กว่าที่หลี่หลิงเฟิ่งจะหลุดออกจากภวังค์ได้ก็ผ่านมาราว ๆ หนึ่งเค่อ*แล้ว นางเริ่มรับรู้ถึงความเจ็บปวดบนร่างกายที่บอบช้ำ แต่นางกลับทนได้ มิหนำซ้ำยังมีความสบายแทรกซึมเข้ามาอีกต่างหาก ความเจ็บทุเลาลง บาดแผลภายนอกและภายในค่อยๆ สมานกัน ทั่วทั้งร่างกลับมาเป็นปกติ หัวใจของนางกระตุกอีกครั้งหรือว่ามังกรตนนั้นจะเป็นมังกรบรรพกาล เทพเจ้าแห่งมังกรที่ผู้คนกราบไหว้ สุดท้ายแล้วท่านก็อวยพรให้นางสินะ หลี่หลิงเฟิ่งนึกขอบคุณอยู่ในใจ“มีอะไรหรือ” เมื่อนางหันกลับมา เห็นโม่จื่อหลิงเอาแต่จ้องนางไม่วางตา จึงถามออกไป“เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” มือหนายกขึ้นคล้ายอยากลูบผมปลอบประโลมชะงักกลางอากาศ ไม่นานก็ชักกลับไปข้างลำตัวเหมือนเดิม เผยรอยยิ้มบางที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักออกมาหลี่หลิงเฟิ่งยักไหล่ พลางอุ้มเสี่ยวไป๋ที่ออกมาจากมิติไปนั่งอยู่มุมหนึ่งของถ้ำ “พระองค์ควรจะซึมซับพลังงานบริสุทธิ์ในนี้ให้ได้มากที่สุดดีกว่านะเพคะ”“ถูกของเจ้า ที่นี่เหมาะแก่การฝึกพลังยุทธ์ยิ่งนัก” น้ำเสียงยียวนกลับมาอีกครั้ง ชายหนุ่มเดินมานั่งถัดจากนาง พลางหลับตาซึมซับไอปราณอยู่ข้างหลี่หลิงเฟิ่งหลี่หลิงเฟิ่งอ้าปากจะพูดบางอย่าง ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้เอ
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ หลี่หลิงเฟิ่งค่อย ๆ รู้สึกตัว รู้สึกเหมือนร่างกายของนางเบาหวิวราวกับปุยนุ่น เบาสบายจนไม่อยากลืมตาตื่นขึ้นมาอีกเลยเพียงแต่ว่าร่างกายของนางไม่ยอมทำตามจิตใจ นิ้วมือเรียวขยับแผ่วเบา ในที่สุดก็ลืมตาอย่างช่วยไม่ได้หือ?หลี่หลิงเฟิ่งกะพริบตาปรับทัศนียภาพรอบ ๆ ตัว ภาพที่เข้าในม่านตาคือความสว่างไสวของดวงดาวบนท้องฟ้าและขนสีเงินของสัตว์อสูรที่นอนอยู่ข้าง ๆ นาง“ท่านนี่ช่างไม่กลัวตายเสียนี่กระไร คิดว่าตัวเองมีกี่ชีวิตกัน ข้าเก็บชีวิตท่านกลับมาไม่ได้ทุกครั้งหรอกนะ ลองคิดดูหากข้าไม่ปลุกท่าน ท่านคงออกมาไม่ได้ไปตลอดชีวิตแล้ว” เสียงที่คุ้นเคยที่นางไม่ได้ยินมานานดังชัดในโสตประสาทของหลี่หลิงเฟิ่ง“เสี่ยว...มู่ แค่กๆๆ” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มรับเบา ๆ พลางตอบกลับ เพียงแต่พูดไม่กี่คำก็พบว่าตัวเองคอแห้งจากอาการขาดน้ำขั้นสุด “เจ็บคอสุด ๆ ไปเลย”“ไม่เจ็บสิแปลก ใครใช้ให้ท่านกรีดร้องขนาดนั้นเล่า เชื่อหรือไม่ว่าข้าตื่นขึ้นมาเพราะทนฟังเสียงโหยหวนของท่านไม่ไหวจริง ๆ หากข้าเป็นเจ้าหนุ่มนั่นคงทุบท่านสลบไปนานแล้ว” เสียงอ้อแอ้ดังข้างหูของนางไม่หยุด เด็กทารกในชุดขาวตัวอวบอ้วน ผิวขาวนวลดั่งหยก สองแก้
หลี่หลิงเฟิ่งไม่คิดเลยว่าการเข้ามาในถ้ำ หยิบอาวุธชิ้นหนึ่งขึ้นมาจะทำให้ชีวิตของนางเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้ การบังเอิญครั้งนี้เป็นประโยชน์กับนางอย่างมหาศาลเรื่องราวภายนอกมิติมายานั้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง นางเพ่งจิตออกไปข้างนอกสำรวจดูก็พบว่าตนเองอยู่บนตัวของวิหคเพลิงที่กำลังบินว่อนอยู่กลางอากาศ โดยมีโม่จื่อหลิงโอบกอดนางไว้ หลี่หลิงเฟิ่งที่สลบไสลไปนานไม่อาจรู้เลยว่าค่ายกลกักกันสลายไปตั้งแต่ตอนไหน อาจจะตั้งแต่ที่นางหยิบดาบแห่งจิตวิญญาณเล่มนั้นขึ้นมาก็เป็นได้หลี่หลิงเฟิ่งสังเกตตนเอง ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ข้าเลื่อนขั้นอีกแล้วหรือ”ยอมรับว่านางตกใจเล็กน้อย เพียงฝึกพลังยุทธ์ไม่กี่เดือนแต่นางกลับคืบหน้ากว่าคนอื่นที่ฝึกมาเป็นสิบปีเสียอีก แน่นอนว่าเป็นเรื่องดีสำหรับตัวหลี่หลิงเฟิ่ง การฝึกพลังยุทธ์เป็นสิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด แข็งแกร่งขึ้นใคร ๆ ก็ชอบทั้งนั้นแหละหลังจากที่หลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกกระปรี้กระเปร่าจากการพักผ่อนมาหลายชั่วยามในมิติมายา นางจึงสามารถวางเรื่องต่าง ๆ ที่น่าปวดหัวในอนาคตไว้ก่อนได้ หันไปยิ้มน้อย ๆ ให้เสี่ยวมู่ หยิกแก้มนุ่มนิ่มนั่นอย่างอดใจไม่ไหว “ข้าอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว สมควรแก่เ
อีกทางด้านหนึ่ง ในห้องใต้ดินเย็นเยียบและชื้นแฉะ รอบด้านมืดมิด ร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงไม้เขรอะฝุ่นหลังหนึ่ง มือขาวซีดยื่นออกไปทางประตู บุรุษผู้หนึ่งพยายามดิ้นรนลงจากเตียง เขาค่อย ๆ คลานไปยังแสงสว่างหนึ่งเดียวในห้องอันมืดมิดแห่งนี้ ฉับพลันแสงสว่างจากด้านนอกที่เล็ดลอดเข้ามาพลันหายไป เงาดำทะมึนสายหนึ่งบดบังแสงนั้นโดยสิ้นเชิงถงลี่พบว่าทั่วทั้งร่างของเขาชุ่มไปด้วยของเหลวหนืดเข้มข้น ตามมาด้วยกลิ่นคาวคละคลุ้ง ความเจ็บปวดไม่กี่เค่อที่ผ่านมากลายเป็นความชาหนึบไปทั้งตัว ร่างกายของเขาเริ่มอ่อนแรงลงตามลำดับ“หวาดกลัวใช่หรือไม่” เสียงหัวเราะแว่วมาให้ได้ยินเบา ๆ “ไม่ต้องห่วง หลังจากเจ้าไปแล้ว ข้าจะส่งลูกเมียของเจ้าติดตามไปด้วย”หัวใจของถงลี่จมดิ่งลงไม่หยุด “ขอร้องท่าน ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ทุกอย่างเป็นความผิดพลาดของข้าเอง”“เจ้าไปรอพวกเขาที่ปรโลกก่อนก้าวหนึ่ง อย่างไรเสียพวกเจ้าก็ไม่แยกจากกันแน่นอน” คนผู้นั้นแสยะยิ้มทีหนึ่ง เหลือบมองถงลี่ที่นอนจมกองเลือดครั้งหนึ่งก่อนหันหลังเดินออกไปปึง!เมื่อประตูปิดลง ความมืดมิดเข้าครอบคลุมทั่วทั้งห้องอีกครั้ง พร้อมกับพรากลมหายใจสุดท้ายของถงลี่ไป หลังจากนั้นไม่
“เร็ว รีบไปแจ้งผู้อาวุโสสามให้มาที่นี่โดยเร็ว” ศิษย์สำนักแพทย์โอสถที่เห็นเหตุการณ์รีบไปแจ้งทันที ไม่นานนักพลังยุทธ์อันแข็งแกร่งขุมหนึ่งหยุดยั้งฝ่ามือหลี่หลิงเฟิ่งที่กำลังจะทำร้ายคนอีกรอบ“องค์ชายรองโม่ แม่นางท่านนี้โปรดยั้งมือ ทำเช่นนี้ไม่ดีต่อแคว้นหลิวอวิ๋นเอาเสียเลย ท่านคงไม่อยากเป็นศัตรูกับสำนักแพทย์โอสถของเรากระมัง”“แต่คนของท่านคิดจะทำร้ายใครก็ได้อย่างนั้นหรือ ตลกสิ้นดี” หลี่หลิงเฟิ่งโมโหจนหัวเราะออกมาแล้ว“พวกเจ้าต่างหากที่ลงมือกับข้าก่อน อึก!” ยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งลอยเข้าปากจวินโหยวหนาน แม่นยำราวกับจับวาง รอบด้านพลันเงียบสงบ“เจ้าหุบปาก ถึงคราวให้เจ้าพูดได้แล้วรึ” หลี่หลิงเฟิ่งไม่เคยยั้งมือกับศัตรูอยู่แล้ว ต่อให้ตรงหน้าของนางจะมีท่านเทพองค์ใดขวางอยู่ก็ตาม “เป็นองค์ชายเหมือนกัน แต่สมองและความสามารถต่างกันเกินไป”คราวนี้โม่จื่อหลิงยิ้มแล้ว สายตาที่เคยมืดครึ้มพลันเปลี่ยนมาเจ้าเล่ห์ดังเดิม “นางมารน้อย อย่าโมโหไปเลย ไม่ดีต่อสุขภาพ”“ในเมื่อพวกเจ้าไม่เห็นสำนักแพทย์โอสถอยู่ในสายตา ถึงกับกล้าลงมือทำร้ายคนต่อหน้าข้า” พลังขุมหนึ่งก่อตัวขึ้นรอบตัวของผู้อาวุโสสาม ทว่าโม่จื่อหลิงกับหลี่หลิงเฟิ
“เริ่มเลยเถิด” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ เมื่อคนของสำนักแพทย์โอสถไม่ยอมทำตามคำท้าของผู้อาวุโสสาม ผู้ดูแลสวินเห็นว่าเรื่องบานปลายจนมาถึงขั้นนี้แล้ว ตัวเขาเองก็ไม่มีอำนาจควบคุมอันใดได้อีก ถอนหายใจหนักหน่วงครั้งหนึ่ง จากนั้นกล่าวกับศิษย์สำนักคนหนึ่งอย่างสงบ “เจ้าไปเชิญรองเจ้าสำนักมาเป็นสักขีพยานให้แก่พวกเขาเสีย”“แม่นางอย่าได้เข้าใจผิด ที่ข้าเชิญรองเจ้าสำนักมาก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดอันใดขึ้น ซ้ำยังเป็นผลดีกับตัวเจ้าเองด้วย” ผู้ดูแลสวินกล่าวเสียงขรึม หากผู้อาวุโสสามก่อเรื่องเกินขอบเขต ชายข้าง ๆ นางคงไม่มีทางอยู่เฉยเป็นแน่ สำนักแพทย์โอสถไม่อยากผิดใจกับชายหนุ่มผู้มากยุทธ์คนนี้เพราะเรื่องของสตรีหรอก“ข้าไม่ขัดข้อง” หลี่หลิงเฟิ่งยักไหล่ นางเพียงอยากสั่งสอนคนเท่านั้น ดีเหมือนกันหากผู้มาใหม่ยังไม่ต้อนรับนางอีก นางก็ไม่จำเป็นต้องช่วยคนเช่นกัน พึงรู้ไว้ว่านางไม่ใช่แม่พระ ความเป็นตายของผู้อื่นไม่เคยอยู่ในสายตา เพียงแต่ท่านผู้นั้นเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับพวกหูซาน ฝืนนับเขาเป็นพวกพ้องได้บ้าง“แต่ขอยืมเตาหลอมได้หรือไม่ บังเอิญว่าข้าไม่มีน่ะ” ผู้ดูแลสวินมุมปากกระตุก มั่นใจแล้วว่าน
ยาลูกกลอนที่เพิ่งหลอมเสร็จหอมกลุ่นกระทบจมูกของทุกคน ผู้คนต่างลุ้นว่าโอสถในมือของผู้อาวุโสสามคือยาลูกกลอนอะไรผู้อาวุโสสามยิ้มอย่างภาคภูมิ ค่อย ๆ คลายมือออก สีขาวขุ่นปรากฏบนสายตา “ยาลูกกลอนอายุวัฒนะ!”“อืม ยาลูกกลอนอายุวัฒนะสิบเม็ด ใช้ได้เจ็ดเม็ด ขั้นสามสี่เม็ด ขั้นเจ็ดอีกสามเม็ด” รองเจ้าสำนักตรวจสอบยาลูกกลอนในมือของผู้อาวุโสสามอย่างถี่ถ้วน ผงกหัวชื่นชม “ไม่เลยเลย”ในเวลาอันสั้น ภายใต้ขอบเขตสมุนไพรที่มีจำกัด เขาสามารถหลอมออกมาได้ถึงหกในสิบส่วนเลยหรือ ผู้อาวุโสสามเก่งกาจโดยแท้ “นางหนู เสียใจแล้วหรือไม่ ท้าอะไรไม่ท้า มาท้าในสิ่งที่ข้าถนัดที่สุด หึ”เมื่อผู้ชมมองยาลูกกลอนที่อยู่ในมือหลี่หลิงเฟิ่ง ต่างก็มีหลากหลายอารมณ์ บ้างทอดถอนใจเสียดาย บ้างดูถูกดูแคลน บ้างเฉยเมยราวกับคาดการณ์ไว้แล้ว ทว่าทุกคนในที่นี้ไม่มีใครยินดีหรือให้กำลังใจกับนางสักคนผู้คนต่างส่ายหน้า ซุบซิบทันทีที่เห็นก้อนกลมสีดำสองสามก้อนในมือนาง “ฝีมือเท่าหางอึ่ง นางยังกล้ารับคำท้าประลอง”“ตัวยาไหม้เกรียมขนาดนี้ นางพ่ายแพ้ยับเยินเลยทีเดียว”“ไม่คิดว่าองค์ชายรองโม่ สมองจะมีปัญหา ดันคว้าสตรีโอ้อวดมาอยู่ข้างกาย”“สตรีผู้นี้เป็นตัวล
ภายในห้องพำนักเจ้าสำนักแพทย์โอสถปรากฏหูซานและชายชราอีกสองคน รวมทั้งลูกศิษย์บางคน ทำหน้าเคร่งเครียด ใบหน้าอ่อนล้าเพราะอดนอนมาหลายวัน บนเตียงไม้สลักมีร่างผ่ายผอมดำคล้ำของชายชราผู้หนึ่ง นอนสลบไสลราวกับคนใกล้หมดสิ้นอายุขัย “ศิษย์น้องสี่ เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าพอมีทางช่วยศิษย์พี่ใหญ่บ้างหรือไม่”“ข้าเองก็อับจนหนทางเหมือนกัน ยาขวดนั้นเพียงแค่ยื้อลมหายใจศิษย์พี่ใหญ่เท่านั้น ต่อให้เป็นท่านเทพมาตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าจะช่วยได้ พิษลุกลามไปทั่วร่างกายศิษย์พี่ใหญ่ตั้งนานแล้ว” หูซานส่ายหน้า สองตาแดงก่ำไม่อาจทำใจได้ หลายวันมานี้พวกเขาค้นคว้าหายาถอนพิษ ทว่าก็ล้มเหลวจนกระทั่งหวังซีมาพร้อมยาขวดหนึ่ง พวกเขาถึงได้มีความหวังขึ้นมา เพียงแต่ดีใจได้ไม่กี่วัน ไม่รู้เพราะสาเหตุใดอาการของศิษย์พี่ใหญ่ถึงทรุดลงอย่างรวดเร็ว แม้แต่เขาที่เป็นอัจฉริยะแห่งยุคก็ไม่อาจหาต้นตอของอาการเหล่านี้ได้ หูซานพบว่าไม่มีหนทางที่ศิษย์พี่ใหญ่จะรอดแล้วเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอกหวังข่ายที่สภาพก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น ๆ ในห้อง เดินออกมาเปิดประตู พอเห็นว่าเป็นรองเจ้าสำนักเขาก็เบี่ยงตัวหลบอย่างเคยชิน แต่เมื่อรู้สึกว่ามีคนเดินตามหลังรองเจ้า
ณ เมืองหลวงของแคว้นหลิวอวิ๋นเสียงการต่อสู้ยังคงดังกึกก้อง เปลวเพลิงโหมลุกไหม้ตามแนวกำแพง เสียงคำรามของผู้บุกรุกประสานกับเสียงอาวุธที่กระทบกันอย่างดุเดือดสวีคุนเจ้าสำนักหอแพทย์โอสถ กำลังรักษาผู้บาดเจ็บพลางออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "อย่าปล่อยให้พวกมันทะลวงเข้ามาได้ ต้านไว้สุดกำลัง"ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ และเจ้าหน้าที่ทหารรวมกำลังกันอย่างสุดความสามารถ แต่จำนวนศัตรูที่มีกองกำลังมือสังหารชั้นสูงกลับยังคงท่วมท้นทันใดนั้นเอง แสงสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นกลางสมรภูมิ เสียงลมกรรโชกดังขึ้นพร้อมกับร่างของหลี่หลิงเฟิ่ง โม่จื่อหลิง และจวินชางหลางที่ปรากฏตัวออกมา"พวกเรากลับมาแล้ว!" จวินชางหลางร้องลั่น พลางสะบัดดาบเล่มใหม่ในมืออย่างฮึกเหิม "ใครอยากโดนฟันก่อน มาเลย!""ทุกคนปลอดภัยดีหรือไม่" หลี่หลิงเฟิ่งตะโกนถามพลางฟาดแส้เพลิงออกไป เผาผู้บุกรุกที่พุ่งเข้ามาสวีคุนยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ "พวกเจ้ามาทันเวลาพอดี ฝั่งนั้นมีมากเกินไป พวกเรากำลังต้องการกองกำลังเสริมอย่างยิ่งยวด""ท่านวางใจ ข้าจะทำให้ศัตรูจำชื่อพวกเราไปตลอด" จวินชางหลางหัวเราะเสียงดัง เลือดร้อนไม่ลดละจากการต่อสู้ที่ต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน"งั้นข้าจะช
"อะไรเนี่ย ทำไมรากไม้พวกนี้มันมีชีวิตล่ะ แม่จ๋า ช่วยลูกด้วย" จวินชางหลางตะโกนพลางถอยหลบ ขณะที่รากไม้สีดำเลื้อยมาทางเขาดาบกลืนวิญญาณในมิติมายาของหลี่หลิงเฟิ่งยังคงสั่นสะท้าน ราวกับพยายามเตือนบางสิ่ง นางหอบหายใจ ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังใจกลางห้องโถงที่บัดนี้เต็มไปด้วยพลังมืด แท่นบูชาที่พังครึ่งหนึ่งพลันแตกออก เผยให้เห็นโลงศพสีดำสนิทที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยรากไม้หนาทึบ นางเดินเข้าไปใกล้โลงศพที่ยังคงปล่อยไอสังหารออกมา"ระวังนะ!" จวินชางหลางร้องเตือน แต่หลี่หลิงเฟิ่งยื่นมือออกไปแตะรากไม้ที่พันรอบโลงศพ ถึงกับเป็นโลกศพฮ่องเต้รุ่นที่หนึ่งทันใดนั้น เส้นแสงสีดำพุ่งออกมาจากรากไม้ เสียงคำรามต่ำสะท้อนก้อง รากไม้ราวกับมีชีวิตฉุดกระชากไปทั่วโลงศพเปิดออกอย่างช้าๆ กลิ่นเน่าเหม็นโชยกระจายไปทั่วห้องโถง ร่างของฮ่องเต้ตงเยว่ที่เคยหลับใหลปรากฏให้เห็น ผิวหนังซีดเผือด ดวงตาที่ควรปิดสนิทพลันเปิดออก เผยให้เห็นแสงสีดำวาววับ"มันตื่นขึ้นแล้ว!" โม่จื่อหลิงกล่าวเสียงหนัก ขณะกระชับกระบี่ในมือแต่ก่อนที่ใครจะทันได้ขยับ รากไม้สีดำพุ่งขึ้นฟ้า ก่อนจะแตกกระจาย เสียงกระดูกดังลั่น ไม่ใช่แค่จักรพรรดิตงเยว่ แต่ศพของทหารและข
จวินชางหลางกระเด็นกลิ้งหลายตลบก่อนจะยันตัวลุกขึ้นมา มองรอบด้านอย่างไม่สบอารมณ์ สถานที่เบื้องหน้านั้นเต็มไปด้วยซากหินและพื้นผนังที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ“ที่นี่มัน...ใต้ดินหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งกวาดตามองอย่างระแวดระวัง“ข้าหวังว่ามันจะไม่ใช่กับดักอะไรอีกนะ” จวินชางหลางโอดครวญ “ฟ้าไม่มีตา ไม่เข้าข้างข้าบ้างเลย”ทั้งสามคนเดินลึกเข้าไปในโพรงใต้ดิน เส้นทางทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด เสี่ยวจูจูที่เกาะอยู่บนบ่าหลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียงครางเบาๆ อย่างไม่สบายใจ“มันรู้สึกอะไรบางอย่าง” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยเบาๆ นางยกมือขึ้นลูบหัวเสี่ยวจูจูเพื่อปลอบ “ระวังตัวไว้”ภายในมิติมายาของนางกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิด ดาบกลืนวิญญาณ ที่ปักนิ่งอยู่กลางทุ่งมายาพลันสั่นสะท้าน เสียงหวีดแหลมต่ำ เส้นแสงสีดำปะทุจากคมดาบราวกับมีสิ่งเร้นลับพยายามฉุดกระชากมันให้หลุดจากพันธนาการ“ไม่... ไม่ดีแล้ว!” เสี่ยวมู่ร้อง ดวงตาสีครามของมันเบิกกว้างหลี่หลิงเฟิ่งเม้มปาก มองสภาพแปรปรวนในมิติของนาง ที่พื้นดินซึ่งเคยนิ่งสงบกลับแตกออก เผยให้เห็นแสงสีเทาหม่นที่หมุนวนราวกับวงกตแห่งวิญญาณในจุดนั้นมีวัตถุสีมืดสนิทลอยเด่นอยู่กลางอากาศ มั
บุกแคว้นตงเยว่เปลวไฟลุกโชนสูงตระหง่าน วังหลวงของแคว้นตงเยว่ที่เคยโอ่อ่ากลายเป็นสนามรบ เปลวเพลิงจากของหลี่หลิงเฟิ่งเผาผนังไม้สักทองคำจนแตกเปรี๊ยะ เสียงกรีดร้องของทหารแคว้นตงเยว่ดังระงมจวินชางหลางหัวเราะเสียงดัง ขณะฟาดฟันศัตรูที่ขวางหน้า "นี่แหละที่ข้ารอคอยมานาน วังนี้ข้าเห็นแล้วยังอยากเผาเล่น"ทหารของแคว้นตงเยว่ล้มตายลงทีละคน ซากศพกองเรียงรายจนแทบไม่มีทางเดิน หลี่หลิงเฟิ่งมองซากปรักหักพังอย่างเยือกเย็น "วังโอ่อ่าขนาดนี้ วันนี้ก็ถึงคราวต้องมอดไหม้ไปพร้อมกับบาปของมันแล้ว""เจ้าคิดจะทำลายทุกอย่างจริงๆ หรือ ง่ายไปหน่อยกระมัง" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบื้องบน ร่างสูงสง่างามในชุดมังกรสีทองปรากฏตัวท่ามกลางเงาเปลวเพลิง ฮ่องเต้แห่งแคว้นตงเยว่ ดวงหน้าคมคายที่เปี่ยมด้วยอำนาจแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม"ข้ารู้จักสมญานามของพวกเจ้ามาบ้าง หญิงชั่วร้ายกับชายคู่หมั้นหน้าโง่ แต่กลับถูกยกย่องให้เป็นความภาคภูมิของแคว้นหลิวอวิ๋น"หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วแปลกใจ ไม่คิดว่าพวกนางจะมีฉายาเช่นนี้ด้วย โด่งดังไม่เบาเลยหนา ฮ่องเต้ตงเยว่หัวเราะ "เจ้าคิดว่าการเผาวังหลวงของข้าจะทำให้แคว้นหลิวอวิ๋นพ้นภัยหรือ ช่างเป็นความคิดตื
กองกำลังขันทีผู้ซื่อสัตย์ของฮ่องเต้ ซึ่งได้รับการฝึกฝนให้ปกป้องวังหลวงมาตั้งแต่เยาว์วัย ยืนหยัดต้านทานคนชุดดำอย่างสุดชีวิต ถึงแม้พลังยุทธ์ของพวกเขาจะด้อยกว่าศัตรูมากนัก แต่ด้วยความภักดีที่ฝังแน่นในหัวใจ พวกเขาไม่มีวันปล่อยให้ราชวงศ์หลิวอวิ๋นล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา"ถ้าจะตาย ก็ให้ตายเพื่อฝ่าบาท!" หัวหน้าขันทีตะโกนลั่น เสียงของเขาแฝงด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมพ่ายแพ้เสียงดาบกระทบกันดังสนั่น ขันทีผู้หนึ่งฟาดดาบเข้าใส่คนชุดดำ แต่กลับถูกพลังยุทธ์มหาศาลกระแทกจนล้มลง เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นหิน"อย่าปล่อยให้พวกมันเข้าใกล้ฝ่าบาท!" หัวหน้าขันทีตะโกนอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งตัวไปขวางคนชุดดำที่พยายามบุกเข้ามาฮ่องเต้ที่ยังทรงยืนอยู่ด้วยพระวรกายที่บาดเจ็บสาหัส ดวงเนตรของพระองค์เคร่งขรึมแต่เปี่ยมด้วยความเด็ดเดี่ยว แม้พระโลหิตจะไหลซึมจากบาดแผลที่พระอุระ แต่พระองค์ไม่คิดจะล่าถอยหยวนกุ้ยเฟยยืนมองภาพนั้นด้วยความสะใจ ใบหน้าของนางฉายแววบ้าคลั่ง "ฝ่าบาทยังดื้อรั้นเช่นเคย... แต่ครั้งนี้ข้าจะทำให้ท่านสิ้นสิ้นลมหายใจไปพร้อมกับบัลลังก์ที่ท่านหวงแหนนัก!"ดวงตาของนางเรืองแสงด้วยพลังพิษสีดำที่แผ่ออกมาจากปลายนิ้ว นางสะ
"โจมตีที่แก่นพลังในกะโหลก พวกมันจะฟื้นตัวไม่ได้ถ้าแก่นนั้นถูกทำลาย" เสียงสั่งการของหลี่เฟยหยางดังขึ้นท่ามกลางเสียงคำรามของสัตว์อสูรเน่าเปื่อยที่น่าสะอิดสะเอียน หลี่หลิงเฟิ่งที่กำลังฟาดแส้เพลิงใส่สัตว์อสูรตนหนึ่งถึงกับชะงัก นางหรี่ตาจ้องมองหลี่เฟยหยางที่ดูมั่นใจในการโจมตีราวกับรู้จุดอ่อนของพวกมันดีราวกับฝ่ามือตัวเอง"ทำลายแก่นพลังงั้นหรือ" หลี่หลิงเฟิ่งพึมพำเบาๆ ก่อนจะหันไปสบตาโม่จื่อหลิง "ลองทำดู!"โม่จื่อหลิงไม่รีรอ เขาพุ่งเข้าใส่สัตว์อสูรตัวหนึ่งราวกับพายุ กระบี่ในมือเปล่งประกายสีเงินวาววับ ปลายกระบี่พุ่งตรงเข้าหากะโหลกของมันอย่างรวดเร็วและแม่นยำ เสียงแตกดังลั่นเมื่อแก่นพลังถูกทำลาย ร่างของมันล้มลงกับพื้นและสลายกลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตา"ได้ผลจริงๆ ด้วย!" หลูหวั่นชิงตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ นางกวัดแกว่งพัดเหล็กในมือ สร้างกระแสลมเพลิงพุ่งตรงเข้าใส่กะโหลกของสัตว์อสูรอีกตัว เผาไหม้แก่นพลังจนแตกละเอียดแต่หลี่หลิงเฟิ่งกลับไม่ได้รู้สึกโล่งใจ ดวงตาคู่งามของนางจับจ้องหลี่เฟยหยางที่ยังคงต่อสู้อย่างดุดัน ร่างสูงสง่างามของเขาขยับอย่างแม่นยำและมั่นใจราวกับนักล่าที่ชำนาญ สายตาของนางแฝงไว้ด้วยความส
การต่อสู้ในสุสานสัตว์อสูรยังคงดำเนินไปอย่างดุเดือด พลังยุทธ์และอาวุธหลากชนิดพุ่งเข้าใส่ร่างสัตว์อสูรเน่าเปื่อยเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับไม่ได้ผลเท่าที่ควร ทุกครั้งที่พวกมันล้มลง มันกลับลุกขึ้นมาใหม่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด“พวกมันมีแต่มากไม่มีลดลงเลย ขืนแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ เราต้องออกจากที่นี่โดยด่วน” หลูหวั่นชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน นางใช้พัดเหล็กในมือกวาดเปลวไฟออกไป เผาสัตว์อสูรตัวหนึ่งจนมอดไหม้ แต่เพียงครู่เดียว ร่างที่ไหม้เกรียมนั้นก็กลับมาฟื้นคืนและกระโจนเข้ามาอีกครั้ง“ทางออกอยู่ไหนกันล่ะ สู้มาจะค่อนวันแล้วข้ายังไม่เห็นว่าจะมีสักแม้เงา” จวินชางหลางตะโกนกลับ เสียงของเขาแฝงด้วยความเหนื่อยล้า กระบี่ของเขาเปื้อนเลือดสัตว์อสูรจนไม่เหลือเค้าเดิมหลี่หลิงเฟิ่งเบี่ยงตัวหลบกรงเล็บของสัตว์อสูรตัวหนึ่งที่ฟาดลงมา นางสะบัดแส้เพลิงในมือออกไป เปลวไฟสีแดงฉานลุกโชนขึ้น เผาร่างของมันจนแตกสลาย แต่ในเวลาเดียวกัน นางก็ใช้สายตาสำรวจพื้นที่รอบตัว“ถ้าค่ายกลนี้ถูกทำลายแล้ว พวกมันไม่ควรถูกยึดติดกับพื้นที่นี้อีก ล่อพวกมันกระจายตัวออกไปก็สิ้นเรื่อง พวกมันถูกดึงดูดจากต้นไม้แห่งชีวิต ตอนนี้ไม่มีเหลือแ
กลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งติดตามคำบอกเล่าของนุ่มนิ่มมาตลอดทางจนกระทั่งมาถึงจุดหมายเบื้องหน้า สิ่งที่พวกเขาเห็นคือปากถ้ำขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนซ่อนตัวอยู่ภายในเงาไม้หนาทึบ ถ้ำนี้ดูไม่ต่างจากที่หลี่หลิงเฟิ่งได้ยินจากคำรายงานของนุ่มนิ่มเหลียนฉือกงและเหลียนฉู่ฉู่นั่งพิงกันอยู่หน้าถ้ำ ดวงหน้าซีดเซียวและเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลของการต่อสู้ เหลียนฉือกงมีบาดแผลใหญ่ที่สีข้าง ขณะที่เหลียนฉู่ฉู่กุมป้ายหยกแน่นราวกับไม่อาจปล่อยจากมือ“ข้าเจอพวกเขาแล้ว” หลูหวั่นชิงชี้ไปยังสองพี่น้องแคว้นเหลียน นางรีบจะก้าวเข้าไปหา แต่หลี่หลิงเฟิ่งยกมือขึ้นห้ามไว้ทันที“อย่าเพิ่งเข้าไป” หลี่หลิงเฟิ่งบอกเสียงเฉียบพลัน ดวงตาของนางหรี่ลงมองภาพเบื้องหน้า ในขณะที่ทุกคนเห็นเพียงถ้ำที่ดูปลอดภัย แต่สิ่งที่นางเห็นกลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิงภาพเบื้องหน้าของหลี่หลิงเฟิ่งไม่ได้เป็นเพียงปากถ้ำ แต่เป็นสุสานสัตว์อสูรที่เต็มไปด้วยซากศพของสัตว์อสูรนานาชนิด กองกระดูกที่เรียงรายอยู่ทุกหนแห่งส่งกลิ่นคาวเลือดจางๆ ที่ดูเหมือนจะยังไม่แห้งสนิท ราวกับพวกมันเพิ่งล้มตายไม่นานนางหันมองรอบตัวอย่างระแวดระวัง เสียงของถิงถิงดังขึ้น“นายท่านที่นี่ถูกสร้างค่า
เสียงหอบหายใจของหลี่หลิงเฟิ่งและคนอื่นๆ ดังขึ้นท่ามกลางเสียงคำรามอันต่ำของฝูงอสูรที่ล้อมรอบพวกเขาไว้ มันไม่ได้เป็นเพียงสัตว์อสูรธรรมดา หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้วและถูกปลุกขึ้นมาด้วยพลังลึกลับ เนื้อหนังที่เน่าเปื่อยของพวกมันเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคาวและความสยดสยองที่แผ่กระจายไปทั่ว“เจ้าพวกนี้มันไม่มีวันตายจริงๆ สินะ” หลูหวั่นชิงพึมพำ น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความตื่นตระหนกยิ่งยวด“แต่พวกเราตายได้นะ” จวินชางหลางตะโกนพลางหมุนตัวฟาดดาบในมือผ่านร่างอสูรตัวหนึ่งจนขาดเป็นสองท่อน แต่ในเสี้ยววินาทีต่อมา เศษเนื้อและกระดูกที่แตกกระจายกลับเริ่มเคลื่อนไหวและประกอบร่างอีกแล้ว เป็นอย่างนี้ทุกครั้งไป“ไม่ว่าเจ้าจะฟันอีกกี่ครั้ง มันก็ยังรวมร่างได้ เสียเวลาเปล่า” หลี่หลิงเฟิ่งกล่าวเสียงเรียบ นางสะบัดมือข้างหนึ่ง ผ้าสีแดงสิบเส้นพลันพุ่งออกไปพร้อมเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วง แส้เพลิงฟาดลงบนร่างของสัตว์อสูรตัวหนึ่งเสี่ยวจูจูที่ยืนอยู่ข้างหลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียงร้องคำรามอันทรงพลัง ร่างเล็กของมันกระโจนออกจากที่มั่น ลวดลายสีดำสลับทองบนตัวส่องประกายระยับ ขณะที่กรงเล็บของมันตวัดฉีกกระชากอสูรตัวหนึ่งจนกระเด็นไปไกล