“พี่ใหญ่เฉิง ช่วยข้าด้วย ท่านสัญญาว่าจะแต่งงานกับข้า”“เซี่ยเหอ เจ้าหลอกข้าจริง ๆ หรือ?”จู่ ๆ เฉิงเซวียนก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนโง่ ถูกผู้หญิงคนนี้หลอกมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว“ไม่ใช่ ไม่ใช่นะ ข้าตั้งครรภ์จริง ๆ หากข้าไม่ได้ตั้งครรภ์ เมื่อครู่ตอนที่ข้าแท้งลูก เหตุใดถึงได้เสียเลือดมากมายเช่นนั้น? เลือดที่ถูกยกออกไป ท่านก็เห็นเช่นกัน” นางพยายามอธิบายอย่างเต็มที่เมื่อนางพูดเช่นนี้ เฉิงเซวียนก็เกิดลังเลขึ้นมาจริง ๆ ถูกต้อง หากมิใช่ตั้งครรภ์แล้วแท้ง เลือดเหล่านั้นจะมาจากที่ใดเล่า?ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่หมอเองก็บอกว่านางแท้งลูกแล้วกู้หว่านเยว่เห็นเฉิงเซวียนเป็นเช่นนี้ ก็รู้ทันทีว่าเขาจะต้องถูกผู้หญิงคนนี้ชักจูง จึงเอ่ยเตือนด้วยความเอือมระอา“แก้ตัวที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ หมอที่จับชีพจรให้เจ้าเมื่อครู่ อยู่ข้างนอกมิใช่หรือ ลากเขาเข้ามาสอบสวนให้ดี ๆ ก็จะรู้ความจริงเอง”ทันทีที่พูดประโยคนี้จบ สีหน้าของเซี่ยเหอก็เปลี่ยนไปในทันทีเฉิงเซวียนราวกับตื่นจากความฝัน รีบออกจากห้องไปคว้าตัวหมอคนเมื่อครู่เข้ามาสิ่งที่บังเอิญก็คือ เมื่อครู่หมอตำแยเห็นท่าไม่ดี กำลังคิดจะแอบหนีไปเฉิ
“คุณหนู ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ”เสี่ยวเหมยโค้งคำนับต่อเซี่ยเหอ แล้วสารภาพความจริงออกมา“คุณหนูของเราไม่เคยมีอะไรกับคุณชายเฉิงเจ้าค่ะ วันนั้น ข้ากับคุณหนูช่วยกันถอดเสื้อผ้าของคุณชายเฉิง แกล้งทำเป็นว่าคุณหนูถูกเขารังแกเจ้าค่ะ”เซี่ยเหอหน้าซีดเผือด “เหลวไหล เจ้าพูดจาเหลวไหล!”เฉิงเซวียนแทบไม่อยากจะเชื่อ “ดังนั้น ทั้งหมดเป็นแผนที่พวกเจ้าวางไว้ ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย?”เสี่ยวเหมยพยักหน้าเฉิงเซวียนทั้งตกใจทั้งดีใจ แต่ที่มากกว่านั้นคือความโกรธ“เซี่ยเหอ ข้าดีกับเจ้าไม่น้อย”ตลอดทางที่ไปเขาอินซาน ทุกคนต่างกีดกันเซี่ยเหอ มีเพียงเขาที่ไม่เคยรังเกียจนางเลย“เหตุใดเจ้าจึงวางแผนหลอกลวงข้าเช่นนี้?” นี่มันทำคุณบูชาโทษมิใช่หรือ?“พี่ใหญ่เฉิง ข้าแค่ชอบท่านมากเกินไป”เซี่ยเหอจับชายเสื้อของเขาไว้ สายตาที่อ่อนหวานเต็มไปด้วยความเสน่หาคู่นั้นทำให้เฉิงเซวียนรู้สึกคลื่นไส้เขาสะบัดมือเซี่ยเหอออก “อย่าแตะต้องข้า ข้ารู้สึกขยะแขยง”ผู้หญิงคนนี้ปากหวานก้นเปรี้ยว ไม่มีคำพูดไหนจริงใจเลยสักคำ หลอกเขาเหมือนเขาเป็นคนโง่งม“ในเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกัน”เฉิงเซวียนเอ่ยข
ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายคนที่พ่ายแพ้กลับเป็นตัวเขาเองเขาถูกหลอกอย่างสิ้นเชิง“จัดการตัวเองให้ดี”เนี่ยเติ้งมองด้วยสายตาเย็นชา เขาคนนี้เป็นคนอาฆาตแค้นมาก โดยเฉพาะความแค้นของน้องสาว ดังนั้นเขาจึงไม่แสดงท่าทีเป็นมิตรกับเฉิงเซวียน“ขอโทษ”เวลานี้ เฉิงเซวียนได้รับความกระทบกระเทือนอย่างมาก ได้กลิ่นคาวเลือดคลุ้งไปทั่วห้อง เขานั่งบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าหม่นหมอง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่เมื่อเห็นว่าเรื่องราวได้จบลงแล้ว กู้หว่านเยว่และคนอื่น ๆ ก็ออกจากเรือน“พระชายา ครั้งนี้ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือ”เนี่ยเติ้งประสานมือคารวะกู้หว่านเยว่ ใบหน้าที่เยือกเย็นราวกับถูกละลายด้วยสายลมฤดูใบไม้ผลิ หากไม่รู้มาก่อน คงคิดว่าไม่ใช่คนเดียวกันกับที่อยู่ในเรือนเมื่อครู่“ไม่ต้องเกรงใจ ข้าก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย”กู้หว่านเยว่โบกมือปฏิเสธอย่างนอบน้อม คาดว่าเซี่ยเหอคงจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาอีกต่อไป“จริงสิ มีสิ่งหนึ่งที่ข้าต้องให้ท่าน” เนี่ยเติ้งล้วงเอาหนังสือสัญญาออกมาจากอกเนี่ยชิงหลานอธิบายอยู่ข้าง ๆ “พี่หญิงกู้ ท่านรับไปเถอะ สัญญาฉบับนี้คือกรรมสิทธิ์ในเหมืองหยก”“เหมืองหยก?”กู้หว่านเยว่รับสัญญามา เปิ
ทั้งสองคนไปที่โรงหมอก่อนเพื่อไปหาไป๋หลี่ชิงซี เนื่องจากไป๋หลี่ชิงซีได้นัดหมายกับทั้งสองคนเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า จะไปสำนักเทียนจีด้วยกันในอีกสามวันดังนั้นเมื่อถึงเวลา เขาก็เก็บข้าวของอย่างใจจดใจจ่อ รอทั้งสองคนอยู่ที่โรงหมอกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเห็นว่าไป๋หลี่ชิงซีเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ก็ประหยัดเวลาไปได้มาก จึงให้เขาและหลี่เหมียนหยางขึ้นรถม้าของพวกเขา“คุณชายไป๋หลี่ สองวันนี้ท่านฟื้นตัวเป็นอย่างไรบ้าง?”เมื่อเห็นทั้งสองคนนั่งลงแล้ว กู้หว่านเยว่ก็เอ่ยปากถามขึ้นในทันทีก่อนออกเดินทาง นางจำเป็นต้องเข้าใจสภาพร่างกายของไป๋หลี่ชิงซีเสียก่อนมิเช่นนั้น หากเดินทางไปได้ครึ่งทาง ไป๋หลี่ชิงซีเกิดอาการอะไรขึ้นมาอีกคงจะยุ่งยากน่าดูเมื่อได้พบกับนางอีกครั้ง ไป๋หลี่ชิงซีก็ยกยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยบรรยากาศผ่อนคลาย“ฟื้นตัวเร็วมาก คงเป็นเพราะยาที่ท่านสั่งให้ดี”นี่ไม่ใช่ว่าไป๋หลี่ชิงซีประจบสอพลอ ก่อนหน้านี้เขาก็เคยได้รับบาดเจ็บ โดยปกติแล้วบาดแผลเหล่านั้นต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะหายดีแต่ครั้งนี้ เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบาดแผลหายเร็วกว่าทุ
หลังจากจัดการอาหารมื้อกลางวันเสร็จ กู้หว่านเยว่ก็เติมน้ำใส่กระติกน้ำของทุกคนจนเต็ม จากนั้นก็รีบขึ้นรถม้าแล้วออกเดินทางต่อเมื่อฟ้ามืดลง ในที่สุดทุกคนก็มาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ทันทีที่ก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยม ก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจ“ศิษย์พี่ไป๋หลี่ เหมียนหยาง?!”“พี่ใหญ่ ท่านมาได้อย่างไร?”หลี่เหมียนหยางมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตกตะลึง ที่แท้ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคือหลี่เหมียนจงพี่ชายของนางเมื่อหลี่เหมียนจงเห็นไป๋หลี่ชิงซี เขาก็ขยี้ตาอย่างแรง“ข้าไม่ได้มองผิดไปใช่หรือไม่ ศิษย์พี่ใหญ่ เป็นท่านจริง ๆ หรือ?”“ข้าเอง” ไป๋หลี่ชิงซียิ้มเล็กน้อย เขาไม่ได้เจอหลี่เหมียนจงมาสองปีแล้ว คิดถึงมากทีเดียว“ท้องของท่าน?”“พี่ใหญ่ โรคของศิษย์พี่ไป๋หลี่รักษาหายแล้ว” หลี่เหมียนหยางรีบเอ่ยขึ้นหลี่เหมียนจงพลันรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง “เยี่ยมมาก ในเมื่อโรคของท่านหายดีแล้ว เช่นนั้นท่านก็กลับไปที่สำนักเทียนจีกับข้าได้แล้ว!”เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ โรคของไป๋หลี่ชิงซีหายได้ทันเวลาพอดี หากช้ากว่านี้อีกสักหน่อย สำนักเทียนจีคงไม่มีทางรอดแล้ว“พี่ใหญ่ พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”เนื่องจากร่างกายของไป
“ผ่าตัด มันคืออะไรหรือ?”หลี่เหมียนจงไม่คุ้นเคยกับคำนี้เลย เมื่อเห็นท่าทางเซ่อ ๆ ซ่า ๆของพี่ชาย หลี่เหมียนหยางก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้รู้ไหมว่า ตอนที่นางได้ยินเรื่องการผ่าตัดครั้งแรกก็รู้สึกงุนงงมากเช่นกันในที่สุดตอนนี้ก็ถึงคราวของนางที่จะอธิบายให้คนอื่นฟังแล้ว“การผ่าตัด ก็คือการใช้มีดผ่าท้องของท่าน จากนั้นค่อยเอาสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา”หลี่เหมียนหยางอธิบายพร้อมกับทำท่าทางไปด้วยนางก็ไม่รู้ว่าตัวเองอธิบายถูกต้องหรือไม่ แต่เอาคร่าว ๆ ก็คือความหมายตามนี้“ถ้าอย่างนั้น ท้องของศิษย์พี่ใหญ่ก็ถูกผ่าแล้วใช่ไหม?” หลี่เหมียนจงสะดุ้งโหยง มองไปที่ท้องของไป๋หลี่ชิงซีด้วยความเป็นห่วง“อ้อ ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ายังไม่ได้ถามเลยว่า ในท้องของท่านมีอะไรอยู่กันแน่?”คำถามนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนไป๋หลี่ชิงซีต้องโกรธแน่เขาถูกถากถางและหัวเราะเยาะ ยังอ่อนไหวต่อโรคประหลาดนี้มากแต่ในเวลานี้ อาการป่วยของเขาได้รับการรักษาโดยกู้หว่านเยว่แล้ว กลับสบายใจไร้กังวลมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำไป“อ๋อ เลือดคั่งหนึ่งกะละมัง”“เลือดคั่ง? ไม่ใช่ทารกประหลาดหรือ?”หลี่เหมียนจงดีใจแทนเขา พูดจาไม่ทันคิด จนเปลือกตาของหลี่เหมีย
เพียงแต่เมื่อประมาณหนึ่งปีก่อน จู่ ๆ สุขภาพของอาจารย์ก็ไม่สู้ดีนักในปีนี้ คอยบำรุงด้วยยาต้มอยู่เป็นระยะ แต่อาการก็ไม่ดีขึ้นเลยเมื่อครึ่งปีก่อน อาการยังรุนแรงกว่านี้มาก”หลี่เหมียนจงสีหน้าเป็นทุกข์ “โดยเฉพาะหลายวันมานี้ แม้แต่ลุกลงจากเตียงยังทำไม่ได้เลย”“ร้ายแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ?!” ไป๋หลี่ชิงซีกำหมัดแน่น รู้สึกผิดขึ้นเรื่อย ๆ“เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ข้าไม่สามารถกลับไปหาอาจารย์ได้ทันท่วงที”“ท่านอย่าโทษตัวเองมากเกินไป อาจารย์เคยพูดหลายครั้งแล้ว เขาเข้าใจสถานการณ์ของท่าน ก็เลยไม่อยากรบกวนท่าน ถึงให้พวกข้าปิดบังไว้ ไม่บอกอาการป่วยให้ท่านรู้”หลี่เหมียนจงเอ่ยอย่างรู้สึกผิดความจริงแล้วเขาแค่ทำตามคำสั่งของอาจารย์เท่านั้น ปิดบังไป๋หลี่ชิงซีมาโดยตลอด ไม่เช่นนั้นไป๋หลี่ชิงซีจะไม่มีทางไม่รู้เรื่องนี้“หมอเทวดากู้ ถ้าได้พบอาจารย์ รบกวนท่านช่วยตรวจอาการให้ได้หรือไม่”ไป๋หลี่ชิงซีรู้ว่าคำขอร้องของเขาดูจะมากเกินไป“ข้ายินดีทุ่มเททุกสิ่งที่ข้ามี”กู้หว่านเยว่เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “ในเมื่อข้ากับสามีมาที่สำนักเทียนจีกับท่านแล้ว หากได้พบเจ้าสำนัก ข้าย่อมตรวจให้เขาอยู่แล้วแต่ต้องบอกอะไรท
คนเหล่านี้แน่ชัดว่าเป็นลูกศิษย์ของสำนักเทียนจี เมื่อเห็นไป๋หลี่ชิงซีและหลี่เหมียนหยาง ก็ไม่ได้ดีใจที่ได้เห็นศิษย์ร่วมสำนักเลยสักนิด กลับดูระวังภัยและตื่นตัวเสียด้วยซ้ำไป“มีกลิ่นแปลก ๆ จริง”ทันทีที่เสียงของซูจิ่งสิงเงียบลง คนเหล่านั้นก็เข้ามารายล้อมกันหมดแล้ว“พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”หลี่เหมียนจงมีสีหน้าสับสนต่อให้ศิษย์พี่ไป๋หลี่ไม่ได้กลับมาเป็นเวลาสองปี พวกเขาจะตาบอดจำไม่ได้ แต่คงไม่มีทางจำเขาไม่ได้กระมัง?แต่เขาเพิ่งจากสำนักเทียนจีไปเมื่อสองวันก่อนนี้เองเมื่อเห็นศิษย์ร่วมสำนักที่อยู่ฝั่งตรงข้ามชักธนูออกมา หลี่เหมียนจงก็กระทืบเท้าอย่างร้อนรน แล้วมองไปทางคนกลาง“ศิษย์น้องถังหวย เจ้าจำพวกเราไม่ได้หรือ เหตุใดถึงปล่อยให้ลูกศิษย์ชี้อาวุธมาทางพวกเรา?”ถังหวยประสานมือ “ศิษย์พี่เหมียนจง สำนักเทียนจีได้รับรายงานลับว่า ศิษย์พี่ไป๋หลี่คลอดศพทารกบุรุษให้กำเนิดบุตร ฟ้าดินไม่ยอมรับผู้อาวุโสรองได้ออกคำสั่งให้ทำความสะอาดสำนักหากพบเห็นศิษย์พี่ไป๋หลี่ ให้สังหารทันที”เขาหลบเลี่ยงสายตา ไม่กล้าสบตากับไป๋หลี่ชิงซีโดยตรงไป๋หลี่ชิงซีเคยมีบุญคุณต่อเขา แต่เขาไม่สามารถทรยศต่ออาจารย์ได้“
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก