กลับมาในปัจจุบันชินหวางอ๋องเดินกลับมายังภายในห้องที่มืดสลัวชินหวางอ๋องยืนอยู่หน้าประตูที่ปิดเงียบแล้ว ภาพของซีหรูในคืนนั้นยังคงติดตรึงในใจเขา...ดวงตาของเด็กหญิงที่ร้องไห้เงียบ ๆ ท่ามกลางกองไฟนั้นมันไม่เคยหลุดออกจากความทรงจำของเขาไปได้เลย และตอนนี้ เขากำลังยืนอยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนเดียวกันแต่ที่สำคัญ...เขายังไม่รู้ว่าเขาจะทำอย่างไรกับความรู้สึกในใจที่กำลังปะทุขึ้นมาความรู้สึกที่เขามีต่อซีหรูในอดีตเริ่มผสมผสานกับความรู้สึกในตอนนี้ ซึ่งทำให้เขาต้องตั้งคำถามกับตัวเองมากมาย เขาจะทำตามเงื่อนไขที่เคยขอไว้กับฝ่าบาทเรื่องแต่งชายาเอกตอนที่ชายรองตั้งครรภ์ต่อไป...หรือจะเลือกฟังเสียงในหัวใจตัวเอง? ขณะที่ซีหรูยืนเหม่อลอยที่ริมหน้าต่าง ท่ามกลางหิมะขาวที่เริ่มตกลงมา “เมื่อครู่เสี่ยวอูบอกว่า...ฝ่าบาทกำลังไต่สวนเรื่องไฟไหม้เมื่อสิบแปดปีก่อน ที่จวนเสิ่น” มือของซีหรูที่กำชายชุดแน่นอยู่แล้วกลับสั่นระริก“ข้านึกว่าทุกคนลืมมันไปแล้ว...”ซีหรูหลับตา สูดลมหายใจลึกๆ เอ่ยปากอย่างแน่วแน่“ข้าอยาก..ข้าอยากจะกลับวังหลวง”“แต่ เราสองคนมาที่นี่เพื่อพักผ่อน เจ้าเอาเรื่องกวนใจพวกนี้มาเป็นเงื่อนไข”“ข้าจะกลับไป
พระราชวังฤดูหนาวยามดึก สงัดที่ หิมะโปรยปรายเสียงลมหนาวพัดวูบผ่านระเบียงศิลากว้าง เสียงกิ่งไม้เสียดสีกันแผ่วเบาราวกับกระซิบเตือนภัยกลางราตรี เสี่ยวอูเจ้าขี้เซานั่นหลับไปแล้วเพราะชินหวางอ๋องที่บอกเขาว่าควรพักผ่อนเสียซีหรูนอนหลับสนิทอยู่บนแท่นนอนในอ้อมแขนของชินหวางอ๋องที่ยังโอบกอดแนบแน่น ลมหายใจของเขาสม่ำเสมอ เพราะทั้งสองคนเพิ่งได้มีค่ำคืนแห่งความรักร่วมกันอย่างอบอุ่นแต่ในความเงียบสงบ กลับมีเงาดำซ่อนตัวอยู่มือสังหารในชุดดำถึงสามคนประตูไม้ที่ปิดสนิทถูกดันเปิดออกอย่างไร้สุ้มเสียง เงาร่างในชุดดำสามคนลอบเข้ามา พวกมันคือมือสังหารที่ถูกส่งมา พวกมันเคลื่อนตัวราวกับเงา แฝงกลิ่นอายแห่งความตายเอาไว้ในทุกย่างก้าวในมือคนทั้งสามกำกระบี่คมกริบไว้ในท่าเตรียมพร้อมกระบี่ที่ลับจนคมเฉียบส่องประกายสะท้อนแสงจันทร์ เสี้ยววินาทีแห่งความตายใกล้เข้ามาแล้ว“สวบ”เสียงคมกระบี่กระทบเพียงความว่างเปล่า ไฟในโคมแก้วสั่นไหวก่อนจะดับวูบไปในพริบตา ชินหวางอ๋องตื่นขึ้นในเสี้ยววินาที มือขวาชักกระบี่ใต้หมอนพลางตะโกน “หวางเฟยระวังตัว! หลบออกไป”ซีหรูลุกขึ้นอย่างตกใจ ยังไม่ทันได้ตั้งสติ ก็เห็นเงาร่างของชินหวางอ๋องปะทะกับ
โม๋กู่ยิ้มสมใจ“ท่านแพ้พนันข้าแล้วนะอ้ายหลัวปิงเอ่อสหายรัก”“เช่นนั้นเราไปซุ้ม อยู่แถวๆ นี้เหมือนเช่นเคยดีกว่าไหมปล่อยให้สามีภรรยาเขาปลอบใจกันไป”"ท่านปูจะไปไหนกัน”“เราสองคนขัดบัญชาฝ่าบาทก็ต้องหลบๆ ซ่อนหากใครรู้ว่าเราตามมาด้วยความห่วงใยจะถูกลงทัณฑ์เอาได้”“แต่เพราะท่านทั้งสอง ข้าที่เพลี้ยงพล้ำจึงเอาชีวิตรอดมาได้” ชินหวางอ๋องพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มๆ ไปด้วยความชื่นชมทั้งสองตา“ไม่เป็นไรน่าเราสองคนไม่ปล่อยให้หลานเขยกับหลานของเราต้องพบอันตรายแน่ๆ ข้าสองคนลาก่อนแต่อยู่ไม่ไกลจากนี้ไม่ต้องห่วง” ซีหรูโบกมือลาเสียงฝีเท้าของเสี่ยวอูวิ่งเข้ามาในห้อง“ท่านอ๋องเกิดอะไรขึ้น” ชินหวางอ๋องส่ายหน้าไปมา เสี่ยวอูจ้องมองผลงานของทั้งชินหวางอ่องอ้ายหลัวปิงเอ่อและโม๋กู่ด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าตื่นเต้นตกใจ“แค่เก็บกวาดและหาหลักฐานคงต้องใช้เวลาจนถึงฟ้าสางเลยทีเดียว ต้องอาศัยเจ้าแล้วล่ะเสี่ยวอู ข้าจะต้องปลอบใจหวางเฟยของข้าขอตัวก่อน” ประคองซีหรูจากไปภายในห้องบรรทมด้านซ้ายทุกอย่างกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ตะเกียงถูกจุดขึ้นใหม่ แสงนวลอบอุ่นส่องสว่าง หิมะยังคงโปรยปรายเบาๆ นอกหน้าต่าง แต่ภายในกลับอบอุ่นจนแทบลืมความเ
ลมหนาวพัดเบาบาง ชินหวางอ๋องนั่งอยู่บนหลังม้าตัวสูงสง่า สวมผ้าคลุมขนจิ้งจอกสีดำ ปลายผ้าพลิ้วไหวในสายลม ตรงข้างกายของเขาคือเกี้ยวเล็กที่จำต้องใช้เกี้ยวเล็กเพราะเกี้ยวที่มารับยังไม่ถึงกำหนดเวลาที่จะมารับนั่นเองเสี่ยวอูจึงจำต้องหาเกี้ยวสำหรับซีหรู ในราคาที่สูงลิบเพื่อกลับวังหลวงก่อนกำหนดภายในนั้นซีหรูนั่งอยู่เพียงคนเดียว เส้นบางๆ ที่กางกั้นคนทั้งสองกำลังเริ่มขึ้นอีกครั้ง ซีหรูนั่งนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำใดดึงม่านบางลงเล็กน้อย ไม่อยากให้ผู้ใดเห็นสีหน้าเงียบงันของตน ไม่ใช่เพราะเศร้า…แต่เพราะกำลังทำใจว่าจากนี้ไปช่วงเวลาแห่งความสุขกำลังจะหมดลง หรือเป็นเพราะอารมณ์แปรปรวนของคนที่กำลังตั้งครรภ์กันแน่จึงมองทุกอย่างอย่างคนที่เจ็บปวดเสมอ เสี่ยวอูส่งถ้วยยาบรรเทาอาการแพ้ท้อง“พระชายา ท่านดื่มเสียหน่อยข้าเพิ่งเคี่ยวเสร็จยังอุ่นๆ ดื่มเผื่อไว้ว่าจะเกิดอาการตอนไหนไม่อาจทราบได้” น้ำเสียงห่วงใยหวังดีนับจากวันนี้ไป ซีหรูคือ "สตรีของชินหวางอ๋อง"ในความคิดของซีหรูไม่มีทางเป็นอื่น แต่ในสายตาของหยางฟางหรานและชินหวางอ๋องเล่าพวกเขาคิดกันแบบไหนและ…ซีหรูคือภัย คือเงาอันไม่พึงประสงค์ที่อาจรบกวนความมั่นคงของตำแหน่งชายาเอ
ชินหวางอ๋องแหวกม่านเกี้ยวเบา ๆ เมื่อเห็นนางนั่งหันหลังให้ แผ่นหลังบางไหวเล็กน้อยอย่างพยายามกลั้นเสียงสะอื้น ทว่าแม้จะไม่หันกลับมา เขาก็รู้...ว่าซีหรูร้องไห้ นางร้องไห้เพราะเหตุใดเขาจนปัญญาร้องไห้ที่เขาจะให้อยู่ที่ตระกลเสิ่นหรือว่าร้องไห้เพราะไม่อยากจะอยู่ที่นั่นกันแน่“ข้าเอาซาลาเปามาให้...เจ้าจะกินหน่อยไหม เจ้ายังไมไ่ด้กินอะไรเลยลูกในท้องของเจ้าป่านนี้คงหิวแย่แล้ว” เสียงเขาแผ่วเบาราวลมหนาวที่พัดลอดเข้ามาในเกี้ยวซีหรู หันหน้าออกไปทางหน้าต่างอีกด้าน น้ำตาหยดใสซึมซาบลงที่แขนเสื้อเขามองแผ่นหลังที่สั่นไหวด้วยความรู้สึกผิดบาปในใจ ไม่มีคำพูดใดจะปลอบโยนได้อีกแล้ว มีเพียงแค่การกระทำ...ชินหวางอ๋องวางซาลาเปาไว้ที่ถาดไม้ด้านข้าง แล้วคุกเข่านั่งลงข้างนางอย่างเงียบเชียบ มือใหญ่ค่อย ๆ เอื้อมแตะมือเล็กที่วางบนตัก ซีหรูสะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่ชักมือกลับ"ซีหรู..." เขาเอ่ยเสียงพร่า กุมมือของนางแน่นขึ้น "...เจ้าโกรธข้าเรื่องอะไร” ไม่โง่ก็เหมือนโง่ที่ไม่อาจคาดเดาเรื่องที่ทำให้ซีหรูมีน้ำตาได้ซีหรูสะอื้นเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงสั่น“ไม่โกรธข้ามีสิทธิ์อะไรไปโกรธท่านอ๋อง เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน” คำพูดเดิมๆ
ท่ามกลางแสงอรุณสีทองที่สาดผ่านม่านไม้ไผ่ บรรยากาศหน้าประตูเรือนรับรองของตระกูลเสิ่นเงียบสงบ ซีหรูก้าวลงจากรถม้าด้วยชุดเรียบง่ายที่ชินหวางอ๋องเตรียมไว้ให้ก่อนออกเดินทางเขาสวมอาภรณ์เรียบง่ายนี้ให้กับซีหรูด้วยมือเขาเอง กลิ่นดอกเหมยจาง ๆ จากสวนใกล้เรือนแตะปลายจมูกนางเบา ๆชินหวางอ๋องลงจากหลังม้าตามหลังนาง ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าซีหรูที่ยังคงซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากหนังอ่อนอย่างเงียบงันเขาขอร้องให้นางปิดแผ่นหนังอัปลักษณ์อีกครั้ง“ขอบคุณ” ซีหรูเอ่ยเสียงแผ่ว“ข้าส่งคนอารักขาเจ้าเพิ่มหลายวันนี้ก่อนข้าจะมารับเจ้าคงเห็นองครักษ์ที่เยอะนห่อยเสี่ยวไป๋เองจะมาคอยดูแลเจ้าที่นี่ ข้าไม่อาจให้เจ้าอยู่ที่จวนอ๋องไร้พ่ายในยามนี้” เขาตอบเสียงต่ำ “จวนอ๋องไม่ปลอดภัย และในวัง… ยิ่งมากสายตาเกินกว่าจะปกป้องเจ้าได้”ซีหรูหลุบตาต่ำ ใจนางเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูกเหตุผลใดกันหรือเพียงคอหลอกลวงไม่ใช่เพราะหวาดกลัว แต่เพราะน้ำเสียงนั้น อ่อนโยนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา“บ้านตระกูลเสิ่นเป็นสถานที่ที่ข้าไว้ใจได้มากที่สุด” เขากล่าวต่อ “เสิ่นกวงหลิวท่านพ่อตาจะปกป้องเจ้า” ซีหรูพยักหน้าขึ้นลง เขาแจ้งเรื่องพิษในขนมก้อนคืนงานเลี้ยงกับเสิ่น
“บางที... ข้าอาจไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่ข้าคิดว่ามันคือความรักที่เกิดกับเจ้านั้นมันคืออะไรกันแน่”“ท่านหมายความว่าอย่างไร...” นางถามเสียงสั่นดวงตาแดงซ้ำเขาไม่ตอบทันที สายตาเลื่อนมองขึ้นไปยังท้องฟ้าเหมือนพยายามค้นหาคำตอบในใจตนเอง“…เมื่อได้พบหญิงหนึ่ง… ที่แม้เพียงคำพูดธรรมดา ก็ทำให้ใจข้าสั่นไหว ข้าจึงเข้าใจ… ว่ามันคือรักแท้ ไม่ใช่ภาพลวงตา”หยางฟางหรานตัวแข็งทื่อกำมือจิกเล็บลงบนผิวเนื้ออย่างแรงแต่ไม่รู้สึกเจ็บเข้าใจในทันที ว่า “ผู้หนึ่ง” ที่เขากล่าวถึง… มิใช่หยางฟางหรานแต่เป็น..ซีหรู“แล้วข้าล่ะ... ข้าอยู่ตรงนี้เสมอ ข้ารอท่านเสมอ...”ชินหวางอ๋องหลุบตาก้มมองพื้น“ข้ารู้... และข้าไม่เคยลืมสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าเลยฟางหราน”“แต่ใจของท่าน… มันไม่ใช่ของข้าอีกแล้ว” หยางฟางหรานพูดเบา ๆหยางฟางหรานยืนนิ่ง น้ำตาคลอเบ้า “ท่าน... จะเลือกนางจริง ๆ หรือ? หญิงที่มีใบหน้าอัปลักษณ์คนนั้น...”เขามองนางตรงๆ“ใบหน้าอาจหลอกตา... แต่จิตใจซื่อตรง กลับหลอกใจข้ามิได้เลย”หยางฟางหรานเบือนหน้าหนี รู้สึกราวกับโดนตบเข้าอย่างจัง“ข้าผิดอะไร”“เจ้าไม่ผิดข้าขอโทษแต่ข้าไม่อาจเหลือใจให้ใครอีกแล้ว เดิมข้าก็ไม่ได้มีใจให้เ
ภายในท้องพระโรงยามบ่าย แสงอาทิตย์ลอดผ่านบานหน้าต่างสูงที่รอบๆ สาดแสงลงบนพื้นไม้ขัดเรียบจนแลดูสงบนิ่ง แต่บรรยากาศภายในกลับไม่เงียบสงบเช่นนั้นฮ่องเต้ชินเตอหลางประทับบนบัลลังก์ ประดับพู่ไหมทองอย่างวิจิตร ทรงกวาดพระเนตรเย็นเยียบไปยังร่างสูงที่ยืนค้อมเล็กน้อยอยู่เบื้องหน้า“ชินหวางอ๋อง” เปล่งเสียงกังวานเอ่ยขึ้น “มาด้วยเรื่องเพลิงไหม้ในจวนตระกูลเสิ่น ในคืนนั้นสินะ จะว่าไปชินหวางอ๋องก็เป็นดังพยานสำคัญอีกคนสินะ นอกจากท่านน้า” ชินหวางอ๋องหยุดชั่วครู่ ก่อนเงยหน้าขึ้นสบตาชินเตอหวางฮ่องเต้อย่างกล้าหาญ“กระหม่อมสอบถามชาวบ้านใกล้เคียงแล้วพ่ะย่ะค่ะ พบว่าในคืนเกิดเหตุ มีคนเห็นเงาผู้คนลอบเข้าออกที่ป่าหลังเรือน ซึ่งโดยปกติเป็นทางที่ไม่มีใครใช้”“เช่นนั้นชินหวางอ๋องก็คงสงสัยว่า…เป็นการวางเพลิง?”“ใช่พ่ะย่ะค่ะ” ชินหวางอ๋องพยักหน้าอย่างหนักแน่น “มิใช่อุบัติเหตุอย่างที่รายงานจากเสิ่นกงหลิวบอกไว้เบื้องต้น ท่านพ่อในตอนนั้นยังพบร่องรอยเชือกไหม้ และกลิ่นน้ำมันสนที่ผิดปกติบนซากไม้บางส่วน ซึ่งผู้ตรวจการเมืองมิได้บันทึกไว้ในรายงาน และภายหลังท่านเสิ่นได้ขอบันทึกรายงานกับผู้การณ์ตรวจการเมืองแต่ตอนนั้นนั้นบันทึ
ในห้องลับใต้เรือนเก่าคร่ำคร่า ริมกำแพงตะวันตกของเมืองหลวง หยางฟางหรานยืนนิ่งอยู่หน้าตู้ไม้ดำ มีลิ้นชักนับสิบที่บรรจุสมุนไพรและผงแปลกประหลาดสารพัดชนิด ในมือเธอมีถุงผ้าสีแดงกำแน่น ดวงตาวาววับแม้จะอยู่ในความมืด“นี่คือยาพิษที่เจ้าต้องการ” หมอหญิงชราผู้หนึ่งกล่าวขณะค่อย ๆ วางขวดยาเล็กจิ๋วลงบนถาด“ท่านหมอยาชนิดนี้ใช้ได้ดีเพียงใด”“เพียงผงเท่าปลายเล็บก็สามารถทำให้หัวใจของคนหยุดเต้นภายในครึ่งชั่วยาม…”ฟางหรานก้มลงหยิบขวดยา สีหน้าไม่ไหวติง“ข้าอยากให้หัวใจของนางหยุดเต้นในทันทีเช่นนั้นข้าจะต้องเพิ่มขนาดยาใช่หรือไม่” หมอหญิงชราพยักหน้ายิ้มๆ“แน่นอน ท่านใช้ได้เท่าที่ต้องการเพื่อให้แน่ใจว่าคนคนนนั้นจะต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา”“และจะไม่เหลือร่องรอยให้ตรวจพบใช่หรือไม่” หยางฟางหรานทำสีหน้าสงสัย“แม้แต่หมอหลวงก็ตรวจไม่เจอ หากใส่ลงในของเหลวที่มีรสเข้มข้น เช่น น้ำแกง หรือชา…ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเป็นยาพิษ”รอยยิ้มเยียบเย็นแย้มขึ้นบนมุมปากของฟางหรานเป็นครั้งแรก“ดี...นางจะต้องตายอย่างไร้ข้อกังขาอย่างที่ท่านหมอพูด ข้าเกลียดนาง”ค่ำวันถัดมา ภายในห้องรับรองของบ้านตระกูลเสิ่นหยางฟางหรานในชุดคลุมแพรสีคราม เดินอย
ภายในท้องพระโรงยามบ่าย แสงอาทิตย์ลอดผ่านบานหน้าต่างสูงที่รอบๆ สาดแสงลงบนพื้นไม้ขัดเรียบจนแลดูสงบนิ่ง แต่บรรยากาศภายในกลับไม่เงียบสงบเช่นนั้นฮ่องเต้ชินเตอหลางประทับบนบัลลังก์ ประดับพู่ไหมทองอย่างวิจิตร ทรงกวาดพระเนตรเย็นเยียบไปยังร่างสูงที่ยืนค้อมเล็กน้อยอยู่เบื้องหน้า“ชินหวางอ๋อง” เปล่งเสียงกังวานเอ่ยขึ้น “มาด้วยเรื่องเพลิงไหม้ในจวนตระกูลเสิ่น ในคืนนั้นสินะ จะว่าไปชินหวางอ๋องก็เป็นดังพยานสำคัญอีกคนสินะ นอกจากท่านน้า” ชินหวางอ๋องหยุดชั่วครู่ ก่อนเงยหน้าขึ้นสบตาชินเตอหวางฮ่องเต้อย่างกล้าหาญ“กระหม่อมสอบถามชาวบ้านใกล้เคียงแล้วพ่ะย่ะค่ะ พบว่าในคืนเกิดเหตุ มีคนเห็นเงาผู้คนลอบเข้าออกที่ป่าหลังเรือน ซึ่งโดยปกติเป็นทางที่ไม่มีใครใช้”“เช่นนั้นชินหวางอ๋องก็คงสงสัยว่า…เป็นการวางเพลิง?”“ใช่พ่ะย่ะค่ะ” ชินหวางอ๋องพยักหน้าอย่างหนักแน่น “มิใช่อุบัติเหตุอย่างที่รายงานจากเสิ่นกงหลิวบอกไว้เบื้องต้น ท่านพ่อในตอนนั้นยังพบร่องรอยเชือกไหม้ และกลิ่นน้ำมันสนที่ผิดปกติบนซากไม้บางส่วน ซึ่งผู้ตรวจการเมืองมิได้บันทึกไว้ในรายงาน และภายหลังท่านเสิ่นได้ขอบันทึกรายงานกับผู้การณ์ตรวจการเมืองแต่ตอนนั้นนั้นบันทึ
“บางที... ข้าอาจไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่ข้าคิดว่ามันคือความรักที่เกิดกับเจ้านั้นมันคืออะไรกันแน่”“ท่านหมายความว่าอย่างไร...” นางถามเสียงสั่นดวงตาแดงซ้ำเขาไม่ตอบทันที สายตาเลื่อนมองขึ้นไปยังท้องฟ้าเหมือนพยายามค้นหาคำตอบในใจตนเอง“…เมื่อได้พบหญิงหนึ่ง… ที่แม้เพียงคำพูดธรรมดา ก็ทำให้ใจข้าสั่นไหว ข้าจึงเข้าใจ… ว่ามันคือรักแท้ ไม่ใช่ภาพลวงตา”หยางฟางหรานตัวแข็งทื่อกำมือจิกเล็บลงบนผิวเนื้ออย่างแรงแต่ไม่รู้สึกเจ็บเข้าใจในทันที ว่า “ผู้หนึ่ง” ที่เขากล่าวถึง… มิใช่หยางฟางหรานแต่เป็น..ซีหรู“แล้วข้าล่ะ... ข้าอยู่ตรงนี้เสมอ ข้ารอท่านเสมอ...”ชินหวางอ๋องหลุบตาก้มมองพื้น“ข้ารู้... และข้าไม่เคยลืมสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าเลยฟางหราน”“แต่ใจของท่าน… มันไม่ใช่ของข้าอีกแล้ว” หยางฟางหรานพูดเบา ๆหยางฟางหรานยืนนิ่ง น้ำตาคลอเบ้า “ท่าน... จะเลือกนางจริง ๆ หรือ? หญิงที่มีใบหน้าอัปลักษณ์คนนั้น...”เขามองนางตรงๆ“ใบหน้าอาจหลอกตา... แต่จิตใจซื่อตรง กลับหลอกใจข้ามิได้เลย”หยางฟางหรานเบือนหน้าหนี รู้สึกราวกับโดนตบเข้าอย่างจัง“ข้าผิดอะไร”“เจ้าไม่ผิดข้าขอโทษแต่ข้าไม่อาจเหลือใจให้ใครอีกแล้ว เดิมข้าก็ไม่ได้มีใจให้เ
ท่ามกลางแสงอรุณสีทองที่สาดผ่านม่านไม้ไผ่ บรรยากาศหน้าประตูเรือนรับรองของตระกูลเสิ่นเงียบสงบ ซีหรูก้าวลงจากรถม้าด้วยชุดเรียบง่ายที่ชินหวางอ๋องเตรียมไว้ให้ก่อนออกเดินทางเขาสวมอาภรณ์เรียบง่ายนี้ให้กับซีหรูด้วยมือเขาเอง กลิ่นดอกเหมยจาง ๆ จากสวนใกล้เรือนแตะปลายจมูกนางเบา ๆชินหวางอ๋องลงจากหลังม้าตามหลังนาง ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าซีหรูที่ยังคงซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากหนังอ่อนอย่างเงียบงันเขาขอร้องให้นางปิดแผ่นหนังอัปลักษณ์อีกครั้ง“ขอบคุณ” ซีหรูเอ่ยเสียงแผ่ว“ข้าส่งคนอารักขาเจ้าเพิ่มหลายวันนี้ก่อนข้าจะมารับเจ้าคงเห็นองครักษ์ที่เยอะนห่อยเสี่ยวไป๋เองจะมาคอยดูแลเจ้าที่นี่ ข้าไม่อาจให้เจ้าอยู่ที่จวนอ๋องไร้พ่ายในยามนี้” เขาตอบเสียงต่ำ “จวนอ๋องไม่ปลอดภัย และในวัง… ยิ่งมากสายตาเกินกว่าจะปกป้องเจ้าได้”ซีหรูหลุบตาต่ำ ใจนางเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูกเหตุผลใดกันหรือเพียงคอหลอกลวงไม่ใช่เพราะหวาดกลัว แต่เพราะน้ำเสียงนั้น อ่อนโยนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา“บ้านตระกูลเสิ่นเป็นสถานที่ที่ข้าไว้ใจได้มากที่สุด” เขากล่าวต่อ “เสิ่นกวงหลิวท่านพ่อตาจะปกป้องเจ้า” ซีหรูพยักหน้าขึ้นลง เขาแจ้งเรื่องพิษในขนมก้อนคืนงานเลี้ยงกับเสิ่น
ชินหวางอ๋องแหวกม่านเกี้ยวเบา ๆ เมื่อเห็นนางนั่งหันหลังให้ แผ่นหลังบางไหวเล็กน้อยอย่างพยายามกลั้นเสียงสะอื้น ทว่าแม้จะไม่หันกลับมา เขาก็รู้...ว่าซีหรูร้องไห้ นางร้องไห้เพราะเหตุใดเขาจนปัญญาร้องไห้ที่เขาจะให้อยู่ที่ตระกลเสิ่นหรือว่าร้องไห้เพราะไม่อยากจะอยู่ที่นั่นกันแน่“ข้าเอาซาลาเปามาให้...เจ้าจะกินหน่อยไหม เจ้ายังไมไ่ด้กินอะไรเลยลูกในท้องของเจ้าป่านนี้คงหิวแย่แล้ว” เสียงเขาแผ่วเบาราวลมหนาวที่พัดลอดเข้ามาในเกี้ยวซีหรู หันหน้าออกไปทางหน้าต่างอีกด้าน น้ำตาหยดใสซึมซาบลงที่แขนเสื้อเขามองแผ่นหลังที่สั่นไหวด้วยความรู้สึกผิดบาปในใจ ไม่มีคำพูดใดจะปลอบโยนได้อีกแล้ว มีเพียงแค่การกระทำ...ชินหวางอ๋องวางซาลาเปาไว้ที่ถาดไม้ด้านข้าง แล้วคุกเข่านั่งลงข้างนางอย่างเงียบเชียบ มือใหญ่ค่อย ๆ เอื้อมแตะมือเล็กที่วางบนตัก ซีหรูสะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่ชักมือกลับ"ซีหรู..." เขาเอ่ยเสียงพร่า กุมมือของนางแน่นขึ้น "...เจ้าโกรธข้าเรื่องอะไร” ไม่โง่ก็เหมือนโง่ที่ไม่อาจคาดเดาเรื่องที่ทำให้ซีหรูมีน้ำตาได้ซีหรูสะอื้นเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงสั่น“ไม่โกรธข้ามีสิทธิ์อะไรไปโกรธท่านอ๋อง เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน” คำพูดเดิมๆ
ลมหนาวพัดเบาบาง ชินหวางอ๋องนั่งอยู่บนหลังม้าตัวสูงสง่า สวมผ้าคลุมขนจิ้งจอกสีดำ ปลายผ้าพลิ้วไหวในสายลม ตรงข้างกายของเขาคือเกี้ยวเล็กที่จำต้องใช้เกี้ยวเล็กเพราะเกี้ยวที่มารับยังไม่ถึงกำหนดเวลาที่จะมารับนั่นเองเสี่ยวอูจึงจำต้องหาเกี้ยวสำหรับซีหรู ในราคาที่สูงลิบเพื่อกลับวังหลวงก่อนกำหนดภายในนั้นซีหรูนั่งอยู่เพียงคนเดียว เส้นบางๆ ที่กางกั้นคนทั้งสองกำลังเริ่มขึ้นอีกครั้ง ซีหรูนั่งนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำใดดึงม่านบางลงเล็กน้อย ไม่อยากให้ผู้ใดเห็นสีหน้าเงียบงันของตน ไม่ใช่เพราะเศร้า…แต่เพราะกำลังทำใจว่าจากนี้ไปช่วงเวลาแห่งความสุขกำลังจะหมดลง หรือเป็นเพราะอารมณ์แปรปรวนของคนที่กำลังตั้งครรภ์กันแน่จึงมองทุกอย่างอย่างคนที่เจ็บปวดเสมอ เสี่ยวอูส่งถ้วยยาบรรเทาอาการแพ้ท้อง“พระชายา ท่านดื่มเสียหน่อยข้าเพิ่งเคี่ยวเสร็จยังอุ่นๆ ดื่มเผื่อไว้ว่าจะเกิดอาการตอนไหนไม่อาจทราบได้” น้ำเสียงห่วงใยหวังดีนับจากวันนี้ไป ซีหรูคือ "สตรีของชินหวางอ๋อง"ในความคิดของซีหรูไม่มีทางเป็นอื่น แต่ในสายตาของหยางฟางหรานและชินหวางอ๋องเล่าพวกเขาคิดกันแบบไหนและ…ซีหรูคือภัย คือเงาอันไม่พึงประสงค์ที่อาจรบกวนความมั่นคงของตำแหน่งชายาเอ
โม๋กู่ยิ้มสมใจ“ท่านแพ้พนันข้าแล้วนะอ้ายหลัวปิงเอ่อสหายรัก”“เช่นนั้นเราไปซุ้ม อยู่แถวๆ นี้เหมือนเช่นเคยดีกว่าไหมปล่อยให้สามีภรรยาเขาปลอบใจกันไป”"ท่านปูจะไปไหนกัน”“เราสองคนขัดบัญชาฝ่าบาทก็ต้องหลบๆ ซ่อนหากใครรู้ว่าเราตามมาด้วยความห่วงใยจะถูกลงทัณฑ์เอาได้”“แต่เพราะท่านทั้งสอง ข้าที่เพลี้ยงพล้ำจึงเอาชีวิตรอดมาได้” ชินหวางอ๋องพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มๆ ไปด้วยความชื่นชมทั้งสองตา“ไม่เป็นไรน่าเราสองคนไม่ปล่อยให้หลานเขยกับหลานของเราต้องพบอันตรายแน่ๆ ข้าสองคนลาก่อนแต่อยู่ไม่ไกลจากนี้ไม่ต้องห่วง” ซีหรูโบกมือลาเสียงฝีเท้าของเสี่ยวอูวิ่งเข้ามาในห้อง“ท่านอ๋องเกิดอะไรขึ้น” ชินหวางอ๋องส่ายหน้าไปมา เสี่ยวอูจ้องมองผลงานของทั้งชินหวางอ่องอ้ายหลัวปิงเอ่อและโม๋กู่ด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าตื่นเต้นตกใจ“แค่เก็บกวาดและหาหลักฐานคงต้องใช้เวลาจนถึงฟ้าสางเลยทีเดียว ต้องอาศัยเจ้าแล้วล่ะเสี่ยวอู ข้าจะต้องปลอบใจหวางเฟยของข้าขอตัวก่อน” ประคองซีหรูจากไปภายในห้องบรรทมด้านซ้ายทุกอย่างกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ตะเกียงถูกจุดขึ้นใหม่ แสงนวลอบอุ่นส่องสว่าง หิมะยังคงโปรยปรายเบาๆ นอกหน้าต่าง แต่ภายในกลับอบอุ่นจนแทบลืมความเ
พระราชวังฤดูหนาวยามดึก สงัดที่ หิมะโปรยปรายเสียงลมหนาวพัดวูบผ่านระเบียงศิลากว้าง เสียงกิ่งไม้เสียดสีกันแผ่วเบาราวกับกระซิบเตือนภัยกลางราตรี เสี่ยวอูเจ้าขี้เซานั่นหลับไปแล้วเพราะชินหวางอ๋องที่บอกเขาว่าควรพักผ่อนเสียซีหรูนอนหลับสนิทอยู่บนแท่นนอนในอ้อมแขนของชินหวางอ๋องที่ยังโอบกอดแนบแน่น ลมหายใจของเขาสม่ำเสมอ เพราะทั้งสองคนเพิ่งได้มีค่ำคืนแห่งความรักร่วมกันอย่างอบอุ่นแต่ในความเงียบสงบ กลับมีเงาดำซ่อนตัวอยู่มือสังหารในชุดดำถึงสามคนประตูไม้ที่ปิดสนิทถูกดันเปิดออกอย่างไร้สุ้มเสียง เงาร่างในชุดดำสามคนลอบเข้ามา พวกมันคือมือสังหารที่ถูกส่งมา พวกมันเคลื่อนตัวราวกับเงา แฝงกลิ่นอายแห่งความตายเอาไว้ในทุกย่างก้าวในมือคนทั้งสามกำกระบี่คมกริบไว้ในท่าเตรียมพร้อมกระบี่ที่ลับจนคมเฉียบส่องประกายสะท้อนแสงจันทร์ เสี้ยววินาทีแห่งความตายใกล้เข้ามาแล้ว“สวบ”เสียงคมกระบี่กระทบเพียงความว่างเปล่า ไฟในโคมแก้วสั่นไหวก่อนจะดับวูบไปในพริบตา ชินหวางอ๋องตื่นขึ้นในเสี้ยววินาที มือขวาชักกระบี่ใต้หมอนพลางตะโกน “หวางเฟยระวังตัว! หลบออกไป”ซีหรูลุกขึ้นอย่างตกใจ ยังไม่ทันได้ตั้งสติ ก็เห็นเงาร่างของชินหวางอ๋องปะทะกับ
กลับมาในปัจจุบันชินหวางอ๋องเดินกลับมายังภายในห้องที่มืดสลัวชินหวางอ๋องยืนอยู่หน้าประตูที่ปิดเงียบแล้ว ภาพของซีหรูในคืนนั้นยังคงติดตรึงในใจเขา...ดวงตาของเด็กหญิงที่ร้องไห้เงียบ ๆ ท่ามกลางกองไฟนั้นมันไม่เคยหลุดออกจากความทรงจำของเขาไปได้เลย และตอนนี้ เขากำลังยืนอยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนเดียวกันแต่ที่สำคัญ...เขายังไม่รู้ว่าเขาจะทำอย่างไรกับความรู้สึกในใจที่กำลังปะทุขึ้นมาความรู้สึกที่เขามีต่อซีหรูในอดีตเริ่มผสมผสานกับความรู้สึกในตอนนี้ ซึ่งทำให้เขาต้องตั้งคำถามกับตัวเองมากมาย เขาจะทำตามเงื่อนไขที่เคยขอไว้กับฝ่าบาทเรื่องแต่งชายาเอกตอนที่ชายรองตั้งครรภ์ต่อไป...หรือจะเลือกฟังเสียงในหัวใจตัวเอง? ขณะที่ซีหรูยืนเหม่อลอยที่ริมหน้าต่าง ท่ามกลางหิมะขาวที่เริ่มตกลงมา “เมื่อครู่เสี่ยวอูบอกว่า...ฝ่าบาทกำลังไต่สวนเรื่องไฟไหม้เมื่อสิบแปดปีก่อน ที่จวนเสิ่น” มือของซีหรูที่กำชายชุดแน่นอยู่แล้วกลับสั่นระริก“ข้านึกว่าทุกคนลืมมันไปแล้ว...”ซีหรูหลับตา สูดลมหายใจลึกๆ เอ่ยปากอย่างแน่วแน่“ข้าอยาก..ข้าอยากจะกลับวังหลวง”“แต่ เราสองคนมาที่นี่เพื่อพักผ่อน เจ้าเอาเรื่องกวนใจพวกนี้มาเป็นเงื่อนไข”“ข้าจะกลับไป