ชินหวางอ๋องแหวกม่านเกี้ยวเบา ๆ เมื่อเห็นนางนั่งหันหลังให้ แผ่นหลังบางไหวเล็กน้อยอย่างพยายามกลั้นเสียงสะอื้น ทว่าแม้จะไม่หันกลับมา เขาก็รู้...ว่าซีหรูร้องไห้ นางร้องไห้เพราะเหตุใดเขาจนปัญญาร้องไห้ที่เขาจะให้อยู่ที่ตระกลเสิ่นหรือว่าร้องไห้เพราะไม่อยากจะอยู่ที่นั่นกันแน่“ข้าเอาซาลาเปามาให้...เจ้าจะกินหน่อยไหม เจ้ายังไมไ่ด้กินอะไรเลยลูกในท้องของเจ้าป่านนี้คงหิวแย่แล้ว” เสียงเขาแผ่วเบาราวลมหนาวที่พัดลอดเข้ามาในเกี้ยวซีหรู หันหน้าออกไปทางหน้าต่างอีกด้าน น้ำตาหยดใสซึมซาบลงที่แขนเสื้อเขามองแผ่นหลังที่สั่นไหวด้วยความรู้สึกผิดบาปในใจ ไม่มีคำพูดใดจะปลอบโยนได้อีกแล้ว มีเพียงแค่การกระทำ...ชินหวางอ๋องวางซาลาเปาไว้ที่ถาดไม้ด้านข้าง แล้วคุกเข่านั่งลงข้างนางอย่างเงียบเชียบ มือใหญ่ค่อย ๆ เอื้อมแตะมือเล็กที่วางบนตัก ซีหรูสะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่ชักมือกลับ"ซีหรู..." เขาเอ่ยเสียงพร่า กุมมือของนางแน่นขึ้น "...เจ้าโกรธข้าเรื่องอะไร” ไม่โง่ก็เหมือนโง่ที่ไม่อาจคาดเดาเรื่องที่ทำให้ซีหรูมีน้ำตาได้ซีหรูสะอื้นเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงสั่น“ไม่โกรธข้ามีสิทธิ์อะไรไปโกรธท่านอ๋อง เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน” คำพูดเดิมๆ
ท่ามกลางแสงอรุณสีทองที่สาดผ่านม่านไม้ไผ่ บรรยากาศหน้าประตูเรือนรับรองของตระกูลเสิ่นเงียบสงบ ซีหรูก้าวลงจากรถม้าด้วยชุดเรียบง่ายที่ชินหวางอ๋องเตรียมไว้ให้ก่อนออกเดินทางเขาสวมอาภรณ์เรียบง่ายนี้ให้กับซีหรูด้วยมือเขาเอง กลิ่นดอกเหมยจาง ๆ จากสวนใกล้เรือนแตะปลายจมูกนางเบา ๆชินหวางอ๋องลงจากหลังม้าตามหลังนาง ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าซีหรูที่ยังคงซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากหนังอ่อนอย่างเงียบงันเขาขอร้องให้นางปิดแผ่นหนังอัปลักษณ์อีกครั้ง“ขอบคุณ” ซีหรูเอ่ยเสียงแผ่ว“ข้าส่งคนอารักขาเจ้าเพิ่มหลายวันนี้ก่อนข้าจะมารับเจ้าคงเห็นองครักษ์ที่เยอะนห่อยเสี่ยวไป๋เองจะมาคอยดูแลเจ้าที่นี่ ข้าไม่อาจให้เจ้าอยู่ที่จวนอ๋องไร้พ่ายในยามนี้” เขาตอบเสียงต่ำ “จวนอ๋องไม่ปลอดภัย และในวัง… ยิ่งมากสายตาเกินกว่าจะปกป้องเจ้าได้”ซีหรูหลุบตาต่ำ ใจนางเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูกเหตุผลใดกันหรือเพียงคอหลอกลวงไม่ใช่เพราะหวาดกลัว แต่เพราะน้ำเสียงนั้น อ่อนโยนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา“บ้านตระกูลเสิ่นเป็นสถานที่ที่ข้าไว้ใจได้มากที่สุด” เขากล่าวต่อ “เสิ่นกวงหลิวท่านพ่อตาจะปกป้องเจ้า” ซีหรูพยักหน้าขึ้นลง เขาแจ้งเรื่องพิษในขนมก้อนคืนงานเลี้ยงกับเสิ่น
“บางที... ข้าอาจไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่ข้าคิดว่ามันคือความรักที่เกิดกับเจ้านั้นมันคืออะไรกันแน่”“ท่านหมายความว่าอย่างไร...” นางถามเสียงสั่นดวงตาแดงซ้ำเขาไม่ตอบทันที สายตาเลื่อนมองขึ้นไปยังท้องฟ้าเหมือนพยายามค้นหาคำตอบในใจตนเอง“…เมื่อได้พบหญิงหนึ่ง… ที่แม้เพียงคำพูดธรรมดา ก็ทำให้ใจข้าสั่นไหว ข้าจึงเข้าใจ… ว่ามันคือรักแท้ ไม่ใช่ภาพลวงตา”หยางฟางหรานตัวแข็งทื่อกำมือจิกเล็บลงบนผิวเนื้ออย่างแรงแต่ไม่รู้สึกเจ็บเข้าใจในทันที ว่า “ผู้หนึ่ง” ที่เขากล่าวถึง… มิใช่หยางฟางหรานแต่เป็น..ซีหรู“แล้วข้าล่ะ... ข้าอยู่ตรงนี้เสมอ ข้ารอท่านเสมอ...”ชินหวางอ๋องหลุบตาก้มมองพื้น“ข้ารู้... และข้าไม่เคยลืมสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าเลยฟางหราน”“แต่ใจของท่าน… มันไม่ใช่ของข้าอีกแล้ว” หยางฟางหรานพูดเบา ๆหยางฟางหรานยืนนิ่ง น้ำตาคลอเบ้า “ท่าน... จะเลือกนางจริง ๆ หรือ? หญิงที่มีใบหน้าอัปลักษณ์คนนั้น...”เขามองนางตรงๆ“ใบหน้าอาจหลอกตา... แต่จิตใจซื่อตรง กลับหลอกใจข้ามิได้เลย”หยางฟางหรานเบือนหน้าหนี รู้สึกราวกับโดนตบเข้าอย่างจัง“ข้าผิดอะไร”“เจ้าไม่ผิดข้าขอโทษแต่ข้าไม่อาจเหลือใจให้ใครอีกแล้ว เดิมข้าก็ไม่ได้มีใจให้เ
ภายในท้องพระโรงยามบ่าย แสงอาทิตย์ลอดผ่านบานหน้าต่างสูงที่รอบๆ สาดแสงลงบนพื้นไม้ขัดเรียบจนแลดูสงบนิ่ง แต่บรรยากาศภายในกลับไม่เงียบสงบเช่นนั้นฮ่องเต้ชินเตอหลางประทับบนบัลลังก์ ประดับพู่ไหมทองอย่างวิจิตร ทรงกวาดพระเนตรเย็นเยียบไปยังร่างสูงที่ยืนค้อมเล็กน้อยอยู่เบื้องหน้า“ชินหวางอ๋อง” เปล่งเสียงกังวานเอ่ยขึ้น “มาด้วยเรื่องเพลิงไหม้ในจวนตระกูลเสิ่น ในคืนนั้นสินะ จะว่าไปชินหวางอ๋องก็เป็นดังพยานสำคัญอีกคนสินะ นอกจากท่านน้า” ชินหวางอ๋องหยุดชั่วครู่ ก่อนเงยหน้าขึ้นสบตาชินเตอหวางฮ่องเต้อย่างกล้าหาญ“กระหม่อมสอบถามชาวบ้านใกล้เคียงแล้วพ่ะย่ะค่ะ พบว่าในคืนเกิดเหตุ มีคนเห็นเงาผู้คนลอบเข้าออกที่ป่าหลังเรือน ซึ่งโดยปกติเป็นทางที่ไม่มีใครใช้”“เช่นนั้นชินหวางอ๋องก็คงสงสัยว่า…เป็นการวางเพลิง?”“ใช่พ่ะย่ะค่ะ” ชินหวางอ๋องพยักหน้าอย่างหนักแน่น “มิใช่อุบัติเหตุอย่างที่รายงานจากเสิ่นกงหลิวบอกไว้เบื้องต้น ท่านพ่อในตอนนั้นยังพบร่องรอยเชือกไหม้ และกลิ่นน้ำมันสนที่ผิดปกติบนซากไม้บางส่วน ซึ่งผู้ตรวจการเมืองมิได้บันทึกไว้ในรายงาน และภายหลังท่านเสิ่นได้ขอบันทึกรายงานกับผู้การณ์ตรวจการเมืองแต่ตอนนั้นนั้นบันทึ
ในห้องลับใต้เรือนเก่าคร่ำคร่า ริมกำแพงตะวันตกของเมืองหลวง หยางฟางหรานยืนนิ่งอยู่หน้าตู้ไม้ดำ มีลิ้นชักนับสิบที่บรรจุสมุนไพรและผงแปลกประหลาดสารพัดชนิด ในมือเธอมีถุงผ้าสีแดงกำแน่น ดวงตาวาววับแม้จะอยู่ในความมืด“นี่คือยาพิษที่เจ้าต้องการ” หมอหญิงชราผู้หนึ่งกล่าวขณะค่อย ๆ วางขวดยาเล็กจิ๋วลงบนถาด“ท่านหมอยาชนิดนี้ใช้ได้ดีเพียงใด”“เพียงผงเท่าปลายเล็บก็สามารถทำให้หัวใจของคนหยุดเต้นภายในครึ่งชั่วยาม…”ฟางหรานก้มลงหยิบขวดยา สีหน้าไม่ไหวติง“ข้าอยากให้หัวใจของนางหยุดเต้นในทันทีเช่นนั้นข้าจะต้องเพิ่มขนาดยาใช่หรือไม่” หมอหญิงชราพยักหน้ายิ้มๆ“แน่นอน ท่านใช้ได้เท่าที่ต้องการเพื่อให้แน่ใจว่าคนคนนนั้นจะต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา”“และจะไม่เหลือร่องรอยให้ตรวจพบใช่หรือไม่” หยางฟางหรานทำสีหน้าสงสัย“แม้แต่หมอหลวงก็ตรวจไม่เจอ หากใส่ลงในของเหลวที่มีรสเข้มข้น เช่น น้ำแกง หรือชา…ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเป็นยาพิษ”รอยยิ้มเยียบเย็นแย้มขึ้นบนมุมปากของฟางหรานเป็นครั้งแรก“ดี...นางจะต้องตายอย่างไร้ข้อกังขาอย่างที่ท่านหมอพูด ข้าเกลียดนาง”ค่ำวันถัดมา ภายในห้องรับรองของบ้านตระกูลเสิ่นหยางฟางหรานในชุดคลุมแพรสีคราม เดินอย
ค่ำคืนมืดมิดชินหวางอ๋องในชุดคลุมดำไร้ลวดลาย ก้าวย่างเงียบเชียบเข้าสู่หลังบ้านเสิ่นอย่างเงียบๆองครักษ์ไฉ่หานรออยู่ก่อนแล้ว“ท่านอ๋อง” ไฉ่หานประสานมือนอบน้อม“ท่านพ่อตารอข้าอยู่ใช่หรือไม่” น้ำเสียงเรียบเฉย“พ่ะย่ะค่ะ สาวใช้นางหนึ่งรับหน้าที่เป็นคนล้างภาชนะในครัว ได้กลิ่นหญ้าหลัวซินจื่อจากชาที่นางเคี่ยว นางเห็นชัดว่าสาวใช้คนหนึ่งของฮูหยินรองนำออกไปก่อนจะนำชามาให้พระชายารอง” ชินหวางอ๋องถอนหายใจ“ดีมาก ท่านพ่อตาคงไม่ได้แหวกหญ้าให้งูตื่นใช่ไหม ข้าตั้งใจพบท่านพ่อตาในทันทีเพื่อกล่าวโทษฮูหยินรองสวี่เหยียน” ริมฝีปากคมขยับช้า ๆ ดวงตาคมวาวเยือกเย็นดุจจิ้งจอกกลางหิมะ“ส่งสาวใช้คนนั้นกลับบ้านนางเสียข้าไม่รู้ว่าขอบเขตของเรื่องนี้ขยายวงกว้างแค่ไหนจำต้องปกป้องพยานของเรา”“พ่ะย่ะค่ะ…” ไฉ่หานประสานมืออีกครั้ง ชินหวางอ๋องเร้นกายยังห้องพักด้านในของเสิ่นกวงหลิวชินหวางอ๋องก้าวเท้าผ่านก่อนจะหยุดที่หน้าต่างทอดมองไปยังห้องมืดมิดของซีหรูในบ้านเสิ่นแม้จะอยู่ห่าง แต่เขาก็รู้ดีว่าซีหรูนอนอยู่ในห้องนั้นแอบอมยิ้มเมื่อคิดถึงเรื่องราวต่อจากที่เขากำลังจะบงการให้เป็นช่วงเวลาดีดีสำหรับเขา“ซีหรู...หากไม่ใช่ข้าแอบมองเจ
เสียงกลองรบของข้าศึกดังกระหน่ำอย่างไม่มีหยุดพัก ควันดำลอยอ้อยอิ่งเหนือแนวกำแพงด่านหน้าที่แตกพัง เศษซากของโรงสีที่ถูกไฟเผาไหม้ยังคงส่งเสียงปะทุเบา ๆ ข้างฝั่งน้ำแข็งแตกกระเทาะทหารของแคว้นเป่ยในชุดเกราะเก่าโทรมมีรอยเลือดเปรอะเปื้อนทั่วร่าง บางคนขาดอาวุธ บางคนแขนขาได้รับบาดเจ็บจนไม่อาจขยับกานและยังคงคลานกลับค่ายด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว เสียงร้องไห้ของหญิงชราที่วิ่งตามร่างบุตรชายบนรถเข็นไม้ กรีดหัวใจของผู้ได้ยินให้ปวดหนึบบนหอคอยบัญชาการ องค์หญิงใหญ่ซุนเจอหนี่ ในชุดแม่ทัพเกราะเงิน ยืนนิ่งทอดสายตาออกไปยังขอบฟ้าที่ยังไม่รู้ว่าเป็นศัตรูหรือหายนะใหม่"ด่านหน้าพังราบไปแล้วขอรับท่านแม่ทัพ ตอนนี้เหลือเพียงที่นี่แต่ทหารของเราบาดเจ็บไม่น้อยเมื่อที่นี่ไม่อาจยันทัพของแคว้นไต้ไว้ได้และแตกลง พวกมันจะล้อมเมืองหลวง..." เสียงรองแม่ทัพที่หนึ่งกล่าวแผ่วเบา ซุนเจอหนี่เพียงพยักหน้า สั่งการอย่างสงบนิ่ง แม้ดวงตาจะคลอไปด้วยหยาดน้ำใส"ส่งสารน์ไปยังต้าเซี่ย ขอพันธมิตร... ป่านนี้ทัพจากแคว้นฉียังมาไม่ถึงหรือไร"ทอดอาลัยด้วยความรู้สึกกดดันในฐานะผู้นำคนสนิทของนาง เหยียนซา รีบก้าวเข้ามากระซิบ "แต่แคว้นต้าเซี่ยยังมิได้ตอบร
เสียงดาบปะทะหอกดังสนั่นทั่วแนวรบ เลือดร้อนสาดกระเซ็นบนผืนหิมะขาวจนแดงฉาน ซุนเจอหนี่ในชุดเกราะสีเข้มเปรอะเลือด ยืนหยัดอยู่กลางสมรภูมิ ท่ามกลางลูกธนูที่ยังโหมใส่ไม่หยุด"แม่ทัพ! เราเสียแนวรบตะวันตกแล้ว ขอรับ!" เสียงเหยียนชารีบรายงาน ใบหน้าของเขานั้นทั้งห่วงใยและตื่นตระหนกซุนเจอหนี่กัดฟันแน่น มือที่กำดาบสั่นเล็กน้อยเพราะเสียเลือดมากเกินไป กำลังจนหมดแรงลงเช่นกัน"พวกจะตายก็ควรตายเพราะปกป้อง"เค้นเสียงพูดเบาๆ ปลายเสียงขาดห้วง แต่แววตายังไม่ยอมแพ้“ท่านแม่ทัพ องค์หญิงอถอยก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เหยียนชาเตือนด้วยความหวังดี”“ไม่มีทางข้าจะไม่ทิ้งด่านหน้าแห่งนี้เด็ดขาด”“แต่ท่านแม่ทัพเราพ่ายแล้ว” เหยียนชาพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่นทันใดนั้นเสียงฝีเท้าม้านับร้อยดังขึ้นจากแนวป่าด้านหลังกองทหารที่บาดเจ็บล้มตายภายใต้การนำของซุนเจอหนี่ ซุนเจอหนี่หันขวับความรู้สึกตึงเครียดกับความคิดว่านั่นอาจเป็นทัพเสริมของศัตรู แม่ทัพหม่าเซินเลิกคิ้วสูงธงรบที่ชักขึ้นสูงบ่งบอกว่าเป็นธงของต้าเซี่ยด้านซุนเจอหนี่"ทัพนั่นของใครกัน!" หนึ่งในแม่ทัพรองตะโกนถาม สีหน้าเต็มไปด้วยความหวั่นเกรงซุนเจอหนี่เบิกตากว้างเล็กน้อย ธงมังกรเงิ
สวี่เหยียนถูกล่ามโซ่ไว้ในความมืด…นั่งอยู่มุมห้องขัง ใบหน้าซูบซีด มีเพียงเปลวแสงจากโคมเล็กหน้าห้องที่ส่องผ่านช่องไม้พาดมาให้เห็นดวงตาของนางยังเปล่งแสงแห่งความหวังแม้เพียงเล็กน้อย“พี่สาวท่านช้าอยู่ใยข้ารออยู่ข้าเชื่อว่ามีท่านเพียงคนเดียวที่จะไม่มีทางปล่อยให้ข้าต้องตาย”เสียงประตูเหล็กดังแกรกกรากนางสะดุ้งน้อยๆ พลางรีบยกมือขึ้นลูบผมที่ยุ่งเหยิงเพื่อแต่งกายให้ดูดีที่สุดด้วยความดีใจทหารยามสองคนพาร่างเล็กๆ ของขันทีคนหนึ่งเดินนำหน้าเข้ามา หัวใจของนางเต้นแรง เมื่อเขาแสดงตราสัญลักษณ์เล็กๆ ที่ซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อ เป็นตราฝังหยกแกะสลักลายบุปผาโบกไหว สัญลักษณ์เฉพาะของ “ฮองเฮาอี้หราน”"ฮองเฮาทรงหวงใย ท่านไม่น้อยขอรับ" ขันทีคุกเข่าลง เสียงแผ่วเบาแต่อบอุ่นดั่งน้ำซึมในผืนดินแห้งแล้ง“ทรงฝากข้ามาบอกว่า… ทรงจะส่ง ยาจำศีล มาให้…คืนนี้… ก่อนยามซวี (ประมาณสามทุ่ม) ” เขากระซิบเบาๆ อี้หรานลิงโลดในใจ"หลังดื่มยานั้นแล้ว ท่านจะดูเหมือนสิ้นใจจริง ไม่มีชีพจร ไม่มีลมหายใจ จะไม่มีใครกล้าแตะร่างท่านจนกว่าจะถึงยามเฉินของวันถัดไป (เช้าตรู่) เราจะพาท่านออกมาแล้วทุกอย่างก็จะเป็นความลับ"สวี่เหยียนเบิกตากว้าง น้ำตาเอ่อขึ
หยางฟางหรานยืนอยู่กลางห้อง ท่ามกลางความเงียบ มีเพียงแววตาของบิดาหยางซูซิน ผู้เป็นขุนนางใหญ่ที่ทอดมองมาอย่างเคร่งเครียด“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าผู้ใดถูกคุมตัวไปในวันนี้ฟางหราน”เสียงของเขาเย็นเฉียบ คล้ายกำลังสอบถาม…แต่แท้จริงแล้วคือคำกล่าวหาอ้อม ๆฟางหรานกัดริมฝีปากแน่น ปรายตามองบิดาก่อนตอบเสียงแผ่ว“ฮูหยินรองสวี่เหยียน…”“และเจ้าเอง” น้ำเสียงของหยางซูซินทุ้มต่ำ “เจ้าก็รู้ดีว่าถ้านางเปิดปากขึ้นมาเมื่อไร ชื่อของเจ้าจะเป็นชื่อถัดไปที่ถูกเรียกและถูดคุมขัง”ฟางหรานเม้มริมฝีปาก สะบัดชายแขนเสื้อแล้วนั่งลงบนเบาะอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ ใบหน้าที่เคยงดงามอ่อนหวานบัดนี้กลับมีดวงตาแข็งกร้าว“แล้วท่านพ่อคิดจะปล่อยให้ข้าถูกลากไปเหรอ ปล่อยให้ท่านอ๋องจองจำข้าหรือ” “ปล่อยให้ซีหรูหญิงอัปลักษณ์คนนั้นได้หัวเราะเยาะข้า ทั้งๆ ที่ข้าต่างหากที่ควรอยู่เคียงข้างท่านอ๋องในตอนนี้เป็นชายาเอกอย่างที่ตั้งใจไว้เพราะนางแพศยาคนนั้นคนเดียว”แววตาของบิดาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เป็นประกายบางอย่างระหว่างความห่วงใยและไม่พอใจ“เจ้าลืมสิ่งที่พ่อเคยพูดไปแล้วหรือ บิดาของนางเป็นฝ่าบาทที่ส่งเสริม และยังตั้งใจที่จะกีดกันเจ้า เป็นพ่อที่วางรากฐ
เสียงดาบปะทะหอกดังสนั่นทั่วแนวรบ เลือดร้อนสาดกระเซ็นบนผืนหิมะขาวจนแดงฉาน ซุนเจอหนี่ในชุดเกราะสีเข้มเปรอะเลือด ยืนหยัดอยู่กลางสมรภูมิ ท่ามกลางลูกธนูที่ยังโหมใส่ไม่หยุด"แม่ทัพ! เราเสียแนวรบตะวันตกแล้ว ขอรับ!" เสียงเหยียนชารีบรายงาน ใบหน้าของเขานั้นทั้งห่วงใยและตื่นตระหนกซุนเจอหนี่กัดฟันแน่น มือที่กำดาบสั่นเล็กน้อยเพราะเสียเลือดมากเกินไป กำลังจนหมดแรงลงเช่นกัน"พวกจะตายก็ควรตายเพราะปกป้อง"เค้นเสียงพูดเบาๆ ปลายเสียงขาดห้วง แต่แววตายังไม่ยอมแพ้“ท่านแม่ทัพ องค์หญิงอถอยก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เหยียนชาเตือนด้วยความหวังดี”“ไม่มีทางข้าจะไม่ทิ้งด่านหน้าแห่งนี้เด็ดขาด”“แต่ท่านแม่ทัพเราพ่ายแล้ว” เหยียนชาพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่นทันใดนั้นเสียงฝีเท้าม้านับร้อยดังขึ้นจากแนวป่าด้านหลังกองทหารที่บาดเจ็บล้มตายภายใต้การนำของซุนเจอหนี่ ซุนเจอหนี่หันขวับความรู้สึกตึงเครียดกับความคิดว่านั่นอาจเป็นทัพเสริมของศัตรู แม่ทัพหม่าเซินเลิกคิ้วสูงธงรบที่ชักขึ้นสูงบ่งบอกว่าเป็นธงของต้าเซี่ยด้านซุนเจอหนี่"ทัพนั่นของใครกัน!" หนึ่งในแม่ทัพรองตะโกนถาม สีหน้าเต็มไปด้วยความหวั่นเกรงซุนเจอหนี่เบิกตากว้างเล็กน้อย ธงมังกรเงิ
เสียงกลองรบของข้าศึกดังกระหน่ำอย่างไม่มีหยุดพัก ควันดำลอยอ้อยอิ่งเหนือแนวกำแพงด่านหน้าที่แตกพัง เศษซากของโรงสีที่ถูกไฟเผาไหม้ยังคงส่งเสียงปะทุเบา ๆ ข้างฝั่งน้ำแข็งแตกกระเทาะทหารของแคว้นเป่ยในชุดเกราะเก่าโทรมมีรอยเลือดเปรอะเปื้อนทั่วร่าง บางคนขาดอาวุธ บางคนแขนขาได้รับบาดเจ็บจนไม่อาจขยับกานและยังคงคลานกลับค่ายด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว เสียงร้องไห้ของหญิงชราที่วิ่งตามร่างบุตรชายบนรถเข็นไม้ กรีดหัวใจของผู้ได้ยินให้ปวดหนึบบนหอคอยบัญชาการ องค์หญิงใหญ่ซุนเจอหนี่ ในชุดแม่ทัพเกราะเงิน ยืนนิ่งทอดสายตาออกไปยังขอบฟ้าที่ยังไม่รู้ว่าเป็นศัตรูหรือหายนะใหม่"ด่านหน้าพังราบไปแล้วขอรับท่านแม่ทัพ ตอนนี้เหลือเพียงที่นี่แต่ทหารของเราบาดเจ็บไม่น้อยเมื่อที่นี่ไม่อาจยันทัพของแคว้นไต้ไว้ได้และแตกลง พวกมันจะล้อมเมืองหลวง..." เสียงรองแม่ทัพที่หนึ่งกล่าวแผ่วเบา ซุนเจอหนี่เพียงพยักหน้า สั่งการอย่างสงบนิ่ง แม้ดวงตาจะคลอไปด้วยหยาดน้ำใส"ส่งสารน์ไปยังต้าเซี่ย ขอพันธมิตร... ป่านนี้ทัพจากแคว้นฉียังมาไม่ถึงหรือไร"ทอดอาลัยด้วยความรู้สึกกดดันในฐานะผู้นำคนสนิทของนาง เหยียนซา รีบก้าวเข้ามากระซิบ "แต่แคว้นต้าเซี่ยยังมิได้ตอบร
ค่ำคืนมืดมิดชินหวางอ๋องในชุดคลุมดำไร้ลวดลาย ก้าวย่างเงียบเชียบเข้าสู่หลังบ้านเสิ่นอย่างเงียบๆองครักษ์ไฉ่หานรออยู่ก่อนแล้ว“ท่านอ๋อง” ไฉ่หานประสานมือนอบน้อม“ท่านพ่อตารอข้าอยู่ใช่หรือไม่” น้ำเสียงเรียบเฉย“พ่ะย่ะค่ะ สาวใช้นางหนึ่งรับหน้าที่เป็นคนล้างภาชนะในครัว ได้กลิ่นหญ้าหลัวซินจื่อจากชาที่นางเคี่ยว นางเห็นชัดว่าสาวใช้คนหนึ่งของฮูหยินรองนำออกไปก่อนจะนำชามาให้พระชายารอง” ชินหวางอ๋องถอนหายใจ“ดีมาก ท่านพ่อตาคงไม่ได้แหวกหญ้าให้งูตื่นใช่ไหม ข้าตั้งใจพบท่านพ่อตาในทันทีเพื่อกล่าวโทษฮูหยินรองสวี่เหยียน” ริมฝีปากคมขยับช้า ๆ ดวงตาคมวาวเยือกเย็นดุจจิ้งจอกกลางหิมะ“ส่งสาวใช้คนนั้นกลับบ้านนางเสียข้าไม่รู้ว่าขอบเขตของเรื่องนี้ขยายวงกว้างแค่ไหนจำต้องปกป้องพยานของเรา”“พ่ะย่ะค่ะ…” ไฉ่หานประสานมืออีกครั้ง ชินหวางอ๋องเร้นกายยังห้องพักด้านในของเสิ่นกวงหลิวชินหวางอ๋องก้าวเท้าผ่านก่อนจะหยุดที่หน้าต่างทอดมองไปยังห้องมืดมิดของซีหรูในบ้านเสิ่นแม้จะอยู่ห่าง แต่เขาก็รู้ดีว่าซีหรูนอนอยู่ในห้องนั้นแอบอมยิ้มเมื่อคิดถึงเรื่องราวต่อจากที่เขากำลังจะบงการให้เป็นช่วงเวลาดีดีสำหรับเขา“ซีหรู...หากไม่ใช่ข้าแอบมองเจ
ในห้องลับใต้เรือนเก่าคร่ำคร่า ริมกำแพงตะวันตกของเมืองหลวง หยางฟางหรานยืนนิ่งอยู่หน้าตู้ไม้ดำ มีลิ้นชักนับสิบที่บรรจุสมุนไพรและผงแปลกประหลาดสารพัดชนิด ในมือเธอมีถุงผ้าสีแดงกำแน่น ดวงตาวาววับแม้จะอยู่ในความมืด“นี่คือยาพิษที่เจ้าต้องการ” หมอหญิงชราผู้หนึ่งกล่าวขณะค่อย ๆ วางขวดยาเล็กจิ๋วลงบนถาด“ท่านหมอยาชนิดนี้ใช้ได้ดีเพียงใด”“เพียงผงเท่าปลายเล็บก็สามารถทำให้หัวใจของคนหยุดเต้นภายในครึ่งชั่วยาม…”ฟางหรานก้มลงหยิบขวดยา สีหน้าไม่ไหวติง“ข้าอยากให้หัวใจของนางหยุดเต้นในทันทีเช่นนั้นข้าจะต้องเพิ่มขนาดยาใช่หรือไม่” หมอหญิงชราพยักหน้ายิ้มๆ“แน่นอน ท่านใช้ได้เท่าที่ต้องการเพื่อให้แน่ใจว่าคนคนนนั้นจะต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา”“และจะไม่เหลือร่องรอยให้ตรวจพบใช่หรือไม่” หยางฟางหรานทำสีหน้าสงสัย“แม้แต่หมอหลวงก็ตรวจไม่เจอ หากใส่ลงในของเหลวที่มีรสเข้มข้น เช่น น้ำแกง หรือชา…ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเป็นยาพิษ”รอยยิ้มเยียบเย็นแย้มขึ้นบนมุมปากของฟางหรานเป็นครั้งแรก“ดี...นางจะต้องตายอย่างไร้ข้อกังขาอย่างที่ท่านหมอพูด ข้าเกลียดนาง”ค่ำวันถัดมา ภายในห้องรับรองของบ้านตระกูลเสิ่นหยางฟางหรานในชุดคลุมแพรสีคราม เดินอย
ภายในท้องพระโรงยามบ่าย แสงอาทิตย์ลอดผ่านบานหน้าต่างสูงที่รอบๆ สาดแสงลงบนพื้นไม้ขัดเรียบจนแลดูสงบนิ่ง แต่บรรยากาศภายในกลับไม่เงียบสงบเช่นนั้นฮ่องเต้ชินเตอหลางประทับบนบัลลังก์ ประดับพู่ไหมทองอย่างวิจิตร ทรงกวาดพระเนตรเย็นเยียบไปยังร่างสูงที่ยืนค้อมเล็กน้อยอยู่เบื้องหน้า“ชินหวางอ๋อง” เปล่งเสียงกังวานเอ่ยขึ้น “มาด้วยเรื่องเพลิงไหม้ในจวนตระกูลเสิ่น ในคืนนั้นสินะ จะว่าไปชินหวางอ๋องก็เป็นดังพยานสำคัญอีกคนสินะ นอกจากท่านน้า” ชินหวางอ๋องหยุดชั่วครู่ ก่อนเงยหน้าขึ้นสบตาชินเตอหวางฮ่องเต้อย่างกล้าหาญ“กระหม่อมสอบถามชาวบ้านใกล้เคียงแล้วพ่ะย่ะค่ะ พบว่าในคืนเกิดเหตุ มีคนเห็นเงาผู้คนลอบเข้าออกที่ป่าหลังเรือน ซึ่งโดยปกติเป็นทางที่ไม่มีใครใช้”“เช่นนั้นชินหวางอ๋องก็คงสงสัยว่า…เป็นการวางเพลิง?”“ใช่พ่ะย่ะค่ะ” ชินหวางอ๋องพยักหน้าอย่างหนักแน่น “มิใช่อุบัติเหตุอย่างที่รายงานจากเสิ่นกงหลิวบอกไว้เบื้องต้น ท่านพ่อในตอนนั้นยังพบร่องรอยเชือกไหม้ และกลิ่นน้ำมันสนที่ผิดปกติบนซากไม้บางส่วน ซึ่งผู้ตรวจการเมืองมิได้บันทึกไว้ในรายงาน และภายหลังท่านเสิ่นได้ขอบันทึกรายงานกับผู้การณ์ตรวจการเมืองแต่ตอนนั้นนั้นบันทึ
“บางที... ข้าอาจไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่ข้าคิดว่ามันคือความรักที่เกิดกับเจ้านั้นมันคืออะไรกันแน่”“ท่านหมายความว่าอย่างไร...” นางถามเสียงสั่นดวงตาแดงซ้ำเขาไม่ตอบทันที สายตาเลื่อนมองขึ้นไปยังท้องฟ้าเหมือนพยายามค้นหาคำตอบในใจตนเอง“…เมื่อได้พบหญิงหนึ่ง… ที่แม้เพียงคำพูดธรรมดา ก็ทำให้ใจข้าสั่นไหว ข้าจึงเข้าใจ… ว่ามันคือรักแท้ ไม่ใช่ภาพลวงตา”หยางฟางหรานตัวแข็งทื่อกำมือจิกเล็บลงบนผิวเนื้ออย่างแรงแต่ไม่รู้สึกเจ็บเข้าใจในทันที ว่า “ผู้หนึ่ง” ที่เขากล่าวถึง… มิใช่หยางฟางหรานแต่เป็น..ซีหรู“แล้วข้าล่ะ... ข้าอยู่ตรงนี้เสมอ ข้ารอท่านเสมอ...”ชินหวางอ๋องหลุบตาก้มมองพื้น“ข้ารู้... และข้าไม่เคยลืมสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าเลยฟางหราน”“แต่ใจของท่าน… มันไม่ใช่ของข้าอีกแล้ว” หยางฟางหรานพูดเบา ๆหยางฟางหรานยืนนิ่ง น้ำตาคลอเบ้า “ท่าน... จะเลือกนางจริง ๆ หรือ? หญิงที่มีใบหน้าอัปลักษณ์คนนั้น...”เขามองนางตรงๆ“ใบหน้าอาจหลอกตา... แต่จิตใจซื่อตรง กลับหลอกใจข้ามิได้เลย”หยางฟางหรานเบือนหน้าหนี รู้สึกราวกับโดนตบเข้าอย่างจัง“ข้าผิดอะไร”“เจ้าไม่ผิดข้าขอโทษแต่ข้าไม่อาจเหลือใจให้ใครอีกแล้ว เดิมข้าก็ไม่ได้มีใจให้เ
ท่ามกลางแสงอรุณสีทองที่สาดผ่านม่านไม้ไผ่ บรรยากาศหน้าประตูเรือนรับรองของตระกูลเสิ่นเงียบสงบ ซีหรูก้าวลงจากรถม้าด้วยชุดเรียบง่ายที่ชินหวางอ๋องเตรียมไว้ให้ก่อนออกเดินทางเขาสวมอาภรณ์เรียบง่ายนี้ให้กับซีหรูด้วยมือเขาเอง กลิ่นดอกเหมยจาง ๆ จากสวนใกล้เรือนแตะปลายจมูกนางเบา ๆชินหวางอ๋องลงจากหลังม้าตามหลังนาง ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าซีหรูที่ยังคงซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากหนังอ่อนอย่างเงียบงันเขาขอร้องให้นางปิดแผ่นหนังอัปลักษณ์อีกครั้ง“ขอบคุณ” ซีหรูเอ่ยเสียงแผ่ว“ข้าส่งคนอารักขาเจ้าเพิ่มหลายวันนี้ก่อนข้าจะมารับเจ้าคงเห็นองครักษ์ที่เยอะนห่อยเสี่ยวไป๋เองจะมาคอยดูแลเจ้าที่นี่ ข้าไม่อาจให้เจ้าอยู่ที่จวนอ๋องไร้พ่ายในยามนี้” เขาตอบเสียงต่ำ “จวนอ๋องไม่ปลอดภัย และในวัง… ยิ่งมากสายตาเกินกว่าจะปกป้องเจ้าได้”ซีหรูหลุบตาต่ำ ใจนางเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูกเหตุผลใดกันหรือเพียงคอหลอกลวงไม่ใช่เพราะหวาดกลัว แต่เพราะน้ำเสียงนั้น อ่อนโยนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา“บ้านตระกูลเสิ่นเป็นสถานที่ที่ข้าไว้ใจได้มากที่สุด” เขากล่าวต่อ “เสิ่นกวงหลิวท่านพ่อตาจะปกป้องเจ้า” ซีหรูพยักหน้าขึ้นลง เขาแจ้งเรื่องพิษในขนมก้อนคืนงานเลี้ยงกับเสิ่น