำให้กู้หว่านเยว่รู้สึกโมโห“พวกท่านคงลืมไปแล้วกระมัง ตอนนั้นพวกท่านรังเกียจที่ข้าบาดเจ็บหนัก กลัวว่าข้าจะเป็นภาระ จึงอยากแยกบ้าน”ซูจิ่งสิงมองพวกเขาด้วยสายตาเยือกเย็นสายตาที่เยือกเย็นนั้น ทำให้สกุลซูทุกคนต้องหุบปากอย่างไม่เต็มใจ“คุณชายซู ขอแสดงความยินดีที่ท่านลุกขึ้นยืนได้แล้ว”ซุนอู่เดินไปหาซูจิ่งสิง ตั้งใจจะตบบ่าเขาสักหน่อยแต่เมื่อเห็นว่าซูจิ่งสิงสูงกว่าตนเองหนึ่งช่วงศีรษะ ก็เลยวางมือลง“แต่ว่า ท่านก็ต้องระวัง ในเมืองหลวงอาจมีคนที่ไม่อยากให้ท่านลุกขึ้นยืนก็ได้”“ข้ารู้ ขอบคุณท่านนักการซุน” ซูจิ่งสิงเหลือบมองไปที่กลุ่มนักก
ซูจิ่งสิงกระซิบเตือนกู้หว่านเยว่ที่ข้างหูอย่างแผ่วเบา ภรรยาเป็นคนบ้าการงาน ตั้งแต่มาถึงค่ายทหาร ก็มีเวลาพักผ่อนน้อยกว่าเขาเสียอีกเขาชอบท่าทางการวางแผนในกระโจมของกู้หว่านเยว่มาก เพียงแต่เป็นห่วงว่าร่างกายของนางจะรับไม่ไหว ดังนั้นจึงกำชับอยู่บ่อยครั้ง“ก็ได้เจ้าค่ะ ลมแรงจริง ๆ”กู้หว่านเยว่ถือโอกาสโยนกล้องโทรทรรศน์เข้าไปในมิติ แล้วลงมาจากหอสังเกตการณ์พร้อมกับซูจิ่งสิงหอสังเกตการณ์แห่งนี้สร้างโดยทหารตามคำสั่งของกู้หว่านเยว่ก่อนหน้านี้ โดยอิงตามพิมพ์เขียวที่นางให้มาหอสังเกตการณ์สูงยี่สิบเมตรพอดี เมื่อยืนอยู่ด้านบนของหอสังเกตการณ์จะสามารถมองเห็นจุดที่อยู่ไกลออกไปได้ชัดเจน สังเกตสถานการณ์ของศัตรูได้สะดวกยิ่งขึ้นทั้งสองลงมาจากหอสังเกตการณ์ ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่ในกองทัพกับเกาเจี้ยนก็ได้ยินเสียงโต้เถียงครู่หนึ่งโดยพลัน“ชู่ว์”กู้หว่านเยว่ส่งสัญลักษณ์มือให้ซูจิ่งสิง ดึงเขาให้เดินไปตามทิศทางที่ส่งเสียงมานางรู้สึกอยู่เสมอว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นเคย เมื่อเดินเข้าไปมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนคุ้นเคยจริงดังคาด เห็นกงซุนฉิงและลู่จิงกำลังโต้เถียงกันหน้าแดงหูแดง“นายท่าน ฮูหยิน พวกท่านมา
“หลี่กวงถิงต้องการควบคุมข่าวลือในกองทัพ แต่ก็ต้องดูว่านายทหารเหล่านั้นจะเชื่อเขาหรือไม่”ในกระโจมฝั่งตรงข้ามกับแม่น้ำมู่ตัน กู้หว่านเยว่กำลังแกว่งเอกสารราชการในมือเล่น ใบหน้าเผยแววเจ้าเล่ห์ออกมาซูจิ่งสิงถูปลายนิ้ว “เป็นอย่างที่เจ้าคาดไว้ไม่ผิด ทันทีที่หลี่กวงถิงได้ยินข่าวนี้ ก็เรียกประชุมทั้งกองทัพทันทีและบอกว่าข่าวนี้ เป็นเท็จ”“เขามีวิธี และเราก็มีวิธีเช่นกัน”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเก็บไพ่ใบสำคัญนี้ไว้ตลอดโดยเปล่าประโยชน์ ย่อมไม่ยอมปล่อยให้หลี่กวงถิงปกปิดเรื่องนี้ได้ง่าย ๆ“ถึงเวลาที่โจวเหล่าต้องออกหน้าแล้ว”นางเอ่ยเบา ๆหลี่กวงถิงเรียกประชุมทั้งกองทัพ พยายามปลอบขวัญทหารทว่าเขาเพิ่งพูดจบในตอนเช้า ตอนบ่ายก็มีข่าวส่งมาถึงบอกว่าโจวเหล่าออกหน้าด้วยตัวเอง เขียนเอกสารฉบับหนึ่งด้วยมือ“โจวเหล่าได้ยอมรับสถานะบุตรที่เป็นกำพร้าของอดีตรัชทายาทแล้ว”ใบหน้าของรองแม่ทัพอมทุกข์“โจวเหล่าเคยเป็นอาจารย์ของอดีตรัชทายาท เขายังเป็นนักปราชญ์แห่งยุคอีกด้วย มีลูกศิษย์ในมือนับไม่ถ้วน เขาเชี่ยวชาญในการชี้นำการพัฒนาคำวิพากษ์วิจารณ์ของมวลชนบัดนี้เขาพูดออกมาเช่นนี้ ยังมีใครที่ไม่เชื่ออีก?”
กู้หว่านเยว่ซื้อโล่และชุดเกราะมาอย่างละสองหมื่นชุดนอกจากธนูและหน้าไม้แล้ว กู้หว่านเยว่ยังซื้อลูกปืนใหญ่มาอีกชุดหนึ่งลูกปืนใหญ่เหล่านี้ถือเป็นของสำรอง จะไม่นำออกมาใช้อย่างเด็ดขาด เว้นแต่จะเป็นสถานการณ์พิเศษพลังทำลายล้างของลูกปืนใหญ่นั้นรุนแรงเกินไป หากไม่จำเป็น ก็อย่าเพิ่งนำออกมาใช้หลังจากเตรียมสิ่งของพร้อมแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ดูยอดเงินคงเหลือในบัตรอืม แทบจะไม่ขยับเลยการมีเงินใช้ไม่หมดนี่มันรู้สึกดีจริง ๆ !นอกจากสิ่งเหล่านี้ นางยังซื้อผงห้ามเลือดและยาจินชวงมาจำนวนมาก ล้วนมีประโยชน์สำหรับใช้พันแผลให้ทหารหลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ย้ายสิ่งของทั้งหมดนี้เข้าไปไว้ในคลังเก็บของในเมืองผิงโจวเมืองผิงโจวมีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา ไม่ต้องกลัวว่าของข้างในจะสูญหายหลังจากนำของเข้าไปไว้ในคลังเก็บของแล้ว ค่อยให้ทหารขนย้ายสิ่งของเหล่านี้ทั้งหมดไปยังค่ายเวลาผ่านไปรวดเร็วสิบวันต่อมา กองทัพของฮ่องเต้เดินทางมาถึงแม่น้ำมู่ตันหลี่กวงถิงมองไปยังผืนน้ำอันกว้างใหญ่ของแม่น้ำมู่ตัน ก็รู้สึกมึนงงมิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้เจียงเต๋อจื้อนำกองทัพห้าหมื่นนายมา ผลปรากฏว่าพ่ายแพ้ย่อยยับ
นางสั่งให้คนสร้างคลังเก็บของขนาดใหญ่ขึ้นที่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำมู่ตันในเมืองผิงโจวเมื่อนานมาแล้ว แต่ก่อนเอาไว้ใช้เก็บเสบียงอาหารยังมีคลังเก็บของอีกหลายแห่งที่ยังใช้ไม่หมดกู้หว่านเยว่ตั้งใจจะใช้กักตุนอาวุธทั้งหมดสามวันต่อมา กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงนำกองทัพใหญ่มาถึงแม่น้ำมู่ตันกองทัพใหญ่ตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำกางเต็นท์อย่างเป็นระเบียบ ตามแบบแปลนที่กู้หว่านเยว่มอบให้เต็นท์เล็ก ๆ ถูกกางขึ้นริมแม่น้ำควันไฟค่อย ๆ ลอยขึ้นไปเหล่าทหารไม่ได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย แต่ละคนดูเหมือนมาพักผ่อนจะทำอย่างไรได้ ก็เบี้ยหวัดทหารเยอะมากเกินไป!คนอื่นเวลาเดินทัพก็กินแต่อาหารแห้ง ซาลาเปากับหมั่นโถว แต่พวกเขากินกับข้าวสามอย่าง พร้อมน้ำแกงหนึ่งอย่างทุกมื้อ แถมยังมีทั้งเนื้อและผักอีกต่างหาก!แบบนี้จะเรียกว่าออกรบได้อย่างไร?เหมือนกับเทศกาลตรุษจีนชัด ๆ !เมื่อเห็นเหล่าทหารมีขวัญกำลังใจ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ดีใจ ทั้งสองคนปรึกษาแผนการในค่ายทหารซูจิ่งสิงไม่เป็นสองรองใครในเรื่องการรบอยู่แล้ว แต่เขาพบว่ากู้หว่านเยว่ก็มีพรสวรรค์ในด้านการทหารเช่นกันความคิดที่ผุดขึ้นมาเป็นครั้งคราว ทำให้เขา
“ไม่ต้อง ๆ ข้าแค่พูดเล่นเท่านั้น ยาพิษของพวกนี้ ใช้ให้น้อยจะดีกว่า”แต่จริง ๆ แล้ว เขาก็แค่แสร้งทำเท่านั้น เฟิ่งอู๋ชีไม่ได้กลัวพิษเลยสักนิด เพราะร่างกายเขามีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิด“ไปแล้วนะ”เขาโบกมือ แล้วหันหลังเดินจากไป“รักษาชีวิตของท่านเอาไว้”กู้หว่านเยว่เอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงความปลอดภัยของเฟิ่งอู๋ชี แต่เป็นเพราะคนที่ร่างกายมีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิดนั้นหาได้ยากเผื่อในอนาคตทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกัน นางก็อาจจะได้ศึกษาดู“ไม่ต้องห่วง สิ่งที่แข็งที่สุดของข้าก็คือชีวิตนี่แหละ”เฟิ่งอู๋ชีนหลังเดินจากไป เดินไปได้สองก้าวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไม่ใช่ ๆ จุดแข็งที่สุดของเขาไม่ใช่ชีวิตเสียหน่อย!“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ นี่เป็นถึงองค์ชายหนานเจียงเชียวนะ จะไม่ฉวยโอกาสจับเขาไว้หรือ จะปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แบบนี้หรือ?”ซูจื่อชิงรีบเข้ามา เห็นเฟิ่งอู๋ชีกำลังเดินจากไปพอดี ใบหน้าของเขาเผยความเสียดายออกมาเล็กน้อยปล่อยศัตรูไปแบบนี้ ไม่เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่าหรอกหรือ?จากมุมมองของเขา ก็ควรจะจับองค์ชายหนานเจียงไว้ เพื่อใช้ข่มขู่หนานเจียงสิ“ฆ่าองค์ชายหนานเจียงก็ไร้ประโยช
นางแสดงสีหน้าสงบนิ่ง แม้ว่าใบหน้าจะเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา แต่คำพูดที่เอ่ยออกมานั้นกลับเฉียบคม ทำให้อวิ๋นมู่ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรดี“ข้าไม่ได้คิดกับพี่สะใภ้ของท่านอย่างที่ท่านคิด”จิตใจของอวิ๋นมู่บริสุทธิ์มาก เขาเพียงต้องการปกป้องอยู่ข้างกายกู้หว่านเยว่ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ไม่เคยคิดฝันไกลเลยแน่นอนว่า หากซูจิ่งสิงทำไม่ดีกับกู้หว่านเยว่ เช่นนั้นเขาก็จะลงมือพอถูกมู่หรงฉางเล่อรั้งเอาไว้ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็เดินห่างออกไปไกลแล้ว ร่างของทั้งสองคนหายลับไปในถนนยาวอวิ๋นมู่จึงตัดสินใจไม่ตามพวกเขาไป เขาพิงกายลงนั่งริมขอบเรือ พลางมองไปยังผืนน้ำในทะเลสาบ“คุณชายอวิ๋น หรือว่า จะลองมองคนข้าง ๆ บ้างก็ได้”มู่หรงฉางเล่อกะพริบตาคู่สวยที่ดูราวกับดวงตาจิ้งจอก“อย่างเช่น มองข้า”“ท่าน...”อวิ๋นมู่ตกตะลึง ใบหูแดงก่ำขึ้นมาอย่างรวดเร็วเวลานี้เขาพบว่า มู่หรงฉางเล่ออยู่ใกล้เขามาก ลมหายใจของนางเป่ารดใบหน้าของเขาเขารีบลุกขึ้น อยากจะจากไป“ตอนนี้ยังไปไม่ได้นะ”มู่หรงฉางเล่อดึงชายเสื้อของเขาไว้ราวกับรู้ล่วงหน้า พลางทำเสียงออดอ้อน“คำสัญญาที่ท่านรับปากไว้กับข้ายังไม่ได้เสร็จสิ้น ต้องอยู่เป็
“ไม่คิดจะอยู่รอดูเรื่องสนุกที่นี่หน่อยหรือ?”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วขึ้นซูจิ่งสิงส่ายหน้า เขาไม่สนใจคนทั้งสองคนนี้“ตราบใดที่ข้าได้อยู่กับน้องหญิงอย่างมีความสุขก็พอแล้ว”“ใช่”กู้หว่านเยว่ยิ้มหวานบนเรือสำราญ มู่หรงฉางเล่อกำลังพูดคุยกับอวิ๋นมู่อวิ๋นมู่ดูเหมือนจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับนิสัยเข้ากับคนอื่นได้ง่ายของนาง จึงแสดงสีหน้าประหม่าเล็กน้อย“ท่านหญิงฉางเล่อ เรื่องที่ข้ารับปากท่าน ข้าทำเสร็จแล้ว ท่านจะให้ข้ากลับได้หรือยัง?”อวิ๋นมู่ส่ายหน้าอย่างจนใจตลอดทางมู่หรงฉางเล่อพูดมากเหลือเกิน เขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี“นี่จะกลับแล้วหรือ? คุณชายอวิ๋นรับปากข้าแล้วมิใช่หรือว่าจะอยู่เที่ยวเล่นเป็นเพื่อนข้าจนกว่าข้าจะพอใจ”มู่หรงฉางเล่อโบกพัดในมือไปมา ดวงตาที่หรี่ลงดูราวกับจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่ง“นี่เป็นสิ่งที่ท่านติดค้างข้า คุณชายอวิ๋น อย่าได้กลับคำเชียว”อวิ๋นมู่แสดงสีหน้าจนใจวันนั้นที่ร้านขายเสื้อผ้า ตอนแรกเขากำลังเลือกผ้าอยู่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเจ้าของร้านถึงต้องยกน้ำชามาให้เขาเขาตั้งใจจะวางน้ำชาลง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพอหันหลังกลับ ดันไปชนมู่หรงฉางเล่อเข้าโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ชายกระโ
หลี่กวงถิงเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เรื่องที่สกุลซูถูกยึดทรัพย์ในตอนนั้น เขาก็หลบเลี่ยง ไม่ยอมออกหน้ากลับส่งเจียงเต๋อจื้อคนโง่เขลาเบาปัญญาออกไปภายนอกคือให้โอกาสแก่เจียงเต๋อจื้อ แต่ที่จริงแล้ว ในใจเขากลัวว่าซูจิ่งสิงจะฟื้นคืนอำนาจ แล้วกลับมาแก้แค้นในภายหลังแต่ถึงแม้เขาจะไม่ได้ออกหน้า แต่สุดท้ายก็มีส่วนร่วมอยู่ดี“เมื่อกษัตริย์ต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้”หลี่กวงถิงถอนหายใจยาวระยะทางที่กองทัพจะเดินทางไปยังเจดีย์หนิงกู่ ต้องใช้เวลาเดินทางอีกหนึ่งเดือน ภายในหนึ่งเดือนนี้ เขาต้องรีบส่งคนไปสืบดูสถานการณ์ทางการทหารของเจดีย์หนิงกู่หลี่กวงถิงหยิบกระดาษสีเหลืองขึ้นมา มือที่เหี่ยวย่นราวกับเปลือกไม้เขียนข้อความลงบนกระดาษสีเหลือง แล้วส่งให้รองแม่ทัพ“นำไปให้สายลับ”“ขอรับ” รองแม่ทัพซ่งรีบออกไปทันทีถึงแม้โอกาสชนะจะน้อย แต่ก็ต้องดิ้นรนบ้างมิใช่หรือ?ทางด้านกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงปรึกษาหารือกันเสร็จแล้ว ก็เรียกหลี่เฉินอันเข้ามาไม่ได้เจอกันนาน หลี่เฉินอันก็สูงขึ้น และแข็งแรงขึ้นมาก“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์หญิง”เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่ เขาจึงคุกเข่าลงอย่างนอบน้อม
“เจ้าออกไปเถอะ ข้าจะบอกอะไรเจ้าสักหนึ่งประโยค ถึงแม้เจ้าจะเป็นบ่าวของข้า แต่ข้าก็มองเจ้าเป็นเหมือนน้องสาวแท้ ๆ หากเจ้าชอบใครจริง ๆ เจ้าก็จงพยายามไขว่คว้าเอาเอง ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้าวันนี้เจ้าก็เห็นแล้วว่าฉางเล่อมีใจให้กับอวิ๋นมู่ ข้าไม่ได้รู้สึกว่าเจ้าด้อยไปกว่านางเลยแน่นอนว่า ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้า”กู้หว่านเยว่พูดเพียงเท่านี้แววตาของชิงเหลียนมีความสับสนอยู่ชั่วขณะ จากนั้นจึงพยักหน้า“ขอบคุณฮูหยิน บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ ทันใดนั้น ซูจิ่งสิงก็รีบร้อนเข้ามาจากข้างนอก“น้องหญิง ทางเมืองหลวงมีข่าวแพร่สะพัดมาแล้ว”กู้หว่านเยว่ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันทีเรื่องใหญ่มาแล้ว!นางโบกมือให้ชิงเหลียนออกไป แล้วหันไปมองซูจิ่งสิง“เกิดอะไรขึ้น?”“นี่คือจดหมายของนกพิราบสื่อสารจากเมืองหลวง”ซูจิ่งสิงไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขาแค่หยิบจดหมายที่อยู่ในมือมอบให้กู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่รีบเปิดออก แล้วก็หัวเราะเยาะในทันที“ฮ่องเต้ชั่วลงมือเร็วจริง ๆ ”ในจดหมายกล่าวถึง ฮ่องเต้มอบหมายกองทัพให้กับหลี่กวงถิง เสนาบดีฝ่ายขวา สั่งให้เขาเป็น